แสนปี…
สองแสนปี…
สามแสนปี…
จนกระทั่งผ่านไปล้านปี ซูหมิงเดินไปเงียบๆ ในจักรวาลกว้างใหญ่ที่กลายเป็นวัฏจักรน้ำวน เขาใช้พลังทั้งหมดให้เป็นจิตสัมผัสตามหาร่องรอยพวกเขาในทุกพื้นที่ในวัฏจักรอย่างละเอียด
ไม่นานขณะอยู่ในความโดดเดี่ยวและเงียบเหงา ซูหมิงเหมือนลืมไปแล้วว่าจะพูดอย่างไร ลืมเสียงไปแล้วว่าเปล่งไปอย่างไร ความเหนื่อยล้าอบอวลในตัวเขา ที่เหนื่อยล้าไม่ใช่ร่างกาย เพราะเขาที่บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดเกิดความอ่อนล้าทางร่างกายยากมาก ที่เหนื่อยคือ…จิตใจ
การออกตามหาไม่หยุด ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ เพราะเขารู้ว่าหากคลายมือออก…จะไม่มีความหวังอีก
มีเพียงตามหา แม้ผืนฟ้าจะสิ้นสูญ แม้จักรวาลกว้างใหญ่จะมอดดับ เขาก็ต้องตามหาต่อไป นี่คือความยึดมั่นของเขา นี่คือเส้นทางของเขา
หนึ่งล้านปีแรก ซูหมิงเดินออกตามหาในจักรวาลกว้างใหญ่แบบนี้ ล้านปีที่สอง ร่างเงาเขายังคง…เดินผ่านซางเซียงไปทีละตัว เดินผ่านวัฏจักรน้ำวนไปทีละแห่ง จนล้านปีที่ห้า ความเหนื่อยล้าในใจกลายเป็นความอึดอัด ความรู้สึกเศร้าโศกหลอมรวมกับส่วนลึกของจิตวิญญาณ ตอนนี้เองในพื้นที่แห่งหนึ่งกลางจักรวาลกว้างใหญ่ เขาที่ตามหามาห้าล้านปีพลันหยุดชะงัก
นี่เป็นการหยุดครั้งแรกในรอบห้าล้านปี ขณะเดียวกับที่หยุด เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมองจักรวาลกว้างใหญ่ข้างๆ เขาเห็นเศษชิ้นส่วนภายในหมอกหมุนตลบอย่างต่อเนื่อง เศษนั้นเสียหายมาก ลอยอยู่ในหมอกเหมือนอยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว
ซูหมิงเพ่งมองเศษนี้ นัยน์ตาพลันขยับประกายวาวก่อนใช้มือขวาคว้าหมอกนั้นเอาไว้ หมอกหมุนตลบจึงเหมือนถูกดวงจิตที่เหนือกว่าจักรวาลกว้างใหญ่ปกคลุมเลยหยุดนิ่งโดยพลัน ราวกับว่าไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เศษในนั้นยังขยับวูบไหวตรงมาหาซูหมิง ลอยอยู่กลางฝ่ามือเขา
ซูหมิงมองเศษในฝ่ามือพลางเผยรอยยิ้มทีละน้อย รอยยิ้มนั้นมีความสุขมาก นี่เป็นรอยยิ้มครั้งแรกในการตามหาห้าล้านปี
“หม่า…เฟย…” เสียงซูหมิงแหบแห้ง เขาเงียบมาตลอดห้าล้านปีราวกับลืมการออกเสียงไปแล้ว ทำให้คำพูดจึงแหบแห้งและไม่ชัดเจน เหมือนคนชราไม้ใกล้ฝั่งพูดพึมพำ
ส่วนใหญ่ของเศษนั้นเป็นหิน เป็นเศษที่รวมขึ้นจากฝุ่นละอองนับไม่ถ้วนในจักรวาลกว้างใหญ่ ดังนั้นมันถึงอยู่ในน้ำวนได้อยู่ตลอด เพราะเดิมทีมันเป็นส่วนหนึ่งของฝุ่งละออง
ทว่า…ในฝุ่นละอองจำนวนมากของเศษนี้มีเศษอยู่ส่วนหนึ่ง…ภายในมีร่องรอยที่ซูหมิงคุ้นเคย นั่นคือร่องรอยของเด็กสาวนามหม่าเฟยที่ซูหมิงพบในสำนักดาราสัจธรรมโลกแท้จริงดาราสัจธรรม
แม้นางจะไม่ใช่ใบหน้าที่ซูหมิงต้องการมากที่สุด แต่…เศษชิ้นนี้กลับมอบความมั่นใจและความยึดมั่นที่แน่วแน่กว่าเดิมที่คนอื่นยากจะจินตนาการให้กับเขา ทำให้เขาเข้าใจว่าเส้นทางตามหานี้ถูกต้อง แม้จะผ่านไปนานกว่านี้อีก แม้จะต้องหาอีกไม่รู้กี่ล้านปี เขาก็จะยึดมั่นตามหาต่อไป
ความคิดยึดมั่นนี้เพียงเพื่อพบกัน
เขากำเศษนั้นไว้ในฝ่ามือ เมื่อคลายฝ่ามือออก เศษนั้นหายไป ฝุ่นละอองที่เป็นส่วนเกินในนั้นเป็นเถ้าธุลีหายไป เหลือไว้เพียงร่องรอยของหม่าเฟย ประหนึ่งเศษวิญญาณผุพังลอยอยู่กลางฝ่ามือ ก่อนถูกเก็บไปอย่างทะนุถนอม
ผ่านไปพักใหญ่ซูหมิงถึงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายเด่นชัด ทำให้ดวงตาดูใสสะอาดมากราวกับผู้เยาว์ ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าวมุ่งหน้าต่อไปด้วยความยึดมั่น
เวลาผ่านไปอีกล้านปี เขาออกตามหาไปเรื่อยๆ ในแต่ละปี เปลี่ยนพลังเป็นจิตสัมผัสอย่างไม่เสียดายหลายต่อหลายครั้ง เดินเป็นวงกลมทีละรอบในวัฏจักรจักรวาลกว้างใหญ่…
ซูหมิงไม่รู้ว่าตนจะหาไปจนถึงเมื่อไร บางทีอาจชั่วชีวิต ใช้ชีวิตยืนยาวของเต๋าไร้ที่สิ้นสุดตามหาไปเรื่อยๆ เหมือนกับเสวียนจั้งในความทรงจำที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศไม่รู้กี่ปี
จนเวลาล่วงเลยไปห้าล้านปีที่สิบ ซูหมิงดูเกือบเฉยชาแล้ว ในตัวเขาเริ่มมีกลิ่นอายมรณะขึ้นมาเล็กน้อย กลิ่นอายมรณะนี้ไม่ใช่เพราะสิ้นอายุขัย แต่เป็นเพราะความเงียบเหงาและโดดเดี่ยวในจักรวาลกว้างใหญ่ ทำให้หัวใจเขาเกิดความเงียบสงัดภายใต้ความเหนื่อยล้าและออกตามหาไม่หยุด
แต่ถึงจะเงียบสงัดก็ยังหยุดการตามหาของเขาไม่ได้ ถึงเขาจะไม่ใช้สองข้าเดินอีก ถึงก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาจะนั่งขัดสมาธิเดินทางในจักรวาลกว้างใหญ่ แต่ก็ยัง…ฝังกลบการเฝ้ารอคอยที่จะพบกันอีกครั้งในใจไม่ได้
ตามหา ตามหา ตามหา
เมื่อห้าล้านปีที่สิบหกมาถึง ซูหมิงหาร่องรอยของเยี่ยวั่งพบ ร่องรอยของคนอย่างเช่นเยี่ยวั่งจะเปล่งแสงคมกริบ แสบตาเล็กน้อย นั่นคือเขาตรงหัวของสัตว์ร้ายในจักรวาลกว้างใหญ่ตัวหนึ่ง
ยามนี้สัตว์ตัวนี้นอนหมอบอยู่ตรงหน้าซูหมิง ตัวสั่นงันงก มันสัมผัสกลิ่นอายพลังซูหมิงได้เสี้ยวหนึ่งก็แทบจะตกใจสิ้นใจไป
ซูหมิงมองเขาสัตว์ตัวนี้ก่อนใช้มือขวาชี้ไปข้างหน้าเงียบๆ ตอนที่ดึงมือกลับ ในมือมีเศษวิญญาณของเยี่ยวั่ง
เขาเก็บเศษวิญญาณนี้ไปอย่างทะนุถนอม จากนั้นหลับตาลงตามหาต่อไป
กาลเวลาผ่าน ขณะซูหมิงออกตามหาก็ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ยุคแล้ว ไม่รู้ว่าผีเสื้อแปดตัวในจักรวาลกว้างใหญ่ซ้อนทับปีกกันกี่ครั้งแล้ว
จนกระทั่งห้าล้านปีที่ห้าสิบกว่ามาถึง ร่างเงาซูหมิงในจักรวาลกว้างใหญ่ตัวสั่น ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเผยประกายสว่างที่สุดในช่วงไม่รู้กี่ปีมานี้ ความเด่นชัดของประกายแสงทำให้ทั้งจักรวาลกว้างใหญ่สั่นสะเทือน ทำให้ผีเสื้อแปดตัวตัวสั่นปีกหยุดนิ่ง
ซูหมิงมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาค่อยๆ ยืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิ การก้าวเดินยังสั่นไหว ดวงตากำลังเพ่งมองลึกไปในหมอกตรงหน้า นั่นคือ….ดอกไม้เล็กสีขาวในหมอก
หมอกนั้นเหมือนกับม่านฝน ดอกไม้เล็กสีขาวอยู่ข้างในราวกับเป็นดอกไม้กลางสายฝน ดูบอบบางมาก แต่กลับมีความแน่วแน่ที่นางมีโดยเฉพาะ ประหนึ่งว่ากำลังรอคนที่นางรอมาถึง
รอมาห้าล้านปีที่ห้าสิบกว่า รอคนพายเรือข้างแม่น้ำลืมเดินทางในตอนนั้นที่กันพายุฝนให้นาง พานางขึ้นเรือโดดเดี่ยว
ซูหมิงน้ำตาไหล ทว่ากลับยิ้มอย่างมีความสุข เขาเข้าไปใกล้ดอกไม้เล็กสีขาวในหมอกช้าๆ เพ่งมองลึกเข้าไป เหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเปล่งออกมา
เพราะเขาลืมการพูดไปแล้ว
แต่เขาไม่สนใจทุกอย่าง เอาแต่หัวเราะอย่างมีความสุข แม้เสียงหัวเราะจะไม่มีเสียง แต่รอยยิ้มกลับทำให้ทั้งจักรวาลกว้างใหญ่เกิดระลอกคลื่น ภายในระลอกคลื่นวงกว้าง ซูหมิงยกมือขึ้นโกยดอกไม้เล็กสีขาวนั้นมาไว้ในมืออย่างเบามือ
น้ำตาตรงหางตาลากผ่านแก้ม มีหยดหนึ่งตกลงบนดอกไม้เล็กสีขาวคล้ายหยดน้ำ ดอกไม้เล็กสีขาวก็เหมือนยื่นใบออกมา เผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่ทำให้ซูหมิงเหม่อลอย
ใบไม้นั้นสัมผัสฝ่ามือซูหมิง ความรู้สึกอบอุ่นยังคงเหมือนความงดงามในความทรงจำเขา
ซูหมิงมองดอกไม้เล็กสีขาว รอยยิ้มเบิกบานใจย้อมวัฏจักรจักรวาลกว้างใหญ่ เขา…หาอวี่เซวียนพบแล้ว
ก่อนเก็บดอกไม้เล็กไว้ในโลกในร่างกายอย่างทะนุถนอมเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่กับตน เหมือนกับข้างแม่น้ำลืมเดินทางในตอนนั้น อยู่ข้างกายร่างเงาสวมชุดกันฝนผู้โดดเดี่ยวเงียบๆ ใต้ชายคาบ้านยามฝนตก
ดอกไม้เล็กกลางสายฝนนางมีนามว่าเซวียน ไม่มีกลิ่นอายความทุกข์ สำหรับซูหมิงแล้วนี่คือความยึดมั่นและความใส่ใจของเขา ราวกับว่าได้มอบแสงตะวันในชีวิตเขา ทำให้เขาออกตามหาร่องรอยได้อีกเรื่อยๆ ในวัฏจักรจักรวาลกว้างใหญ่ในกาลเวลาหลังจากนี้ไป
แม้ร่องรอยเหล่านั้นจะไม่มีใบหน้าที่ให้ซูหมิงเกิดความยึดมั่นอีก แต่จุดต่างๆ ในความทรงจำ ผู้คนที่เดิมทีเดินผ่านไปไกล ไม่ว่าเป็นศัตรูในอดีตหรือคนแปลกหน้าที่ผ่านไป ซูหมิงจะเก็บร่องรอยนั้นมาอย่างทะนุถนอมมาก เขาในตอนนี้ไม่มีความเป็นศัตรูกับสิ่งมีชีวิตใดแล้ว
เขาหาซูเซวียนอีพบ หาผู้คนบนแผ่นดินหมานพบ หาร่องรอยของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตพบ หาเต๋อซุ่นแห่งสำนักดาราสัจธรรมพบ หาสหายเก่าของมหาโลกสามรกร้างพบ และยังมีพวกเหี้ยมโหดในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน
ซูหมิงตามหาฉางเหอพบในวัฏจักรหลายครั้งกลางจักรวาลกว้างใหญ่ เขาเพ่งมองไปข้างร่องรอยของฉางเหอก็พบกับร่องรอยของสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง
นางอยู่กับร่องรอยของฉางเหอ นั่นคือภรรยาที่สิ้นชีพไปไม่รู้กี่ไปแล้ว ยามที่เพ่งมองไปซูหมิงก็พบว่าที่แท้ภรรยาฉางเหออยู่ข้างกายเขามาตลอด เพียงแต่ว่าเขา…ไม่เคยรู้เลยตอนยังมีชีวิต
ซูหมิงออกตามหาร่องรอยไปทีละแห่ง เดินอยู่ในวัฏจักร เดินอยู่ในกาลเวลา หลังผ่านไปไม่รู้กี่สิบล้านปี เขาก็พบศิษย์พี่ใหญ่…
ร่องรอยของศิษย์พี่ใหญ่ไม่ใช่ฝุ่นละออง แต่เป็นเจตนาร้าย เป็นมายา เป็นจุดสูงสุดแห่งเจตนาร้ายของเผ่าพันธุ์สัตว์ฝูงหนึ่งในหมอกจักรวาลกว้างใหญ่
คงอยู่ยืนยาวเพื่อสงคราม!
ซูหมิงนำร่องรอยแต่ละแห่งเดินผ่านหมอกไปด้วยความหวังและยึดมั่น ช่วงที่เดินผ่าน หมอกนั้นล้อมรอบข้างกายเขาไม่ยอมสลายไป เหมือนไม่อยากให้ซูหมิงจากไป คล้ายๆ ว่าภายในหมอกมีเสียงพึมพำพูดบางอย่าง
ซูหมิงหยุดเดิน ก้มหน้ามองหมอกข้างกายอยู่นานมากนัยน์ตาถึงเป็นสมาธิและมีความรักความผูกพัน
เขาหาฟางชางหลันพบ นาง…คือหมอกนี้ หรืออาจพูดได้ว่าฟางชางหลันหาเขาพบ
ซูหมิงพาหมอก พาฟางชางหลันไป การเฝ้ารอคอยในใจเขาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าในการเฝ้ารอคอยนี้ เขารู้อยู่นานแล้วว่า…เมื่อวันนั้นที่โลกเปิดมาถึง เมื่อร่องรอยทุกอย่างกลายเป็นพิมพ์ชีวิต วันนั้นที่เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง…
ตนจะเพ่งมองเงียบๆ นับจากนั้นไป
นี่ไม่ใช่ชะตาชีวิตที่ถูกลิขิต นี่คือราคาต้องจ่ายของเต๋า นี่คือเส้นทางที่เขาเลือก ต่างกับ…ผู้เฒ่าเมี่ยเซิง