ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสค่ายกลอันว่างเปล่าที่พิสดารยากเกินคาดเดาภายในน้ำเต้าสีดำแล้วก็เริ่มกระตุ้นและควบคุมมัน หลังบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว วิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และสามารถปรับเปลี่ยนพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของลูกไฟซึ่งเทียบได้กับ ‘ดวงอาทิตย์’ ภายในน้ำเต้าสีดำได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ระมัดระวังเป็นอันมาก เพราะเขารู้ดีว่าหากพละกำลังเช่นนี้ทำลายล้างอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว ก็จะสามารถทำให้ทั้งยุคจักรวาลนี้สิ้นสุดลงไปได้เลยทีเดียว!
เหมือนโลกมนุษย์ธรรมดาแห่งแล้วแห่งเล่าภายในโลกวัตถุ ที่เมื่อเผชิญกับการทำลายล้างแล้ว ก็จะแตกสลายไปรวดเร็วยิ่งขึ้นจากนั้นก็ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ละยุคจักรวาลนั้น ระยะเวลาไม่ได้เท่ากันเสมอไป จำนวนของสิ่งมีชีวิตที่เวียนว่าย ผู้ปกครองที่ถือกำเนิดขึ้นมา จำนวนเทพอากาศ การดูดกลืนพลังฟ้าดิน การทำลายล้างจักรวาลโดยตรง…สาเหตุต่างๆ ล้วนส่งผลต่อการตัดสินระยะเวลาสั้นยาวของจักรวาลหนึ่งๆ ทั้งสิ้น
น้ำเต้าสีดำระดับขั้นที่สอง มีพละกำลังซึ่งทำให้เทพอากาศทั่วไปต้องถอยหลบ ก็ย่อมสามารถทำร้ายจักรวาลได้เป็นธรรมดา
หากตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นเทพอากาศ ควบคุมน้ำเต้าสีดำระดับขั้นที่สาม…เกรงว่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ทั้งจักรวาลสิ้นสุดลงได้แล้ว!
อันที่จริง
พละกำลังของเทพอากาศก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อจักรวาลได้แล้ว ดังนั้นอย่างจักรพรรดิทั้งสามแห่งจักรวาลคีรีมาร…ก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ใน ‘บรรพคีรีมาร’ เท่านั้น ในบริเวณอื่นๆ พวกเขาล้วนไม่ลงมือ
“ระวังหน่อย ควบคุมขอบเขตให้ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ “จัดการเจดีย์สังเวยนี้ทิ้งเสีย แล้วหยุดมือทันที”
ในขณะนี้
พวกลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวสนใจพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมากกว่า พวกเขามิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย เท่าที่พวกเขามองนั้น น้ำเต้าสีดำนั่น…เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ปกครองสองสามคนก็อาจจะมีประโยชน์มากทีเดียว แต่บัดนี้เป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ ลัทธิจอมมารดาทุ่มเททรัพยากรที่สั่งสมมาของทั้งเผ่า กู่กานหลัวก็คอยช่วยเหลือ ในสงครามระดับขั้นเช่นนี้ น้ำเต้าสีดำก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูต่างก็ลอบส่ายหน้า “แม้สำหรับพวกเราพละกำลังของน้ำเต้าสีดำจะมีส่วนช่วยเพียงน้อยนิด ช่วยอะไรสถานการณ์มิได้”
แต่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับระมัดระวังเป็นอันมาก วิญญาณของเขาก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังกดดันหาใดเปรียบ พละกำลังนี้เหนือกว่าระดับขั้นนี้ของเขาไปแล้ว เคราะห์ดีที่น้ำเต้าสีดำยอมรับเป็นนาย มิเช่นนั้นแล้วพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ก็เพียงพอให้วิญญาณของตนถูกโจมตีจนสาหัสได้แล้ว
“ทำลายเสียเถิด ลัทธิจอมมารดา” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงไว้ด้วยประกายคมกริบสายหนึ่ง
“ฟิ้ววว…”
แสบตา
แสบตาหาใดเทียม
รัศมีอันเจิดจ้าแสบตานี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กันต้องมองออกไปอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กู่กานหลัวและเหล่าเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาที่อยู่ภายในเรือบินอลวนรวมทั้งผู้บำเพ็ญของฝ่ายผู้ปกครองทั้งหลายต่างก็มองน้ำเต้าสีดำนั้นด้วยความตกตะลึง
ทันใดนั้นปากน้ำเต้าสีดำก็มีรัศมีสีทองอันโดดเด่นสะดุดตาหาใดเปรียบสายหนึ่งลอยออกมา มันลอยออกมาอย่างรวดเร็วแล้วทะยานตรงไปยังเจดีย์สังเวยแห่งแรกแห่งนั้น รัศมีสีทองที่ลอยออกมาด้วยความเร็วสูงนี้เป็นของเหลวชนิดหนึ่ง รัศมีของเหลวสีทองนั้นโดดเด่นสะดุดตาที่สุดกลางท้องฟ้า โดดเด่นสะดุดตากว่าดวงอาทิตย์มากมายนัก ชั่วขณะเดียวกับที่มันปรากฏขึ้นมานั่นเอง อุณหภูมิรอบด้านก็ปะทุสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อากาศบิดแปรและแหลกสลายไป ลำพังแค่อุณหภูมิอันน่าหวาดหวั่นเหล่านี้ หากบรรดาผู้ปกครองอาจหาญแตะต้องรัศมีสีทองนี้ก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา
“ฟึ่บ…” ภายใต้รัศมีของเหลวสีทองที่โหมซัด รากจำนวนมากของเรือรบซวีมู่ซึ่งปกป้องเจดีย์สังเวยเอาไว้ก็ถูกโจมตีจนแตกสลายหายไปในพริบตาเดียว เมื่ออ่อนยวบลงอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ไม่มีอานุภาพอีกต่อไป การควบคุมและปกป้องของเรือบินอลวนที่มีต่อมิติเบื้องล่างเจดีย์สังเวยนั้นก็ถูกโจมตีจนแตกไปภายในพริบตา ทำมิได้แม้แต่ขัดขวางสักนิด
“สกัดไว้!” ค่ายกลที่ปกป้องเจดีย์สังเวยเอาไว้ มีเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาสองคนคอยควบคุม พวกเขาต่างก็ร้อนใจขึ้นมา ค่ายกลป้องกันนี้เป็นการป้องกันท้ายที่สุดแล้ว
“ฟึ่บๆๆ…” ประกายของเหลวสีทองที่โหมซัดนั้นประหนึ่งคลื่นน้ำที่ซัดสาดเข้ามา แต่ความเร็วของมันก็รวดเร็วอย่างยิ่ง อานุภาพก็แข็งแกร่งนัก ค่ายกลป้องกันนั้นเปล่งประกายอันโดดเด่นสะดุดตาออกมา รอยอักขระอันบิดเบี้ยวเหนือค่ายกลสีม่วงสายแล้วสายเล่ากำลังสั่นสะเทือน รอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เพียงแค่ครึ่งชั่วลมหายใจ ค่ายกลป้องกันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปจนสิ้น ประกายสีทองก็ปกคลุมเจ้าลัทธิทั้งสามของลัทธิจอมมารดาจนมิด…สองคนที่ควบคุมค่ายกลและอีกคนที่กระตุ้นเจดีย์สังเวย และยังปกคลุมเจดีย์สังเวยแห่งแรกจนมิดด้วย
เจ้าลัทธิทั้งสามกลายเป็นเถ้าธุลีในทันใด
เรือรบซวีมู่และเรือบินอลวนก็ไม่กล้าเข้าใกล้อีก
รัศมีสีทองอันเจิดจ้าที่โหมซัดเข้ามาโอบล้อมเจดีย์สังเวยเอาไว้ แต่กลับมิได้แผ่รังสีต่อไป ดูมีการยับยั้งนัก
“เพลิงทองสุริยันรึ”
“นี่คือเพลิงทองสุริยันหรือ”
พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชูต่างก็ตกตะลึงเหลือแสน พวกเขาคุ้นเคยดียิ่งนัก ดวงอาทิตย์แบ่งเป็นหกชั้น ในจำนวนนั้น ‘บึงสุริยะ’ ซึ่งเป็นชั้นที่ห้าก็คือเปลวเพลิงของของเหลวจำพวกนี้…เพลิงทองสุริยันนั่นเอง และว่ากันว่า ณ ส่วนลึกของบึงสุริยะมี ‘แก่นดวงอาทิตย์’ อยู่ ซึ่งนั่นก็คือใจกลางที่แท้จริงของดวงอาทิตย์
อานุภาพของเพลิงทองสุริยันในของเหลวภายในบึงสุริยะเหล่านี้ยิ่งใหญ่นัก บรรดาผู้ปกครองล้วนมิกล้าเข้าใกล้ เพราะเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ก็ล้วนสัมผัสได้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามา! ผู้อาวุโสในยุคต่างๆ เช่นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบและจอมมารล้วนแต่ทิ้งบันทึกเอาไว้ หากผู้ปกครองอาจหาญปะทะกับเพลิงทองสุริยันแล้ว ก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา ต่อให้เป็นเทพอากาศ เมื่ออยู่ภายใต้เพลิงทองสุริยันก็ต้านทานได้ไม่นานสักเท่าใดนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงถือน้ำเต้าสีดำเอาไว้ในมือ เปลวเพลิงสีทองที่ปากน้ำเต้ามีความหนาแน่นมากที่สุด มันกดดันเสียจนบิดเบี้ยวไปหมด หลังจากพุ่งออกไปแล้ว ก็โหมซัดไปปกคลุมเจดีย์สังเวยที่อยู่ไกลออกไปตามอำเภอใจ
“แยก”
เพียงตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
เพลิงทองอันสะดุดตานี้ก็แยกออกเป็นทางเชื่อมสายหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าไปในอากาศ ทุกบริเวณที่ผ่านไปเปลวเพลิงสีทองก็ล้วนแยกตัวออก แล้วรายล้อมรอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงแต่โดยดี
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปตามทางเชื่อมที่เกิดจากเพลิงทองที่แยกตัวออก จนไปถึงทิศที่เจดีย์สังเวยแห่งแรกตั้งอยู่ เขายื่นมือขวาออกไป ฝ่ามือขยายออกแล้วคว้าเจดีย์สังเวยเอาไว้ ก่อนจะกระชากอย่างรุนแรงโดยพลัน! ในฐานะที่เป็นพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นของผู้ท่องอากาศจึงกระชากเจดีย์สังเวยและเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาอื่นๆ จำนวนมากในจักรวาลมาอย่างต่อเนื่องกัน และเก็บเข้าไปภายในที่เก็บวัตถุล้ำค่าของตน
ลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวซึ่งอยู่ในเรือบินอลวนทำได้เพียงมองดูเท่านั้น มิอาจสกัดกั้นตงป๋อเสวี่ยอิงได้
“หมดกัน”
บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาซึ่งอยู่ภายในเรือรบซวีมู่ต่างก็มึนงงไปหมด
“หมดกัน”
“เจดีย์สังเวยแห่งแรกถูกชิงไปแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ พวกเราจะหลอมเจดีย์สังเวยแห่งแรกขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า”
“ทั้งยังมีเจดีย์สังเวยถึงหกแห่ง พวกเราจะทำให้การป้องกันของเจดีย์สังเวยทั้งหกต้านทานเปลวเพลิงสีทองอันน่าหวาดหวั่นนี้ได้อย่างไรกัน” เจ้าลัทธิเหล่านี้มึนงงไปหมด พลานุภาพของน้ำเต้าสีดำทำให้พวกเขาสิ้นหวังเสียแล้ว
……
ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญกลับสะท้านสะเทือนหาใดเปรียบ ผู้ปกครองสามารถควบคุมพละกำลังของเพลิงทองสุริยันได้ ทั้งยังควบคุมเป็นวงกว้างเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ แล้วผู้ใดจะสามารถต้านทานได้เล่า
เรื่องนี้ทำให้ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชูและคนอื่นๆ รู้สึกยินดีระคนอิจฉา ถึงตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่า ‘น้ำเต้าสีดำ’ นั้นห่างไกลจากคำว่าเรียบง่ายที่พวกเขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ลิบลับ หากแต่เป็นสมบัติล้ำค่าอันน่าเหลือเชื่อโดยแท้ อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าสมบัติล้ำค่าที่ผู้ปกครองอย่างพวกเขามีมากนัก
“มิน่าเล่าจึงรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ โชคดีเกินไปแล้ว” ประมุขเกาะกาลมิติพึมพำ แม้จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ก็ยังยากที่จะข้มความริษยาเอาไว้ได้
เจ้าหนุ่มที่คิดจะเข้าร่วมตำหนักเทพกาลมิติก็ยังไม่สำเร็จในตอนแรก ตอนนี้กลับทำให้ประมุขเกาะกาลมิติอย่างเขาต้องริษยา ทว่าหากมิใช่ตงป๋อเสวี่ยอิงโผทะยานไปบนเส้นทางการบำเพ็ญจนโดดเด่นสะดุดตาพอ ก็คงจะไม่ผ่านการทดสอบของผู้ท่องอากาศ! อย่างประมุขเกาะกาลมิติ สำหรับทางผู้ท่องอากาศนั้น ข้อแรกก็คือติดที่การรับรู้ด้อยเกินไป ข้อสองก็คือคงไม่ผ่านทางด้านจิตใจ
ยามนี้อารมณ์ของ ‘กู่กานหลัว’ รูปสลักขนาดมหึมาซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ผู้ปกครองที่มิได้ออกไปจากจักรวาลเลยคนหนึ่งกลับมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้หรือ”
“ขณะที่เขาเป็นผู้เคารพ น้ำเต้าสีดำนี้สามารถปลดปล่อยระลอกคลื่นออกมาโจมตีและสามารถต้านทานผู้ปกครองได้ บัดนี้สามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นนี้ออกมาได้ ก็เพียงพอจะสกัดกั้นเทพอากาศทั่วไปได้แล้ว”
“ระดับขั้นที่แตกต่างกัน…มีอานุภาพที่ไม่เหมือนกัน! ทั้งยังคล้ายจะไม่มีการแว้งกัดด้วยหรือ”
“สมบัติล้ำค่าพรรค์นี้ จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าพิทักษ์วิถีซึ่งสิ่งมีชีวิตผู้แข็งแกร่งสักท่านตั้งใจทิ้งเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังอย่างแน่นอน” กู่กานหลัวมีโลกทัศน์กว้างไกลมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงบุตรทิพย์คนที่เจ็ด ภายใต้องค์บรรพชนกู่มีบุตรทิพย์เพียงสามคนเท่านั้นที่ได้สมบัติล้ำค่าพิทักษ์วิถีไป เขายังไม่มีคุณสมบัติพอจะได้มาเลย!
“ต้องได้มาให้ได้!”
“สมบัติพิทักษ์วิถีชิ้นนี้ล้ำค่ากว่าสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดามากนัก เกรงว่ายังเหนือกว่าเรือบินอลวนลำนี้เสียอีก”
“แม้สมบัติพิทักษ์วิถีพรรค์นี้จะมีการกำหนดผู้สืบทอดเอาไว้ คนอื่นมิอาจใช้งานได้ แต่ว่า…แค่นำกลับไปขอร้องท่านอาจารย์ หากแค่ช่วยหลอมแปรอย่างง่ายๆ ท่านอาจารย์ก็น่าจะยินดี” กู่กานหลัวใจสั่นไปหมด หากให้ท่านอาจารย์ของตนหลอมสมบัติพิทักษ์วิถีขึ้นมาเองสักชิ้นหนึ่งตั้งแต่ต้นจน เขาย่อมไม่ยอมแน่ แต่สมบัติพิทักษ์วิถีที่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่ง เพียงแค่หลอมแปรอย่างง่ายๆ ให้ศิษย์ของตนสามารถใช้งานได้ก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก
“ชิงมา!”
“ต้องชิงมาให้ได้!”
ยามนี้กู่กานหลัวเข้าใจดีมากว่าเจดีย์สังเวยแห่งแรกของลัทธิจอมมารดานั้นไม่มีแล้ว อีกทั้งเจดีย์สังเวยหกแห่งก็ไม่สามารถต้านทานน้ำเต้าสีดำนั้นเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงทิ้งเรื่องของลัทธิจอมมารดาออกไปจากสมองจนสิ้น
เขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ก็คือคิดหาวิธีแย่งชิงน้ำเต้าสีดำมาให้ได้! เมื่อหลอมได้สำเร็จ ตอนนั้นก็สามารถแบ่งกำลังเล็กน้อยไปช่วยเหลือลัทธิจอมมารดาได้
“ต้องชิงเอามาไว้ในมือให้ได้! เมื่อได้มันมา ข้าก็จะสามารถกลับไปได้แล้ว” กู่กานหลัวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในจักรวาลแห่งหนึ่ง ตนจะบังเอิญพบสมบัติพิทักษ์วิถีชุดหนึ่งเข้าได้ หากปล่อยเปลวเพลิงสีทองออกมาเพียงอย่างเดียว เขาก็ยังไม่ตระหนัก ถึงอย่างไรพละกำลังของเปลวเพลิงสีทองก็ร้ายกาจเกินไปแล้ว แต่ก็ยังมิอาจล้ำค่าเหมือนเรือบินอลวนได้ แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในขั้นผู้เคารพก็เคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง ระดับขั้นแตกต่างกัน อานุภาพก็ต่างกัน แม้แต่ลูกไม้การโจมตีก็ยังไม่เหมือนกัน เกรงว่าสมบัติล้ำค่าพรรค์นี้ เมื่อสำเร็จเป็นเทพอากาศก็ยังสามารถสำแดงอานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ต่อไปอีก ถึงตอนนั้นอานุภาพก็จะวิวัฒน์ไปอีก!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงหักหาญเอาเจดีย์สังเวยแห่งแรกมา เงารางสีเทาของเจดีย์สังเวยภายในจักรวาล และเงารางสีเทาอื่นๆ ล้วนสลายไปจนสิ้นแล้ว พลังฟ้าดินของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ความสงบสันติอีกครา
“ฉับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดขาดการปลดปล่อยเพลิงทองสุริยันทันทีในชั่วความคิดเดียว ขณะเดียวกันก็อุดจุกกลับลงไปทันที ถึงอย่างไรอานุภาพของเพลิงทองสุริยันก็แข็งแกร่งยิ่งนัก สร้างความเสียหายให้จักรวาลได้
“นายท่าน ระวัง ระวังกู่กานหลัวด้วย!” วิญญาณอาวุธถ่ายเสียงทันที
วิ้ง…
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันลอบโจมตีจากเรือบินอลวนที่ร่อนลงมาด้วยความรวดเร็วและอันตรายยิ่งนัก เป็นกู่กานหลัวที่เต็มไปด้วยแววอาฆาตนั่นเอง นัยน์ตาของกู่กานหลัวฉายแววบ้าคลั่ง สมบัติพิทักษ์วิถี ต้องชิงมาให้จงได้!
…………………………..
เพียงชั่วครู่
ตงป๋อเสวี่ยอิงและท่านชายสามมาถึงบรรพคีรีมาร ภายใต้การนำทางของจักรพรรดิเจียวอวิ๋น
“ถึงแล้ว” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวมองไปด้านหน้าอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองไปอย่างระแวดระวัง ท่ามกลางฟากฟ้าอันไร้ขอบเขตเบื้องหน้า มีภูเขาใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีดำแห่งหนึ่ง ภูเขาใหญ่ตระหง่านราวกับเป็นศูนย์กลางของฟ้าดินแห่งนี้ ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือศูนย์กลางของจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ต่างหาก
บริเวณโดยรอบบรรพคีรีมารแห่งนี้ยังมีหินอุกกาบาตรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก หินอุกกาบาตทุกก้อนล้วนเปล่งแสงออกมาจางๆ เห็นได้ชัดว่าค่ายกลอันไร้รูปร่างเชื่อมโยงหินอุกกาบาตโดยรอบเอาไว้ทั้งหมด
“ไป” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยวาจาอย่างเย็นชาแล้วนำทางคนทั้งสองเหินทะยานไปด้วยความเร็วสูง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งเคลื่อนผ่านท้องฟ้าแล้วร่อนลงบนหินอุกกาบาตก้อนหนึ่งในนั้น บนหินอุกกาบาตก้อนนั้นยังมีเพิงหินที่พักอยู่จำนวนหนึ่ง ขณะนี้บนพื้นผิวหินอุกกาบาตมีผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลรอคอยอยู่อย่างเคารพนบนอบ ยามที่จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพาคนทั้งสองมาถึง เขาก็เอ่ยอย่างเคารพขึ้นมาในทันที “จ้าวท่าน”
“อืม” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพยักหน้า ทันใดนั้นก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลัง “ตงป๋อเสวี่ยอิง นี่คือเอ้อเฉิน เรื่องที่เจ้าเตรียมจะต่อสู้กับผู้เคารพภายในบรรพคีรีมารก็ให้เขาช่วยจัดการ”
“ขอบคุณจ้าวท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหันศีรษะมองไปทางผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลผู้นั้นแล้วเอ่ยทักทายเล็กน้อย “รบกวนผู้ปกครองเอ้อเฉินแล้ว”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลเผยรอยยิ้มออกมา ทว่าใบหน้าของเขาดุร้ายน่าเกลียดน่ากลัว ถึงแม้แย้มยิ้มก็ยังชวนให้ผู้คนตกใจอยู่บ้าง ฉีกยิ้มกว้างเสียจนเผยให้เห็นฟันอันแหลมคมทั่วทั้งปาก “ได้ยินมาว่าผู้เคารพตงป๋อสามารถเอาชนะผู้ปกครองได้ ข้าก็นับถิอยิ่งนัก เจ้าต่อสู้กับผู้เคารพของบรรพคีรีมาร ข้าก็แค่คอยช่วยเหลือชี้แนะในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเท่านั้น จะสามารถคว้าชัยชนะมาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพลังของผู้เคารพตงป๋อเองแล้ว”
“ท่านพ่อ ระยะเวลาที่น้องตงป๋อเข้ามาในจักรวาลคีรีมารของพวกเรายังสั้นนัก ทั้งยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับยอดฝีมือของแต่ละระบบการบำเพ็ญอย่างเพียงพอ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูดขึ้น ด้วยเขาต้องการให้ท่านพ่อช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิง
จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมองบุตรชายของตนปราดหนึ่ง
เขาเย่อหยิ่งเย็นชา
แต่บุตรชายทั้งสามคนของเขา นับได้ว่ายากที่เขาจะเห็นความสำคัญ สำหรับการให้เหล่าบุตรชายหญิงต่อสู้กันนั้นก็เป็นเพราะเขาคิดว่าผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน มิได้หมายความว่าในส่วนลึกของจิตใจไม่แยแสสนใจบุตรชาย
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเย็นชา “พูดมาเถิด มีอะไรอยากให้ข้าช่วยหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง
“มีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ารีบคว้าโอกาสเอาไว้ดีกว่า” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชา เขาย่อมไม่เห็นผู้เคารพที่น่าเหลือเชื่อคนหนึ่งอยู่ในสายตาอยู่แล้ว สุดท้ายต่อให้เป็นผู้ปกครองแล้วอย่างไรเล่า จากเทพแท้ไปเป็นเทพอากาศ…มีกำแพงกั้นสูงยิ่งนัก การบรรลุในก้าวนี้ยากเย็นเป็นที่สุด ไม่ต้องพูดถึงว่าจักรพรรดิเจียวอวิ๋นก็รู้กระจ่างดีว่าเมื่อใดที่จักรวาลแห่งนี้ถึงกาลอวสาน พวกเขาก็จะออกเดินทางไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ไปติดตามท่านบรรพชน
เหล่าเทพแท้จำนวนหนึ่งเฉกเช่นท่านชายสามยังคิดจะผูกมิตรกับตงป๋อเสวี่ยอิง
ทว่าสายตาของพวกจักรพรรดิเจียวอวิ๋นกว้างไกลยิ่งกว่า…ยังไม่เข้าสู่ชั้นเทพอากาศ เขาก็คร้านจะไปสนใจ แต่เพื่อบุตรชายแล้วเขาก็ปรารถนาจะให้โอกาสตงป๋อเสวี่ยอิงสักครั้งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาของอีกฝ่าย แต่เขาก็มิได้เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยแล้วเอ่ยขึ้นทันควันว่า “ข้าน้อยมีสิ่งที่อยากจะขอ เพียงแต่ว่าหาไม่พบมาโดยตลอด”
เพื่อจักรวาลบ้านเกิด
เพื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้าย นั่นเป็นการตัดสินชะตาของชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้อีกฝ่ายเย็นชายิ่งกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า
“ว่ามา” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพูด
“ข้าน้อยต้องการสิ่งของสองชิ้นมาโดยตลอด หนึ่งคือโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรที่เล่าลือกัน ส่วนอีกอย่างก็คือบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง สำหรับบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นมิได้ขอทั้งเล่ม เพียงแค่ตอนที่สามก็เพียงพอแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพร้อมกับมองจักรพรรดิเจียวอวิ๋นไปพร้อมกัน
จักรพรรดิเจียวอวิ๋นขมวดคิ้วมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่งพลางเอ่ยเสียงเย็น“เจ้าเป็นผู้เคารพคนหนึ่ง ยังนึกอยากได้โลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรอีกหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าแมลงเพลิงพันเนตรคือสิ่งใด”
“ไม่ทราบขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ
“ไม่รู้แล้วยังกล้าเปิดปากพูดอีก” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นยิ้มเยาะ เขาผู้เป็นถึงระดับนี้ยังให้ความสำคัญต่อสิ่งล้ำค่าอย่างโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตร เขาเองก็เพียงแค่เคยเห็นบันทึกในตำราโบราณที่ท่านบรรพชนมอบให้เท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โมโห เขารับฟังอย่างเชื่อฟัง ทว่ากลับแอบทอดถอนใจอยู่ภายใน… ดูท่าจะหมดหวังกับโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรเสียแล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะต้องการไปเพื่ออะไร
“โลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก ส่วนบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นข้าสามารถยกให้เจ้าทั้งเล่มได้” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่แยแส “อีกไม่นานจะมีคนส่งบัญชีหมื่นสรรพสิ่งมา เจ้าก็อยู่รอที่นี่แหละ หลิวเอ๋อร์ ไปกับข้า”
“ขอรับ ท่านพ่อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวไม่กล้าคัดค้าน ทำได้เพียงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปว่า “ต่อไปก็ต้องอาศัยตัวเจ้าเองแล้วล่ะนะ”
“ต้องขอบคุณท่านชายเป็นอย่างยิ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตอบรับ
ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตร้องขอตนในสองเรื่องนี้ ดูจากน้ำเสียงของท่านอาจารย์ในตอนนั้นแล้วจะต้องสำคัญอย่างที่สุด ตนสามารถทำสำเร็จได้เรื่องหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว! ถึงอย่างไรตอนที่ตนถามท่านชายสามก่อนหน้านี้ท่านชายสามยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ส่วนเทพอากาศ ‘จักรพรรดิเจียวอวิ๋น’ ผู้นี้ถึงแม้จะรู้จักวัตถุทั้งสอง ทว่าเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีหวังกับโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรเลย แต่กลับรับปากจะยกบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้ทั้งเล่ม
“ขอบคุณจ้าวท่านขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขอบคุณอย่างเคารพนบนอบ
จากนั้นจักรพรรดิเจียวอวิ๋นก็พาท่านชายสาม แปรเป็นลำแสงแล้วหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
ทว่า ‘ผู้ปกครองเอ้อเฉิน’ ที่อยู่ด้านนั้นกลับยิ้มพูดขึ้นว่า “ผู้เคารพตงป๋อ อยากจะท้าทายผู้เคารพภายในบรรพคีรีมาร ข้าจะบอกกฎง่ายๆ ให้เจ้าได้รู้ก่อน”
“ผู้ปกครองเอ้อเฉินเชิญพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“มิใช่ว่าผู้ใดมาท้าทายแล้วผู้เคารพสามท่านสามท่านภายในนั้นก็จะตอบรับคำท้าทั้งหมดหรอกนะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็เกรงว่าผู้เคารพสามท่านภายในนั้นก็คงต้องคอยตอบรับคำท้าทายทั้งหมดจนไม่มีเวลาบำเพ็ญแล้ว” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “อยากจะท้าทาย…ก็ต้องเอาชนะหุ่นเชิดตัวหนึ่งตรงทางเข้าบรรพคีรีมารให้ได้ก่อน หากเอาชนะหุ่นเชิดได้ก็หมายความว่ามีคุณสมบัติพอที่จะไปท้าทายพวกเขาได้”
“จนถึงตอนนี้ผู้เคารพที่สามารถเอาชนะหุ่นเชิดได้มีทั้งสิ้นสิบเอ็ดคน” ผู้ปกครองเอ้อเฉินมองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ก็ยังยากเย็นยิ่งนัก”
“หลังจากเอาชนะหุ่นเชิดแล้ว ผู้เคารพตงป๋อก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปท้าทายผู้เคารพอันดับสองและผู้เคารพอันดับสามภายในบรรพคีรีมาร” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “หากชนะ ก็จะไปแทนที่หนึ่งในพวกเขา ลำดับของพวกเขาก็จะขยับถอยไปอยู่หลังอีกคนหนึ่งลำดับ… ผู้ที่อยู่ในลำดับที่สี่ก็จะถูกขับออกจากบรรพคีรีมาร”
“หลังจากชนะแล้วก็สามารถท้าทายต่อไปได้ คราวนี้ก็จะสามารถท้าทายผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้แล้ว” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “เมื่อชนะแล้ว เจ้าก็คือผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถเข้าสู่ชั้นในของบรรพคีรีมารได้!”
“ระหว่างการท้าทาย หากพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว นึกอยากจะท้าทายอีกก็ต้องรอไปหนึ่งล้านปี!”
ผู้ปกครองเอ้อเฉินยิ้มพูดว่า “เจ้าคงเข้าใจกฎกติกาแล้วกระมัง”
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
หากพ่ายแพ้การต่อสู้แล้วก็จะต้องรอไปหนึ่งล้านปีจึงจะสามารถท้าทายใหม่ได้อีก นี่ก็เป็นการป้องกันไม่ให้เหล่าผู้เคารพมาคอยท้าทายไม่หยุดหย่อน เวลาหนึ่งล้านปีจะว่ายาวก็ไม่ยาว แต่หากจะว่าสั้นก็ไม่สั้นแน่นอน มิได้มีผลกระทบต่อการบำเพ็ญมากมายนัก
“อีกประเดี๋ยวคงจะมีบัญชีหมื่นสรรพสิ่งส่งมา เช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าอยู่พักผ่อนที่นี่สักวันหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปในบรรพคีรีมาร ดีหรือไม่ล่ะ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินถาม
“ก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ผ่านไปสามล้านปีแล้ว กับเวลาเพียงแค่วันเดียวเขาคงไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด
ผู้ปกครองเอ้อเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วเปลี่ยนเป็นลำแสงเหินทะยานไปทางบรรพคีรีมารที่อยู่ไกลออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติจะเข้าไปในบรรพคีรีมารได้!
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หมุนกายเลือกเพิงหินแห่งหนึ่งเอาตามใจชอบ
ภายในเพิงหินมีค่ายกลไหลเวียนอยู่ ทั้งยังสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่รู้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าในอดีตคนใดทิ้งเอาไว้
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงรอคอยอย่างเงียบเชียบ
เวลาล่วงเลยผ่านไป…
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ด้านนอกก็มีเสียงเสนาะหูดังขึ้น “ผู้เคารพตงป๋อ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกไป
หญิงสาวมีหางหน้าตาดีในอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่งแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ผู้เคารพตงป๋อ ข้ามาส่งมอบบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้ตามบัญชาของจ้าวท่าน” นางพูดพลางหยิบจานรูปร่างกลมสีทองใบหนึ่งออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาด้วยความยินดียิ่ง เขาเปิดปากเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้ปกครอง”
ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเจียวอวิ๋นผู้นั้นล้วนเป็นชั้นผู้ปกครองทั้งสิ้น
“เรื่องเล็กน่า” หญิงสาวผู้นั้นแย้มยิ้มแล้วหมุนกายกลายเป็นลำแสงเหินออกไปจากรัศมีของหินอุกกาบาตนี้ หายลับไปพร้อมกับเวลาที่เคลื่อนผ่าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มหน้าลงมองบัญชีหมื่นสรรพสิ่งในมือ เมื่อรับสัมผัสแล้วเขาก็รับสัมผัสได้ถึงข้อมูลอันมากมายที่บรรจุอยู่ภายใน ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่สมอง เวลาผ่านไปราวๆช่วงเวลาจิบน้ำชาถ้วยหนึ่งจึงค่อยหยุดลง เห็นได้ชัดว่าภายในบัญชีหมื่นสรรพสิ่งยังมีข้อมูลอีกจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ตนเองกลับไม่สามารถรับได้ไหวอีกแล้ว ด้วยมีค่ายกลอันลึกลับขัดขวางอยู่ ถ้าหากไม่ทำลายเสียก่อนก็มิอาจตรวจดูต่อไปได้อีก
“นี่มิใช่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ แต่เป็นระบบ ‘ทิพย์’ ที่ค้นคว้าสรรพสิ่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ
ในตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจระบบมากขึ้นแล้ว
หากพูดถึงระดับความลึกลับ เขารู้สึกว่า ‘ทิพย์’ นี้เป็นระบบเดียวที่สามารถเปรียบเทียบกับ ‘ความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ ได้
“ท่านอาจารย์ต้องการสิ่งนี้ไปทำไมกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดแล้วคิดอีก จนไม่อยากคิดมากอีกต่อไปแล้ว
พรึ่บ
ไกลออกไป เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดง แต่เป็นร่างแยกร่างใหม่ที่มาจากการบำเพ็ญ โดยอาศัยเคล็ดวิชาแยกร่างของท่านอาจารย์ ในตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีถึงสามร่างแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำยื่นจานกลมสีทองในมือให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดง
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สำแดงเคล็ดการหลบหลีกในอากาศ ผ่านเส้นทางจักรวาลที่มาในตอนแรกเส้นนั้นด้วยความเร็วสูงสุด เตรียมตัวกลับไปที่จักรวาลบ้านเกิดเพื่อนำสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปมอบให้ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก่อน! ในเมื่อมีความสำคัญต่อการต่อสู้มาก ยิ่งส่งมอบให้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น