Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 18

ตอนที่ 18
ตอนที่ 18 กู่กานหลัวที่หมดสติ

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตร้อนใจหาใดเปรียบ เขาไม่ยอมให้บ้านเกิดของเขาถูกทำลายไปเช่นนี้เด็ดขาด

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเสียสติไปแล้ว เพราะหากยุคจักรวาลสิ้นสุดลง บิดามารดา บุตรภรรยาและศิษย์ของเขาก็ล้วนต้องถึงจุดจบไปพร้อมกับยุคจักรวาลด้วย เขายอมให้ตนเองตาย ก็ดีกว่าให้บรรดาญาติมิตรต้องตายจากไป หากโลกใบนี้เหลือแค่เขาจนต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย ต่อให้บำเพ็ญได้เก่งกาจกว่านี้แล้วจะมีความหมายอันใดกันเล่า

“ไม่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงโกรธแค้นและบ้าคลั่ง ดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า

ยามนี้ประมุขหยวนชู ผางอี ผู้ครองชิงและคนอื่นๆ ล้วนมิอาจขัดขวางได้ ทำได้เพียงมองทุกสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเท่านั้น

“ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้พวกเราพ่ายแพ้สงครามและสู้จนตัวตายไป ก็ต้องให้ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุดไปกับพวกเราด้วย” เดิมทีเหล่าเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบซวีมู่ก็สิ้นหวังอยู่แล้ว เมื่อเห็นลำแสงทั้งเก้าสาย และสัมผัสรับรู้ได้ถึงอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นซึ่งแฝงอยู่ในนั้นก็กลับบ้าคลั่งขึ้นมา

มาเถิด มาทำลายล้างยกใหญ่สักครั้งหนึ่งเถิด แล้วทำลายล้างทุกสิ่งให้สิ้นไปเถิด

……

ณ สถานที่แรกเริ่มอันเงียบสงัด ที่นี่มีบุปผาแดงสดและพืชพรรณเขียวขจี ต้นหญ้าขยับไหวเล็กน้อยตามแรงลม

สุนัขป่าสีดำซึ่งผอมมากตัวหนึ่งกำลังหมอบอยู่บนทุ่งหญ้า ปล่อยให้ลมพัดผ่านเส้นขน หางของมันกระดอกไปมา

“ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เสียหน้านายท่านนัก” สุนัขป่าสีดำแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่งก่อนจะหายวับไป

……

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังปลดปล่อยลำแสงสีทองออกจากน้ำเต้าสีดำด้วยความร้อนรนจนแทบคลั่งนั้น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ทุ่มเทควบคุมค่ายกลอย่างสุดกำลัง คนอื่นๆ ต่างก็มองดูอยู่ กู่กานหลัวซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนที่กำลังบินไปตามรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาลมองไปด้านหลัง ใบหน้าเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเย็น

และในยามนี้เอง…

หัวสุนัขสีดำขนาดมหึมาหาใดเปรียบพลันปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้านี้ มันใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ระดับขั้นอย่างพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำได้เพียงมองเห็นหัวสุนัขสีดำนี้อย่างเลือนรางเท่านั้น หัวสุนัขสีดำขนาดมหึมานี้ราวกับอยู่ในโลกอีกระดับขั้นหนึ่ง เห็นๆ อยู่ว่ามันทับซ้อนกับผู้ปกครองคนอื่นๆ เช่นผางอีและผู้ครองชิง รวมทั้งเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดาแล้ว แต่กลับไม่มีการปะทะเลยแม้แต่น้อย

หัวสุนัขสีดำอันใหญ่โตอ้าปากกว้างดุจแอ่งโลหิตออกมา ภายในปากของมันเต็มไปด้วยน้ำวนอันสับสนอลหม่าน ปากนั้นใหญ่เสียยิ่งกว่าใหญ่ ใหญ่เสียจนไม่เห็นขอบ…เมื่ออ้าปากก็ปกคลุมลำแสงทั้งเก้าสายซึ่งมุ่งตรงไปคนละทิศคนละทางเอาไว้ จากนั้นหัวสุนัขอันใหญ่โตก็สูดเข้าไปโดยพลัน เรือบินอลวนซึ่งบินออกไปตามรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาลแล้วก็บินถอยกลับมาเสียงดังสวบ บินมุ่งหน้ามาทางปากของหัวสุนัขขนาดมหึมาซึ่งเต็มไปด้วยน้ำวนอันสับสนอลหม่าน

“กล้าต่อต้านข้า ก็ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง” เดิมทีกู่กานหลัวซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนยังคงยิ้มเย็นและเต็มไปด้วยแววอาฆาต แต่หลังจากนั้นติดๆ เขาก็ตะลึงงันไป

สุนัขป่าสีดำขนาดมหึมาตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา

มันใหญ่โตเกินไปแล้ว

เคราะห์ดีที่เรือบินอลวนสามารถสัมผัสรับรู้ได้เป็นวงกว้าง ดังนั้นอาศัยเรือบินอลวน กู่กานหลัวก็ยังคงรู้ว่านี่คือสุนัขป่าสีดำที่ผอมมากตัวหนึ่ง ร่างของมันใหญ่โตหาใดเทียม ลำพังแค่หางอันหนึ่งก็ทะลุไปหลายสิบแดนดาราแล้ว ความยาวของร่างกายมันแทบจะเทียบเท่ากับหนึ่งในสามของเขตแดนของตำหนักเทพคมมีดโลหิต เมื่อมันอ้าปาก ก็ครอบคลุมขอบเขตหลายแดนดาราเลยทีเดียว ในปากยังมีน้ำวนอันสับสนอลหม่านอยู่อีกด้วย  ลำแสงเก้าสายพลันถูกหอบม้วนเข้าไปทันที

“เร็ว เร็ว เร็ว เร็วเข้าเถิด!!!” กู่กานหลัวคลุ้มคลั่งไปแล้ว เขาสั่นสะท้านมาจากวิญญาณเลยทีเดียว เขารู้ว่านี่คือครั้งที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเขา เขาควบคุมเรือบินอลวนหมายจะหนีอย่างสุดกำลัง ทุ่มเทชีวิตโดยไม่สนใจความเจ็บปวดจนวิญญาณแทบจะฉีกขาดออก! ความเร็วของเรือบินอลวนทะยานขึ้นไปถึงขั้นสุดในทันที

เรือบินอลวนพุ่งออกจากรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาล มาอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่านด้านนอก

แต่สุนัขป่าสีดำร่างใหญ่โตซึ่งอยู่ภายในจักรวาลตัวนั้น ดวงตาอันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งคู่หนึ่งมองออกไปยังเรือบินสีดำอันเล็กจิ๋วไกลลิบลำนี้ ปากใหญ่มหึมาเพียงแค่สูดลมเข้าไปคราหนึ่ง ฟิ้ว…แรงดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งก็ส่งผลต่อเรือบินอลวนทันที พละกำลังนี้ใหญ่หลวงเกินไปแล้ว เรือบินอลวนบินถอยกลับไปเสียงดัง ‘สวบ’ ทันทีด้วยความเร็วสูง ก่อนจะลอยเข้าไปกลางน้ำวนอันสับสนอลหม่านในปากสุนัขทันใด

“ไม่…” เมื่อเห็นเรือบินอลวนลอยเข้าไป นัยน์ตาของกู่กานหลัวก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน!”

หลังจากถูกสุนัขป่าสีดำดูดกลืนเข้าไปแล้ว

จากนั้นระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นก็เข้าล้อมรอบเรือบินอลวนแล้วแทรกซึมเข้ามา ร่างกายที่กู่กานหลัวซุกซ่อนเอาไว้อย่างดีก็ถูกลูกหลงของระลอกคลื่นนี้เข้าไปด้วย เขารู้สึกสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ ก่อนจะสูญสิ้นสติรับรู้ไป แม้แต่เจ้าลัทธิซางตานและประมุขวังเป่ยเสวียนซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนก็ล้วนสิ้นสติไปด้วยเช่นกัน

******

ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิงและประมุขเกาะกาลมิติต่างก็มองฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึง

บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาซึ่งอยู่ภายในเรือรบซวีมู่ก็มองฉากนี้อย่างตะลึงงันเช่นเดียวกัน

“ฟิ้ว”

สุนัขป่าสีดำซึ่งเดิมใหญ่โตอย่างไร้ขอบเขตนั้นก็พลันหดเล็กลงเหลือเพียงขนาดร้อยกว่าลี้เท่านั้น สุนัขป่าซึ่งมีขนสีดำทั่วร่างนั้นผอมมาก มันยืนอยู่กลางอากาศ หางของมันสะบัดไปมา ปากก็พ่นออกมาเป็นภาษามนุษย์ว่า “แฮ่…ช่างน่าขายหน้านัก เสียหน้านายท่านของข้าจริงๆ! เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะชนะแล้วก็ยังถูกเจ้ากู่กานหลัวนั่นลวงเสียได้”

“ผู้อาวุโส” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยปากขึ้นเอง ยามนี้ศีรษะเขายังเต็มไปด้วยเมฆหมอก สุนัขป่าสีดำอันน่าหวาดหวั่นตัวนี้โผล่มาจากไหนกัน

ตามข้อมูลในรายงานของเขา

เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศก็มิอาจเข้าไปในจักรวาลอื่นได้อีก เพราะจักรวาลจะคุ้มครองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายใน  สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเกินไปจึงมิอาจเข้าไปข้างในได้โดยเด็ดขาด

แน่นอนว่าหากแข็งแกร่งเสียจนเกินเหตุ…เช่นผู้ระดับขั้นอย่างท่องอากาศกู่ฉีซึ่งแข็งแกร่งเสียจนสามารถเทียบได้กับบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว ก็สามารถทำลายล้างจักรวาลแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย จักรวาลคิดจะสกัดกั้นก็มิอาจขัดขวางได้ ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปในจักรวาลได้อย่างง่ายดาย! จะทำให้ยุคจักรวาลแตกทำลายไป…กับการทำให้จักรวาลแตกทำลายไปนั้นเป็นสองระดับขั้นที่แตกต่างกัน

ภายในจักรวาลหนึ่งๆ มียุคต่างๆ ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อสภาพแวดล้อมภายในเสียหายไปจนไม่เหมาะกับการบำเพ็ญอีกแล้ว จักรวาลก็จะทำให้ยุคนั้นแตกสลายไปเองตามธรรมชาติแล้วถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และให้กำเนิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญ การหมุนเวียนของยุคต่างๆ…ก็เป็นส่วนหนึ่งของการหมุนเวียนจักรวาลอย่างหนึ่งเช่นกัน

ตัวจักรวาลเองยังคงแข็งแกร่งมั่นคงมากดังเดิม!

แต่ความแข็งแกร่งของสุนัขป่าสีดำตัวนี้ เหนือกว่าเทพอากาศหน้าใหม่เช่นเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังอยู่ภายในจักรวาลอีกหรือ

“ขอบคุณผู้อาวุโส” ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขเกาะกาลมิติกลับทยอยกันเอ่ยปากขอบคุณ พวกเขาทั้งสองล้วนรู้จักสุนัขป่าสีดำ

“ก่อนหน้านี้เคยพบผู้อาวุโสมาก่อน คิดไม่ถึงว่าท่านจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” ประมุขเกาะกาลมิติพูดต่อ

“อืม”

สุนัขป่าสีดำขานรับเสียงเรียบด้วยความถือตัวอยู่บ้าง จากนั้นเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทั้งยังเอ่ยชมว่า “คมมีดโลหิต ไม่เลวเลย ยุคจักรวาลนี้ยังอีกไกล แต่เจ้ากลับสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว บัดนี้นับได้ว่าเจ้าเป็นเทพอากาศขั้นกำเนิด…ตอนที่ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุด คาดว่าเจ้าก็ยังมีหวังจะบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ ฮ่าฮ่า จนถึงบัดนี้ ผู้ที่บรรลุถึงขั้นอากาศรวมเป็นหนึ่งในจักรวาลนี้ก็มีเพียงจอมมารเท่านั้น ส่วนจอมกระบี่นั้นยังสู.ขั้นกว่าอีกระดับหนึ่ง”

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชมเชย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอึดอัดใจยิ่งขึ้นไปอีก คล้ายกับว่าสุนัขป่าสีดำตัวนี้จะคุ้นเคยกับผู้แกร่งกล้าทุกคนในยุคจักรวาลนี้ดีนัก รวมทั้งประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบและจอมมารด้วย

“ตงป๋อ” สุนัขป่าสีดำมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเหลือบมองน้ำเต้าสีดำในมือของเขา “คิดไม่ถึงเลยนะ ในฐานะที่เป็นศิษย์แห่งวังทวีสูญของข้า ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเจ้าก็สั้นนัก ยังมีมรดกอันแข็งแกร่งชิ้นหนึ่งอีกหรือนี่”

กลเม็ดของผู้ท่องอากาศกู่ฉีสูงส่งเกินไปแล้ว

สุนัขป่าสีดำก็มิอาจตรวจสอบได้ ส่วนน้ำเต้าสีดำ…ที่ผ่านมามันก็มิได้คิดว่าน้ำเต้าสีดำร้ายกาจสักเท่าใดนัก เพียงแต่ครั้งนี้มันก็มองออกแล้วว่า นี่คือสมบัติพิทักษ์วิถีชิ้นหนึ่ง! สามารถหลอมสมบัติพิทักษ์วิถีเช่นนี้ขึ้นมาได้ชิ้นหนึ่ง ทั้งยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถใช้งานได้ตั้งแต่อยู่ในขั้นบุกเบิก ย่อมต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจมากอย่างแน่นอน ต่อให้สู้บรรพชนเทียนอวี๋มิได้ เกรงว่าก็คงจะใกล้เคียงมากแล้ว

“โชคดีน่ะขอรับๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ในใจทั้งยินดีและตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้เขาได้รู้ว่าสุนัขป่าสีดำเคยกัดจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบเหมือนเนื้อชิ้นหนึ่งมาก่อน! ก็รู้สึกเพียงว่ามันร้ายกาจ แต่ก็มิได้ตระหนักว่าร้ายกาจเพียงใด

แต่ครั้งนี้เขาตกใจขึ้นมาแล้วจริงๆ

ทว่าเมื่อคิดดูให้ละเอียดก็ถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรตอนนั้นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็ห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋เพียงก้าวเดียวเท่านั้น สุนัขป่าสีดำสามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ เกรงว่าพลังก็ใกล้เคียงกับจอมกระบี่แล้ว เกรงว่าคงจะเหนือกว่าจอมมารเสียอีก!

“ใช่แล้ว ยังมีเจ้างั่งนี่ด้วย” สุนัขป่าสีดำสำรอกออกมา ลำแสงสามสายถูกคายออกมา ลำแสงสายหนึ่งในจำนวนนั้นถูกมันรวบคว้าเอาไว้ ซึ่งนั่นก็คือกู่กานหลัวที่หมดสติอยู่นั่นเอง ส่วนลำแสงอีกสองสายก็คือประมุขวังเป่ยเสวียนและเจ้าลัทธิซางตานซึ่งกำลังหมดสติอยู่เช่นกัน

“ตื่นสิ”

กรงเล็บของสุนัขป่าสีดำคว้ากู่กานหลัวเอาไว้แล้วออกแรงเขย่า ร่างของกู่กานหลัวถูกเขย่าจนสั่นสะเทือนคราหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นสุนัขป่าสีดำตัวใหญ่ซึ่งยืนอยู่กลางอากาศตรงหน้า เขาหวาดหลัวเสียจนหน้าซีดขาวไปหมด

 ………………………….

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวสวมอาภรณ์สีทอง ตอนที่เขามาถึง ผู้ปกครองเอ้อเฉินที่อยู่ด้านข้างก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงอกเกรงใจว่า “ท่านชาย” พลังของเขาสูงส่งกว่าท่านชายสาม ทว่าบัดนี้ท่านชายสามก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว เบื้องหลังยังมีจักรพรรดิเจียวอวิ๋นด้วย แน่นอนว่ามิอาจทำเหมือนเป็นผู้ปกครองธรรมดาทั่วไปได้

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพยักหน้ายิ้มๆ ขณะเดียวกันก็ชมการต่อสู้โดยละเอียด เขาพูดด้วยความตกตะลึงว่า “ผู้เคารพเทพหิมะแปรเป็นรูปสลัก หรือว่าจะฝืนต้านทานอย่างเต็มที่”

“เห็นทีผู้เคารพเทพหิมะคงจะวางแผนเอาไว้เช่นนี้จริงๆ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูดยิ้มๆ เพียงแต่เมื่อใบหน้าชราของเขายิ้มขึ้นมาก็ช่างน่ากลัวมากจริงๆ “ผู้เคารพเทพหิมะเข้าไปบำเพ็ญในบรรพคีรีมารอยู่ชั่วระยะหนึ่ง พลังก็มีการยกระดับขึ้น บัดนี้ก็กลายเป็นรูปสลักอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว และทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คิดจะทำร้ายนางกลับยากเสียยิ่งกว่ายาก หากตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจโจมตีให้แตกได้ ก็เป็นไปได้มากว่าจะพ่ายแพ้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่บนเวทีการต่อสู้กำลังสำแดงวิถีหอกออกมาแล้ว และโจมตีรูปสลักนั้นอย่างบ้าคลั่ง

ตู้มๆๆ…

รูปสลักลอยไปทั่วตามอำเภอใจ แล้วกระแทกเข้ากับเวทีการต่อสู้ ปะทะลงบนค่ายกลสีดำรอบด้าน แต่รูปสลักผลึกน้ำแข็งนั้นกลับมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ผลึกน้ำแข็งรูปสิบสองเหลี่ยมทุกแผ่นเหนือชั้นผิวยังคงเปล่งประกายออกมา

“เป็นไปได้มากว่าจะแพ้หรือ เรื่องนี้ท่านผิดแล้วล่ะ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองดู ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้า “ท่านมิได้เห็นการต่อสู้ระหว่างน้องตงป๋อและจักรพรรดิเทพมารแดงในตอนนั้น แม้โลกภายนอกจะเล่าลือกันไปทั่วว่าน้องตงป๋อเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ แต่รายละเอียดของการต่อสู้ กลับมีผู้ล่วงรู้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย”

“หา” ผู้ปกครองเอ้อเฉินมองเจียวอวิ๋นหลิวด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง

“ตอนนั้นจักรพรรดิเทพมารแดงก็สำแดงลูกไม้การป้องกันอันร้ายกาจยิ่งออกมา แต่ท้ายที่สุดน่ะหรือ”เจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ เขาจำได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ตอนนั้นหลังจากจักรพรรดิเทพมารแดงปะทุท่าไม้ตายออกมาแล้ว พลังก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ผิวกายก็มีเกราะน้ำแข็งอันหนาวเหน็บชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ การป้องกันก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง “ท้ายที่สุดเขาก็ยังถูกหอกหนึ่งของน้องตงป๋อโจมตีเข้าไปอย่างรุนแรง! การโจมตีของน้องตงป๋อช่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง”

“อย่างนั้นหรือ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ในสายตาของเขา การป้องกันของผู้เคารพเทพหิมะตรงหน้าก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว

เขากลับไม่รู้ว่า…การรักษาชีวิตของจักรพรรดิเทพมารแดงแข็งแกร่งกว่าอยู่ขุมใหญ่

“มาแล้ว” นัยน์ตาของท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเป็นประกายขึ้นมา เขามองเห็นแล้วว่า เหนือหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นหลังจากประกายสีดำนี้ปรากฏขึ้น ก็โจมตีจักรพรรดิเทพมารแดงอย่างรุนแรง

“ฟิ้ว!”

ปลายหอกแทงเข้าไปอย่างดุเดือด ทิ้งร่องรอยซึ่งแฝงไว้ด้วยเส้นโค้งอันแปลกพิสดารเอาไว้ รอบปลายหอกยังมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอยู่วงหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านอกจากจะมีเกราะพลอยู่ชั้นหนึ่งแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังนำ ‘วิถีเข่นฆ่า’ และ ‘วิถีระลอกคลื่น’ หลอมรวมเข้าไว้ในวิถีหอกอีกด้วย นับตั้งแต่รับรู้ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ เป็นต้นมา วิถีสองสายนี้ก็ได้ผนวกเข้าด้วยกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีวิธีการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

ฟึ่บ…หอกยาวแทงลงบนรูปสลักผลึกน้ำแข็ง เหนือผิวมีเกราะพลหมุนเวียนอยู่ ระดับความคมของปลายหอกเพิ่มสูงขึ้นแล้วแทงทะลุรูปสลักไป หลังจากแทงเข้าไปในรูปสลักแล้ว ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันน่าหวาดหวั่นก็พลันส่งถ่ายเข้าไป

ปัง…ทั้งรูปสลักแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษเสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศมลายหายไป ทว่าส่วนที่หลงเหลืออยู่จำนวนน้อยนิดกลับเพียงน้อยนิดก็รวมตัวกันแล้วกลายเป็นสตรีผมขาว ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ ผู้นั้น สายตาของผู้เคารพเทพหิมะที่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงไว้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อและความจนใจสายหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงที่บุกสังหารเข้ามาอีกครั้ง นางก็รีบถ่ายเสียงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดินโดยรอบ “ข้ายอมแพ้!”

จะพูดอย่างชักช้าก็ไม่ทันการแล้ว จึงใช้พละกำลังภายในกายควบคุมอากาศแล้วเปล่งเสียงออกมา ทำให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

“ฟิ้ว”

ปลายหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันหยุดลง กระแสอากาศอันน่าหวาดหวั่นราวกับคมมีดวาดผ่านร่างของผู้เคารพเทพหิมะ หากเป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นโดยทั่วไป เกรงว่าร่างกายคงจะแหลกละเอียดไปนานแล้ว ทว่าถึงอย่างไรผู้เคารพเทพหิมะก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเทียบกับผู้ปกครองได้! นางมิอาจต้านรับกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดและแฝงไว้ด้วยเกราะพลได้ แต่ลำพังแค่กระแสอากาศก็มิอาจทำร้ายนางได้เลยแม้แต่ปลายเส้นขน

“นับถือๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เจ้าจะสามารถทำลายรูปสลักทิพย์ไร้ทลายของข้าได้” ผู้เคารพเทพหิมะพูดเสียงเย็นชา “เกรงว่าพลังของเจ้าคงจะมีโอกาสคุกคามสัตว์ประหลาดเลี่ยยางนั่นได้แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนที่พวกเจ้าทั้งสองต่อสู้กันจะเป็นอย่างไร”

พูดจบผู้เคารพเทพหิมะก็แปรเป็นลำแสงทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว

เพราะนางแพ้แล้ว! ย่อมไม่มีโอกาสเข้าไปในบรรพคีรีมารได้อีก ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแทนที่นาง กลายเป็นผู้เคารพอันดับสามคนใหม่แล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องตงป๋อ ยินดีด้วยๆ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวหัวเราะ “ข้ายังมิได้เข้าไปในบรรพคีรีมารเลย ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้ล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินลงจากเวทีการต่อสู้แล้วมองไปทางท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านชายอย่าล้อข้าเล่นเลย บัดนี้ท่านชายเป็นผู้ปกครองแล้ว ข้าก็เป็นเพียงผู้เคารพเท่านั้น จะก้าวออกจากขั้นนี้นั้นไม่ง่ายเลย”

“สำหรับผู้เคารพคนอื่นนั้นไม่ง่าย แต่สำหรับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเอ่ย

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดคุยกับท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปยังบรรพคีรีมารด้วยการนำทางของบ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรา เจียวอวิ๋นหลิวมิอาจเข้าไปภายในได้ในตอนนี้

“บรรพคีรีมาร”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่บนคีรีมารอันเก่าแก่แห่งนี้ รอบเขามีไอหมอกสีดำแผ่กำจายอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อเดินอยู่บนบรรพคีรีมารแห่งนี้ จึงรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงมาก กระดูกคันยุบยิบเล็กน้อยให้ความรู้สึกสบายนัก ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาเข้าเข้าใจดีว่าเป็นเพราะบรรพคีรีมารแห่งนี้นั่นเอง มิเช่นนั้นแล้ว ไหนเลยคนระดับเช่นเขาจะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายนอกเช่นนี้ได้

บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรานำทางอยู่ด้านหน้า แล้วชี้ไปยังคูหาแห่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างเลือนรางตรงสุดทางอันคดเคี้ยงตรงหน้า “นายท่าน คูหาอยู่ตรงหน้าขอรับ”

“นั่นคือคูหาของข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ขอรับ เป็นคูหาของนายท่าน หากมิได้รับอนุญาตจากนายท่าน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้ อีกทั้งคูหายังอยู่เหนือฐานค่ายกลของบรรพคีรีมารอีกด้วย เมื่อบำเพ็ญอยู่ที่นั่น จะเป็นประโยชน์มหาศาล” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรากล่าว “นายท่านเข้าไปก็จะทราบเองขอรับ”

“อื้ม”

เขาเดินไปถึงหน้าคูหาอย่างรวดเร็ว

คูหาอันเก่าแก่โบราณแห่งนี้ค่อนข้างจะสันโดษ ทว่ากลับครองพื้นที่หลายลี้ ถึงอย่างไรมันก็เป็นสถานที่บำเพ็ญของผู้เคารพ หากฟุ่มเฟือยมากจริงๆ จะใช้พื้นที่นับล้านล้านลี้มาเป็นสวนหลังบ้านของตนเองก็เป็นเรื่องธรรมดานัก

เมื่อผลักประตูเข้าไป เอี๊ยดดด ประตูนั้นเป็นประตูไม้ แผ่นไม้เป็นสีดำขลับทั้งแผ่นจนมองไม่ออกว่าเป็นวัสดุใด

เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูมา ก็มีกลิ่นอายสีเขียวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระลอกหนึ่งถาโถมเข้ามาปะทะหน้า เมื่อสูดเข้าไปเฮือกหนึ่ง ทั้งร่างก็เย็นเฉียบ สมองก็ว่างเปล่าไปหมด ความเร็วในการรับรู้และไตร่ตรองก็ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วในพริบตา เหมือนได้กินสิ่งล้ำค่าเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น สถานที่ล้ำค่าสำหรับบำเพ็ญระดับนี้ แม้แต่เหล่าผู้ปกครองก็ยังปรารถนา มันย่อมมีส่วนช่วยต่อการบำเพ็ญของบรรดาผู้เคารพเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี พลังที่ซ่อนอยู่ยิ่งสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งยกระดับการบำเพ็ญได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น

“ประเสริฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดเอ่ยปากชมมิได้ เขาอยู่ในจักรวาลผู้บำเพ็ญมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ยังไม่เคยเข้าไปในสถานที่ล้ำค่าสำหรับบำเพ็ญที่ดีเช่นนี้มาก่อนเลย

“บนบรรพคีรีมารยังมีสถานที่เก็บคัมภีร์บำเพ็ญอันล้ำค่าต่างๆ อยู่ด้วยนะขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดที่อยู่ด้านข้างกล่าว “เป็นสิ่งที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น พวกมันล้ำค่าอย่างยิ่ง สามารถศึกษาได้ แต่มิอาจนำออกไปจากบรรพคีรีมารได้”

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ

“ข้อดีของคูหาแห่งนี้ นายท่านสามารถรับรู้ได้โดยละเอียด” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว “หากไม่มีธุระอันใดแล้ว บ่าวขอตัวก่อนนะขอรับ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงถามขึ้นว่า “ชั้นในและชั้นใจกลางของบรรพคีรีมารดีกว่านี้มากใช่หรือไม่”

“เป็นความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว “ชั้นในเหนือกว่าชั้นนอกอยู่มากโข ชั้นใจกลางก็ยิ่งเกินกว่าจะจินตนาการได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าอยากจะท้าทายผู้เคารพอันดับหนึ่งดู”

“ท้าทายผู้เคารพอันดับหนึ่งหรือ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดสะดุ้ง “ได้ขอรับ นายท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปถ่ายทอดวาจาของท่านเดี๋ยวนี้”

บ่าวรับใช้หุ่นเชิดจากไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มสำรวจคูหาแห่งนี้โดยละเอียด เมื่อตรวจดูก็พบความน่าอัศจรรย์ของคูหาแห่งนี้ ภายในส่วนที่แตกต่างกันของคูหาก็มีกลิ่นอายที่แตกต่างกัน เหมาะแก่ผู้แกร่งกล้าซึ่งฝึกฝนระบบที่แตกต่างกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงพบบริเวณต่างๆ ที่เหมาะกับวิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่นและวิถีโลกเทียม ส่วน ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ นั้นมิได้มีเงื่อนไขเรื่องสภาพแวดล้อมแต่อย่างใด

ผ่านไปเพียงครู่เดียว

บ่าวรับใช้หุ่นเชิดก็กลับมาแล้วรายงานทันที

“นายท่านขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ

“กำหนดเวลาแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“ผู้เคารพอันดับหนึ่ง ‘เลี่ยยาง’ กำลังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่ขอรับ มิอาจรับศึกได้” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ มิอาจรับศึกได้อย่างนั้นหรือ หากเขาเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญไปตลอด ข้าก็มิอาจท้ายทายได้ไปตลอดหรือไร”

“ชั้นในและชั้นนอกของบรรพคีรีมารแตกต่างกันอย่างมหาศาล หากภายหน้านายท่านได้เข้าไปก็จะทราบเองขอรับ การเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญของชั้นในนั้นเป็นการบำเพ็ญพิเศษชนิดหนึ่ง ระหว่างการบำเพ็ญมิอาจรับศึกได้ ทว่าเมื่อการเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญสิ้นสุดลง ผู้เคารพเลี่ยยางก็จะมิอาจหลีกเลี่ยงได้อีกขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว

“ต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“ได้ยินมาว่าผู้เคารพเลี่ยยางเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญมาห้าแสนกว่าปีแล้ว คาดว่าหากเร็วหน่อยก็จะสามารถออกมาได้ตลอดเวลา หากนานหน่อยก็อาจจะสักสิบล้านปีกระมัง” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเอ่ย

“นานถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจะจนใจอยู่บ้าง

รอเถิด

การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลคีรีมารนั้นเร็วกว่าบ้านเกิดของตนมาก ต่อให้ผ่านไปสิบล้านปี ก็เท่ากับเวลาไม่กี่พันปีในบ้านเกิดเท่านั้น! สงครามคงจะไม่รวดเร็วถึงเพียงนั้น ตนใช้เวลาน้อยนิดเท่านี้บำเพ็ญให้ดีจะดีกว่า

“เจ้าออกไปก่อนเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ

“ขอรับ หากนายท่านมีเรื่องอันใดก็สามารถเรียกข้าได้ตลอดเวลานะขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเดินออกจากคูหาไป

ประตูคูหาปิดลงเสียงดังเอี๊ยด แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มการบำเพ็ญในบรรพคีรีมาร

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset