ใครเดินเข้าไปในชีวิตเจ้า ชะตาเป็นคนลิขิต แต่ใครหยุดอยู่ในชีวิตเจ้า ชะตาไม่อาจลิขิต คนที่ตัดสินใจได้จริงๆ มีเพียงตัวเอง
ในเมื่อลืมไม่ได้ก็อย่าลืม ต่อให้ทุกอย่างว่างเปล่า…ต่อให้ทุกอย่างเป็นแสงสุดท้ายยามเย็น เมื่อคืนมืดมาเยือนก็จะหายไปหาเงาไม่พบ
ซูหมิงเดินผ่านข้างกายเทียนเสียจื่อที่สวมชุดกันฝนกับงอบ เหมือนกับชีวิตเขาเดินจากฤดูหนาวไปใบไม้ผลิ หรืออาจจะเป็นฤดูอื่น จนกระทั่งเดินไปถึงประตูเมือง ข้างหลังเขาไม่มีสายลมหิมะแล้ว
จนกระทั่งเขาเดินเข้าไปในประตูเมือง มีเสียงถอนหายใจเบาจากเทียนเสียจื่อดังแว่วมาข้างหลัง เสียงถอนหายใจนั้นมีความสงสาร ซับซ้อนและภูมิใจ
เขาสงสารชีวิตซูหมิง ซับซ้อนต่อการเลือกของซูหมิง ขณะเดียวกันก็ภูมิใจในเส้นทางของซูหมิง เสียงถอนหายใจดังไกลออกไปทีละน้อย ค่อยๆ ห่างจากซูหมิง จนกระทั่งซูหมิงเดินออกมาจากประตูเมืองเข้าไปในเมืองหลวงกู่จั้ง เสียงถอนหายใจข้างหลังหายไปราวกับถูกกาลเวลาไม่มีสิ้นสุดขวางกั้น
ซูหมิงไม่หันไปมอง แต่เดินต่อไปในเมือง เดินไปเรื่อยๆ
เขาไม่ต้องรู้ทิศทาง เพราะทันทีที่เข้าไปในประตูเมือง เขาพบเส้นทางแล้ว เห็นหอคอยสูงตระหง่านสามหลังในเมืองหลวงไกลๆ หอคอยสูงสามแห่งนี้ ทุกยอดหอคอยมีร่างเงานั่งขัดสมาธิอยู่หนึ่งคน
คนที่นั่งอยู่บนหอคอยสูงตรงกลางสวมชุดคลุมจักรพรรดิ ความรู้สึกแห่งดวงชะตาเข้มข้น ราวกับว่าทั้งฟ้าดิน ทั้งความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนาน ทั้งแคว้นกู่จั้งต้องโอบล้อมคนนี้ เหมือนกับว่า…จุดที่อีกฝ่ายอยู่คือแคว้นกู่จั้ง หากไม่มีเขา แคว้นกู่จั้งก็จะไม่เรียกว่ากู่จั้ง!
เขาคือจักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้ง เป็นคนที่รวมดวงชะตาทั้งกู่จั้งไว้ที่ตัวเอง!
ข้างๆ หรือยอดหอคอยสูงที่สาม ร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิอยู่เป็นชายวัยกลางคน เขามีหน้าตาหล่อเหลามาก เต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาด ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่ง กลายเป็นกลิ่นอายพลังวนเวียนรอบตัว ทำให้ตอนที่ซูหมิงมองเขาจะมีความรู้สึกว่าเขาไม่เข้ากับฟ้าดินอย่างยิ่ง
ประหนึ่งว่าคนนี้ แม้แต่ดวงชะตายังไม่หลอมรวมกับเขาอย่างสมบูรณ์ ไม่เข้ากับฟ้าดิน ไม่หลอมรวมจักรวาล ไม่หลอมรวมกับทุกสรรพสิ่ง เพราะ…ฟ้าดินก็ดี จักรวาลก็ดี ทุกสรรพสัตว์และสิ่งไม่มีใครอยู่เหนือกว่าเขา เพราะว่า…เขาคือผู้สร้างเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล!
เขาสร้างฟ้าดินได้ ไฉนต้องหลอมรวมกับฟ้าดิน เขาสร้างจักรวาลได้ ไฉนต้องลดตัวไปหลอมรวมกับจักรวาล เขาสร้างและปรับเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งและสัตว์ได้ ไฉนต้องหลอมรวม หากบอกว่าหลอมรวมจริงๆ ก็น่าจะเป็นฟ้าดิน จักรวาล ทุกสรรพสิ่งและสัตว์ที่อยากจะหลอมรวมกับเขา!
เขาก็คือซิวหลัว!
เส้นทางที่เขาสร้างขึ้นมีความบ้าอำนาจเป็นหนึ่ง!
สามหอคอยสูง ตรงกลางคือจักรพรรดิ หอคอยที่สามคือซิวหลัว และร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหอคอยแรกตอนนี้ก็กำลังเพ่งมองซูหมิง
ร่างเงานั้นดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน มีการไหลผ่านของเวลา เหมือนว่าเขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่มานานมาก รอซูหมิงมานานมาก
ในตัวร่างเงานั้นไม่มีการรวมดวงชะตาทั้งกู่จั้งเหมือนกับจักรพรรดิ ไม่มีข้าคือผู้สร้างโลกที่มีความบ้าอำนาจเป็นหนึ่งเหมือนซิวหลัว แต่ร่างเงานั้นกลับมีกลิ่นอายยากจะบรรยายที่แบ่งแยกความจริงเท็จได้ มองสิ่งมายาออกทุกอย่าง กระทั่งมองกาลเวลาออก
กลิ่นอายพลังนี้เป็นสติปัญญาสูงสุด เป็นจุดสุดท้ายที่ชีวิตหนึ่งจะตระหนักได้ ทั้งยังเป็น…เต๋าที่ตระหนักดวงชะตา ตระหนักความบ้าอำนาจ ตระหนักทุกสรรพสิ่งและสัตว์
บนเส้นทางนี้ เขามองไม่เห็นสิ่งมายาชั่วนิรันดร์ แต่เขาเห็นความจริงที่เขาอยากเห็น!
นั่นคือ…กูหง!
กูหงหนึ่งในสามเทพเต๋าขั้นเก้าแคว้นกู่จั้ง หรืออาจพูดได้ว่าสามคนนี้ไม่ใช่เทพเต๋าขั้นเก้าอีก บางทีพวกเขาอาจตัดเต๋าตัวเองแล้ว บรรลุ…เต๋าไร้ที่สิ้นสุดของตัวเอง!
ซิวหลัวตัดเต๋าของตัวเองบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดแล้ว กู่ตี้ เห็นได้ชัดว่าในสองพันปีก็ตัดเต๋าดวงชะตาตัวเองแล้ว นับจากนี้บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด!
ส่วนกูหง…ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหอคอยสูง นี่อธิบายได้ว่าเขา…ก็ตัดเต๋าตัวเองแล้วเช่นกัน!
ตัด ไม่ใช่ตัดในความหมายจริงๆ แต่เป็นการตัดสินใจ การเลือก การเลือกในที่นี้…ไม่อาจหันกลับแล้ว หันกลับไม่ได้ ถูกคือถูก ผิดคือผิด สองเส้นทางอาจจะมีทางหนึ่งถูก หรืออาจจะมีสองทางที่ผิด
หากเลือกแล้วก็จะเป็นแบบนั้นไปชั่วชีวิต
ซูหมิงหยุดชะงักเล็กน้อย ยืนอยู่บนเส้นทางเมืองหลวงแคว้นกู่จั้ง ทุกคนเดินผ่านข้างกายเขากันอย่างเร่งรีบ ซูหมิงไม่ได้มอง เพราะเขารู้ว่าต่อให้มอง เขาก็จำใบหน้าเหล่านี้ไม่ได้ จึงไม่มองจะดีกว่า
คนเดียวที่เขามองคือกูหงบนหอคอยสูงแรก
ตาแก่ก็มองซูหมิงเช่นกัน มุมปากค่อยๆ ยกยิ้ม
“เจ้าเด็กคนนี้ ข้ารอเจ้ามาสองพันปีแล้ว!” น้ำเสียงตาแก่มีติดหัวเราะ เสียงดังแว่วมาจากหอคอยสูงและดังก้องไปทั้งเมืองหลวง ดังเข้าถึงหูซูหมิง
คำพูดประโยคง่ายๆ แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ซูหมิงสัมผัสได้ถึงความจริงใจอย่างยิ่ง ทำให้หัวใจเขาเกิดความอบอุ่น ความห่วงในนั้นจริงมาก จริงจนเขา…จำไปชั่วชีวิต
“ศิษย์ซูหมิง คารวะอาจารย์” ซูหมิงมองร่างเงาบนหอคอยสูงไกลๆ แล้วประสานมือคารวะลงลึกช้าๆ
เสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนาน ที่มากกว่านั้นคือความปิติ ยามที่ดังแว่วมาอีกครั้ง ตาแก่บนหอคอยสูงหายไปแล้วมาปรากฏตรงหน้าซูหมิง
หน้าตาเขายังคงเดิม แต่ความพิลึกพิลั่นหายไปเล็กน้อย มีความแก่ชราเพิ่มมาเล็กน้อย มองซูหมิงด้วยแววตาสุขสบาย หลังเพ่งมองซูหมิงอยู่หลายทีแล้ว เสียงหัวเราะดังกังวานยิ่งกว่าเดิม
“ดี ดี ดี ถือว่าข้าไม่ได้รอสองพันปีอย่างเสียเปล่า ตอนนั้นอาจารย์เคยตอบรับเจ้าว่าจะให้เจ้าได้เห็นการต่อสู้ระหว่างข้ากับตาแก่ตายยกสองคนนั้นกับตา
นี่คือคำสัญญาของอาจารย์ ในเมื่อสัญญาแล้วก็ต้องทำให้ได้ อย่าว่าแต่สองพันปีเลย ต่อให้เป็นสองหมื่นปี สองแสนปีหรือสองหมื่นยุคอาจารย์ก็จะรอตลอดไป!” เดิมทีใบหน้าตาแก่มีรอยย่นจำนวนมาก ยามนี้ส่งเสียงหัวเราะ เหมือนแม้แต่รอยย่นยังน้อยลงเล็กน้อย
“ไป!” ตาแก่หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ ดึงมือขวาซูหมิงขยับวูบมาปรากฏบนหอคอยสูงที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้
เดิมทีปลายหอคอยมีที่นั่งเพียงที่เดียว เพราะซูหมิงเห็นชัดว่าหอคอยที่สองกับสามมีที่นั่งขัดสมาธิได้แค่คนเดียว
แต่บนหอคอยที่หนึ่งกลับมีที่นั่งขัดสมาธิสองที่ เห็นได้ชัดว่าตาแก่สร้างมันขึ้นมาตลอดเป็นเวลาสองพันปี การกระทำนี้ดูง่ายมาก ดูธรรมดามาก แต่เมื่อซูหมิงเห็นที่นั่งธรรมดาแบบนี้แล้วในใจกลับสั่นไหวขึ้นมา
ที่นั่งนี้แฝงไว้ด้วยความห่วงใยของตาแก่ต่อซูหมิง แฝงไว้ด้วยความเมตตาทั้งหมดต่อศิษย์คนนี้ของเขา นั่นเป็นเพียงความห่วงใยที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ เป็นเพียงประจักษ์พยานแห่งเต๋า
เหมือนกับชะตาของเขากับซูหมิง เหมือนกับเต๋าที่พวกเขาเลือก…เป็นเส้นทางคล้ายๆ กัน
“พวกเจ้าตาแก่ตายยากสองคน พวกเรามาสู้กันได้แล้ว ศิษย์ข้ากลับมาแล้ว ฮ่าๆ” ตาแก่ยืนอยู่ตรงนั้นหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงคุ้นหูซูหมิง ทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดจนเชื่อถือไม่ได้
แทบเป็นทันทีที่กล่าวขึ้น ซิวหลัวลืมตา เผยประกายไร้ความปรานี หน้าตาเขาเปลี่ยนไป กลิ่นอายพลังต่างจากตอนนั้น ความไร้ปรานีในแววตาส่งผลให้ตัวเขาเหมือนไม่ใช่ผู้ฝึกฌานอีก
“ยอมใช้รูปแบบผนึกเพื่อเลี่ยงการต่อสู้สองพันปีเพื่อผู้ฝึกฌานคนหนึ่ง กูหง…เต๋าของเจ้ายังน่ารังเกียจเหมือนเดิม!”
“พูดมาก ศิษย์ของข้าเป็นของข้า ไม่ใช่ของเจ้า แน่นอนว่าต้องสนใจ หากข้าไม่สนใจแล้วใครจะสนใจ ตาแก่ตายยากที่มุ่งหวังวิชาเล่นดวงชะตารึ?” ตาแก่กลอกตาแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนด่าทอทันที
ระหว่างสนทนากัน ร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิบนหอคอยสูงตรงกลางหรือจักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้งลืมตาขึ้นช้าๆ ยามที่มองซูหมิง สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่มีเสียงถอนหายใจดังก้อง
“เสวียนเอ๋อร์…”
“ข้าชื่อซูหมิง” ซูหมิงมองจักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงตอบกลับช้าๆ
จักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้งหรือร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิบนหอคอยสูงตรงกลางก็เงียบเช่นกัน ผ่านไปพักหนึ่งเขาถึงกล่าวเสียงเบา ดังแว่วเอ้อระเหยประหนึ่งว่าทั้งฟ้าดินกำลังโอบล้อม
“ยังจำ…เรื่องที่คนพเนจรคนนั้นออกจากบ้านได้หรือไม่…”
นัยน์ตาซูหมิงเป็นสมาธิ เขาเพ่งมองจักรพรรดิอยู่หลายที ก่อนนึกถึงชายชราคนนั้นที่อยู่ร้านขายของในคืนมืดเมื่อสามพันปีก่อน
“ไฉนต้องเดินต่อไป กูหงเลือกเจ้าเป็นศิษย์ข้าไม่สนใจ เพราะเดิมทีเต๋าของเจ้าคล้ายกับเขา เพียงแต่ตอนนี้กูหงตัดการเลือกทิ้งแล้ว เจ้า…ยังไม่ตื่นอีกรึ?
ตื่นเถอะ เสวียนเอ๋อร์ของข้า ตอนที่เจ้าตื่น…เจ้าจะเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้ง ตอนที่เจ้าตื่น…ดวงชะตาทั้งแคว้นกู่จั้งจะรวมอยู่ที่ตัวเจ้า เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวที่รวมดวงชะตาของข้ากับเต๋าของกูหง เจ้าจะ…บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง!” จักรพรรดิกู่จั้งยืนขึ้นบนหอคอยช้าๆ ยามที่เพ่งมองซูหมิง เสียงเขาดั่งเสียงฟ้าดิน ขณะเสียงดังกึกก้อง ทุกชีวิตในเมืองหลวงพากันใจสั่นสะท้าน ก่อนคุกเข่าลงทั้งหมด
ไม่ใช่แค่พวกเขา สำนักรอบทิศ ผู้ฝึกฌานทุกคนทั้งแคว้นกู่จั้งต่างคุกเข่าคารวะมายังที่นี่ตามทิศทางของตนพร้อมกัน ราวกับกราบไหว้ คารวะดวงชะตากู่จั้ง!
ฟ้าเปลี่ยนกลายเป็นขุ่นมัว แผ่นดินเกิดหมอกประหนึ่งกลายเป็นจักรวาลกว้างใหญ่ ทุกอย่างในเวลานี้โอบล้อมร่างเงานั้นเป็นใจกลาง!
“นี่ก็คือเต๋าไร้ที่สิ้นสุดของเขา แต่ไม่ใช่ของข้า” ตาแก่ข้างกายซูหมิงมองการเปลี่ยนแปลงของฟ้าพลางพูดขึ้นเนิบๆ
ชีวิตมีสิ้นสุด ความรู้ไร้ที่สิ้นสุด กี่วัฏจักรถึงบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด
ดินมีพรมแดน ฟ้าไร้พรมแดน กี่ความเป็นตายความคิดถึงไร้พรมแดน
……………………