Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 7

ตอนที่ 7
ภารกิจเฝ้าระวัง

“ข้อได้เปรียบของพวกเขาก็คือสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น แต่ข้อด้อยก็เห็นได้ชัดนัก ซึ่งก็คือพวกเขามิอาจดูดซับพลังฟ้าดินได้ เมื่อต่อสู้แล้วเผาผลาญพละกำลังไปก็ต้องอาศัยผลึกเทพมาฟื้นฟู สมบัติล้ำค่าบางอย่างอาจพอจะดูดซับพลังฟ้าดินได้อย่างพอถูไถ แต่ถึงอย่างไรความเร็วในการดูดซับก็ช้ามากอยู่ดี หากพวกเขาสู้จนตัวตาย จะฝึกฝนร่างแยกอีกสักร่างมาอีก ราคาที่ต้องแลกมาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก” ผางอีเอ่ย “แต่พวกเรากลับตรงกันข้าม พลังงานของพวกเราต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต่อให้สู้จนตัวตายไปก็สามารถฝึกฝนร่างแยกออกมาอีกได้อย่างรวดเร็ว บวกกับที่คมมีดโลหิตให้พวกเราฝึกร่างแยกขึ้นมาอีกร่างหนึ่ง…ทำให้พลังโดยรวมของพวกเราได้เปรียบกว่า โรมรันกันมาจนถึงบัดนี้ พวกเขาเป็นฝ่ายโจมตีน้อยมาก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยขึ้นว่า “นอกจากเสาศิลาต้นนี้แล้ว เจ้าได้ตรวจสอบบริเวณอื่นโดยละเอียดผ่านค่ายกลที่เชื่อมต่อระหว่างเสาศิลาแล้วหรือยัง”

“เอ๋” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบตรวจดูโดยละเอียดก็พบว่า เสาศิลาสีดำใต้ฝ่าเท้าต้นนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าแผ่กำจายไปนับล้านล้านลี้ แต่ก็ยังคงเชื่อมต่อไปยังสถานที่อันไกลโพ้นอื่นๆ ผ่านอากาศ ด้วยพลังการสัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็สามารถตรวจดูไปตามการเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็ว

“สองต้น สามต้น สี่ต้น ห้าต้น…” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบอย่างรวดเร็ว

มีเสาศิลาสีดำทั้งหมดสิบต้นซึ่งเชื่อมต่อซึ่งกันและกันรายล้อมที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเอาไว้ ทั้งบนฟ้าและใต้ดิน ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง บริเวณต่างๆ ที่ห่างไกลกันก่อให้เกิดเป็นค่ายกลอันใหญ่โตมโหฬารหาใดเปรียบ อานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาล เสาศิลาแต่ละต้นมีโซ่อยู่เป็นจำนวนมาก โซ่เหล่านี้ราวกับพันธนาการที่มั่นของลัทธิจอมมารดาแห่งนั้นเอาไว้ผ่านอากาศ

“จากบัญชีหมื่นสรรพสิ่งที่เจ้าให้ข้ามา ข้าก็ได้พบค่ายกลแห่งหนึ่งในนั้น ซึ่งมีนามว่า ‘เสาหยวนเฉินทั้งสิบสอง’” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “ข้าอาศัยวัสดุและสมบัติล้ำค่าที่พวกเรามีอยู่หลอมแปรเสาหยวนเฉินสิบสองต้นนี้ขึ้นมา แม้วัสดุจะด้อยไปบ้าง แต่วิธีการหลอมและการวางค่ายกลต่างๆ ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น อานุภาพก็คงจะมีสักห้าส่วนของต้นฉบับ”

เสาหยวนเฉินทั้งสิบสองหรือ เห็นๆ กันอยูว่ามีเสาศิลาสิบต้น แต่ค่ายกลกลับเรียกว่าเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองอย่างนั้นหรือ

ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง

“เดิมทีตัวค่ายกลเองมีเสาหยวนเฉินสิบสองต้น แต่ค่ายกลซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นหนึ่งก็ต้องเสียเวลาไม่น้อยเลย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ลัทธิจอมมารดาก็มิได้โง่เง่า พวกเขาจะลงมือขัดขวางการวางค่ายกลของพวกเรา บัดนี้พวกเราเพิ่งจะติดตั้งเสาหยวนเฉินไปได้เพียงแค่สิบต้นมิอาจติดตั้งต้นที่สิบเอ็ดได้…ก็เพราะพวกเราขาดกำลังคน ทันทีที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองได้สำเร็จ ก็จะสามารถพันธนาการลัทธิจอมมารดาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ที่มั่นนั้นก็จะถูกปิดผนึกจนสนิทอย่างสิ้นเชิงประหนึ่งคุกจองจำ ทำให้พวกเขามิอาจออกมาได้อีก เมื่อถูกขังเอาไว้ด้านใน ไม่ได้รับทรัพยากร ไม่ได้รับพลังงาน มิอาจบำเพ็ญได้ และมิอาจออกมาได้ด้วย ก็เท่ากับพ่ายแพ้แล้ว”

“ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขัดขวางการวางค่ายกลของพวกเราอย่างเต็มที่”

“แต่ว่าก่อนหน้าเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองจะก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลอันสมบูรณ์นั้น อานุภาพของเสาหยวนเฉินแต่ละต้นก็ค่อนข้างอ่อนแอ ต้องมีผู้ปกครองคอยพิทักษ์จึงจะสามารถป้องกันการโจมตีของลัทธิจอมมารดาได้ หากไม่มีผู้ปกครองพิทักษ์แล้วล่ะก็…เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดากลุ่มใหญ่ร่วมมือกันก็สามารถทำลายค่ายกลเสาหยวนเฉินต้นหนึ่งลงไปได้อย่างง่ายดาย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “เมื่อถูกทำลายลงไปแห่งหนึ่ง พวกเราก็ทำได้แค่ติดตั้งใหม่เท่านั้น ทันทีที่เสาหยวนเฉินซึ่งสำคัญที่สุดถูกชิงไปต้นหนึ่ง การจะหลอมขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็ยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง”

“ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์”

“บัดนี้นรกโลกันตร์ ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูต่างก็มีร่างแยกคนละสองร่าง พวกเขาแบ่งกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหกต้น” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ร่างแยกสองร่างของบรรพชนหุบเหวลึกร่วมแรงกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้น ส่วนผางอีก็ใช้ร่างแยกสองร่างพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้นเช่นกัน”

“ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพ สองคนร่วมมือกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้น”

“ตามปกติแล้วข้าเป็นผู้พิทักษ์เสาหยวนเฉินต้นที่สิบซึ่งเป็นต้นสุดท้าย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ทว่าเมื่อต้องติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นที่สิบเอ็ด…ร่างจริงและร่างแยกของข้าก็ต้องเคลื่อนไหวไปด้วยกัน และยังต้องมีวิหคดำช่วยเหลือข้า ข้าจึงสามารถวางค่ายกลได้สำเร็จภายใต้การต้านทานการโจมตีของลัทธิจอมมารดา แต่ถึงตอนนั้น เสาหยวนเฉินต้นที่สิบนี้ก็ได้แต่ให้เจ้าแม่กานเหอมาพิทักษ์แล้ว เมื่อเจ้าแม่กานเหอมิอาจพิทักษ์ได้ จึงมิอาจตั้งเสาหยวนเฉินต้นที่สิบเอ็ดได้มาโดยตลอด”

เจ้าแม่กานเหอพูดอย่างจนใจว่า “ผู้พิทักษ์เสาหยวนเฉินจะต้องรับศึกซึ่งหน้า ต้องใช้พลังสูงส่งยิ่งนัก การต่อสู้ซึ่งหน้าของข้าอ่อนแอเกินไป”

“ข้าและประมุขเกาะกาลมิติต่างก็มีร่างแยกสองร่าง ร่างแยกทั้งหมดสี่ร่างร่วมมือกันจึงสามารถพิทักษ์เสาต้นหนึ่งเอาไว้ได้ เจ้าแม่กานเหอ เรื่องนี้ตำหนิท่านมิได้หรอก” ประมุขตำหนักหมื่นเทพกล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

ร่างจริงและร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพร้อมทั้งอาจารย์อาห้าวิหคดำต้องร่วมมือกันจึงสามารถติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นใหม่ขึ้นมาได้…

ผู้พิทักษ์ก็ได้แต่ต้องเป็นผู้ปกครองท่านอื่นเท่านั้น!

พลังของผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูแข็งแกร่งมาก พวกเขาเพียงคนเดียวสามารถพิทักษ์เสาได้ถึงสองต้น

ผางอีและบรรพชนหุบเหวลึกอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง พวกเขาหนึ่งคนสามารถพิทักษ์เสาได้หนึ่งต้น

ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพร่วมมือกันจึงสามารถพิทักษ์เสาได้ต้นหนึ่ง

พลังของเจ้าแม่กานเหอสู้ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพมิได้…พิทักษ์เพียงแห่งเดียวก็บกพร่องไปมากแล้ว

“เดิมทีข้ายังหวังว่าวิถีเข่นฆ่าของเจ้าจะสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้ หากเป็นเช่นนั้นพลังการต่อสู้ก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “แม้จะเป็นผู้ปกครองคนใหม่ แต่เมื่อร่วมมือกับเจ้าแม่กานเหอและอาศัยอานุภาพของค่ายกลเสาหยวนเฉินเอง…ก็ยังคงมีหวังจะพิทักษ์เอาไว้ได้ ตอนนี้วิถีโลกเทียมของเจ้าสำเร็จเป็นผู้ปกครอง”

ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็เสียใจ

วิถีโลกเทียมสำเร็จเป็นผู้ปกครอง การรักษาชีวิตนั้นแข็งแกร่ง แต่การต่อสู้ซึ่งหน้ากลับอ่อนแอเป็นอันมาก

ประมุขหยวนชูพูดยิ้มๆ ว่า “ลองดูก่อนเถิด ถึงอย่างไรก็มีผู้ปกครองเพิ่มขึ้นมาอีกคน อาจจะสามารถตั้งเสาศิลาต้นที่สิบเอ็ดได้ก็เป็นได้”

“พลังของตงป๋ออาจจะอ่อนแอไปบ้าง แต่เมื่อร่วมมือกับเจ้าแม่กานเหอแล้วอาจจะสำเร็จก็เป็นได้” ผางอีก็พูดขึ้นบ้าง “พวกเราไม่สนใจพละกำลังภายในกาย เมื่อมีพลังฟ้าดินคอยส่งเสริมอย่างไม่ขาดสาย ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”

“ลองดูเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็พยักหน้าเช่นกัน

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกจนใจ

เขารู้สึกว่าเหล่าผู้ปกครองในที่นั่นเชื่อใจเขาไม่มากพอ แต่จะยืนกรานโต้เถียงว่าตนเก่งกาจมาก ก็พูดได้ไม่เห็นภาพจริงๆ เอาไว้พิสูจน์ในการต่อสู้ก็แล้วกัน

“เริ่มต้นเมื่อไหร่หรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ตั้งตารอคอยมากเลยล่ะสิ” บรรพชนหุบเหวลึกสัพยอก

“มีใจต่อสู้มากทีเดียว” ประมุขหยวนชูก็หัวเราะ

“อย่ารีบร้อนไป ลองดูภาพการโจมตีก่อนหน้านี้ของลัทธิจอมมารดาเสียก่อน จะได้เตรียมตัวเอาไว้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตส่ายหน้า จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น

นั่นคือยอดของเสาหยวนเฉินขนาดมหึมาต้นหนึ่ง ผู้ครองชิงศีรษะโล้นเลี่ยนเท้าเปล่าเปลือยสวมอาภรณ์สีทองตัวหลวม กำลังมองดูเรือรบไม้ลำหนึ่งซึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า บนเรือรบยังมีรากจำนวนนับไม่ถ้วนพันเลื้อยอยู่ อานุภาพของเรือรบไม้ลำใหญ่นี้กดดันเข้ามาพร้อมเสียงกึกก้อง…

……

ภาพการต่อสู้ยกแล้วยกเล่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ลัทธิจอมมารดาไม่ยอมต่อสู้กับผู้บำเพ็ญแบบหนึ่งต่อหนึ่งเลย พวกเขาใช้สมบัติล้ำค่าที่สั่งสมมาในการต่อสู้ทั้งสิ้น หากพูดถึงแค่อานุภาพเพียงอย่างเดียวก็เหนือกว่าระดับผู้ปกครองแล้ว มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงได้สู้จนตัวตายไปมิใช่เพียงครั้งเดียว ‘เสาหยวนเฉิน’ นี้ก็ไม่ธรรมดาเป็นอันมาก อาศัยเสาหยวนเฉิน ด้วยพลังของผู้ครองชิงแล้วร่างแยกเพียงร่างเดียวก็เพียงพอจะพิทักษ์เสาต้นหนึ่งได้แล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพลั้งปากถามอีกประโยคหนึ่งว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเรายังมีร่างจริงอยู่ที่เกาะใจกลางทะเลสาบอีกหรือไร หากมาพิทักษ์ด้วย ก็คงจะสามารถวางค่ายกลสำเร็จได้อย่างรวดเร็วกระมัง”

“ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม! ร่างจริงของพวกเราก็มิอาจเข้าร่วมการต่อสู้ได้เป็นอันขาด!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดอย่างเข้มงวดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

ผางอีก็พูดยิ้มๆ ว่า “พวกเราไม่รู้ว่าลัทธิจอมมารดาจะมีกระบวนท่าอันน่าหวาดหวั่นอื่นใดอีกหรือไม่ เมื่อใช้ร่างจริง หากร่างจริงและร่างแยกสู้จนตัวตายไปหมดแล้วเช่นนั้นก็ต้องตายไปจริงๆ แล้ว! ก่อนหน้านี้ก็มีหลายครั้งที่พวกเราจวนจะชนะ แต่สุดท้ายก็พบว่าลัทธิจอมมารดาจงใจล่อลวงพวกเรา…เคราะห์ดีที่เมื่อพวกเรารู้ตัวว่าถูกล่อลวง ก็ไม่เคยส่งร่างจริงออกไปอีก ดังนั้นพวกเราจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงมาโดยตลอด สมบัติล้ำค่าของพวกเขายิ่งใช้ก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ พลังงานก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ และต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ยิ่งสัมผัสได้ถึงการล่อลวง ก็ยิ่งมิอาจไปวางเดิมพันได้ เนื่องจากจักรวาลผู้บำเพ็ญจะแพ้มิได้!

******

เหนือยอดเสาหยวนเฉินอันสูงตระหง่าน

ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าแม่กานเหอต่างก็ยืนอยู่ตรงนั้น

“ถึงเวลาจะต้องต้านทานเอาไว้ให้ได้ ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ร่างแยกต้องขึ้นไปด้วยกัน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำชับ

“วางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ‘ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดง’ ร่างอีกร่างหนึ่งของเขาอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ซึ่งพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา สามารถปรากฏกายได้ตลอดเวลา

“อื้ม ข้าจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อวางค่ายกลให้ได้โดยเร็วที่สุด ขอเพียงพวกเจ้าสามารถยืนหยัดจนข้าวางค่ายกลสำเร็จได้ ถึงตอนนั้นขอเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของข้าคอยพิทักษ์เสาหยวนเฉินต้นใหม่ ร่างแยกร่างอื่นและวิหคดำล้วนสามารถสนับสนุนพวกเจ้าได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำชับ “เอาล่ะ ข้าจะไปเริ่มแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

เขามองไปทางทิศอื่นไกลออกไป บนเสาหยวนเฉินต้นอื่นทุกต้นล้วนมีผู้ปกครองอยู่หนึ่งคน ผู้ครองชิง ผางอี ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และประมุขหยวนชูและคนอื่นๆ ล้วนมองมาทางเขาพลางยิ้มให้

ครั้งนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือทางตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะทิศอื่นๆ นั้น ลัทธิจอมมารดาล้วนเคยลองโจมตีแล้วไม่สำเร็จมาก่อน จึงย่อมมาโจมตีทางด้านนี้เป็นหลัก

“ตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงตอนนั้นก็ขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าแล้วนะ แน่นอนว่าข้าต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว” เจ้าแม่กานเหอกล่าว

“เจ้าแม่กานเหอคอยดูให้เต็มที่ก็พอแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังท้องฟ้ารอบด้าน

“ระวังด้วย ทันทีที่พวกเขาพบว่าคมมีดโลหิตวางค่ายกล ก็จะต้องบุกเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดอย่างแน่นอน” เจ้าแม่กานเหอเตือน ขณะเดียวกันนางก็มองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง นางเชื่อใจตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มากพอ แน่นอนว่าตัวนางเองก็ต้องสู้สุดกำลังด้วยตนเอง

อารักขาท่านชาย

“สามสิบล้านปีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ ณ ยอดเขาสูงแห่งหนึ่งพลางเหลือบมองลงไปยังโลกคูหาสวรรค์อันกว้างใหญ่แห่งนี้

ภายในโลกคูหาสวรรค์แห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจเลือกสรรมา  เพราะอานุภาพจากการฝึกฝนวิชาลับผู้ท่องของเขายิ่งใหญ่เกินไป หากมีรังสีแผ่ออกไปแม้เพียงสายเดียว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ต้องสูญพันธุ์ไป ทว่าหลังผ่านการฝึกฝนสามสิบล้านปี บัดนี้ก็สามารถควบคุมการฝึก วิชาลับผู้ท่องได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว และไม่ทำให้พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านที่ปกคลุมลงมาแผ่รังสีไปรอบด้านอีกด้วย

“บัดนี้พลังของข้าเหนือกว่าผู้รักษากฎทิพย์ทั้งสามและจักรพรรดิผลาญเอกาในตอนนั้นไปมากโขแล้ว เมื่อถึงสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างจักรวาลผู้บำเพ็ญและลัทธิจอมมารดา ข้าก็คงจะไม่ถึงกับเป็นตัวถ่วงกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

สามสิบล้านปี นานเกินไปแล้ว

ก่อนจะมายังจักรวาลคีรีมาร เขาก็เพิ่งจะบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาเพียงสิบกว่าล้านปีเท่านั้น ก็มีผลสำเร็จเช่นนี้แล้ว

บัดนี้ผ่านไปสามสิบล้านปี ด้วยการรับรู้ของเขา ค่ายกลอันว่างเปล่าของน้ำเต้าสีดำที่รับรู้ไม่เพียงทำให้ ‘วิถีโลกเทียม’ ในตอนนี้บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้วเท่านั้น แม้แต่การรับรู้อากาศอันสับสนอลหม่านก็ยังสูงส่งลึกล้ำมากขึ้นด้วย และผลักดันให้วิชาลับผู้ท่องไปถึงชั้นที่หก มีแต่ต้องบรรลุถึงระดับนี้อย่างแท้จริงเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้เข้าใจว่า…เหตุใดทางสายผู้ท่องอากาศจึงได้เลือกผู้สืบทอดอย่างรอบคอบเช่นนี้!

มีเงื่อนไขเรื่องการประสานจิต ด้วยกลัวว่าจะถ่ายทอดให้ผิดคน! อันที่จริงก็เพราะนี่คือระบบการบำเพ็ญที่เย้ยฟ้าอย่างยิ่งโดยแท้จริง เป็นระบบที่สามารถเผยแพร่ไปได้กว้างกว่าระบบทั้งสิบแปดชนิดซึ่งบันทึกเอาไว้ในแก้วผลึกที่ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวมอบให้เสียอีก  ตอนที่อยู่ใน ‘ขั้นผู้เคารพ’ พลังก็มีข้อได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดมากแล้ว

ในภายหน้า…

หากบำเพ็ญจนถึงระดับขั้นอย่างบรรพชนเทียนอวี๋หรือจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบแล้ว ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อาจจะสามารถเทียบกับทางสายผู้ท่องอากาศได้

แต่ทว่าในช่วงแรก อย่างน้อยก็ในตอนที่ยังอยู่ในขั้นผู้เคารพนั้น ระบบผู้ท่องอากาศกลับกดดันระบบอื่นๆ

“สามารถเข้ามาในจักรวาลคีรีมารได้ และมีข้อได้เปรียบเรื่องการเคลื่อนของเวลาสามพันกว่าเท่า ช่างเป็นโชคดีของข้าจริงๆ! ก่อนหน้าสงครามใหญ่ครั้งสุดท้าย ข้าต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้มั่น แล้วพยายามยกระดับของตนอย่างเต็มที่” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่นี่ยังมิใช่จุดสิ้นสุด  พลังของเขาในขั้นผู้เคารพยังมีช่องว่างให้ยกระดับขึ้นไปได้อีก

“ตู้มมมม…”

ทันใดนั้น นอกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองด้วยความสงสัย “เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”

“องครักษ์ทั้งหลาย เร่งอารักขาท่านชายเร็วเข้า!” สารหนึ่งส่งตรงมาอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนรน เห็นได้ชัดว่ามันถูกส่งให้องครักษ์ทั้งหมด ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้แกร่งกล้าจากจักรวาลอื่นจึงไม่มีเหตุปัจจัย ดังนั้นจึงพกวัตถุส่งสารเอาไว้

“อารักขาท่านชายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก

สวบ!

ตงป๋อเสวี่ยอิงหายวับไปในโลกคูหาสวรรค์

******

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวรีบกลับไปยังวังเหนือผิวดินของตนด้วยความตื่นเต้นเหลือประมาณ ก่อนจะกำชับองครักษ์ข้างกายว่า “ข้าจะเก็บตัวเพื่อฝึกฝน ผู้ใดก็ห้ามรบกวนข้าโดยเด็ดขาด”

“ขอรับ”

องครักษ์สี่คนขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน

เจียวอวิ๋นหลิวเพิ่งจะพุ่งเข้าไปในโถงตำหนักลับของตนเพียงลำพัง ประตูตำหนักก็ปิดตาย มือของเขาหยิบขวดสีทองนั้นออกมา เขายังมิทันได้นำผลวิเศษมารดำออกมาจากในนั้น

ทันใดนั้น…

คลื่นระลอกหนึ่งก็แพร่ออกมา

เจียวอวิ๋นหลิวสีหน้าเปลี่ยนแปรไปในทันใด เนื่องจากค่ายกลที่ใจกลางของดวงดาราดวงนี้มีเขาเป็นผู้ควบคุมด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ในทันทีว่ามีศัตรูบุกรุกเข้ามา

สวบ

เขารีบพุ่งออกไป เพิ่งจะพ้นหน้าประตูตำหนักแห่งนี้ของตน ก็เห็นว่ากลางอากาศมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ นำโดยบุรุษสวมเกราะสีทองผู้หนึ่ง เขาก็มีเกล็ดสีแดงชาดและ บริเวณหว่างคิ้วก็มีแผ่นเกล็ดสีแดงเข้มอยู่แผ่นหนึ่งเช่นเดียวกัน แม้แต่รูปร่างลักษณะก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับเจียวอวิ๋นหลิว เพียงแต่แววตาเยือกเย็นกว่า

“พี่ใหญ่รึ” สีหน้าของเจียวอวิ๋นหลิวคล้ำเขียวขึ้นมาทันที

“น้องชายที่น่าสงสารของข้า พี่ชายมาหาแล้ว” บุรุษเกราะทองหัวเราะคิกคัก “โชคของเจ้าช่างไม่เลวเลยจริงๆ ได้พบต้นผลวิเศษมารดำเข้าต้นหนึ่งด้วย จุ๊ๆๆ ในเมื่อตอนนี้สุกงอมดีแล้ว เช่นนั้นก็มอบให้พี่ชายอย่างข้าเสียเถอะ”

สายตาของเจียวอวิ๋นหลิวกวาดผ่านองครักษ์สี่คนรอบกายทันที เขาไม่มีความสุภาพอ่อนโยนเช่นยามปกติอีกต่อไป กลับกลายเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขามององครักษ์สี่คนรอบกายแล้วพูดลอดไรฟันว่า “พวกเจ้าคนไหนหักหลังข้าหา”

องครักษ์สี่คนนี้

มีองครักษ์สองคนที่พบต้นผลวิเศษมารดำในตอนแรก และมีอีกสองคนที่เป็นองครักษ์ข้างกายที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด

แต่ว่า…

บัดนี้ความแตกแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่มีทางเปิดเผยออกไปได้ เช่นนั้นก็เป็นไปได้แค่หนึ่งในสี่องครักษ์ที่รู้จักต้นผลวิเศษมารดำเท่านั้น

“มิใช่พวกเรานะขอรับ”

“ตอนนั้นที่พวกเราพบต้นผลวิเศษมารดำก็เรียนท่านชายให้ทราบทันที หากพวกเราทรยศ พวกเราไม่จำเป็นต้องบอกท่านชายก็ได้นี่ขอรับ” องครักษ์สองคนพูดขึ้นอย่างร้อนรน

“น้องชายที่ไร้ความสามารถของข้าเอ๋ย ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังเดาไม่ถูกอีกหรือ ฉาอวิ๋นหนง ภารกิจของเจ้าลุล่วงแล้ว! ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายน้องชายข้าอีกแล้วล่ะ” บุรุษเกราะทองยิ้มหยัน ทันใดนั้นองครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงคนหนึ่งก็บินขึ้นมาเสียงดังสวบ ก่อนจะบินตรงมาอยู่ข้างกายของบุรุษเกราะทองและผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งแล้วพูดด้วยความเคารพว่า “อันที่จริงเขามิได้สงสัยข้าเลย จะปล่อยให้ข้าอยู่ข้างกายเขาต่อไปก็ได้”

“ฉา…”

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองไปทางองครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจ้า เจ้าทรยศข้าหรือนี่ ทำไม ทำไมกัน”

ในบรรดาองครักษ์ทั้งหมด ผู้ที่เขาเชื่อใจมากที่สุดก็คือฉาอวิ๋นหนง

ภรรยาของเขาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉาอวิ๋นหนง! ดังนั้นสำหรับฉาอวิ๋นหนงแล้ว…ท่านชายสามจึงโปรดปรานมากเป็นพิเศษ ฉาอวิ๋นหนงน่าจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งในบรรดาองครักษ์ของเขาแล้ว หากมิได้เขาคอยช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ฉาอวิ๋นหนงก็คงไม่มีทางมีพลังเช่นวันนี้แน่

“โง่เง่า” องครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงหัวเราะเย้ยหยัน คร้านจะพูดให้มากความอีกต่อไป

“น้องชาย ทำไมรึ เจ้ายังคิดจะดิ้นรนอีกหรือ” บุรุษเกราะทองพูดยิ้มๆ

“ท่านชายสาม” ชายชราผมแดงผู้มีตาข้างเดียวที่อยู่ข้างกายบุรุษเกราะทองเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน “ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอีกแล้วล่ะ มอบผลวิเศษมารดำให้ท่านชายใหญ่เสีย! มิเช่นนั้นท่านและองครักษ์ทั้งหมดของท่านจะต้องตาย!”

ภายในจักรวาลคีรีมาร แม้จะเป็นบุตรของเทพอากาศ ก็มีการต่อสู้แย่งชิงระหว่างกัน

ขอเพียงมิได้วิญญาณแตกสลายไปอย่างแท้จริง เทพอากาศก็คงจะไม่สนใจ หากมิได้พบอุปสรรคหรือความยากลำบาก…ต่อให้สายเลือดสูงส่งกว่านี้ก็ยากนักที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ เทพอากาศถึงขั้นลอบเติมเชื้อไฟด้วยการจัดสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าให้บุตรของตน!

“จักรพรรดิเทพมารแดง…” เจียวอวิ๋นหลิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เขาและท่านชายใหญ่ต่อสู้กันมานานปีถึงเพียงนี้ เขาตกเป็นรองมาโดยตลอด ก็เพราะผู้ปกครองต่างเผ่า…จักรพรรดิเทพมารแดงผู้นี้นั่นเอง!

ผู้ปกครองคนหนึ่งช่วยเหลือพี่ใหญ่ของเขา พลังของทั้งสองฝ่ายจึงไม่สามารถเทียบกันได้เลย ดังนั้นทุกครั้งจึงต้องพบกับความยากลำบากแสนสาหัส นิสัยของพี่ใหญ่เขาเลือดเย็นและบ้าคลั่ง ทรมานเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จักรพรรดิเจียวอวิ๋นผู้ซึ่งบำเพ็ญอยู่ ณ จุดที่ลึกที่สุดของ ‘ภูเขาบรรพชนคีรีมาร’ กลับมองดูทั้งหมดนี้อย่างเยือกเย็น โดยคร้านที่จะไปยุ่งเกี่ยว

“ส่งมาเถอะ ครั้งนี้ข้าอารมณ์ดี จะไม่แกล้งเจ้าแล้ว” นัยน์ตาของบุรุษเกราะทองแฝงแววรอคอยและบ้าคลั่งอยู่ เขาก็คิดไม่ถึงว่าน้องชายคนนี้จะสามารถค้นพบ ‘ต้นผลวิเศษมารดำ’ ได้ หากมิได้กลัวว่าน้องชายของเขาจะทำลายต้นผลไม้นั้น เขาก็คงลงมือไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เขารอให้มันสุกมาโดยตลอด อีกทั้งผลวิเศษมารดำก็แข็งแกร่งหาใดเปรียบ แทบมิอาจทำลายได้เลย เขาจึงลงมืออย่างเปิดเผยซึ่งหน้า หากได้วัตถุประหลาดนี้มา เขาก็หวังว่าจะตื่นรู้และก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครองได้

“เจ้าเพ้อฝันไปแล้ว” เจียวอวิ๋นหลิวพูดเสียงต่ำ

“น่าเสียดาย เจ้าคิดจะทำลายมันก็มิอาจทำได้ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับปาก เช่นนั้นข้าก็ทำได้แค่ลงมือแล้ว” บุรุษเกราะทองพูดเสียงเบา “ประเดี๋ยวตอนลงมือ ไม่จำเป็นต้องไว้น้ำใจเลย ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยงแล้วเอาผลวิเศษมารดำกลับมาให้ได้”

“ขอรับ” กลุ่มองครักษ์ใต้บังคับบัญชาพากันรับคำสั่ง

บุรุษเกราะทองมองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงที่อยู่ข้างกาย นี่จึงจะเป็นหลักประกันชิ้นใหญ่ที่สุดของเขา เพื่อที่จะดึงตัวผู้ปกครองท่านหนึ่งให้มาทำประโยชน์ให้เขา เขาก็ได้เสียแรงไปไม่น้อย

จักรพรรดิเทพมารแดงพยักหน้าเบาๆ

“ตู้มมม…

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวยืนอยู่ตรงนั้น แต่วังข้างกายเขากลับมีค่ายกลวงแล้ววงเล่าปะทุออกมา ค่ายกลต่างๆ ทั่วทั้งดวงดาราถูกกระตุ้นขึ้นมา อานุภาพโหมกระหน่ำ

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวผู้อยู่ภายใต้การคุ้มกันของค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเข้าไปในวัง  เขามองผ่านประตูหน้าไปยังศัตรูด้านนอกกลุ่มนั้นพลางคำรามด้วยเสียงดุดัน “เจียวอวิ๋นเถิง เจ้าอย่าคิดว่าจะได้ไปเลย ถึงข้าจะตายก็ไม่มีทางให้เจ้าได้ไปหรอก”

“ตายไม่ตายอะไรกันเล่า ก็แค่ทำลายร่างแยกของเจ้าไปร่างเดียวเท่านั้นเอง เจ้าเป็นน้องชายข้า ข้าจะกล้าปลิดชีพเจ้าจริงๆ ได้อย่างไรกัน” บุรุษเกราะทองยิ้ม “ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เจ้าพูดผิดไป รอจนฆ่าพวกเจ้าจนเกลี้ยง ผลวิเศษมารดำก็จะตกเป็นของข้าแล้ว เจ้าขัดขวางไม่ได้หรอก”

“องครักษ์ทั้งหลาย รีบอารักขาท่านชายเร็วเข้า” องครักษ์ประจำตัวอีกคนหนึ่งของเขาวุ่นวายใจขึ้นมา จึงรีบถ่ายเสียงอย่างร้อนรน

ฟิ้วๆๆ…

ทันใดนั้น เหล่าองครักษ์ที่กระจายตัวกันอยู่ตามคูหาต่างๆ ภายในดวงดาราก็เร่งมาจนถึงทันที ดวงดาราก็ใหญ่แค่เท่านี้ ลำพังแค่บินท่องมา แต่ละคนใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงนอกวังของท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวแล้ว ในจำนวนนั้นก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งได้รับสารและเร่งตรงเข้ามาด้วย

สายตาของบุรุษเกราะทองกวาดผ่านเหล่าองครักษ์ที่กำลังเร่งเข้ามากลุ่มนั้นพลางยิ้มหยัน “พวกคนโง่เง่า ลงมือเถอะ ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยง!”

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset