ณ โลกภูผาศิลาแดง บนเกาะธุลีแดง
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนภรรยาและบุตรชายบุตรสาวครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มต้นปลีกวิเวก พรึ่บๆ สองร่างแยกทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำและตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงก็จากโลกวัตถุมาถึงเกาะธุลีแดง มาบรรจบรวมกับร่างจริง
อันที่จริงแล้วร่างจริงกับร่างแยกนั้นมีวิญญาณและกายเนื้อที่เหมือนกัน มิได้แตกต่างกันเลย และตอนนี้ก็ยังสามารถรักษาร่างแยกเอาไว้ได้… ท้ายที่สุดแล้วในอนาคตก็ยังต้องรวมร่างจริงและร่างแยกเป็นหนึ่งเดียวให้วิญญาณบริบูรณ์
ร่างทั้งสามได้พานพบกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวพลิกมือหยิบเอาป้ายสัญลักษณ์ของสถานที่แรกเริ่มออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำ
“ไปเสีย” พอรับป้ายสัญลักษณ์มาแล้ว ความทรงจำหนึ่งก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาโดยตรง
พลังงานทั้งหมดทั้งมวลในจักรวาลต่างก็ปกป้องตนอย่างอ่อนโยน ในเวลาชั่วพริบตา ฉากตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำก็เปลี่ยนไป มาถึงยังสถานที่แรกเริ่มที่เคยมา
“ประสาทสัมผัสของมนุษย์ธรรมดา” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา ประสาทการได้ยินและการมองเห็นล้วนลดลงฮวบฮาบ ราวกับมนุษย์ธรรมดา
“พลังของข้าในตอนนี้สามารถเทียบได้กับผู้ปกครอง แต่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่มก็เปลี่ยนไปเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาเช่นเดิม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะเทือนใจอยู่บ้าง เขาเข้าใจดีว่าสถานที่แรกเริ่มที่บรรพชนเทียนอวี๋รังสรรค์ขึ้นสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เช่นนั้นถ้าหากร่างจริงของบรรพชนเทียนอวี๋กำเนิดขึ้น ความคิดวูบหนึ่ง ตนเองก็กลัวว่าจะเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาแล้ว พลังที่ได้บำเพ็ญมาก็จะถูกเพิกถอนจนสิ้น!
แน่นอนว่าตัวอย่างเช่นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็เคยไม่ได้รับเชิญ แล้วฝืนบุกเข้ามายังสถานที่แรกเริ่ม ไม่ยอมรับข้อห้ามของกฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่ม นี่ก็คือความแตกต่างของพลังยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าพลังของตนยังอ่อนแอ ห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋มากมายเหลือเกิน
อ้างอิงจากที่ท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ ได้พูดเอาไว้ ตอนนั้นจอมกระบี่เกาะใจกลางทะเลสาบห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตอนนี้ที่‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เกาะใจกลางทะเลสาบก็คือสิ่งมีชีวิตสองท่านที่น่าหวั่นเกรงผู้นั่งอย่างมั่นคงอยู่ที่ขุมอำนาจของฝ่ายตนเอง
“ฟิ้ว…”
สายลมอ่อนโชยพัด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวย่างช้าๆ อย่างคุ้นเคยไปบนพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่ม ไกลออกไปยังมีสวนดอกไม้อีกด้วย
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ทำไมเจ้ามาเร็วเช่นนี้เล่า” ชายชราผมขาวเดินมาจากเรือนหินหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป “โอ้ ตอนนี้เจ้าเป็นขั้นบุกเบิกแล้ว พร้อมที่จะรับการทดสอบของขั้นบุกเบิกแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
นี่คือสิ่งที่ผู้สรรสร้างจักรวาลเหลือทิ้งเอาไว้ เป็นการมอบ ‘ของขวัญ’ ให้กับชนรุ่นหลังอย่างพวกเขา แต่ก็ชัดเจนว่าการจะได้รับของกำนัลจากบรรพชนเทียนอวี๋นั้นมิใช่เรื่องง่าย
“สิ่งที่เจ้าได้ประสบในคราวก่อน คือการทดสอบของขั้นเทพโลกา และเป็นการทดสอบขั้นต่ำที่สุด ที่สูงกว่าขั้นเทพโลกาคือขั้นฟ้าดิน ที่สูงขึ้นไปอีกก็คือขั้นบุกเบิก! ส่วนขั้นสูงสุดนั้นก็คือขั้นผู้ปกครอง ”ชายชราผมขาวเดินไปพลางพูดยิ้มๆ “คราวนี้สูงกว่าคราวก่อนถึงสองระดับขั้นใหญ่ ระดับความยากก็เหนือกว่าคราวก่อนมากมายนัก ยุคจักรวาลนี้ยังไม่มีใครสามารถผ่านการทดสอบของขั้นบุกเบิกได้เลย เจ้าเตรียมตัวมาเพียงพอแล้วหรือ”
“พอแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
พูดเล่นแล้ว
ก่อนหน้าการบำเพ็ญในห้วงนิทรา ตนเองก็สามารถเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรพคีรีมารได้แล้ว! ถึงแม้ว่าหลังจากกลับมาคราวนี้แล้วจะมิได้บำเพ็ญทันที ร่างกายก็ยังคงอยู่ในระดับวิชาลับผู้ท่องขั้นแปด แต่ความเข้าใจในวิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น และวิถีโลกเทียมของตนนั้นแกร่งกว่าในอดีตมาก พลังในการต่อสู้ก็สูงขึ้นอย่างมาก พลังยุทธ์เช่นนี้หากยังไม่ผ่านการทดสอบก็เป็นเรื่องน่าขันแล้ว
“ดูนั่นสิ”
ชายชราผมขาวหันหน้าแล้วชี้จุดที่อยู่ไกลออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองตามไปยังทิศทางที่เขาชี้ นั่นคือจุดศูนย์กลางของดินแดนอันว่างเปล่าแห่งนี้ ที่นั่นมีกระท่อมฟางอยู่สามหลัง
“กระท่อมฟาง” ชายชราผมขาวพูด “กระท่อมฟางสามหลัง หลังหนึ่งคือคลังสมบัติ ส่วนอีกสองหลังนั้น หลังหนึ่งมีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ ส่วนอีกหลังนั้นหลังหนึ่งมีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบขั้นผู้ปกครองเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปได้! ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเข้าไปได้นะ…ท่านเจ้าของเองก็หวังว่าในบรรดาเด็กอย่างพวกเจ้าจะมีผู้มีความสามารถเข้าไปได้”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “แน่นอน”
“เห็นเจ้ามั่นใจพอดู แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็อย่าลำพองใจเด็ดขาดล่ะ” ชายชราผมขาวพูดแล้วก็เดินไปยังทิศทางข้างหน้า “ตามข้ามา”
……
เฉกเช่นเดียวกับคราวที่แล้ว
เดินไปกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะห่างมาได้ยี่สิบลี้ ที่นั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ห้าต้น ลำต้นของต้นไม้ใหญ่นั้นมีขนาดหลายคนโอบ ชายชราผมขาวเดินตรงไปยังต้นที่อยู่ตรงกลางต้นไม้ใหญ่ห้าต้นนั้น “เข้ามาสิ” ร่างของเขาสัมผัสต้นไม้ใหญ่คราหนึ่งก็ทะลุผ่านหายเข้าไป มิอาจเห็นได้อีก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินตามไปสัมผัสต้นไม้ใหญ่ ทะลุผ่านตรงเข้าไปเช่นกัน
พรึ่บ
เดินทางผ่านมิติ ตรงหน้าคือดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลอันหนาวเหน็บ ไกลสุดลูกหูลูกตาล้วนเป็นน้ำแข็งทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางมองไปรอบทิศทาง ดินแดนอันหนาวเหน็บทอดยาวไปจนถึงจุดสิ้นสุดของมิตินี้ ชายชราผมขาวยืนอยู่อีกข้าง
“คู่ต่อสู้ของข้าในคราวนี้คือใครหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“คู่ต่อสู้หรือ”
ชายชราผมขาวแย้มยิ้ม เขายื่นมืออกมาชี้ไปรอบด้าน “โลกแห่งนี้แหละ คือคู่ต่อสู้ของเจ้า”
“โลกแห่งนี้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการมีชีวิตรอดในโลกแห่งนี้” ชายชราผมขาวพูด “หากเจ้าตายก็พ่ายแพ้ หากเจ้ามีชีวิตรอดก็ชนะ ระวังหน่อยนะ จะเริ่มแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสโลกน้ำแข็งแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
พรึ่บๆๆ
อุณหภูมิของโลกน้ำแข็งแห่งนี้ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ลำพังแค่อุณหภูมินี้ก็สามารถแช่แข็งบรรดาผู้เคารพที่อ่อนแอสักหน่อยได้แล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังลดลงอีก กลางท้องฟ้าเริ่มมี ‘ผลึกน้ำแข็ง’ อันใสกระจ่างจับตัวกันตกผลึกออกมา ผลึกน้ำแข็งอันหนึ่งตกผลึกออกมากลางอากาศ แต่โดยรอบมีขอบคมยิ่ง
“ฟึ่บ!” ผลึกน้ำแข็งอันหนึ่งลอยเคลื่อนผ่านอากาศมา แหวกผ่านท้องฟ้ามาอย่างคุกคามน่าหวาดหวั่น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอย่างสงบนิ่ง เขาขยับนิ้วมือขวากลางอากาศเล็กน้อย กลางอากาศก็มีคลื่นระลอกหนึ่งปรากฏขึ้น ขณะที่ระลอกคลื่นกระเพื่อมก็เหนี่ยวนำให้เกิดการสั่นพ้องจากระยะไกล ทำให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นจากที่ไกลๆเช่นเดียวกัน ระลอกคลื่นกระทบบนผลึกน้ำแข็งจนผลึกน้ำแข็งแตกกระจาย
เมื่อชายชราผมขาวที่มองอยู่ด้านข้างได้เห็นแล้วแววตาก็เป็นประกาย “ง่ายราวกับปอกกล้วย จัดการกับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ร้ายกาจกว่าเจ้าเด็กน้อยผู้ยอดเยี่ยมในกาลมิติเมื่อคราวก่อนผู้นั้นมากมายแล้ว”
ตอนนั้นประมุขเกาะกาลมิติก็เคยเข้ามา แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลวตอนทำการทดสอบขั้นบุกเบิกจนตัวตาย
“แต่การทดสอบนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น” ชายชราผมขาวเอ่ยพึมพำ “เจ้าก็อย่าตำหนิท่านเจ้าของเลยนะ ภายในจักรวาลมีต้นกำเนิดจักรวาลคอยปกป้อง วันคืนที่พวกเจ้าผ่านมายังนับว่าปลอดภัยยิ่งนัก รอหลังจากที่ไปจากจักรวาลแล้ว… สารพัดภยันตรายทั้งหลายก็จะพากันถาโถมเข้ามา หากไม่มีความสามารถในการเอาตัวรอด เจ้าก็เจริญเติบโตขึ้นมามิได้แล้ว จะต้องร่วงหล่นตั้งแต่เนิ่นๆ ความสามารถในการเอาตัวรอดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุดยอดผู้แกร่งกล้า”
……
หลังจากที่ผลึกน้ำแข็งแตกกระจายแล้ว อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงอย่างรวดเร็วตามมา เห็นเพียงผลึกน้ำแข็งผลึกแล้วผลึกเล่าควบแน่นอย่างรวดเร็วกลางอากาศ พอควบแน่นสำเร็จแล้วก็พุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง มีผลึกน้ำแข็งบางส่วนเคลื่อนผ่านร่างของ ‘ชายชราผมขาว’ แต่ชายชราผมขาวมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นภาพมายา ทั้งยังมิได้ปัดป้องผลึกน้ำแข็งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนกลางอากาศพร้อมกระดิกนิ้วน้อยๆ คราหนึ่ง ระลอกคลื่นกลางท้องฟ้าก็แผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทางราวกับมีสายพิณดีดอยู่กลางอากาศ ระลอกคลื่นนี้พลันปรากฏขึ้นยังบริเวณห่างไกล
ระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ทำให้ผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นแตกกระจายไม่หยุดหย่อน
อุณหภูมิยังคงลดต่ำต่อไปอีก
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น ทว่าเขาเป็นผู้ท่องอากาศ ร่างกายก็ย่อมแข็งแกร่งไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเหน็บนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอุณหภูมิที่ลดต่ำลงนี้ทำให้จำนวนของผลึกน้ำแข็งพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งทะยานขึ้นเป็นสิบๆเท่า แล้วปกคลุมอย่างมืดฟ้ามัวดินเป็นสิบล้านร้อยล้านเท่าอย่างรวดเร็วยิ่ง…
ถึงแม้ว่าจะดีดนิ้วมือจนทำให้รอบทิศทางมีระลอกคลื่นแผ่กระจายกลางอากาศ แต่ภายใต้การปะทะของผลึกน้ำแข็งจำนวนมาก ระลอกคลื่นกลางอากาศก็สูญสิ้นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ไม่มีทางต้านทานได้เลย”
“สิ่งที่ทดสอบคือความสามารถในการเอาตัวรอดของเจ้า นี่เพิ่งจะเป็นเพียงแค่ระลอกแรกเท่านั้น” ชายชราผมขาวที่ดูอยู่จากที่ไกลๆ ส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “คิดจะต้านทานหรือ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ลังเลต่อไปอีก “จะต้องใช้บริเวณมาตอบสนองเสียแล้ว”
ปัง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศูนย์กลาง ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันใหญ่มหึมาใช้เขาเป็นศูนย์กลาง แผ่กระจายไปรอบทิศทาง ทะเลโลหิตแผ่ออกไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ไหลบ่าท่วมผลึกน้ำแข็งทั้งหมดที่เข้ามาโจมตี
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พบดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บ้าง เขาถึงขั้นพลิกความทรงจำของขั้นเทพคนหนึ่งมาดู! ด้วยระดับขั้นของเขาแล้ว การพลิกความทรงจำของขั้นเทพมาดูนั้น สามารถทำได้โดยไม่ทำร้ายอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และอีกฝ่ายก็มิอาจจับได้ด้วย
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้า ก็มองเห็นดวงดาราอันใหญ่โตแห่งหนึ่งไกลออกไป
“ที่แท้แล้วจักรวาลแห่งนี้มันอะไรกันแน่หนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกความทรงจำดูแล้วกลับสงสัยมากยิ่งขึ้น
“บนดวงดาราแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตที่มีระดับขั้นราวเทพโลกาสวรรค์สามชั้นอยู่คนหนึ่ง เขามีพลังสูงส่งกว่า จึงน่าจะรู้อะไรมากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดวงดาราอันใหญ่โตตรงหน้า ดวงดารานี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสิบล้านลี้ ในบรรดาดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนก็นับว่าใหญ่แล้ว ด้านบนมีกลุ่มวังที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน ทั้งยังมีสิ่งมีชีวิตชาวเผ่าของจักรวาลแห่งนี้อยู่ด้วย
“มีชาวเผ่าทั้งหมดราวหมื่นคนเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายศีรษะ
ก่อนหน้านี้เขาก็พบดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมาย ชาวเผ่าท้องถิ่นของจักรวาลก็มีจำนวนน้อยมาก ที่น้อยก็น้อยเสียจนมีแค่ไม่กี่สิบคน ที่มากหน่อยก็แค่หลายร้อยคนเท่านั้น
ดวงดาราที่นับว่าใหญ่โตตรงหน้านี้ มีสิ่งมีชีวิตระดับเทพโลกาสวรรค์สามชั้นอยู่ ชาวเผ่าที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็แค่กว่าหมื่นคนเท่านั้น!
ทว่ามีอยู่ข้อหนึ่ง…
ก็คือทารกที่เพิ่งจะกำเนิดขึ้นมา ล้วนเป็นชีวิตเหนือธรรมดาทั้งสิ้น!
“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบเข้าไปในดวงดาราแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ
……
บนดวงดาราแห่งนี้ มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่สวมเพียงกางเกงชั้นในบินเหินไปด้วยความเร็วสูง พวกเขาบ้างก็ทะเลาะกันวุ่นวายอยู่กลางอากาศ บ้างก็หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า
“ปัง” เด็กคนหนึ่งในจำนวนนั้นเตะเด็กอีกคนหนึ่งจนกระเด็นลอยไปสิบกว่าลี้แล้วยังตะโกนขึ้นว่า “ฮ่าฮ่า กินข้าวไม่อิ่มใช่หรือไม่ จึงไม่มีแรงเลยสักนิด”
แต่ในขณะนั้นเอง เด็กอีกคนหนึ่งด้านข้างก็เข้ามาลอบโจมตีดั่งสายฟ้าแลบ
เด็กหลายคนตีกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนพลิกหมุนโจนทะยานอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า หากเหนือธรรมดาขั้นกึ่งเทพในโลกเผ่าเซี่ยเข้ามา เกรงว่าคงจะถูกเด็กเหล่านี้เหยียบย่ำ
และในยามนี้เอง…
บุรุษเกล็ดสีเขียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแห่งนี้กำลังพูดคุยกับชายชราเกล็ดสีเขียว หน้าตาของพวกเขาละม้ายคล้ายกัน พวกเขาต่างก็มีเกล็ดสีเขียว ด้านหลังมีหนามแหลมมากมาย ดวงตาเป็นสีทอง
“พี่รอง” ชายชราเกล็ดสีเขียวพูดเสียงต่ำ อีกไม่นานเท่าใดข้าก็จะตายจากไปแล้ว ที่มาพบพี่รองในครั้งนี้ ด้วยหวังว่าท่านจะช่วยดูแลเด็กๆ ทั้งหลายในตระกูลของข้าด้วย”
“น้องชาย หากยังไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย สายเลือดของเจ้าก็สามารถตื่นรู้ขึ้นมาได้อีกครั้งตลอดเวลา” บุรุษเกล็ดสีเขียวเอ่ย “พี่น้องของข้าเหลือเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น อย่ายอมแพ้ง่ายๆ สิ”
“ข้ารู้ ร่างกายของข้าชรามากแล้ว…” พูดยังไม่ทันขาดคำ
ทันใดนั้น
เขตลวงอันไร้รูปร่างก็เข้าปกคลุม
บุรุษเกล็ดสีเขียวและชายชราต่างก็ตกเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที แล้วชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งก็เดินเข้ามา นั่นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง เขาเดินเข้าไปถึงข้างกายบุรุษเกล็ดสีเขียวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “บอกข้าสิว่า สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแห่งนี้คือผู้ใด! อย่าเอ่ยนามของพวกเขาออกมาให้พวกเขารู้ตัวล่ะ”
“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือจักรพรรดิทั้งสาม!” บุรุษเกล็ดสีเขียวพูดขมุบขมิบราวกับกำลังท่องมนตร์
“จักรพรรดิหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาพลิกดูความทรงจำของขั้นเทพ ก็รู้จักเทพแท้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
“จักรพรรดิเป็นเทพแท้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม สิ่งที่เขาสนใจที่สุดก็คือพละกำลังระดับยอดสุดของจักรวาลแห่งนี้อยู่ในขอบเขตเทพแท้หรือไม่
“จักรพรรดิเหนือกว่าเทพแท้เสียอีก!” บุรุษเกล็ดสีเขียวพูดต่อไป
หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงหดเกร็ง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่าง แล้วสอบถามต่อไป
******
ณ ดวงดาราอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปในจักรวาลแห่งนี้ เป็นดวงดาราที่งดงามนุ่มนวลอย่างยิ่งดวงหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า ซึ่งก็คือบุรุษผู้มีเกล็ดสีเขียวทั่วร่างซึ่งมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ แม้เขาจะสวมเกราะสีเงินเรียบง่าย แต่เกล็ดเหนือผิวหนังของแขนทั้งสองที่โผล่ออกมาก็มีลวดลายแปลกประหลาดอยู่ นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมา
“เหตุใดสภาพสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังของข้าจึงแปลกประหลาดเช่นนี้เล่า” บุรุษเกราะสีเงินผู้นี้โบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีเรือรบรูปทรงกระแสน้ำปรากฏขึ้นมา เขาก้าวเข้าไปในเรือรบ
แคว่กกก…
เรือรบแหวกทางเชื่อมกาลมิติสายหนึ่งขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูงยิ่ง
……
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงในยามนี้ก็ยังคงสอบถามข้อมูลเรื่องแล้วเรื่องเล่าต่อไป ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเขาก็ยิ่งตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตที่มีระดับขั้นราวเทพโลกาสวรรค์สามชั้นผู้นี้พอจะเข้าใจจักรวาลแห่งนี้อยู่บ้าง
“ที่แท้แล้ว ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
จักรวาลแห่งนี้อาศัยการตื่นรู้ของสายเลือดเพื่อยกระดับพลัง
คล้ายคลึงกับ ‘สายเลือดโบราณกาลตื่นรู้’ ของโลกเผ่าเซี่ยอยู่บ้าง เมื่อผ่านการวิวัฒน์เป็นเวลานานแสนนาน สิ่งมีชีวิตทั่วไประดับฐานรากของจักรวาลแห่งนี้ล้วนมีสายเลือดของระดับยอดสุดแฝงอยู่แทบทั้งสิ้น! ดังนั้นจึงมีความสามารถในการตื่นรู้จนถึงระดับที่สูงยิ่งซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น…ซึ่งในจำนวนนั้นบิดาจะแข็งแกร่งที่สุด โดยทั่วไปบุตรชายบุตรสาวรุ่นที่สองก็จะมีสายเลือดเข้มข้นมาก จึงแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน รุ่นที่สามรุ่นที่สี่…ก็จะอ่อนลงเรื่อยๆ
ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างมากคนหนึ่งสามารถสร้างตระกูลทียอดเยี่ยมขึ้นมาได้!
จักรวาลแห่งนี้สร้างขุมอำนาจขึ้นมาโดยอาศัยตระกูล
ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสาม!
รองลงมาก็คือตระกูลระดับอ๋อง!
ถัดมาอีกก็คือตระกูลเทพแท้! ต่ำลงไปอีกน่ะหรือ ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว
ตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสาม เนื่องจากตระกูลทั้งสามต่างก็มีจักรพรรดิอยู่องค์หนึ่ง! จักรพรรดินั้น…เหนือกว่าผู้ปกครองเสียอีก ถึงขั้นบรรลุขอบเขตของเทพแท้ไปแล้ว บรรลุถึงระดับขั้นที่สูงยิ่งขึ้น จากข้อมูลจำนวนมากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้มาจากการถ่ายทอดของผู้ท่องอากาศ สูงกว่าเทพแท้อีกขั้นหนึ่ง…ก็คือเทพอากาศ! นี่คือคำที่ใช้เรียกขานกันโดยทั่วไป เนื่องจากเมื่อมาถึงระดับนี้แล้ว กายหยาบก็สามารถท่องไปท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านได้
เทพอากาศทั้งสาม!
สิ่งมีชีวิตระดับอ๋องก็คือเทพแท้ระดับผู้ปกครอง จำนวนคงจะมีมากทีเดียว
ตระกูลเทพแท้…ล้วนแต่มีเทพแท้อยู่ จำนวนของเทพแท้ก็คงจะมีนับหมื่น
“สวรรค์”
“พลังโดยรวมของจักรวาลนี้แข็งแกร่งกว่าจักรวาลของพวกเราหลายสิบเท่าจนเกือบจนร้อยเท่าแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน จักรวาลของตนไม่มีเทพอากาศเลยสักท่านเดียว แต่ที่นี่กลับมีถึงสามท่าน!
พวกเขาฝึกฝนน้อยมาก แต่กลับชอบการต่อสู้มากกว่า!
ระหว่างการต่อสู้ สายเลือดของพวกเขาก็จะสามารถตื่นรู้ได้ง่ายขึ้น ทุกครั้งที่สายเลือดตื่นรู้ พลังก็จะยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้บอกสิ่งเหล่านี้กับวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำ เพื่อถามความคิดเห็นของเขา
“ระบบการบำเพ็ญสายเลือดหรือ”
วิญญาณอาวุธตกตะลึงไป “จักรวาลที่มีระบบเช่นนี้ เบื้องหลังต้องยิ่งใหญ่มาก รังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย”
“หา” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย
“สายเลือดจะตื่นรู้ได้นั้นยากนัก” วิญญาณอาวุธกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ใช่แล้ว ตอนนั้นกว่าสายเลือดโบราณกาลของตนจะตื่นรู้ ก็ต้องสิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ของจักรวาลแห่งนี้ก็เป็นเพียงระดับเหนือธรรมดาเท่านั้น แม้จะมีผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นเทพแท้ได้กว่าหมื่นคน แต่เมื่อเทียบกับทั้งจักรวาลที่มีจำนวนนับล้านๆ คนแล้วก็ยังคงมีสัดส่วนน้อยมาก ต้องรู้ไว้ว่าสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาลผู้บำเพ็ญก็มีหลายร้อยคนเช่นกัน
“แต่สายเลือดก็ต้องมีต้นกำเนิด” วิญญาณอาวุธกล่าว “หากสายเลือดต้นกำเนิดร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง สายเลือดของชนรุ่นหลังจึงจะมีหวังตื่นรู้ เหมือนกับที่โลกเผ่าเซี่ยของพวกท่านเคยมีสิ่งมีชีวิตโบราณกาลถือกำเนิดขึ้นมา เนื่องจากมีสิ่งมีชีวิตโบราณกาลอยู่ จึงมีสายเลือดโบราณกาลเกิดขึ้น!”
“และผู้ที่สามารถทำให้สายเลือดกลายเป็นระบบการบำเพ็ญของทั้งจักรวาล และถึงขั้นทำให้มีเทพอากาศถือกำเนิดขึ้นได้…ต้นกำเนิดของสายเลือดนี้ จะต้องเป็นสายเลือดที่น่าหวาดหวั่นมากอย่างแน่นอน” วิญญาณอาวุธเอ่ย “ที่ข้าสงสัยก็คือ บรรพชนของพวกเขาคือผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมา”
“ดังนั้นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาลแห่งนี้จึงมีเบื้องหลังอันแกร่งกล้ายิ่งนัก เบื้องหลังพวกเขาก็คือบรรพชนของพวกเขานั่นเอง! ส่วนที่การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลนี้คงอยู่ที่ความเร็วสามพันกว่าเท่า ก็คงเป็นเพราะบรรพชนของพวกเขา…หวังว่าจะมีให้กำเนิดทายาทที่แข็งแกร่งจำนวนมากยิ่งขึ้น” วิญญาณอาวุธเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พยักหน้า
ระบบการบำเพ็ญสายเลือด…
เช่นสายเลือดของเขา คนรุ่นหลังก็ค่อนข้างเยี่ยมยอด แต่ก็ก่อให้เกิดชนเผ่าหนึ่งและสร้างระบบการบำเพ็ญสายเลือดอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาในจักรวาลได้ยากมาก
แต่ ‘บรรพชน’ ของชนเผ่าในจักรวาลนี้กลับสามารถทำได้!
“หากเทียบระบบการบำเพ็ญสายเลือดกับระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของพวกท่านแล้ว ก็สามารถบรรลุได้ง่ายกว่าอยู่บ้าง แต่ระบบเช่นนี้มีข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่ง นั้นก็คือบรรลุถึงระดับบรรพชนได้ยากนัก” วิญญาณอาวุธอธิบาย “ทว่าตามมุมมองของข้า บรรพชนของพวกเขาน่ากลัวนัก! ดังนั้นต่อให้อย่างมากบำเพ็ญได้แค่ใกล้เคียงกับระดับบรรพชนเท่านั้น ก็แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าแข็งแกร่งแล้ว”