นั่นคือ…เซินมู่!
มหาเต๋าสูงศักดิ์เซินมู่ ตอนนั้นเคยไปเยือนสำนักเจ็ดจันทรา ตอนนี้เปิดสงครามครั้งแรกกับสำนักเจ็ดจันทราเพราะฐานะองค์ชายสามของซูหมิง ก็เป็นคนนี้ที่ออกหน้า
แม้สงครามครั้งนั้นสำนักเอกะเต๋าจะถอยไป แต่ท่าทีของเซินมู่กลับกดขี่อยู่เหนือสำนักเจ็ดจันทราในสงครามครั้งนั้น บีบจนพวกกู่ไท่ต้องยอมรับเดินพัน จากตรงนี้จะเห็นได้ถึงความโอหังของเซินมู่
เสียงแค่นขึ้นจมูกของเขาเพิ่งดังไปทั่วสำนักเอกะเต๋า ร่างเงาเขามาปรากฏอยู่ตรงหน้าซูหมิงแล้ว ตอนที่เข้ามาใกล้ยังไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารอะไรมากนัก แค่กดนิ้วเหมือนหมายจะทำลายล้างฟ้าดินไปยังซูหมิง
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทิศ ตอนนี้เองเซินมู่หน้าเปลี่ยนสี ถอยไปหลายสิบจั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นจ้องซูหมิง
ซูหมิงลดมือขวาลง ดรรชนีแห่งการทำลายล้างของเซินมู่นั้นถูกซูหมิงแก้ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ยามนี้เมื่อลดมือขวาลงแล้วก็มองเซินมู่อย่างเย็นชาด้วยสีหน้าปกติ
“ท่านดูแปลกตามาก แซ่เซินไม่เคยได้ยินว่าในสำนักแคว้นกู่จั้งมีมหาเต๋าสูงศักดิ์คนใหม่ปรากฏ ในเมื่อมาแล้ว ในเมื่อประกาศกร้าวว่าจะทำลายสำนักเอกะเต๋า เช่นนั้นก็ควรบอกฐานะตัวเอง!” เซินมู่มองซูหมิงพลางพูดอย่างเย็นชา ทว่าในใจตอนนี้กลับสั่นสะท้าน กระทั่งตกใจเล็กน้อย เพราะการโจมตีของเขาเมื่อครู่นี้มิใช่ธรรมดา นั่นคือหนึ่งในอภินิหารที่แกร่งที่สุด เป็นดรรชนีที่โจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว กระทั่งมากพอจะต่อต้านผู้แข็งแกร่งมหาเต๋าสูงศักดิ์เหมือนกัน
ทว่า…ตอนนี้ชายหนุ่มชุดคลุมดำภายในแววตากลับแก้ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ถึงขั้นไม่ถอยไปแม้แต่น้อย ทุกอย่างมากพอจะอธิบายได้เรื่องหนึ่ง
‘คนนี้…คือผู้แข็งแกร่งในมหาเต๋าสูงศักดิ์!’ เซินมู่ใจเต้นระรัว เขารู้ชัดว่ามหาเต๋าสูงศักดิ์ก็มีการแบ่งระดับความอ่อนแอและแข็งแกร่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าถึงในใจเขาจะเต้นระรัว แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายมากนัก เพราะถึงจะมีความแข็งแกร่งและอ่อนแอที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทว่าตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ ระหว่างมหาเต๋าสูงศักดิ์ในแคว้นกู่จั้งยังไม่เคยเกิดเรื่องสังหารกันมาก่อน
“มหาเต๋าสูงศักดิ์ลืมแซ่ซูไปแล้วรึ?” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ พร้อมเดินหน้าหนึ่งก้าว พริบตาที่ก้าวเท้าลง เขายกมือขวาทำสัญลักษณ์มือชี้ไปข้างหน้า ฉับพลันนั้นมวลอากาศตรงหน้าระเบิดออก หมุนตลบเป็นชั้นๆ ลุกลามไปหาเซินมู่
“ข้าตาหามีแววไม่ จำเจ้าไม่ได้จริงๆ” เซินมู่ตอบกลับพลางคว้ามือขวาลงข้างล่าง ช่วงที่ยกขึ้น ระลอกคลื่นขยายออกเป็นวงกว้างเข้าปะทะกับมวลอากาศระเบิดของซูหมิงที่ลุกลามเข้ามา เกิดเสียงอึกทึกกึกก้องอีกครั้ง เซินมู่หน้าเปลี่ยนสี ร่างเซถอยไปหลายสิบจั้ง
“เจ้าจะจำได้เอง” ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ขณะพูดตอบพลันบินขึ้นเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปหาเซินมู่ สองคนปะทะกันในทันใด เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋านับไม่ถ้วนข้างล่างต่างตกใจตื่น มหาเต๋าสูงศักดิ์เซินมู่ที่สูงส่งในใจพวกเขา…ถอยไปไม่หยุด
เขากำลังถอย หลังการปะทะทุกครั้งจะถอยไป เหมือนอภินิหารของชายหนุ่มชุดคลุมดำตรงหน้ามีความแกร่งที่ตนไม่อาจต่อต้าน อีกทั้งในมุมมองเซินมู่ ในตัวอีกฝ่ายมีกลิ่นอายพลังอย่างหนึ่ง กลิ่นอายพลังนั้นห้าวหาญไม่เกรงกลัวผู้ใด ขอเพียงตนถอยหนึ่งก้าว เช่นนั้น…ก็ต้องถอยไปเรื่อยๆ!
เวลานี้อีกฝ่ายเป็นใครไม่สำคัญแล้ว สิ่งสำคัญคือเซินมู่พบว่าตนเป็นฝ่ายโจมตีก่อนไม่ได้ ท่ามกลางเสียงระเบิด ตัวเขาถอยไปด้วยความเร็วถี่ขึ้นเรื่อยๆ แทบจะถูกซูหมิงผลักไปตลอดทางตรงไปยังรูปปั้นยักษ์นั้น
เรื่องนี้น่าตกใจอย่างยิ่งสำหรับเซินมู่ เพราะการโจมตีก่อนไม่ได้แบบนี้เกิดขึ้นยากมากระหว่างการต่อสู้กันของมหาเต๋าสูงศักดิ์ ถึงอย่างไรก็เป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์ ฝึงฝนถึงเกือบจุดสูงสุดแล้ว ไม่ว่าใช้อภินิหารใดล้วนทำลายฟ้าดินได้ ดังนั้นหากถูกควบคุมแบบนี้ ก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว
‘เขา…เขายังไม่ได้กำลังทั้งหมด นี่ต้องมีความชำนาญสูงถึงต่อสู้สบายๆ แบบนี้ได้!’ ความเป็นไปได้นี้สร้างความตกใจแก่เซินมู่ อีกทั้งเขายังคับอกคับใจเล็กน้อย เพราะที่นี่คือสำนักเอกะเต๋า เขาจึงจงใจไม่ใช่อภินิหารที่ใหญ่เกินไป มิเช่นนั้นไม่ต้องให้คู่ต่อสู้ลงมือ สำนักเอกะเต๋าก็ถูกอภินิหารตนทำลายแล้ว
ชั่วขณะที่ตัวเขาจะถูกผลักเข้าไปใกล้รูปปั้น มีเสียงถอนหายใจดังแว่วมา
“ไฉนสหายต้องทำเช่นนี้” เมื่อเสียงถอนหายใจดังขึ้น มีชายชราผมแดงฉานคนหนึ่งเดินออกมาจากอีกรูปปั้นไกลๆ ก้าวยาวตรงมาหาซูหมิง เพียงก้าวเดียวก็เข้ามาใกล้ซูหมิงโดยพลัน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ พลังมหาศาลของมหาเต๋าสูงศักดิ์ถาโถมฟ้าดิน หมุนม้วนตรงไปหาซูหมิง
“ข้าชื่อหยาง หากสหายจะหยุดแค่นี้พวกข้าจะไม่ขวาง ถือว่าเรื่องในวันนี้เข้าใจผิดกัน คิดเห็นอย่างไร” คำพูดชายชราผมแดงฉานดังตามเสียงครึกโครมนั้น
ระหว่างที่อภินิหารของชื่อหยางหมุนม้วนฟ้าดินกลายเป็นพายุคลั่งโถมเข้าไปใกล้ซูหมิง ตอนนี้เองดวงตาเซินมู่วาววับ เขาหมุนตัวกลับไม่ถอยอีกแต่พุ่งไปหาซูหมิง สองมือประสานมุทรา ฟ้าดินตรงหน้าบิดเบี้ยว ร่างเงาเขาเหมือนแยกเป็นร่างแยกหลายร้อย ทุกร่างเงาต่างใข้อภินิหารต่างกันใส่ซูหมิง
ซูหมิงยิ้มเยาะมุมปาก ยกมือขวาทำสัญลักษณ์มือเป็นฝ่ามือต้านเซินมู่ ส่วนมือซ้ายทำสัญลักษณ์มือแล้วชกหมัดใส่กลางพายุคลั่งที่เข้ามาใกล้
พริบตาที่ชกหมัดมีพลังน่าตะลึงปะทุมาจากกำปั้นซูหมิง ส่งเสียงดังสนั่นไปรอบๆ ทั้งยังก่อแรงปะทะโถมไปเป็นวงกว้าง ทั้งสำนักเอกะเต๋าอยู่ในเสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหู
ผู้ฝึกฌานข้างล่างมีไม่น้อยที่โลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด ต่อมาคนที่มีพลังค่อนข้างสูงรีบวางวงแหวนอาคม ทั้งยังมีผู้อาวุโสสำนักเอกะเต๋าร่วมมือกันบนแผ่นดิน สร้างเป็นผนึกคุ้มกัน
ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ที่บรรลุเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋าทั้งหมดเจ็ดคนต่างบินออกมาแล้วนั่งขัดสมาธิกลางฟ้าดิน ภารกิจของพวกเขามีเพียงอย่างเดียวคือปกป้องศิษย์สำนักเอกะเต๋า
ท่ามกลางเสียงอึกทึก มือซ้ายซูหมิงคือชื่อหยาง มือขวาคือเซินมู่ ใช้พลังตัวคนเดียวต้านการลงมือของมหาเต๋าสูงศักดิ์สองคน ตัวเขายังคงแน่นิ่งกลางอากาศ ทว่าเซินมู่กลับหน้าเปลี่ยนสี ถอยไปในฉับพลัน เสียงโครมครามดังอย่างต่อเนื่อง จนเขาถอยไปร้อยจั้งถึงมีโลหิตไหลจากมุมปาก ยามที่เงยหน้าขึ้นยังมองซูหมิงด้วยแววตาเหลือเชื่อและตกใจ
อีกด้านของซูหมิง ตอนนี้ชายชราชื่อหยางหน้าเปลี่ยนสี ถอยไปร้อยจั้ง ก่อนมองซูหมิงด้วยสีหน้าจริงจังอย่างชัดเจน
เหมือนกับเซินมู่ พวกเขาสองคนไม่คิดว่าชายหนุ่มชุดคลุมดำตรงหน้าจะแกร่งถึงขนาดนี้ ต่อต้านสองคนด้วยตัวคนเดียว ทว่ากลับไม่หน้าเปลี่ยนสีเลย
‘นี่ไม่ใช่เพียงบรรลุขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์ แต่ยังมีพลังเหลือล้นเกินจินตนาการอีก!’
‘เขาบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ แต่พลังจริงๆ ในตัวเขา…น่ากลัวกว่าขั้นพลังนี้ไปไกลมาก!’
ทันทีที่ชื่อหยางกับเซินมู่ถอย มีฝ่ามือแก่ชราข้างหนึ่งโผล่มาจากมวลอากาศข้างหลังซูหมิงเงียบๆ ก่อนกดฝ่ามือเข้าที่แผ่นหลังซูหมิง
การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เงียบเชียบเท่านั้น แต่ยังใช้โอกาสได้อย่างแม่นยำยิ่ง นั่นคือช่วงที่ซูหมิงบีบให้ชื่อหยางกับเซินมู่ถอยไป ภายในฝ่ามือนั้นมีพลังทำลายล้างรุนแรง ทว่ากลับไม่กระจายออกมาข้างนอก พริบตาที่จะสัมผัสซูหมิงนั้น…
ดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วซูหมิงขยับประกายวูบไหว มหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดในดวงตาที่สามเพียงแค่ลืมตาขึ้น แสงดำเปล่งวาบมาจากในดวงตาที่สาม แสงปกคลุมทั่วร่างเขา ส่งผลให้ฝ่ามือนั้นปะทะกับม่านแสงดำ
เสียงอึกทึกดังกังวาน ซูหมิงคว้ามือขวาไปข้างหลังอย่างไม่ลังเล มวลอากาศข้างหลังบิดเบี้ยวก่อนพังลง เผยร่างเงาแก่ชราออกมา นั่นคือชายชราร่างเตี้ย สวมชุดคลุมดำทั้งตัว ยามนี้มีสีหน้าค่อนข้างจริงจัง ถอยไปหลายก้าว รวมกับชื่อหยางและเซินมู่เป็นค่ายกลปิดล้อมสามทิศ
“ในที่สุดก็ออกมาเสียที” ซูหมิงยืนอยู่กลางสามคนปิดล้อม เอ่ยขึ้นเรียบๆ
ตอนนี้เองม่านแสงดำวนเวียนรอบตัวซูหมิง แสงดำสะท้อนเข้าไปในดวงตาสามคน ทำให้ชื่อหยางกับเซินมู่หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง นัยน์ตา…ฉายแววเหลือเชื่อ
“เป็นครั้งแรกที่ข้าพบมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่มีพลังเหนือกว่าขั้นพลัง มิใช่มีพลังเท่ากับขั้นพลังอย่างพวกข้า…
องค์ชายสามมีพลังหยั่งลึก หากไม่ใช่เพราะควบคุมพลังเอาไว้ เกรงว่าคงปะทุพลังของเทพเต๋าขั้นเก้าออกมาได้ เพียงแต่แซ่ไป๋ขอถามข้อหนึ่ง หลินตงตงสบายดีหรือไม่?” ไป๋ลู่กล่าวเนิบช้าด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ ซูหมิงในตอนนี้เป็นแบบนั้น ความหยั่งลึกของพลังเขามีสาเหตุมาจากต้นพิสูจน์เต๋า เหนือกว่าขั้นพลังตัวเอง ก็เหมือนกับมีน้ำที่มากพอ แต่ปากขวดใหญ่ได้แค่นั้น เลยทำได้เพียงปล่อยพลังได้อย่างจำกัด
ดังนั้นเขาถึงไม่ตกเป็นรองให้กับสามคน เพราะซูหมิงในตอนนี้…คือหมายเลขหนึ่งในมหาเต๋าสูงศักดิ์!
“แสงแห่งมหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดในขอบเขตพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ต่างจากคนอื่น และมีเพียงผู้เคาะเสียงวิญญาณเต๋าเก้าครั้งเท่านั้นถึงทำได้ แต่ตอนนี้คนที่เคาะเสียงวิญญาณเต๋าได้เก้าครั้งแล้วยังไม่บรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ก็มีเพียงคนเดียว นั่นคือ…องค์ชายสามที่หายตัวไปหลังมิติต้นพิสูจน์เต๋าพังลงเมื่อสองพันกว่าปีก่อน!” ชื่อหยางหรี่ตาจ้องซูหมิง หลังมองฐานะซูหมิงออกก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้วว่า…หากไม่ตายจะไม่ยอมเลิกรา
“ไม่นึกเลยว่าไม่ได้พบกันสองพันกว่าปีเจ้าจะกลายเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์แล้ว…” เซินมู่จ้องซูหมิงพลางพูดขึ้นเนิบๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
ชั่วขณะที่พวกเขาสามคนต่างพูดขึ้น ผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าข้างล่างที่ได้ยินดังนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี ในคนเหล่านี้มีบางส่วนที่เคยประสบมิติชั้นสามพังทลายในตอนนั้น ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้ ก็ต้องเคยได้ยินการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเวลาสองพันกว่าปีมานี้
นั่นคือความเสียหายที่สาหัสยิ่งต่อทุกสำนักทั้งแคว้นกู่จั้ง และเป็นการพังพินาศของมิติครั้งนั้นที่จบการแย่งชิงบัลลังก์ก่อนเวลา
แต่ตอนนี้ เมื่อพวกเขาพบซูหมิงอีกครั้ง ได้ฟังคำพูดของมหาเต๋าสูงศักดิ์สามคนในสำนักแล้ว ความตื่นตะลึงในใจพลันกลายเป็นพายุคลั่งส่งเสียงดังกระหน่ำ