ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่งตลอด มาสำนักเอกะเต๋าครั้งนี้ เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะปกปิดฐานะอยู่แล้ว ต่อให้มีคนจำได้ก็ไม่เป็นอะไร เขามองผู้ฝึกฌานที่นี่เป็นคนไม่มีคุณค่าแล้ว
มหาเต๋าสูงศักดิ์สามคนนั้นก็ดี ผู้ฝึกฌานคนอื่นก็ดี แม้บอกว่าอยู่ในการยึดร่างระหว่างตนกับเสวียนจั้ง แต่…การยึดร่างนี้สมจริงเกินไป จริงจนต่อให้ซูหมิงรู้ทุกอย่างก็ยังมาสำนักเอกะเต๋า มาสังหารโลกนี้ที่นี่
รู้ทั้งรู้ว่าทุกอย่างอาจไม่มีอยู่จริง แต่ก็ยังยึดมั่น กระทั่งเดิมทีซูหมิงเคยใช้การตระหนักรู้ที่เกิดขึ้นกับหลินตงตง นั่นเหมือนกับมวลอากาศที่ขวางโลกเอาไว้ ทำให้การคงอยู่ของเขากลายเป็นโปร่งใส ทุกวิชาที่ใช้กับตัวเขาจะทะลวงผ่านไป
แต่ซูหมิงก็ไม่ได้เลือกเช่นนี้ เขาเลือกลงมือจริงๆ ทุกอย่าง…เพียงเพราะสำนักเจ็ดจันทรา หลันหลันก็ดี กู่ไท่ก็ดี หรืออาจจะเป็นสวี่จงฝานที่ดีกับเขามาก คนเหล่านี้ปรากฏขึ้นในชีวิตเขา แต่ต่อให้เดินไปไกลก็ยังเหลือร่องรอยที่ต่างกัน
เหมือนกับชีวิตคน ใครจะเดินเข้าไปในชีวิตเจ้าชะตาจะเป็นคนตัดสิน แต่ใครจะหยุดในชีวิตเจ้า เจ้าจะตัดสินเอง
บางคนลิขิตไว้แล้วว่าเป็นสหายกันชั่วชีวิต บางคนลิขิตไว้ว่าต้องเป็นร่องรอย…
ร่องรอยนี้ก็มีลึกตื้น ที่ลึกคือไม่ลืมไปชั่วชีวิต ที่ตื้น…ก็เพียงแค่ผ่านทาง
“หลินตงตงยังสบายดี มีชีวิตอยู่ในโลกของเขา” ซูหมิงตอบกลับเรียบๆ ประกายเย็นชาในดวงตาวูบไหว ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าว เขาบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปด แต่ความหยั่งลึกของพลังจริงๆ เหนือกว่านานแล้ว ดังนั้นจึงถูกเรียกว่ามหาเต๋าสูงศักดิ์หมายเลขหนึ่งในแคว้นกู่จั้ง ทั้งยังเป็น…หมายเลขหนึ่งต่ำกว่าเทพเต๋าขั้นเก้า
น่าเสียดายอย่างเดียว ตอนนี้ชื่อเสียงยังไม่โด่งดังมากนัก แต่คาดการณ์ได้ว่าเมื่อซูหมิงออกจากสำนักเอกะเต๋า เมื่อคนนอกได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักเอกะเต๋า ชื่อเสียงเขา…จะเป็นที่เลื่องลือในแคว้นกู่จั้ง!
แทบเป็นขณะเดียวกับที่ซูหมิงเดินเข้าไป ชื่อหยาง เซินมู่ ไป๋ลู่สามคนพลันเดินหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกัน พวกเขามีสีหน้าต่างกัน แต่ความจริงจังในแววตาเหมือนกัน ยิ่งรู้พลังซูหมิงมากเท่าไรพวกเขาก็ยิ่งกดดันมากเท่านั้น
มหาเต๋าสูงศักดิ์หมายเลขหนึ่ง กำลังรบที่ปะทุขึ้นจากความหยั่งลึกของพลังคือจุดสูงสุดที่ยืนหยัดได้ยาวนาน เป็นสภาวะจุดสูงสุดที่ซูหมิงยังคงสภาพไว้ได้ ต่อให้เป็นอาการบาดเจ็บเหมือนกัน แต่มันจะถูกลดผลลงไปมาก แต่พวกเขาสามคนทำแบบนี้ไม่ได้
ทันทีที่ซูหมิงก้าวเดิน เซินมู่ยกมือขวาขึ้น ในมือมีแสงสีขาวขยับประกาย ทันใดนั้นปรากฏหิมะขาวกลุ่มใหญ่ตรงหน้าซูหมิง หิมะขาวนี้รวมกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นผลึกน้ำแข็งผนึกโดยรอบไว้
ต่อมา ชื่อหยางประสานมุทราด้วยสองมือพลางพ่นลมหายใจ ลมหายใจนี้กลายเป็นดวงตะวันดวงหนึ่งข้างนอก แผ่พลังความร้อนไร้ที่สิ้นสุด กลายเป็นผนึกเหมันต์อัคคีคู่กับเซินมู่ ปกคลุมฟ้าดินลงไปยังซูหมิง
ส่วนไป๋ลู่เขาไม่ได้ลงมือแบบนี้ แต่ยกสองมือขึ้นสะบัดแขนเสื้อ ระหว่างที่โบกไปข้างนอก แขนเสื้อเขาเหมือนยืดยาวไร้ที่สิ้นสุดจนคลุมทุกอย่างรอบๆ เอาไว้ภายใน
สองคนจู่โจม หนึ่งคนป้องกัน นี่คือมหาเต๋าสูงศักดิ์สามคนแห่งสำนักเอกะเต๋าต่างทำในสิ่งที่ตนถนัดที่สุด
หลังสามคนร่วมมือกัน ซูหมิงไม่ได้หน้าเปลี่ยนสี เดิมทีเขาหวังให้เกิดสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องสังหารทีละคน แต่สังหารทั้งหมดในทีเดียว
ซูหมิงแค่นเสียงขึ้นจมูก ยกมือขวาขึ้นกดลงข้างล่างอย่างไม่ลังเลในฉับพลัน สี่ดวงจิตใหญ่พลันปะทุมาจากในร่างกาย เมื่อดวงจิตปะทุ พริบตาเดียวพลังที่เขาปลดปล่อยออกมาได้พลันเพิ่มขึ้น ราวกับยกระดับพลังไปอีกเล็กน้อย!
ดวงจิต เดิมทีมีพลังที่ยกระดับขั้นพลังได้ในพริบตาอยู่แล้ว การยกระดับพลังที่ว่าไม่ได้หมายถึงเพิ่มจิตเต๋าหนึ่งขั้น แต่เป็นการปะทุและปลดปล่อย เหมือนกับตอนที่ซูหมิงยังบรรลุแค่วิญญาณเต๋า เขาฝืนต้านเต๋าสูงศักดิ์ได้ สังหารผู้ฝึกฌานที่มีพลังเหนือกว่าตนหนึ่งถึงสองขั้นได้ นี่เป็นเพราะสี่ดวงจิตใหญ่จากโลกซางเซียง
และตอนนี้สี่ดวงจิตใหญ่ถูกปล่อยออกมา เส้นผมม่วงซูหมิงปลิวไสวเอง อาภรณ์โบกสะบัด เมื่อกดมือขวาลงแผ่นดิน พลันเกิดเสียงดังสนั่นครึกโครม รอยแยกมวลอากาศที่เหมือนฉีกโลกออกปรากฏขึ้นรอบตัวเขา เชื่อมเข้าด้วยกันเป็นวงแหวนขยายออกไปรอบๆ อย่างเร็วไว
จุดที่ผ่านมวลอากาศจะพังทลาย แผ่นดินสำนักเอกะเต๋าข้างล่างสั่นสะเทือนเลือนลั่น ทั้งแผ่นดินลดต่ำลงไปหลายสิบจั้งพร้อมกัน ส่วนวงแหวนอาคมคุ้มกันจากศิษย์สำนักเอกะเต๋าระเบิดออกเป็นช่องโหว่หนึ่ง ผู้อาวุโสสำนักเอกะเต๋าพากันกระอักเลือด และยังมีศิษย์ไม่น้อยที่กรีดร้องโหยหวน ช่วงที่ทั้งแผ่นดินลดระดับลงร่างกายก็รับไม่ไหว วิญญาณสูญสิ้นไป
ระหว่างที่แผ่นดินสั่นสะเทือน พวกเซินมู่สามคนรอบตัวซูหมิงหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน รอยแยกมวลอากาศที่ล้อมรอบซูหมิงถาโถมเข้ามาใกล้จึงปะทะกับอภินิหารพวกเขา
ไม่หลบ ไม่ถอย แต่ปะทะตรงๆ!
เสียงครึกโครมดังสนั่นกึกก้อง ตอนนี้เองเซินมู่หน้าเปลี่ยนสีอย่างเร็วไว เขาเห็นว่าช่วงที่ปะทะกับอภินิหารของซูหมิง ซูหมิงรับอภินิหารผนึกเหมันต์ของตนเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันตนก็รับวิชาของอีกฝ่ายได้เช่นกัน ยามนี้กระอักเลือด เซินมู่รู้สึกว่ามีพลังมหาศาลสุดบรรยายปะทะใส่ร่างตน จึงกระเด็นถอยไปอย่างไร้การควบคุม
ในเวลาเดียวกันชื่อหยางก็ประสบเรื่องแบบเดียวกัน เขาเห็นกับตาว่าตอนที่ดวงตะวันจากอภินิหารตนปะทะกับอภินิหารซูหมิง มันได้ปะทุพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ของเขา แต่ก็รับอภินิหารของซูหมิงได้เช่นกัน ก่อนกระอักเลือด ร่างถอยไปอย่างไร้การควบคุม
สุดท้ายคือไป๋ลู่ เขาไม่ได้ลงมือ แต่ผนึกและการคุ้มกันที่หมายจะควบคุมคลื่นพลังของซูหมิงในตอนนี้พังลงเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อเขากระเด็นถอยไป สามมหาเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋าต่างมองซูหมิงด้วยความตกใจ เพราะซูหมิงรับอภินิหารพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ว่า…แม้แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“มหาเต๋าสูงศักดิ์หมายเลขหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งคนที่สี่แห่งแคว้นกู่จั้ง ไม่ใช่คนที่พวกข้าจะรับมือได้จริงๆ…” ชั่วขณะที่ไป๋ลู่ถอยไปยังมีสีหน้าอึมครึม จ้องซูหมิงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่านโลกมานาน
“พวกข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เจ้า แต่ต่อให้เจ้ามาเพื่อสำนักเจ็ดจันทรา ต่อให้คนเดียวอาจสู้กับพวกข้าสามคน แต่…เจ้าสังหารพวกข้าไม่ได้
นี่คือกฏ เป็นกฏที่มหาจักรพรรดิกู่จั้งกำหนดไว้ ระหว่างมหาเต๋าสูงศักดิ์ห้ามเกิดความเป็นตาย กฏนี้…เว้นแต่เจ้าจะบรรลุเทพเต๋าขั้นเก้า มิเช่นนั้นต่ำกว่าเทพเต๋าจะไม่มีใครทำลายกฏได้” น้ำเสียงไป๋ลู่แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่ง เซินมู่กับชื่อหยางไม่พูด แต่ขณะถอยไป แม้จะมองซูหมิงด้วยสายตาจริงจัง แต่ไม่ได้ตกใจเด่นชัดเหมือนอยู่ในภยันตรายเป็นตายแม้แต่น้อย
“สำนักเจ็ดจันทราหาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่ถูกทำลายสำนักถือว่าสำนักเอกะเต๋าสงสารแล้ว องค์ชายสามมีพลังสูงส่ง สังหารศิษย์สำนักเอกะเต๋าคนอื่นได้ ต่อให้สังหารทั้งหมดก็ไม่เป็นอะไร สำนักเอกะเต๋ามีพวกข้าสามคนอยู่ก็ยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์ สำนักเอกะเต๋าที่สืบทอดดวงชะตามหาจักรพรรดิกู่จั้งคงใช้เวลาอีกไม่นานก็จะรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม” ชื่อหยางมองซูหมิงพลางพูดขึ้นเนิบๆ ไม่ได้สนใจความเป็นตายของคนอื่นเลย
“กฏของมหาจักรพรรดิกู่จั้งรึ…” ซูหมิงก้มหน้ามองมือขวาตัวเองแวบหนึ่ง ตอนที่เงยหน้าขึ้นในดวงตามีประกายเย็นชา ก่อนขยับวูบมาปรากฏตรงหน้าชื่อหยาง
“ข้าอยากรู้นักว่ากฏนี้จะไม่ถูกทำลายได้อย่างไร” ขณะกล่าว ซูหมิงที่ไปอยู่ตรงหน้าชื่อหยางกำหมัดขวา รวมสี่ดวงจิตชกไป
ชื่อหยางหรี่ตาลง แต่กลับแค่นยิ้ม พลันยกมือขวาขึ้น ปรากฏดวงตะวันดวงหนึ่งขึ้นในมือ ดวงตะวันนี้เพิ่มมาเป็นเก้าดวงในฉับพลันก่อนพุ่งตรงไปหาซูหมิง
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซูหมิงไม่หลบ เขาปล่อยให้ดวงตะวันเก้าดวงนั้นเข้ามาใกล้ จนตอนที่ปะทะ หมัดขวาเขาชกใส่หน้าอกชื่อหยาง
เมื่อชกไป ชื่อหยางโลหิตไหลมาจากมุมปาก ระหว่างที่ถอยไป ซูหมิงยังคงสีหน้าปกติ จิตสังหารเด่นชัดกว่าเดิม ก่อนไล่ตามไปทันที ตลอดทางเกิดเสียงโครมครามระหว่างสองคนตลอด ชื่อหยางถอยไปอย่างต่อเนื่อง ขณะไป๋ลู่กับเซินมู่เงียบอยู่นี้ก็พุ่งตามไป ขณะกำลังจะลงมือนั้น เสียงหัวเราะของชื่อหยางดังก้องสำนักเอกะเต๋า
“รู้สึกถึงกฏรึยัง หากเจ้ายังไม่บรรลุเทพเต๋าขั้นเก้า ก็ไม่อาจสังหารมหาเต๋าสูงศักดิ์!” ชื่อหยางถอยไปตลอด อาภรณ์อาบไปด้วยเลือด แต่พลังชีวิตยังคงเปี่ยมล้น ไม่ได้มีเค้ารางจะมอดดับแต่อย่างใด ดวงตาซูหมิงเป็นประกายวูบไหว เขาสัมผัสถึงพลังควบคุมที่ลงมาเยือนจากในฟ้าดินจริงๆ ทำให้วิชาอภินิหารของตนที่ปะทะร่างชื่อหยางถูกลดลงจนไม่อาจสังหารได้
“เปลี่ยนเทพหมาน!” จิตสังหารในดวงตาซูหมิงยังคงอยู่ ขณะเดียวกับที่กล่าว เกิดเสียงดังโครมในตัวเขา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น พลังอำนาจปะทุขึ้นอีกครั้ง รวมเปลี่ยนเทพหมานกับพลังของสี่ดวงจิตหล่อหลอมกับขั้นพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ ยามนี้กลายเป็นดรรชนีมือขวาพร้อมกับพลังทำลายล้างทุกชีวิตกดไปยังระหว่างคิ้วชื่อหยางที่กำลังหัวเราะเสียงดัง
ชื่อหยางไม่หลบ เขาจ้องซูหมิงตาเขม็ง ความแกร่งของดรรชนีนี้ทำให้เขาตกใจ กระทั่งยามนี้ยังรู้สึกถึงความตายมายือน ทว่าเขากลับทำสีหน้าเหี้ยมโหดโดยพลัน ทั้งยังมีการเย้ยเยาะ เขากำลังเยาะเย้ยซูหมิงที่คิดจะสังหารตน เห็นว่าเป็นเพียงเรื่องตลก
ดรรชนีที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วอย่างไร มีกฏอยู่ เขาชื่อหยางถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่ตาย!
เสียงแหลมเล็กดังสนั่นแก้วหู นิ้วชี้มือขวาซูหมิงฉีกมวลอากาศเข้าไปใกล้ระหว่างคิ้วชื่อหยาง ตอนนี้เองตรงหน้านิ้วมือซูหมิง…ปรากฏตาข่ายใหญ่ฟ้าดินขึ้น!
ตาข่ายนี้แทบจะโปร่งใส มันขวางระหว่างดรรชนีซูหมิงกับชื่อหยางเอาไว้