ผลพิสูจน์เต๋ามาจากต้นไม้พิสูจน์เต๋า ต้นไม้นี้ไม่อยู่ในแผ่นดินกู่จั้ง แต่อยู่ในพื้นที่แตกบนฟ้า ตำนานเล่าว่าเคยอยู่ในสมัยโบราณ ไม่ใช่ของแคว้นกู่จั้ง
แต่มหาจักรพรรดิกู่จั้งในตอนนั้นใช้พลังของเต๋าไร้ที่สิ้นสุดฉีกจักรวาลแล้วก้าวเข้าไปในโลกที่ถึงตอนนี้ลึกลับอย่างยิ่งต่อผู้ฝึกฌานแคว้นกู่จั้งแทบทุกคน กระทั่งมีไม่น้อยที่ไม่รู้จัก
โลกนั้นเรียกตัวเองว่าจุดเริ่มต้นแห่งจักรวาล ที่นั่นต่างหากคือบ้านเกิดของต้นพิสูจน์เต๋า มันเติบโตอยู่ที่นั่น กลายเป็นต้นไม้ยักษ์สูงระฟ้า หล่อเลี้ยงชีวิตของโลกนั้น ทำให้โลกนั้นมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน!
โลกนั้นมีเก้าแผ่นดิน ทุกแผ่นดินจะมีผีเสื้อตัวหนึ่ง นั่นคือวิญญาณแห่งแผ่นดิน คงอยู่เหมือนในโลกนั้นกับต้นพิสูจน์เต๋า ช่วยแผ่นดินใหญ่ในการขยายตัว
การเข้าไปของมหาจักรพรรดิกู่จั้งเป็นที่สนใจของโลกนั้นทันที จึงเกิดมหาสงครามขึ้น นั่นคือการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินระหว่างมหาจักรพรรดิกู่จั้งกับผู้แข็งแกร่งที่สุดของโลกนั้น ซึ่งถูกเรียกนามว่าโก่วหง
การต่อสู้ครั้งนั้นมีรายละเอียดอย่างไรนั้น นอกจากในราชวงศ์จะมีคัมภีร์ลับซึ่งคนที่ไม่ใช่จักรพรรดิจะอ่านไม่ได้แล้ว คนอื่นๆ ไม่มีทางรู้ รู้แค่ว่ามหาจักรพรรดิกู่จั้งบาดเจ็บสาหัสกลับมา ตอนที่กลับมา เขาลากต้นไม้แห่งพิสูจน์เต๋ามาด้วย ย้ายมันมาอยู่กลางเส้นทางระหว่างโลกแคว้นกู่จั้งกับโลกนั้น
ต่อมาผลเต๋านี้ได้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่ต้องรอนานมากกว่าจะได้เก็บเกี่ยวสำหรับผู้ฝึกฌานแคว้นกู่จั้ง!
ส่วนมหาจักรพรรดิกู่จั้ง เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้วก็เลือกปิดด่านนั่งฌาน แต่ว่า…หลายหมื่นปีหลังปิดด่านนั่งฌาน จักรพรรดิในตอนนั้นพบว่าตราชีวิตของมหาจักรพรรดิกู่จั้งแตกออกโดยบังเอิญ ด้วยความหวาดกลัวจึงเรียกรวมทั้งราชวงศ์ ก่อนเปิดห้องลับที่มหาจักรพรรดิกู่จั้งนั่งฌาน…กลับพบว่ามหาจักรพรรดิกู่จั้งหายตัวไป หายไปในแดนนั่งฌาน
นี่คือตำนานบันทึกไว้ในแผ่นหยกที่อยู่ในมือซูหมิง
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก มองแผ่นหยกในมือ นี่คือของที่กู่ไท่ส่งมา ภายในบันทึกประวัติเกี่ยวกับต้นพิสูจน์เต๋าไว้ เขาบีบแผ่นหยกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเกิดคลื่นลูกใหญ่เพราะหลายคำในนั้น
เขาบีบแผ่นหยกอยู่บนฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก ลมหายใจกระชั้นเล็กน้อย ดวงตาเริ่มไม่อาจสงบนิ่ง จึงเลือกหลับตาลง
แต่เมื่อหลับตา คลื่นลูกใหญ่ในใจยังคงยากจะสงบลง แต่กลายเป็นเสียงดังสนั่นในความคิดไม่หยุด
‘โลกนั้น เก้าแผ่นดิน ผีเสื้อเก้าตัวคือวิญญาณแห่งแผ่นดิน…หากผีเสื้อเก้าตัวนั้นคือซางเซียง…’ ซูหมิงลืมตาขึ้น
‘เช่นนั้นก็อธิบายที่มาของซางเซียงได้แล้ว หลังจากโลกนั้นเกิดเหตุไม่คาดคิดบางอย่างหรืออาจจะพังทลายลง พวกมันเก้าวิญญาณเลยหนีออกมา พวกมันบินไปในจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด อยากตามหาบ้านที่เหมาะสมกับตน สุดท้าย…ซางเซียงตัวหนึ่งเหนื่อยจึงพักอยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ บนปีกมันให้กำเนิดโลก’ ดวงตาซูหมิงวาววับ ฉายประกายขบคิด
‘มหาจักรพรรดิกู่จั้ง…มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ว่า ความจริงแล้วเสวียนจั้งไม่ใช่องค์ชายสาม แต่เป็น…มหาจักรพรรดิกู่จั้ง!’ ซูหมิงหรี่ตาแคบลง
‘ตอนนั้นมหาจักรพรรดิกู่จั้งสู้กับโก่วหงผู้แข็งแกร่งที่สุดของโลกนั้น แม้เขาจะชนะศึก แม้จะทำลายโลกนั้น แม้จะสังหารโก่วหง แต่เขาก็ต้องจ่ายในราคาบาดเจ็บสาหัส!
หลังจากเขากลับมาแคว้นกู่จั้งในตอนนั้นแล้ว เดิมทีคิดจะรักษาบาดแผล แต่สุดท้ายทำไม่ได้ ดังนั้นตราชีวิตถึงแตกออก…แต่เขาไม่ยอมตายไปแบบนี้ ไม่รู้ว่าใช้อภินิหารใดถึงนั่งอยู่บนเข็มทิศ นำไข่มุกวิญญาณหวนคืนเก้าเม็ดไปสูบซางเซียงในจักรวาลกว้างใหญ่ ตามหาวิญญาณหวนคืน…เป้าหมายก็เพื่อให้ตนคืนชีพ!’ ซูหมิงนึกถึงตรงนี้แล้วดวงตาขยับแวววาว ในใจเกิดเสียงครึกโครมดังสนั่น เขาพลันพบว่าหากการคาดเดานี้เป็นจริง เช่นนั้นความจริงแล้ว…
การยึดร่างเสวียนจั้งในตอนนี้คงจะล้มเหลวไปแล้ว เพราะเขาไม่ได้ต่อต้านเสวียนจั้ง แต่เป็นองค์ชายสาม กระทั่งแม้แต่ฐานะจริงๆ ของอีกฝ่ายยังไม่รู้ จึงไม่ต้องพูดถึงวันที่ยึดร่างสำเร็จ
การค้นพบนี้ทำให้ตรงหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา เขาบีบแผ่นหยกในมือ ดวงตาสับสนทีละน้อย
ขณะเงียบอยู่นี้ เขาเลือกฝังเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ กลายเป็นหนึ่งในความคิดมากมายต่อโลกนี้ จากนั้นเก็บแผ่นหยก หลับตาลงช้าๆ
เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เขารู้ว่าจะเดินพลาดหนึ่งก้าวไม่ได้ หากเดินพลาดหนึ่งก้าว…เขาจะไม่ใช่เขา นี่คือการยึดร่างที่พูดได้ว่ายากที่สุดในชีวิต อีกทั้งยังพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ไม่ว่าเลือกหรือตัดสินใจอย่างไร เขาต้องคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนถึงเดินก้าวนั้น เพราะว่า…เส้นทางนี้หวนกลับไม่ได้
หากสำเร็จ ซูหมิงรู้ว่าตนจะกลายเป็นเสวียนจั้ง ตอนลืมตาขึ้นจะเห็นจักรวาลกว้างใหญ่ เห็นความหวังจะคืนชีพคนเหล่านั้นในความทรงจำ หากล้มเหลว…เขาเข้าใจว่าตนจะไม่ใช่ตนอีก การยึดร่างล้มเหลวทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นไม่ใช่เขาอีก แต่เป็น…เสวียนจั้ง
เวลาผ่านไปช้าๆ ขณะนั่งฌานอยู่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นหกสำนักเจ็ดจันทรา เวลาก็ผ่านไปอีกหลายสิบปี เมื่อเวลาผ่านไปดั่งสายน้ำ ก็ใกล้วันที่ต้นพิสูจน์เต๋าออกผลมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงในปีหนึ่ง ซูหมิงบนฟ้าเหนือฟ้าชั้นหกลืมตาขึ้น มองฝนยามใบไม้ร่วงข้างนอกพาความเย็นพัดเข้ามา มองแผ่นดินฝนตก เงาวิญญาณเต๋าขั้นสี่ภายในดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วไม่เลือนรางอีก แต่มีเค้าโครงเล็กน้อย หากไม่มีพลังภายนอกมากระตุ้นก็ต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ซูหมิงถึงอาศัยพลังตัวเองรวมวิญญาณเต๋าขั้นสี่ให้สำเร็จได้
ช่วงที่ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาข้างนอก มีเสียงระฆังดังก้องสำนักเจ็ดจันทรา เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนาน ก่อเป็นระลอกคลื่นฟ้าดิน ทำให้ฝนยามฤดูใบไม้ร่วงคล้ายจะสั่นไหว ผู้ฝึกฌานทุกคนในสำนักเจ็ดจันทราเงยหน้าขึ้น
เมื่อมีสายรุ้งยาวบินขึ้น ผู้ฝึกฌานเกรียงไกรเกือบหกส่วนของสำนักเจ็ดจันทราซึ่งมีมากกว่าสองแสนคนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นฟ้าสำนักเจ็ดจันทรา
กู่ไท่ สวี่จงฝาน เต้าหาน…ผู้อาวุโสใหญ่สิบสามท่านเคลื่อนไหวกันทั้งหมด และยังมีผู้อาวุโสส่วนใหญ่ติดตามไปด้วย พาผู้ฝึกฌานสองแสนคนขึ้นฟ้าไปกลางฝนฤดูใบไม้ร่วงพร้อมกัน
ขณะเดียวกันใต้เท้าพวกเขาปรากฏเมฆดำขึ้น เมฆมหึมา ปกคลุมแผ่นดิน คลุมสำนักเจ็ดจันทรา ให้ผู้ฝึกฌานสองแสนคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเมฆดำได้
ภายในชั้นเมฆมีแสงสายฟ้าวูบไหว อัดแน่นไปด้วยแรงกดดันรุนแรง นี่ดูเหมือนเป็นวัตถุของเมฆดำ แต่ความจริงแล้วเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีพลานุภาพอย่างยิ่งของสำนักเจ็ดจันทรา นอกจากพลานุภาพของตัวมันเองแล้ว ยังข้ามผ่านมวลอากาศฟ้าดินได้ พาผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราตรงไปยังสงครามแห่งพิสูจน์เต๋า
“ซูหมิง!” เสียงกู่ไท่ดังก้องฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก ซูหมิงยืนขึ้นช้าๆ
“ถึงเวลาแล้ว พวกเรา…จะไปร่วมสงครามพิสูจน์เต๋ากับเจ้า!” พริบตาที่เสียงกู่ไท่ดังแว่วมา ผู้ฝึกฌานสองแสนกว่าคนบนเมฆดำต่างพากันพูดยินยอมพร้อมกัน!
คำพูดนี้เป็นระเบียบ ตอนที่เสียงดังขึ้นยังเหมือนฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครมกึกก้อง ปรากฏเข็มทิศขึ้นใต้เท้าซูหมิง เขายืนอยู่บนนั้นกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งขึ้นฟ้าไป สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังก็ตามมาเช่นกัน สายรุ้งยาวหกสายรวมซูหมิงขยับวูบทะลวงผ่านฟ้าเหนือฟ้าชั้นหกมาปรากฏตรงหน้าเมฆดำนั้น ก่อนก้าวขึ้นไปบนเมฆดำ
แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงมาถึง เมฆดำเกิดเสียงอึกทึกขึ้น มันพุ่งไปข้างหน้าโดยพลัน เหลือไว้เพียงเศษเงาบนฟ้าสำนักเจ็ดจันทรา ส่วนร่างจริงมันอยู่นอกสวรรค์เก้าชั้นไปไกลแล้ว
นานมากกว่าเศษเงานั้นจะค่อยๆ หายไป ทั้งในและนอกสำนักเจ็ดจันทราพลันปรากฏแสงจากวงแหวนอาคมนับไม่ถ้วน นั่นคือการเปิดวงแหวนอาคมทั้งสำนัก ต่อมาบนพื้นดินสำนักเหมือนถูกซ่อน ยามที่มองไปเห็นเพียงเทือกเขา…
เมฆดำพุ่งทะยานอยู่บนฟ้าด้วยความเร็วไม่มีขีดจำกัด ผู้ฝึกฌานสองแสนคนที่นั่งขัดสมาธิบนเมฆดำต่างเงียบงัน แต่จิตสังหารในแววตากลับรวมมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขารู้ว่านี่คือสงครามพิสูจน์เต๋าระหว่างเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย ทุกช่วงเวลาที่ยาวนานจะเกิดสงครามแบบนี้ครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้…เพราะมีเรื่องการชิงบัลลังก์ เลยส่งผลให้ความดุเดือดเหนือกว่าในอดีต
แต่…ขอเพียงชนะ ขอเพียงไม่ตาย เช่นนั้นสองพันปีจากนี้เมื่อชิงบัลลังก์สำเร็จ คนที่เข้าร่วมสงครามนี้ทั้งหมดจะได้ดวงชะตาเสริมร่าง ขั้นพลังพุ่งพรวด!
นี่คือดวงชะตาแห่งการชิงบัลลังก์ เป็นดวงชะตาของแคว้นกู่จั้ง!
ขณะเดียวกัน เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายบนแผ่นดินแคว้นกู่จั้งก็เดินทางคล้ายๆ กัน เมื่อแสงสว่างจากของวิเศษขยับประกาย ผู้ฝึกฌานจากทุกสำนักเคลื่อนตรงไปยังเมืองหลวงภาคกลางจากทุกทิศของแคว้นกู่จั้ง!
ตรงนั้นมีมิติแตกของต้นพิสูจน์เต๋า แบ่งเป็นสามชั้น ขอเพียงไปถึงชั้นสามก็จะได้เข้าไปในมิติที่มีต้นพิสูจน์เต๋าอยู่ ใครเข้าไปคนแรกจะชิงความได้เปรียบมา
ทว่าชั้นหนึ่ง ชั้นสองคือสงครามพิสูจน์เต๋าระหว่างเจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายที่จะแย่งชิงอันดับในการเข้าชั้นสาม!
นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดสงครามพิสูจน์เต๋าทุกครั้งถึงก่อให้เกิดการเข่นฆ่าอย่างดุเดือดของเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย ผลเล็กในผลเต๋าสองผลยังเป็นรอง สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดคือผลเต๋าผลใหญ่!
นั่นคือไข่มุกวิญญาณหวนคืน เป็นสมบัติล้ำค่าประจำสำนักได้ เล่าลือว่าสมบัติชิ้นนี้…มันมีประโยชน์มากที่สุด ให้คนตระหนักรู้ก้าวสู่ขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์ได้ เป็นวัตถุของเทพเต๋าขั้นเก้า!
อีกอย่าง ยิ่งได้มามากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสตระหนักรู้ได้มากเท่านั้น เรื่องนี้เป็นที่ยอมรับของกู่หวงในเมืองหลวงแล้ว ด้วยการประกาศอย่างเป็นทางการ วัตถุนี้มีประสิทธิผลแบบนี้จริงๆ แต่การใช้งานโดยละเอียดมีข้อมูลแค่สองสามส่วน เพราะคนต่างกัน ผลจึงต่างกันไปด้วย