ตอนที่ 1 อากิระกับอัลฟ่า
เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ด้วยความเคร่งเครียด
รอบๆตัวเขา เต็มไปด้วยอาคารที่กลายเป็นซากปรักหักพัง
เศษของอาคารกระจัดกระจายไปทั่ว
บริเวณโดยรอบไม่มีสิ่งมีชีวิต มีแต่เสียงฝีเท้าของเด็กชายและเสียงของก้อนหินที่เด็กชายเตะโดนก้องกังวานไปทั่วซากปรักหักพังก่อนที่จะเงียบหายไป
เสื้อผ้าที่เปรอะไปด้วยสิ่งสกปรกและปืนพกหนึ่งกระบอกที่เด็กชายถือ คืออุปกรณ์ทั้งหมดของเด็กชายที่กำลังสำรวจสถานที่แห่งนี้
อย่างไรก็ตาม, ในสถานที่เช่นนี้ การที่เขามีอุปกรณ์ติดตัวเพียงเท่านี้ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง
ที่ที่เขากำลังสำรวจอยู่นี้ เป็นที่รู้จักในนาม [ซากปรักหักพังของโลกเก่า].
ในซากปรักหักพังแห่งนี้ มีอาวุธที่โจมตีเป้าหมายโดยไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากการทำงานที่ผิดพลาด
พวกมันเป็นเครื่องจักรที่ครั้งหนึ่งผู้สร้างเคยออกแบบมาให้เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เอาไว้กำจัดผู้บุกรุก
มันยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่ แม้ว่าผู้สร้างจะเสียชีวิตลงไปนานหลายปีแล้ว
นอกจากอาวุธจำพวกเครื่องจักรแล้ว ยังมีพวกอาวุธชีวภาพ ทั้งพืชและสัตว์
พวกมันวิวัฒนาการเพื่อเอาตัวรอดในสภาวะที่โหดร้าย พวกเป็นส่วนผสมระหว่างเครื่องจักรและชีวภาพ
ผู้คนทางตะวันออกเรียกมันว่า สัตว์ประหลาด ซึ่ง’ซากปรักหักพังของโลกเก่า’ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดเหล่านี้
แม้แต่ตัวเด็กชายเองก็รู้ ว่าที่นี้เป็นสถานที่อันตรายที่ทำให้ถึงตายได้ การแสดงออกอันเคร่งเครียดของเขาแสดงผ่านทางสีหน้า
ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้เขาต้องเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วยความตั้งใจของตนเอง
เพราะมีบางอย่างที่คุ้มที่จะเสี่ยงกับอันตรายเหล่านั้น มันคือสมบัติ หรือของมีค่า ที่มีค่ามากกว่าชีวิตของเขา เด็กชายผู้เกิดและเติบโตมาในชุมชนแออัดที่ชื่ออากิระ
อากิระถอนหายใจพลางบ่นกับตัวเอง
“แถวนี้แทบจะไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เลย ฉันเสี่ยงชีวิตมาเพื่อของพวกนี้รึไงกัน? หรือว่า…ฉันจะเสี่ยงเข้าไปให้ลึกกว่านี้ดี?”
เขาเงยหน้ามองไปส่วนลึกของซากปรักหักพัง ไกลออกไปนั้นมีอาคารสูงนับไม่ถ้วน
ที่ระยะไกลๆนั้นมีอาคารที่ยังอยู่ในสภาพดี ยิ่งตัวอาคารมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับอาคารที่อยู่รอบๆตัวของอากิระ
(…ถ้าฉันไปถึงตรงนั้นได้ ฉันจะสามารถฉกฉวยโบราณวัตถุราคาแพงๆมาได้ไหมนะ?)
ความเป็นไปได้ที่จะได้รับโชคลาภมหาศาลนั้นดึงดูดใจของอากิระ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่ภาพจินตนาการ
เขาส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปและเตือนตัวเอง
“ไม่…มันเป็นไปไม่ได้ ฉันจะตายก่อนไปถึงที่นั่น”
บริเวณที่เขาอยู่นี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่จุดที่ไกลออกไปนั้นมีสภาพที่สวยงาม ความแตกต่างนี้เกิดจากการปกป้องสภาพแวดล้อม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในซากปรักหักพังที่อยู่ไกลสุดสายตานั้น ยังมีเครื่องจักรระดับสูงจำนวนมากจากโลกเก่าที่ยังคงทำงานอยู่
มันมีความเป็นไปได้ที่ระบบรักษาความปลอดภัยระดับสุดยอด ซึ่งผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีอันน่าทึ่งในสมัยนั้นยังคงใช้งานได้
ไม่มีทางที่เด็กอย่างอากิระจะรอดจากพื้นที่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบนั้นได้
“แม้แต่จุดที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็ยังยากเกินตัวแล้ว ฉันควรหยุดคิดที่จะไปที่แบบนั้น…”
อากิระเมินเฉยความโลภภายในใจของเขาและค้นหารอบๆพื้นที่ที่เขาอยู่ต่อไป
บริเวณที่เขาอยู่นั้นเป็นบริเวณรอบนอกของซากปรักหักพัง ‘ถนนคุซึซึฮาระ’ ซึ่งอยู่ติดกับ’เมืองคุกามายามะ’ เมืองที่อากิระอาศัยอยู่
มันเป็นซากปรักหักพังที่ใหญ่ที่สุดใกล้เขตเศรษฐกิจของเมืองอีกด้วย
สัตว์ประหลาดที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ถือว่าอากิระกำลังสำรวจส่วนที่ค่อนข้างปลอดภัย
แต่…คำว่าอ่อนแอนั้น คือการเปรียบเทียบกับการที่มนุษย์ที่อาวุธครบมือสามารถรับมือได้ในระดับหนึ่ง
ในทำนองเดียวกันกับคำว่าค่อนข้างปลอดภัย มันแค่หมายความว่าคุณมีโอกาสรอดมากกว่าหากเทียบกับส่วนลึกของซากปรักหักพัง
จากที่กล่าวมา มันไม่ได้หมายความว่าอากิระจะลดความระมัดระวังลงได้
ตัวเขานั้นเนื่องจากขาดอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เขาสามารถตายได้หากเจอกับคมเขี้ยวของสัตว์กลายพันธุ์หรือกระสุนเพียงนัดเดียวจากเครื่องจักรในซากปรักหักพัง
ยิ่งไปกว่านั้น ปืนที่เขาถืออยู่ก็ขาดพลังโจมตีเมื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาด อากิระจะต้องยิงมันในระยะประชิดถึงจะมีพลังทำลายมากพอที่จะทำร้ายพวกสัตว์ประหลาดได้
พูดได้ว่า หากเขาต้องต่อสู้ขึ้นมา มันต้องจบลงด้วยความตายของเขาอย่างแน่นอน
แต่หากไม่มีเงิน ก็ไม่มีวันพรุ่งนี้ เพราะเขาเข้าใจเรื่องนั้น อากิระจึงยอมเสี่ยงชีวิตมาที่ถนนคุซึซึฮาระ
แม้ว่าเขาจะยังค้นหาต่อไป แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ได้เจออะไรอีก เขาก้มหน้าถอนหายใจ สิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาคือกระดูกมนุษย์ที่กระจายอยู่ตามพื้น
เขาเห็นกระดูกเหล่านี้อยู่ประปราย และทุกครั้งที่เขาเห็นเขาจะค้นหารอบๆศพด้วยความหวังว่าจะพบของมีค่าบางอย่าง แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย
(นี่ฉันคาดหวังอะไรอยู่? หลายคนก่อนหน้านี้ก็ไม่เหลืออะไรติดตัวเลยเหมือนกัน)
อากิระคิดพลางทอดถอนใจ แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่เข้ามาสำรวจที่นี่ก่อนเขา และส่วนใหญ่ก็มีอุปกรณ์พอๆกับเขา นี่คือจุดจบของคนเหล่านั้น
(…อีกไม่นาน พระอาทิตย์จะตกดิน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสำรวจซากปรักหักพังในตอนกลางคืน ฉันไม่ได้พกแสงไฟมาด้วย อีกอย่าง โอกาสที่จะถูกโจมตีโดนพวกสัตว์ประหลาดก็สูงฉันเอาตัวรอดจากซากปรักหักพังอันแสนอันตรายได้ ประสบการณ์ที่ได้วันนี้ก็คงพอแล้ว…ล่ะมั้ง? ถ้าฉันฝืนตัวเอง ฉันต้องกลายเป็นหนึ่งในกองกระดูกเหล่านั้นแน่)
อากิระคิดข้ออ้างเพื่อที่จะกลับออกไป เขาเสี่ยงชีวิตมาไกลขนาดนี้แต่ต้องกลับไปอย่างคนพ่ายแพ้
(…ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนั้น อีกนิดหนึ่ง ขออีกนิด ถ้ายังหาไม่เจอ ฉันคงต้องกลับแล้วจริงๆ)
อากิระผู้เสี่ยงชีวิตเข้ามาในซากปรักหักพังแต่กลับไม่ได้สิ่งมีประโยชน์เลยซักชิ้นเดียว หลังจากคิดทบทวนในใจ อากิระที่ตัดสินใจสำรวจต่ออีกเล็กน้อยพลันเงยหน้าขึ้น
…
ทันใดนั้นตัวของเขาก็ค้างแข็งขึ้นมาทันใด
สิ่งที่อยู่ในสายตาของเขาคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ และเธอเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์!
ผู้หญิงคนนั้นเป็นความงามที่เหนือจินตนาการ ราวกับว่าความสวยงามนี้ไม่มีอยู่จริงบนโลก ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างอันสง่างาม ส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างกายของเธอนั้นถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด
ผิวที่สวยงามเปล่งประกายของเธอที่ไม่ถูกปิดบังนั้น สวยงามยิ่งกว่าผู้คนที่เด็กในสลัมอย่างอากิระเคยพบเห็นมาก่อนทั้งชีวิต
แขนขาของเธอเรียวยาวราวกับงานศิลป์ ผมของเธอที่ยาวจนถึงเอวนั้นบริสุทธิ์ไร้มลทินและยังเป็นประกายราวกับภาพวาด
ความงามของเธอสามารถทำให้ผู้ตนตกหลุมรักได้ง่ายๆโดยไม่คำนึงถึงอายุและเพศ
อากิระทำได้เพียงยืนตกตะลึงกับความงามของผู้หญิงคนนั้นราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกดูดออกไป
เขาสามารถพูดได้เลยว่าเธอคือสิ่งที่สวยงามที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิตอันแสนสั้นของเขา
เป็นความงามที่ไม่ว่าเขาจะจินตนาการอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้
ผู้หญิงคนนั้นกำลังลอยอยู่โดยไม่ขยับเหมือนกับว่าเธอไม่เห็นอากิระ
แต่เพียงครู่เดียวหน้าอันสง่างามนั้นก็หันมาทางอากิระ
ดวงตาของทั้งสองสบกัน
หญิงสาวดูเหมือนไม่สนใจเรื่องที่อากิระกำลังจ้องมองร่างอันเปลือยเปล่าของเธอ เธอมองมาที่เขาแล้วยิ้ม
อากิระที่ยังอยู่ในความตะลึงตอบสนองต่อรอยยิ้มนั้นเล็กน้อย เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็ตระหนักได้ทันทีว่าอากิระสังเกตเห็นเธอ
เห็นแบบนั้นเธอก็หัวเราะอย่างสนุกสนานขณะที่เธอเดินเข้าไปหาอากิระ
คนแปลกหน้ากำลังเข้ามาหาเขา!
พริบตาที่เขาตระหนักได้ อาการตกตะลึงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เขาตั้งท่าป้องกันตัวพร้อมประเมินสถานการณ์ใหม่ทันที
เขาชี้ปืนไปที่หญิงสาวและจะโกนเสียงดัง
“อย่าขยับ!”
หญิงสาวคนนี้ไม่ปกติ!
ซากปรักหักพังของโลกเก่าเป็นสถานที่ที่อันตราย แม้แต่นักล่าที่มีอุปกรณ์ครบมือและได้รับการฝึกมาอย่างดีก็ยังถูกทำลายล้างได้
แต่ หญิงสาวคนนี้กลับยืนอยู่เพียงลำพัง แถมยังไม่มีอาวุธหรือุปกรณ์แม้แต่ชิ้นเดียวติดตัว
แม้ตัวเธอจะเปลือยเปล่า แต่เธอก็ไม่สนใจสถานะของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นซากปรักหักพังยังเต็มไปด้วยฝุ่นทราย แต่ผมและผิวของเธอยังคงสะอาดสะอ้านไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่น้อย
อากิระผู้ระมัดระวังตัวอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมในซากปรักหักพัง แม้ว่าเขานั้นจะเป็นมือสมัครเล่น แต่เขาก็ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนอื่นหรือสัตว์ประหลาด
มันทำให้เขามีความรู้สึกไวต่อเสียงแม้แต่เสียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของหญิงสาว ทั้งที่เธอไม่ได้หลบซ่อนตัวด้วยซ้ำ
ทั้งที่อากิระกำลังเล็งปืนไปที่เธอด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม หญิงสาวกลับดูไม่กลัวอากิระที่อาจจะเหนี่ยวไกตอนไหนก็ได้ด้วยความประหม่า
เธอยังคงเข้าไปใกล้กับอากิระมากขึ้นโดยไม่แสดงความกังวลหรือความกลัว
ความรู้สึกของอากิระต่อหญิงสาวจาก “สาวสวยที่น่าตกตะลึง”กลายเป็น”ตัวตนที่ไม่สามารถประเมินได้”
เมื่อเธอเข้ามาใกล้ขึ้น อากิระก็ร้องตะโกนใส่เธออีกครั้ง
“ฉ..ฉันบอกว่าอย่างขยับ!! ถ้าเข้าใกล้กว่านี้ล่ะก็ฉันยิงแน่! นี่ฉันจริงจังนะ!”
หากเป็นสถานการณ์ปกติ อากิระจะยิงเธอทันทีโดยไม่ให้คำเตือนใดๆ แต่เนื่องจากเธอไม่มีอาวุธและไม่มีท่าทีเป็นศัตรู ทำให้อากิระสับสนจนไม่สามารถทำใจเหนี่ยวไกปืนได้
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีขีดจำกัด หญิงสาวยังคงเดินเข้าหาอากิระแม้ว่าจะได้ยินคำเตือนของเขา
เพียงพริบตาที่เขากำลังจะเหนี่ยวไก…ทั้งที่ไม่ได้ละสายตา ไม่ได้ลดการระวังตัว แต่จู่ๆหญิงสาวก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา
อากิระใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เขาตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขามองไปรอบๆอย่างประหม่า แต่เขาก็หาเธอไม่เจอ
“อย่ากังวลไป ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก”
เสียงของหญิงสาวเอ่ยออกมาจากด้านข้างของเขา มันราวกับดังออกมาจากความว่างเปล่า
เมื่อเขาหันหน้าไปทางเสียงนั้น หญิงสาวก็อยู่ตรงนั้นแต่คราวนี้เธอสวมเสื้อผ้ามิดชิด อยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือถึงกันได้
หญิงสาวก้มตัวจนอยู่ระดับเดียวกับระดับสายตาของอากิระ เธอยิ้มและจ้องมองมาที่เขา
สมองของอากิระไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาในขณะนี้ได้
อาการประหม่ากลายเป็นความกลัวเย็นเหยียบลึกเข้าไปในใจของเขา
อากิระกัดฟันอดทนต่อความหวาดกลัว ผู้ที่สูญเสียความสงบเยือกเย็นจะตาย นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตในชุมชนแออัด
เขายกปืนขึ้นหันไปทางหญิงสาวคนนั้นทันที
หญิงสาวอยู่ใกล้พอที่ปืนของเขาจะผลักถึง อากิระจึงใช้ปืนผลักหญิงสาวให้ถอยออกไป
แต่ทว่า…เมื่อเขายืดมือออกไป อากิระก็พบว่ามือของเขา จมเข้าไปที่หน้าอกของเธอ
จมที่ว่า….คือทะลุเข้าไปในร่างของหญิงสาว มือทั้งสองเข้าไปอยู่ในตัวของหญิงสาวแต่อากิระกลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย
ทั้งที่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนอยู่ตรงหน้า
อากิระตกใจจนสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ
มือทั้งสองข้างยังจมอยู่กับร่างของหญิงสาว ซึ่งหญิงสาวเองพยายามที่จะทดสอบการตอบสนองด้วยการโบกมือและเรียกเขา แต่อากิระเองกลับนิ่งอยู่อย่างนั้น
*****
1/2
ลงที่ละครึ่งแล้วกันนะ ตัวอักษรมันเยอะเกิน
หวังว่าคงสนุกกันนะครับ