มองไม่เห็นตะวันบนฟ้า ทั้งผืนนภาอึมครึมราวกับถึงช่วงเวลาร้อยภูตผีเดินในยามค่ำคืน สิ่งที่ต้องการคือฟ้ายามค่ำคืน มิใช่ยามกลางวัน ซูหมิงเดินอยู่ในเมืองภายใต้ฟ้าแบบนี้ จนช่วงที่เข้าไปใกล้ประตูเมือง เขาหันกลับไปมองพระราชวังแวบหนึ่ง ตรงนั้น เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังตี้เทียนรางๆ
กลิ่นอายพลังนี้มีการจากลาแบบยากจะได้พบกันอีกอบอวลอยู่ในเมือง ราวกับว่าค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเมืองโบราณที่ตายมาไม่รู้กี่ปีนี้ มีชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง หลอกจิตสำนึกตัวเองให้บอกตัวเองว่าทุกอย่างที่นี่เป็นของจริง
ซูหมิงถอนหายใจเบา เขาเข้าใจความยึดมั่นของตี้เทียน นั่นคือการคืนชีพซากศพเหล่านั้นที่วางในวงแหวนอาคมข้างบัลลังก์จักรพรรดิ
‘มีเพียงตัวเองคิดว่าที่นี่คือของจริงเท่านั้น พอคืนชีพให้คนเหล่านั้นแล้วก็จะไม่คิดว่าที่นี่เป็นของปลอม ตี้เทียน…’ ซูหมิงเงียบ เขาเหมือนได้รู้จักร่างเงาที่มีบุญคุณความแค้นกับตนมาหลายพันปีในโลกซางเซียงอีกครั้ง
‘เขาเลือกหลงทางเพื่อคนที่เขาจะคืนชีพ ยอมจมปรักอยู่ที่นี่ เส้นทางของข้า…อยู่ที่ใด’ ซูหมิงเดินออกจากเมืองไปเงียบๆ ตอนถึงนอกประตูเมือง เขาหันไปมองอีกครั้ง มองร่างเงาไร้หัวที่นั่งขัดสมาธิดั่งรูปปั้นบนเมือง
‘ศิษย์พี่ใหญ่…’ ซูหมิงเพ่งมองร่างเงาบนเมืองอยู่นานจนกระทั่งเด็กชายน้อยในอ้อมกอดลืมตาขึ้น ซูหมิงจึงหมุนตัวกลับเดินไกลออกไป
“พี่ใหญ่ ท่านรู้จักร่างเงานั้นบนเมืองด้วยรึ?” เด็กชายน้อยนอนอยู่ในอ้อมอกซูหมิง เงยหน้าขึ้นมองบนเมืองนั้นก่อนถามขึ้นด้วยเสียงเบา
“นั่นศิษย์พี่ใหญ่ของข้าเอง” ซูหมิงไม่หันมามอง แต่พูดเบาๆ
เด็กชายน้อยไม่พูดอีก เอาแต่มองร่างเงาไร้หัวบนเมือง…
ซูหมิงไม่ได้รบกวนการฝึกฝนของศิษย์พี่ใหญ่ เพราะการเลือกของซูหมิงต่างกับตี้เทียน นั่นคือเส้นทางอีกแขนงหนึ่ง นั่นไม่ใช่การหลงทาง แต่ทำลายความว่างเปล่าทุกอย่าง ลืมตาสองข้างของตน แสวงหาโลกที่แท้จริง
หากยอมหลงทาง เช่นนั้นตอนนี้หลังจากที่ซูหมิงเลือกแล้วเข้าจะเข้าใจ เขาจะเห็นร่างเงาไร้หัวลืมตาขึ้น เห็นศิษย์พี่ใหญ่ในความทรงจำ กระทั่งเขาเชื่อว่าจะต้องมีวิธีให้ใบหน้าคุ้นตาคนอื่นๆ มาอยู่ตรงหน้าตนอีกครั้งในโลกนี้ได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า…ทุกอย่างยังคงเป็นของปลอม ซูหมิงไม่เลือกเส้นทางแบบนี้ เขาต้องเดินต่างกับตี้เทียน
เส้นทางนั้นยากยิ่งกว่า ยาวยิ่งกว่า ตี้เทียนเดินไม่จบเส้นทางนี้ เขาเลือกหลงทาง แต่ยามนี้ร่างเงาซูหมิงเดินไกลออกไปใต้ฟ้าอึมครึม ทว่ากลับมีความเงียบเหงาแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่ เขา…จะไม่ยอมทิ้งเส้นทางของตัวเองอย่างเด็ดขาด
ตี้เทียนไม่เดินต่อซูหมิงก็เข้าใจ แต่เขาจะต้องเดินให้ถึงปลายทาง!
ร่างเงาซูหมิงเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด จนกระทั่งลับเส้นขอบฟ้า หายไปนอกเมืองโบราณนี้ จากไปไกลลิบ
“ข้าเห็นน้ำตาตรงหางตาศิษย์พี่ท่าน…” เด็กชายน้อยที่นอนพาดอยู่บนบ่าซูหมิงพูดขึ้นเบาๆ
ซูหมิงหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับไปเพ่งมองเมืองที่มองไม่เห็นแล้วถอนหายใจเบา
เวลาผ่านไป สิบปี ยี่สิบปี…จนกระทั่งผ่านไปอีกร้อยปี
ซูหมิงเดินทางในโลกที่เคยรุ่งเรืองครบสามร้อยฤดูกาลแล้ว ผ่านไปทีละปี ทีละวัน เดินผ่านซากปรักหักพัง ผ่านแม่น้ำภูเขา ผ่านทะเลทราย ผ่านไปแต่ละแผ่นดินใหญ่
จนกระทั่งมาอยู่แผ่นดินใหญ่ที่หก ซูหมิงหยุดอยู่หน้าภูเขาลูกหนึ่งเงียบๆ หลับตาลง ก่อนนั่งฌานใต้ฟ้ายามค่ำคืนที่มีดาวเต็มฟ้า
นั่งครั้งนี้กินเวลาไปสิบปี
เมื่อซูหมิงลืมตาขึ้น ทั้งโลกเหมือนจะต่างไปเล็กน้อย เขาไม่สนใจพลังตัวเอง ไม่ตรวจสอบว่าบรรลุขั้นพลังใด ราวกับว่าทุกอย่างไม่สำคัญสำหรับเขาอีกแล้ว
เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับพลังตัวเอง แต่เป็นการตระหนักรู้ พลังกับกำลังรบเป็นเพียงสิ่งที่ติดมาระหว่างการตระหนักรู้ ไม่ใช่จุดสำคัญ
“ไปเถอะ” ซูหมิงยืนขึ้น เด็กชายน้อยจับชายเสื้อซูหมิงเดินตามไป เดินไกลออกไปด้วยกัน การผันแปรของเวลาไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะความยินยอมของคน ไม่นานก็ผ่านไปอีกเก้าสิบปี
ซูหมิงอยู่ในโลกนี้มาสี่ร้อยปีแล้ว เขามาถึงแผ่นดินที่เจ็ด ดินที่นี่เป็นสีดำ มองไกลสุดลุกหูลูกตา ไม่มีภูเขา ไม่มีแม่น้ำ ไม่มีพืช มีเพียงสีดำไร้ที่สิ้นสุดประหนึ่งถูกสาป
มองไกลๆ แผ่นดินดำที่ไม่มีเทือกเขาคล้ายกับทะเลสีดำ เพียงแต่ไม่มีคลื่น คล้ายๆ กับทะเลมรณะ…
บางทีบนทะเลแบบนี้อาจจะมีเรือโบราณที่ลอยล่องไปชั่วนิรันดร์ลำหนึ่ง คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือนั้นคือผู้เฒ่าเมี่ยเซิงในความทรงจำซูหมิง
‘เขาอยู่ที่นี่’ ช่วงที่ซูหมิงมาถึงแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ เขาถอนหายใจเบา ไม่ได้จงใจตามหาบนแผ่นดินนี้ แต่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังขององค์ชายใหญ่โดยธรรมชาติ หรืออาจพูดได้ว่า…กลิ่นอายพลังของหลินตงตง
กลิ่นอายพลังนี้ยุ่งเหยิง มีชีวิตของผู้เฒ่าเมี่ยเซิง และยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพลังของเหลยเฉิน บุตรของซูเซวียนอี เพื่อนเล่นในวัยเยาว์ซูหมิง
“พวกเราจะพบกันหรือ?” เด็กชายน้อยจับชายเสื้อซูหมิงพลางถามขึ้นเสียงเบา
“เขาจะพบพวกเรา” ซูหมิงก้มหน้าลงลูบหัวเด็กชายน้อย ตอบกลับเบาๆ พร้อมกับเดินไกลออกไป จนกระทั่งมาถึงฤดูหนาวปีที่สิบสี่บนแผ่นดินที่เจ็ด ซูหมิงยังคงเดินต่อไปท่ามกลางหิมะโปรยราย
ช่วงที่แผ่นดินที่นี่กลายเป็นสีขาวทีทีละน้อย ซูหมิงเห็นภูเขาลูกแรกบนแผ่นดินนี้ นั่นคือยอดเขาสูงเสียดเมฆคล้ายๆ กับมือคน
นั่นคือ…ภูเขาทมิฬในความทรงจำซูหมิง เดิมทีมันอาจจะไม่มีอยู่ แต่ถูกคนสร้างขึ้นมา ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น เขาเห็นบ้านหลังหนึ่งใต้ภูเขา นอกบ้านนั้นมีร่างเงานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
ร่างเงานั้น มองแวบแรกเป็นองค์ชายใหญ่ แต่มองครั้งที่สองกลายเป็นเหลยเฉิน ตอนที่ซูหมิงเข้ามาใกล้ เหลยเฉินลืมตาขึ้น
“เจ้ามาแล้ว” เหลยเฉินยิ้ม
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงยิ้มเช่นกัน ก่อนนั่งลงข้างเหลยเฉิน
“พวกเขาล่ะ?” ซูหมิงถามขึ้น
“หลังมาถึงโลกนี้แล้วพวกเราก็แยกจากกัน พวกเขาไปที่ใด…ข้าไม่รู้” เหลยเฉินยกมือขวาโบกไป พลันปรากฏไหสุราขึ้นระหว่างเขากับซูหมิงหลายไห
“พวกเรา…คงไม่ได้ดื่มสุราด้วยกันมานานมากแล้ว? ข้ายังจำตอนภูเขาทมิฬได้ พวกเราไปขโมยสุราท่านปู่ด้วยกัน แล้วมานั่งแบบนี้ใต้ภูเขา” เหลยเฉินพูดเสียงเบา นัยน์ตาฉายแววหวนรำลึก
ซูหมิงเงียบ ครู่ต่อมาถึงหยิบไหสุราขึ้นมาวางไว้ตรงริมฝีปาก แต่กลับไม่พบสุราในนั้น มันว่างเปล่า…ทว่าของเหลยเฉิน ซูหมิงเห็นว่ามีน้ำสุราไหลมาจากมุมปาก ตกลงพื้นหิมะ
ภาพนี้ทำให้ซูหมิงมีสีหน้าเศร้าใจ ก่อนวางไหสุราลงช้าๆ
“เหตุใดถึงไม่ดื่ม? เจ้าก็รู้…กว่าพวกเราจะมาดื่มสุราครั้งนี้ได้ ข้า…รอเจ้ามาสี่ร้อยปี” เหลยเฉินยิ้มมองซูหมิง สีหน้าค่อยๆ เผยการผ่านโลกมาอย่างเนิ่นนาน
“เพราะเหตุใด?” ซูหมิงมองเหลยเฉินพลางถามขึ้นด้วยเสียงเบา
“เหนื่อยแล้ว…เหนื่อยล้าจากก้นบึ้งหัวใจ หลายปีมานี้ เหนื่อยมากๆ…” เหลยเฉินมีสีหน้าขมขื่น หลังหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่แล้วก็พ่นลมหายใจยาว
“ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ข้าพอใจมาก ที่นี่มีเจ้า มีท่านปู่ มีท่านพ่อ มีชาวเผ่าเขาทมิฬ และก็มีโลกของข้า” เหลยเฉินยิ้ม ภายในรอยยิ้มเปี่ยมล้นไปด้วยความพอใจ
“ข้าเสียดายอยู่อย่างเดียว ผ่านมานานมากแล้วก็ยังไม่ได้ดื่มสุรากับเจ้า…ชาติก่อน เจ้าคือพี่น้องข้า…ชาตินี้ เจ้าดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?” เหลยเฉินมองซูหมิง ดวงตาใส รอการเลือกของซูหมิง
ซูหมิงเงียบ เด็กชายน้อยข้างกายตึงเครียดขึ้นมา เขาจับชายเสื้อซูหมิงเหมือนว่าการเลือกครั้งนี้ ต่อให้เป็นเขาก็ยังเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่ง
“พี่ใหญ่…อย่าเลือกแบบนี้…” เฮ่าเฮ่ามองซูหมิง แทบจะเพิ่งกล่าวขึ้น ซูหมิงหยิบไหสุราขึ้นมาแล้ว
ถือไหสุราอยู่อย่างนั้นเงียบๆ หลับตาลงช้าๆ เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงหิมะโปรยปราย เหมือนไม่สนใจการมาและจากไปของกาลเวลา จึงยังคงตกลงบนพื้นดิน…
เมื่อซูหมิงลืมตาอีกครั้ง มองหิมะแห่งฟ้าดิน มองภูเขาทมิฬ มองเหลยเฉิน เขาเห็นอยู่รางๆ ว่านอกบ้านนั้น ความจริงแล้วเป็นชนเผ่าคุ้นตา ในชนเผ่าห่างไปไม่ไกลนัก ท่านปู่กำลังยืนมองอยู่ตรงนั้น ยังมีเป่ยหลิง เฉินซิน และยังมีใบหน้าในอดีตกำลังมองซูหมิง
ซูหมิงก้มหน้าลง ไหสุราในมือไม่ว่างเปล่าอีก แต่มีน้ำสุรา เพียงแต่ว่าเด็กชายน้อยข้างกายหายไปแล้ว
ซูหมิงมองเหลยเฉินก่อนดื่มสุราในไหไปอึกหนึ่ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเหมือนปลดปล่อยความเหนื่อยล้า สลายความซึมเศร้า ดื่มสุราด้วยกันกับเหลยเฉิน กับสหายคนแรกในชีวิต กับพี่น้องในชนเผ่าใต้ภูเขาทมิฬ
เวลาผ่านไป จากฟ้าสว่างมาเป็นคืนมืด เหลยเฉินกับซูหมิงส่งเสียงหัวเราะดังก้อง ดื่มสุราไปทีละไห พูดถึงเรื่องอดีต เอ่ยถึงความงดงามในอดีต
“ข้ายังจำตอนที่เจ้าเจอไป๋หลิงครั้งแรกได้ ฮ่าๆ หากไม่ใช่เพราะวันนั้นพวกเราไปที่ตลาดกลางของชนเผ่าพวกนั้น ข้าว่าเจ้าคงไม่เจอไป๋หลิงหรอก” เหลยเฉินวางไหสุราลง
“ข้าก็จำเด็กสาวที่เจ้าชอบในตอนนั้นได้ แต่ข้าไม่เห็นพ้องกับสายตาเจ้ามาโดยตลอด…” ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มงดงามมาก ราวกับว่ามีความไร้เดียงสาดั่งในอดีต ใสสะอาดบริสุทธิ์
เหลยเฉินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะทันที ก่อนส่ายหน้าเหมือนปลงอนิจจัง
“ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ยังเยาว์วัย ข้าเห็นเจ้ากับไป๋หลิงสนิทสนมกันมาก เลยคิดว่าข้าน่าจะมีคนใกล้ชิดไว้บ้าง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงคิดว่านางนั้นใช้ได้ เพียงแต่ตอนนี้นึกย้อนกลับไป ข้าจำนามของนางไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ”