ผลพิสูจน์เต๋าออกผลเจ็ดครั้ง กำเนิดไข่มุกวิญญาณหวนคืนเจ็ดเม็ด เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายแย่งชิงเจ็ดเม็ดนี้ ครั้งก่อนสำนักเจ็ดจันทราชิงไข่มุกวิญญาณหวนคืนในการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าครั้งที่เจ็ดไปได้!
ทว่าเรื่องที่สำนักเจ็ดจันทราได้สิ่งนี้มาก็ถูกลืมไปบ้างแล้วเพราะเวลาผ่านมานานเกินไป แต่หากนึกย้อนกลับไป ก็พอจะจำความยากเข็ญในครั้งนั้น
เต้าหานยืนบนเมฆดำอย่างสงบนิ่ง มองฟ้าไกลๆ ด้วยสีหน้าหวนลำรึก นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาร่วมการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋า เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขาไม่ใช่คนที่ก้าวเข้าไปในมิติแตกชั้นสาม แต่จะสนับสนุนอยู่ชั้นหนึ่งกับสอง
จนถึงตอนนี้เขายังจำได้ว่าตอนที่ตนเข้าร่วมการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าครั้งแรก เขาเพิ่งเข้าสำนักเจ็ดจันทรามาไม่นาน แต่ด้วยพรสวรรค์น่าตกตะลึงจึงได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญ กลายเป็นผู้รับการสนับสนุนคนสำคัญในชั้นสามจากสำนักเจ็ดจันทรา
ศึกครั้งนั้นเขาสังหารไปเยอะมาก สังหารจนมีชื่อเสียง สังหารจนโลหิตไหลเป็นสายน้ำ ส่วนตนบาดเจ็บสาหัส สหายร่วมสำนักทุกคนข้างกายตายไปทีละคน สุดท้ายอาจเป็นเพราะโชค เขาจึงได้ผลพิสูจน์เต๋าลูกใหญ่นั้นมา
สำนักเจ็ดจันทราได้รับเกียรติยศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ครั้งนั้นกู่ไท่ปกป้องตนที่โซเซถูกล่าสังหารมาจากชั้นสามด้วยความตื่นเต้น ตลอดทางโลหิตย้อมผืนฟ้า จนพาเขากลับสำนักเจ็ดจันทรา
จากนั้นมากู่ไท่รับเขาเป็นศิษย์ กลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในสำนักเจ็ดจันทรา และไข่มุกวิญญาณหวนคืนนั้นได้เป็นสมบัติสืบทอดของสำนัก ผู้อาวุโสใหญ่ที่ปกครองสำนักทุกสมัยจะได้ครอบครอง
ผ่านไปนานมากจนถึงตอนที่เขาได้เป็นผู้ปกครอง เขามองไข่มุกวิญญาณหวนคืน ในความคิดมักจะลอยขึ้นมาเป็นใบหน้าสหายก่อนตายในตอนนั้น
ตอนนี้เขาเข้าร่วมการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าอีกครั้ง แต่เขาไม่ใช่จุดสำคัญอีก จุดสำคัญในครั้งนี้คือซูหมิง เต้าหานเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง
‘ตอนที่เขากลับมา หากสำเร็จจะปลงอนิจจังเหมือนกับข้าหรือไม่’ เต้าหานหลับตาลง ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพหลังจากตนเข้าไปในชั้นสามของต้นพิสูจน์เต๋าแล้วก็ระมัดระวังตลอดทาง ตื่นตัวตลอดทาง นั่นคือมิติที่มีแต่คำว่าหากเจ้าตายข้ารอด นั่นคือ…การแข่งขันแห่งความเป็นตาย
‘ดีที่ที่นั่นเป็นมิติแตก โดยเฉพาะชั้นสามที่ไม่เสถียรอย่างยิ่ง เลยมีเพียงต่ำกว่าเต๋าสูงศักดิ์ที่เข้าไปได้ ระดับเต๋าสูงศักดิ์จะเข้าไปไม่ได้ จะถูกขับไล่ออกมา’ เต้าหานลืมตาขึ้น สีหน้าเรียบนิ่ง ถอนหายใจพลางไม่นึกถึงอดีตอีก
สวี่จงฝานก็มองซูหมิงเช่นกัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้ามาช้าๆ หลายก้าว ก่อนนั่งลงข้างซูหมิง
“จงระวังตัวตลอดทาง…” สวี่จงฝานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบา
ซูหมิงลืมตาจากฌานสมาธิมองสวี่จงฝาน คนที่จู่ๆ ก็เรียกตัวเองว่าอาจารย์คนนี้ ยามนี้มองไปเป็นห่วงซูหมิงจากใจจริง ต่อให้ทำเพื่อพลัง เพื่อดวงชะตา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ซูหมิงจำเอาไว้แล้ว
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในมิติชั้นสามเป็นคนแรก เพราะจะกลายเป็นเป้าของทุกคน ต่อให้ไม่ได้ผลเต๋ามาก็ไม่เป็นไร” สวี่จงฝานมองซูหมิงด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาตรึกตรองอยู่อีกเล็กน้อยแล้วหยิบขวดยาออกมาขวดหนึ่ง วางไว้บนมือซูหมิง
“นี่คือ…ยาแกล้งตาย! กินแล้ววิญญาณจะสลายไปครึ่งชั่วยาม หากเจออันตรายเป็นตายให้กินเสีย แกล้งตายเอาชีวิตรอด” สวี่จงฝานพูดเสียงเบา พูดจบก็มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินไปข้างหลัง
ซูหมิงมองขวดยาในมือแล้วหันไปมองเงาแผ่นหลังสวี่จงฝาน ก่อนเก็บขวดยาไปเงียบๆ
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามอย่างรวดเร็ว ซูหมิงที่นั่งอยู่บนเมฆดำเห็นแผ่นดินข้างล่างอยู่ไกลๆ จนกระทั่งเห็นภาคกลางของแคว้นกู่จั้ง เห็นเมืองที่ต่อให้มองจากบนฟ้าก็ยังใหญ่มหึมาอย่างยิ่ง!
ที่นั่นคือเมืองหลวงแคว้นกู่จั้ง และก็เป็นที่ที่ซูหมิงต้องมาในอีกสองพันกว่าปีจากนี้ เขายังจำได้ว่าอาจารย์ที่มีหน้าตาเหมือนกับเทียนเสียจื่อเคยบอกกับตนไว้ว่าตอนที่มาถึงประตูเมือง เขาจะรออยู่ที่นั่นเพื่ออธิบายความกระจ่างให้ครั้งสุดท้าย
พอเข้าไปใกล้เมืองหลวงกู่จั้ง ซูหมิงเห็นว่าบนฟ้าเมืองหลวงมีผู้ฝึกฌานไม่น้อยที่มาถึงก่อนแล้ว เขาไม่รู้จักผู้ฝึกฌานเหล่านี้ แต่มองจากกลุ่มพวกเขาแล้ว มีห้าสำนัก
พวกเขานั่งอยู่บนสมบัติล้ำค่าต่างกัน มีมังกรยักษ์เก้าหัว มีน้ำเต้ายักษ์ มีม่านแสง การมาของสำนักเจ็ดจันทราจึงกลายเป็นสำนักที่หกของที่นี่
ไม่มีใครกล่าว ผู้ฝึกฌานจากสำนักเหล่านี้ล้วนนั่งฌานอยู่บนของวิเศษจากแต่ละสำนัก หลับตาบำรุงจิต
จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง แต่ละฝ่ายกับสำนักทยอยกันมาถึง ซูหมิงเห็นสำนักเอกะเต๋า เห็นเซียนเยือกเย็นของฝ่ายอสุรา
ขณะเดียวกันเขาก็ยังเห็นองค์ชายใหญ่ที่มีผู้ฝึกฌานติดตามอยู่กลุ่มหนึ่งในสำนักเอกะเต๋า! ตอนนี้ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่ดูหนุ่มมาก กระทั่งในบางด้านเหมือนเหลยเฉินคนนี้กำลังมองซูหมิงอย่างเย็นชา
ทันทีที่สองคนสบตากัน เหมือนมีแสงกระบี่ขยับประกายจิตสังหารในดวงตาสองฝ่าย
จนกระทั่งสองคนละสายตากลับพร้อมกันแล้วมองร่างเงาที่ถูกหมอกโอบล้อมในฝ่ายอสุรา นั่นคือองค์ชายรอง นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงพบอีกฝ่าย ยามที่มองไป เขาไม่รู้สึกคุ้นเคยอะไรจากอีกฝ่าย
ซูหมิงหลับตาลงไม่สนใจอีก เมื่อยามโพล้เพล้มาถึง เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายมาถึงบนฟ้าของเมืองหลวงกู่จั้งกันแล้ว ผู้ฝึกฌานหลายล้านคนก่อเป็นพลานุภาพมหึมาปกคลุมฟ้าดิน
เมื่อทุกสำนักมาถึง ตอนนี้จึงเกิดพันธมิตรของแต่ละฝ่ายขึ้น ดูก็รู้ว่าพันธมิตรครั้งนี้มีสำนักเจ็ดจันทรา สำนักเอกะเต๋าและฝ่ายอสุราเป็นรากฐานที่รวมกลุ่มกันขึ้นมา
“อีกเดี๋ยวจะเปิดชั้นแรก ตอนที่เข้าไปในมิติแตก ไม่ต้องสนใจพันธมิตรที่ว่า ในเวลาปกติคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้อยู่ในการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋า อาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิดได้
ดังนั้น หากเข้าไปในมิติชั้นแรก ไม่ว่าข้างกายเป็นใคร ไม่ว่าข้างกายมีคนในสำนักหรือไม่ ต้องจำไว้ตลอดทางว่าหากมีโอกาสประทับตราแท่นบวงสรวงก็จงประทับตราทันที หากไม่มีโอกาสก็จงใช้ความเร็วสูงสุดไปรวมพลยังสัญลักษณ์ในแผ่นหยก!” เสียงกู่ไท่ดังกังวานในใจผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราสองแสนคนบนชั้นเมฆ
“การแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าทุกครั้งจะต้องบุกไปทีละชั้น ชั้นแรกมีแท่นบวงสรวงหนึ่งแสนแห่ง สำนักใดถึงห้าหมื่นก่อนเป็นสำนักแรกก็จะได้เข้าชั้นสองทันที หากไม่มีสำนักใดประทับตราแท่นบวงสรวงได้ห้าหมื่นแท่นก่อนเวลา สามสิบหกชั่วยามจากนี้สำนักที่ประทับตราได้มากที่สุดจะได้เข้าไปก่อน ในทางกลับกัน สำนักที่ได้ต่ำกว่าหมื่นจะไม่มีคุณสมบัติเข้าไปชั้นสอง!
ข้าทำสัญญากับสำนักพันธมิตรอื่นๆ เอาไว้แล้ว พวกเขาจะสนับสนุนสำนักเจ็ดจันทราเราอย่างสุดความสามารถ รับประกันได้ว่าจะต้องมีพวกเราเข้าไปชั้นสองอย่างแน่นอน! ทว่าจะเชื่อสัญญานี้ไม่ได้ทั้งหมด ต้องดูที่พลังของสำนักเจ็ดจันทราเองด้วย
ซูหมิง…ก็ต้องทำแบบนี้ รีบไปรวมยังจุดรวมพลให้เร็วที่สุด” ช่วงที่เสียงกู่ไท่ดังกึกก้อง มีเสียงต่ำดังแว่วมาข้างหูซูหมิงเบาๆ
“หากรีบมายังจุดรวมพลก็ได้รีบมา หากมาไม่ได้ก็ต้องหาที่ซ่อนให้ดี ในชั้นแรกจะปรากฏมหาเต๋าสูงศักดิ์ อันตรายมาก…ส่วนชั้นสอง มหาเต๋าสูงศักดิ์เข้าไม่ได้แล้ว แต่เต๋าสูงศักดิ์ก็มีอำนาจคุกคามเช่นกัน
ชั้นสามดีหน่อย แต่ว่า…ก็ไม่ดีเพราะครั้งนี้เกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ สัญญาจริงๆ ระหว่างข้ากับสำนักพันธมิตรอื่นๆ ไม่ใช่ที่ข้าพูดกับทุกคนก่อนหน้า แต่เป็น…การควบคุมการรบกวนของมิติข้างกายเจ้าอย่างสุดความสามารถ ให้เจ้าพาสุนัขห้าตัวนั้นไปได้…สุนัขใหญ่นั่นจะเข้าไปในชั้นสามได้อย่างราบรื่น!
เรื่องนี้มีความมั่นใจอยู่หลายส่วน แต่พวกเราทำแบบนี้ได้ สำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุราก็ทำได้เช่นกัน ดังนั้นแล้วในชั้นสาม เจ้าต้องระวังเป็นพิเศษ” เสียงกู่ไท่ดังเข้าถึงหูซูหมิง ซูหมิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ตอนนี้เอง ลำแสงสีส้มสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางเมืองหลวงกู่จั้งข้างล่าง ลำแสงนี้มีขนาดหลายร้อยจั้ง พุ่งขึ้นฟ้ามาจากในวงกลมที่ล้อมเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย เข้าไปในมวลอากาศบนฟ้า
เสียงโครมครามดังก้องฟ้าทั้งแคว้นกู่จั้ง ลำแสงสีส้มเหมือนจะย้อมสีผืนฟ้า ตรงสุดขอบฟ้าของลำแสงนั้นเกิดน้ำวนสีส้มยักษ์แห่งหนึ่ง หมุนโคจรบดบังฟ้าทั้งหมดในสายตา
ขณะที่น้ำวนยักษ์หมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ช่วงที่ลำแสงสีส้มหายไปในพริบตานั้น ตรงน้ำวนบนฟ้าเผยเป็นหลุมดำยักษ์แห่งหนึ่งทันที
“ต้นพิสูจน์เต๋าเผยออกมาแล้ว ผลของมันสุกแล้ว สหายจากสำนักทุกท่าน รักษาตัวด้วย…” เสียงราบเรียบแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามดังแว่วมาจากในแคว้นกู่จั้งข้างล่าง กึกก้องฟ้าดิน ช่วงที่ได้ยินเสียงนี้ ผู้ฝึกฌานแทบทุกคนมีสีหน้าเคารพ เพราะพวกเขารู้จักเจ้าของเสียงนี้ นั่นคือจักรพรรดิแห่งกู่จั้ง เป็นหนึ่งสามในเทพเต๋าขั้นเก้าในตำนานแคว้นกู่จั้ง!
ซูหมิงก้มหน้ามองไป เขามีความรู้สึกเหมือนถูกเพ่งมอง ราวกับว่าเมื่อครู่นี้มีคนกำลังเงยหน้ามองตนจากในเมือง
พริบตาที่คำพูดจักรพรรดิกู่จั้งจบลง มีแรงดูดยากจะบรรยายแผ่คลุมไปรอบๆ โดยพลัน อบอวลร่างผู้ฝึกฌานหลายล้านคนของเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นไปยังหลุมดำกลางน้ำวนนั้น
แทบเป็นช่วงที่ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราจะถูกดูดเข้าไปในน้ำวน กู่ไท่ยกสองมือขึ้นกดเมฆดำ เมฆดำพลันสลายไปกลายเป็นแผ่นหยกสองแสนม้วนปรากฏในมือคนสำนักเจ็ดจันทราทุกคน รวมถึงในมือซูหมิงก็มีแผ่นหยกเช่นกัน
“ใช้แผ่นหยกนี้สัมผัสแท่นบวงสรวง!” ขณะที่กู่ไท่กล่าวขึ้น ร่างเงาเขาถูกม้วนเข้าไปในน้ำวนแล้ว
ร่างเงาหลายล้านสายพุ่งเข้าไป ชั่ววูบเดียวก็กลายเป็นภาพน่าตื่นตกใจ ซูหมิงขยับวูบไหว เข็มทิศใต้เท้าหายไป พาสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวเข้าไปในหลุมดำน้ำวนบนฟ้าพร้อมกับร่างเงานับไม่ถ้วนข้างกาย