จักรวาลเข้มคือสี มันเป็นตัวแทนของสีเทาเกือบจะสีขาว หรืออาจไม่เหมาะสมเล็กน้อย เพราะสีชนิดนี้ ในมุมมองคนส่วนใหญ่จะให้ความรู้สึกหนักอึ้งจนเกือบจะวังเวง
มันเป็นทั้งสีและก็วังเวง
แต่ความกว้างใหญ่หมายถึงความเลือนราง หมายถึงความใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด…รวมกับจักรวาลแล้วก็จะกลายเป็น…โลกจักรวาลกว้างใหญ่ไร้พรมแดน
กลางจักรวาลกว้างใหญ่นี้แฝงไว้ด้วยโลกมนุษย์เท่าไร มีกี่โลก และมีความสุขทุกข์ของการพบและลาจากเท่าไร สิ่งที่ไหลผ่านจะใช่แม่น้ำกาลเวลาที่นับจำนวนได้ชัดเจนหรือไม่
ไม่มีใครรู้
เหมือนว่าตั้งแต่โบราณมาในจักรวาลกว้างใหญ่ที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรนี้มีร่างเงาหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศยักษ์ สวมชุดคลุมยาวสีดำ เส้นผมยาวตกลง ก้มหน้าลง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายมรณะเข้มข้น เขา…คือเสวียนจั้ง!
เขานั่งขัดสมาธิอยู่แบบนี้ ภายใต้กลิ่นอายมรณะอบอวลยังมีการผ่านโลกมาเนิ่นนานแต่โบราณ เหมือนว่าการนั่งครั้งนี้ลืมการจากไปของกาลเวลาหลายครั้ง ลืมเต๋าตอนยังมีชีวิต…
จนถึงตอนนี้เสียงถอนหายใจดังก้องมาจากปากเสวียนจั้ง…เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่แนบสนิทมาโดยตลอดไม่เคยลืมตามาแต่โบราณ เวลานี้…ลืมตาขึ้นช้าๆ!
ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ทั้งโลกจักรวาลกว้างใหญ่พลันเกิดเสียงดังสนั่นไม่มีสิ้นสุด ท่ามกลางเสียงครึกโครม ประหนึ่งว่าทั้งจักรวาลกว้างใหญ่ตื่นกลัวจากการลืมตาของเสวียนจั้ง สั่นสะท้านเพราะกลิ่นอายพลังที่แผ่มายามเขาลืมตา!
หมอกม้วนตลบ วนเวียนรอบตัวเสวียนจั้งอย่างรวดเร็วกลายเป็นน้ำวนหนึ่งแล้วหมุนม้วนไปทั้งจักรวาลกว้างใหญ่ ขณะที่น้ำวนไร้พรมแดนหมุนโคจรดังอึกทึก เขาลืมตาขึ้นทั้งหมด!
เผยประกายสร้างความหวาดหวั่นแก่จักรวาลกว้างใหญ่ในแววตา ประกายนี้หายไปในพริบตา กลายเป็นเรียบนิ่ง…นั่นไม่ใช่ดวงตาเสวียนจั้ง นั่นคือ…ดวงตาซูหมิง!
การยึดร่างครั้งนี้ ทันทีที่ซูหมิงก้าวออกจากฟ้าชั้นที่สามสิบสามและเข้าไปในระหว่างคิ้วเสวียนจั้งนั้น…เขาทำสำเร็จแล้ว!
“ข้าสำเร็จแล้ว” ซูหมิงที่ยึดร่างเสวียนจั้งลืมตาขึ้นมองจักรวาลกว้างใหญ่คุ้นตา มองน้ำวนตรงหน้าพลางพูดเสียงเบา
ขณะพึมพำเสียงดังกังวาน ซูหมิงก้มหน้าลงมองขนนกสีดำในฝ่ามือตน กลิ่นอายพลังกระเรียนขนร่วงแผ่มาจากขนนกจางๆ อบอวลอยู่ในใจเขา
“ข้าคือ…ซูหมิง” ซูหมิงหลับตาลง เขาสัมผัสได้ถึงกายนี้ สัมผัสได้ว่าในร่างกายมีโลกโบราณอยู่โลกหนึ่ง
เหมือนกับบนปีกซางเซียงที่มีโลก ตอนนี้ภายในร่างกายที่ซูหมิงยึดร่างสำเร็จก็มีโลกเช่นกัน
“เสวียนจั้งเองก็ไม่ได้ล้มเหลว” ซูหมิงเพ่งมองโลกภายในร่างกาย เสียงถอนหายใจเบาแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ดังก้องในจักรวาลกว้างใหญ่ กึกก้องโลกในร่างกายเขา
นั่นคือ…โลกที่ตายมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ในโลกนั้น ซูหมิงเห็นแคว้นกู่จั้ง เห็นทุกสำนัก เพียงแต่กลายเป็นซากปรักหักพัง เป็นเศษซาก ไม่มีสิ่งมีชีวิต
ราวกับว่าเมื่อเสวียนจั้งหลับตาลงในตอนนั้น เมื่อกลิ่นอายมรณะอบอวลในตัวเขา ทุกอย่างโรยรา
“สามพันปีที่ข้าประสบมาก่อนหน้านี้เป็นการยึดร่าง โลกสามพันปีนั้น…กู่จั้งก็ดี เสวียนจั้งก็ดี ล้วนเป็นความทรงจำในอดีตก่อนตายของเขา
ในความทรงจำนั้น ข้ากลายเป็นเขา มองจากมุมนี้ ข้าสำเร็จ…แต่หากยืนในมุมเขา เป้าหมายเขาคือคืนชีพโดยไม่สนสิ่งใด และตอนนี้…เขาก็คืนชีพจริงๆ แล้ว เพียงแต่คืนชีพด้วยดวงจิตของข้า” ซูหมิงมองโลกมรณะในร่างกายพลางพูดพึมพำกับตัวเอง
ซูหมิงเงียบลงจนไม่เอ่ยพึมพำ เพียงแค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในจักรวาลกว้างใหญ่ เหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงหนึ่งความคิดของเขาใช้เวลาพันปี…
จนกระทั่งซูหมิงเงยหน้าขึ้นถึงเก็บขนนกในมือไป จากนั้น…ยืนขึ้นจากเข็มทิศช้าๆ!
พริบตาที่เขายืนขึ้น น้ำวนทั้งจักรวาลกว้างใหญ่พลันส่งเสียงดังสนั่น น้ำวนหมุนโคจรส่งผลให้จักรวาลกว้างใหญ่กลายเป็นทะเลพิโรธไร้พรมแดน ส่วนซูหมิง…ยืนอยู่บนเข็มทิศ ร่างเงาประหนึ่งเจ้าปกครองทะเลพิโรธ
“นี่ก็คือเต๋าไร้ที่สิ้นสุด” ซูหมิงพูดกับตัวเองเบาๆ เพียงแต่ในน้ำเสียงมีความเงียบเหงา มีความโดดเดี่ยว นั่นคือความโดดเดี่ยวที่มีเขาคนเดียวในจักรวาลกว้างใหญ่
‘เหมือนกับคนกลายเป็นเทพ แล้วจากเทพ…เป็นเจ้าปกครองสูงสุด’ ซูหมิงยืนอยู่บนเข็มทิศนานมาก ก่อนนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้ง หลับตาลงกลางจักรวาลกว้างใหญ่คนเดียว
‘ข้าเดินมาถึงจุดูงสุดของเต๋าตัวเองแล้ว…’ ซูหมิงที่หลับตาอยู่ถอนหายใจอยู่ภายใน ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก แทบเป็นช่วงที่สูดลมหายใจเข้า น้ำวนรอบกายหมุนม้วนเข้ามาทางเขาพร้อมกัน วูบเดียวหลั่งทะลักเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย
น้ำวนไหลเชี่ยวในร่างกายเขา ปะทะกับโลกที่ตายไปแล้วในร่างกายอย่างต่อเนื่อง ไม่นานน้ำวนจักรวาลกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดนี้ก็รวมก็เป็นจุดเดียวกลางเมืองหลวงกู่จั้งใจกลางโลกมรณะ
จุดนี้เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ พริบตานี้…ฝังลึกลงไปในโลกนี้
เวลาผ่านไปพริบตาเดียวพันปี…พันปีต่อมา โลกมรณะเกิดต้นไม้ขึ้น นั่นคือ…ต้นพิสูจน์เต๋า!
รากไม้ขยายไปในแผ่นดิน ใช้จักรวาลกว้างใหญ่เป็นสารอาหาร ค่อยๆ เติบโตขึ้น เหมือนกับตอนนั้นที่เฮ่าเฮ่าเปลี่ยนแปลงโลก ตอนนี้ซูหมิงก็ใช้วิธีแบบเดียวกันเปลี่ยนโลกในร่างกาย
เขามีเวลาไม่มีจำกัด มีความอดทนเหนือจินตนาการในการบรรลุเป้าหมายทีละก้าว
พันปีต่อมาต้นพิสูจน์เต๋าสูงเสียดฟ้าปกคลุมทั้งโลก โลกภายในร่างกายซูหมิงไม่มีซากปรักหักพัง ไม่มีเศษซากแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างกลับมาจุดเริ่มต้น เห็นเทือกเขา เห็นแม่น้ำ เห็นทุกอย่างในแคว้นกู่จั้งสามพันปีในความทรงจำเขา
บางทีอาจมีพลังลึกลับบางอย่างทำให้ซูหมิงประสบมาสามพันปีในการยึดร่าง ทำให้ตอนนี้ที่เขาเปลี่ยนโลก ค่อยๆ เปลี่ยนให้เป็นแบบในความทรงจำ
บางทีพลังลึกลับนี้อาจเป็นของเสวียนจั้ง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกอย่างไม่สำคัญแล้ว เมื่อต้นพิสูจน์เต๋าบนโลกในร่างซูหมิงสูงเสียดฟ้าแมกไม้มาแทนที่ฟ้าแล้วนั้น ซูหมิงลืมตาจากสมาธิ
“ชีวิตข้ามีฤดูหนาว ดังนั้นโลกนี้ถึงมีฤดูหนาว อย่างเช่นดวงตะวันฤดูใบไม้ร่วง สายฝนฤดูร้อน และความเปี่ยมล้นของใบไม้ผลิ นี่คือชีวิตคนและก็เป็นโลกของข้า” ชั่วขณะพึมพำ ภายในโลกในร่างกายเขามีสี่ฤดูกาลแล้ว
ในช่วงหลายพันปีมานี้ เข็มทิศใต้ร่างซูหมิงยังคงเดินหน้าต่อไป ส่งผลให้ร่างกายเขาสูบพลังจากจักรวาลกว้างใหญ่อยู่ตลอดเพื่อบำรุงโลกในร่างกาย ปรับเปลี่ยนความตายในอดีต แม้ตอนนี้โลกจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว มีสี่ฤดูแล้ว แต่ซูหมิงยังคงเดินหน้าไปไม่หยุด
เมื่อเวลาผ่านไป ภายในโลกในร่างกายเขาก็ผ่านไปเช่นกัน คล้ายว่าโลกนั้นจะสมบูรณ์แล้ว ขาดเพียงอย่างเดียว…นั่นคือสิ่งมีชีวิต
‘ตามหาร่องรอยของพวกเขากลางวัฏจักรในจักรวาลกว้างใหญ่ จนกระทั่งหาร่องรอยทั้งหมดพบแล้ว…ข้าจะเปิดประตูยมโลก นี่จะเป็นการเปิดประตูยมโลกครั้งแรกของข้า และครั้งนี้…จะเป็นครั้งสุดท้าย’ ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศเพ่งมองจักรวาลกว้างใหญ่ไกลๆ สัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวหลายพันปี สัมผัสได้ถึงความเงียบเหงาที่มีตนเพียงคนเดียว เขาเข้าใจว่าความเงียบเหงาแบบนี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ความโดดเดี่ยวเช่นนี้จะไม่มีจบสิ้น
“นี่ก็คือเต๋าไร้ที่สิ้นสุด” ซูหมิงกล่าวเบาๆ ก่อนถอดไข่มุกตรงข้อมือออกมาเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วโบกมือซ้ายไปยังจักรวาลกว้างใหญ่ จักรวาลกว้างใหญ่พลันหมุนม้วน พลังไร้ขีดจำกัดรวมเข้ามา หลังรวมเข้าไปในไข่มุกพวงนี้แล้ว ซูหมิงเหลือไว้เพียงไข่มุกลูกที่เจ็ด ช่วงที่โบกลูกที่เหลือออกไป ไข่มุกเหล่านี้มีหกลูกเหมือนมีชีวิต กลายเป็นผีเสื้อทีละตัวบินไกลออกไป จนกระทั่งหายไปตรงหน้าเขา
มีเพียงไข่มุกลูกที่เจ็ดที่อยู่ในมือซูหมิง
“จากนี้ไปในจักรวาลกว้างใหญ่จะมีผีเสื้อเพียงแปดตัว เป็นความหวังให้ข้าตามหาร่องรอย…” ซูหมิงพึมพำ ซางเซียงในจักรวาลกว้างใหญ่กำเนิดบนต้นไม้โบราณพิสูจน์เต๋า พวกมันมีนามเหมือนกัน มีชีวิตเหมือนกัน กระทั่งพูดได้ว่าพวกมันคือร่างเดียวกัน
เมื่อต้นพิสูจน์เต๋าสิ้นสูญไปในกาลอดีต พวกมันจึงทำได้เพียงลอยล่องอยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ เร่ร่อนหาบ้านไม่พบ…เพราะต้นกำเนิดพวกมันเหมือนกัน ดังนั้นซูหมิงจึงเชื่อว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อรวมถึงพวกอวี่เซวียนชางหลันที่เกิดบนปีกซางเซียงตัวที่เจ็ดจะต้องมีร่องรอยบนปีกซางเซียงตัวอื่นอย่างแน่นอน
ต้องรวมร่องรอยเหล่านี้ทั้งหมดถึงจะเปิดประตูยมโลกได้
เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้คือการคาดการณ์ของซูหมิง บางทีอาจจะสำเร็จ หรือไม่บางที…เพียงแต่ขอแค่เขาต้องการ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลอง ต่อให้ไม่สำเร็จก็จะไม่มีวันล้มเลิก จะตามหาวิธีอื่นๆ ต่อ นี่คือเต๋าของเขา
ซูหมิงกำไข่มุกลูกที่เจ็ดไว้ในมือพลางหลับตาลงช้าๆ ไข่มุกในมือเม็ดนี้ไม่กลายเป็นผีเสื้อ เพราะว่าในนั้น…ไม่มีวิญญาณหวนคืนของกระเรียนขนร่วง
เวลาผ่านไป ซูหมิงนั่งเข็มทิศเดินหน้าไปไม่หยุดในจักรวาลกว้างใหญ่ เขาชินกับรสชาติความโดดเดี่ยวและเงียบเหงาแล้ว โดดเดี่ยวมาพันปี เงียบเหงามาหมื่นปี…จนผ่านไปสามหมื่นปี…
ในจักรวาลกว้างใหญ่ตรงหน้าเขามีผีเสื้อยักษ์ตัวหนึ่ง นั่นคือซางเซียง เพียงแต่ไม่ใช่ผีเสื้อที่เขาคืนชีวิตให้เมื่อสามหมื่นปีก่อน แต่เป็นตัวที่ยังไม่ถูกเสวียนจั้งทำลาย
บนตัวผีเสื้อไม่มีกลิ่นอายมรณะมากนัก บนสี่ปีกของมันมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ในนั้นอาจจะมีคนรู้ว่าโลกที่อยู่เป็นปีกของซางเซียง อาจจะมีคนดิ้นรนเหมือนดวงจิตสามรกร้าง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…พวกเขายังโชคดี
เพราะคนที่พวกเขาเจออยู่ตอนนี้ไม่ใช่เสวียนจั้งในอดีต แต่เป็นซูหมิง
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศ มองผีเสื้อซางเซียงไกลลิบเงียบๆ แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงเข้ามาใกล้ ผีเสื้อตัวสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด เผยกลิ่นอายหวาดกลัว
“ข้าจะไม่ลบเจ้า ข้าเพียงแค่ต้องการเก็บร่องรอยเล็กน้อย”