“หืม? เจ้ายังไม่คารวะข้าเป็นอาจารย์อีกรึ?” ตาแก่ยืนอยู่นานในคืนมืด ร่างเหยียดตรง การแผ่พลังอำนาจ กลิ่นอายพลังที่มีข้าเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว ทุกอย่างนี้มากพอจะทำให้ผู้ฝึกฌานจำนวนมากใจสั่นสะท้าน โลหิตเดือดพล่าน
แต่ว่า…เขาแผ่พลังอำนาจมาครึ่งก้านธูปแล้วซูหมิงก็ยังคงเงียบ ชายชราจึงกลับมามีนิสัยเดิมทันที กล่าวเสียงดังด้วยความโกรธ
“จะจะเจ้า เจ้าไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว นานๆ ครั้งข้าถึงจะแสดงพลังอำนาจแบบนี้ แต่เจ้ากลับยังไม่คารวะข้าเป็นอาจารย์ เจ้าคิดจะยั่วโทสะข้ารึ ดีๆๆ วันนี้หากเจ้าไม่คารวะข้าเป็นอาจารย์ ข้าจะไม่นอน ไม่กินข้าว ไม่นอนสุขภาพก็ไม่ดี นอนไม่หลับจนตื่นเป็นธรรมชาติ ร่างกายก็ไม่ดี กินเนื้อสุนัขไม่ได้ร่างกายก็ไม่ดี!
ร่างกายไม่ดี ไม่กินข้าว ข้าก็จะตาย!” ตาแก่มาอยู่ข้างซูหมิงแล้วตะโกนเสียงดัง
ซูหมิงยิ้มเฝื่อนมองชายชราพลางถอนหายในเบาและยืนขึ้น สะบัดแขนเสื้อคุกเข่าตรงหน้าชายชรา
“ชีวิตนี้ข้าซูหมิงเคยรับอาจารย์เพียงแค่คนเดียว วันนี้นับจากนี้ ขอคารวะอาจารย์เป็นครั้งที่สอง อาจารย์อยู่สูง โปรดรับการคารวะของศิษย์!”
ตาแก่พลันยิ้มแย้มดีใจทันที แต่ก็ฝืนเก็บอารมณ์ไว้ พยายามให้ตนเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจปกปิดความดีใจทางสีหน้าได้ เมื่อกระแอมไอหลายทีแล้วเขาประคองซูหมิงขึ้นด้วยความลำพองดีใจ ตบหน้าอกตนพร้อมพูดเสียงดัง
“ดีๆๆ จากนี้ใครรังแกเจ้า ก็จงบอกนามของอาจารย์ คนที่รู้จักข้าจะตกใจจนฉี่อุจจาระราดทันที คนที่ไม่รู้จักข้า หึหึ อันนี้ค่อยว่ากัน…” ชายชราพูดขึ้นด้วยความอวดดี
“ศิษย์ บอกมาว่าเจ้าต้องการอะไร ขอแค่เจ้าเอ่ย อาจารย์จะฝ่าภูเขาดาบทะเลเพลิง ลุยน้ำลุยไฟ โกรธจนขนหัวพอง อะไรประมาณนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะทำให้เจ้าให้ได้!
เจ้าบอกว่าอยากกินสุนัขใหญ่สีขาวนั่น พวกเราสองคนจะตุ๋นเนื้อสุนัขกินในคืนนั้นเลย เจ้าบอกว่าชอบแม่นางก้นใหญ่ ย่านางเถอะ อาจารย์จะไปจับกลับมาให้เจ้า
เจ้าบอกมาว่าต้องการอะไร!” ชายชราสะบัดแขนเสื้ออย่างทะนงองอาจ มีท่าทีเหมือนว่าขอเพียงเจ้าพูด ข้าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
แต่ยังไม่ทันที่ซูหมิงพูด ชายชราก็กระพริบตาปริบๆ มองซูหมิงอย่างเก้อเขิน
“เจ้าอย่าขอมากเกินไปได้หรือไม่? อย่างเช่นทำลายล้างสำนักเอกะเต๋าหรือฝ่ายอสุรา หรือไม่ก็ชิงบัลลังก์จักรพรรดิกู่อะไรพวกนี้ เรื่องพวกนี้…อะแห่มๆ…”
“อาจารย์ทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้รึ?” ซูหมิงนั่งลงบนตอไม้อีกครั้งแล้วถามกลับ
“ใครบอกว่าข้าทำไม่ได้ เจ้าดูถูกข้า! ข้าทำได้ หากข้าจะทำเรื่องนี้ก็แค่ดีดนิ้วเท่านั้น นี่ไม่เท่าไร เพราะข้าไร้คู่ต่อสู้!” ชายชรามีท่าทางขมึงทึง เหมือนว่าเจ้าดูถูกข้า
“อะแห่มๆ ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นพวกเราวางเรื่องโต้เถียงกันไว้ก่อน เอ่อ…อาจารย์จะพูดถึงอภินิหารของข้าสักเล็กน้อย ข้ามีสองอภินิหารใหญ่ หนึ่งคือใช้ขวานตัดคน มันมีความตรงไปตรงมา ข้าศึกษามาแล้วว่าตัดหัวคนได้ ตัดร่างกายได้ ตัดทุกอย่างที่อยากตัดได้ ความแกร่งของอภินิหารนี้ ทั้งแคว้นกู่จั้งไม่มีใครที่ข้าตัดไม่ได้!
อภินิหารที่สองคือการสูบพลัง เฮอะๆ พูดถึงอันนี้ มันเป็นอภินิหารที่ข้าสร้างขึ้นเอง ต้องพูดว่าตอนที่ข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม ข้างกายข้ามีคนจำนวนมากที่มีคุณสมบัติดีกว่าข้า มีชีวิตที่ดีกว่าข้า มีพลังสูงกว่าข้า ข้าโกรธจึงเริ่มตัดคน ตัดไปตัดมาก็สร้างออกมาเป็นอภินิหารใช้มือช่วงชิงพลังคนอื่น
ขอเพียงข้าถูกใจก็จะช่วงชิงมาทันที ใครก็หนีไม่รอด!” ชายชรามีท่าทีลำพองใจ พูดไปพูดมาก็ย่อตัวลงข้างซูหมิงแล้วพูดเสียงเบา
“โดยเฉพาะผู้ฝึกฌานสตรี อภินิหารนี้จะมีผลดียิ่งกว่าเดิม ศิษย์ดี เจ้ามีเวลาจะต้องลองดูนะ มาๆๆ ตอนนี้อาจารย์จะมอบอภินิหารนี้แก่เจ้า” ชายชราพูดพลางคว้ามือขวาซูหมิงแล้วบีบ ทันใดนั้นกลางฝ่ามือขวาซูหมิงเกิดเป็นรอยตราเหมือนถูกประทับ
นั่นคือรอยตราแสงจันทร์ เมื่อปรากฏรอยนี้แล้ว ซูหมิงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่พอพิจารณามองพลันมีความรู้สึกว่าตรานี้เหมือนจะดึงดูดสายตาตนได้
กระทั่งหากเพ่งมองอย่างละเอียดจะพบว่ามวลอากาศฟ้าดินรอบๆ ไหลเวียนมาที่เขา เส้นสายต่างๆ มุดเข้าไปในตราประทับกลางฝ่ามือขวา
“มีอภินิหารนี้ ศิษย์ เจ้าจะไร้คู่ต่อสู้!” ชายชรามองซูหมิงอย่างจริงจังมาก ก่อนยืนขึ้นบิดเอว แล้วหมุนตัวเดินหาวเข้าไปในบ้าน
“ตัดฟืนต่อไป! ในเมื่อเป็นศิษย์ของข้าแล้ว จากนี้จะต้องตัดฟืนเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า จากนั้นเอาไปแลกเป็นเงินค่าสุรามาให้เยอะกว่าเดิม หึหึ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะไล่เจ้าออกจากการเป็นศิษย์” ชายชราพูดพร้อมกลับเข้าไปในบ้าน
ซูหมิงก้มหน้าลงยิ้มเฝื่อน ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่รู้สึกมั่นใจในอาจารย์คนนี้อยู่เล็กน้อย แต่บางทีอาจมีเหตุผลที่เป็นแบบนี้ ทำให้ซูหมิงนึกถึง…เทียนเสียจื่อ
ผ่านไปพักใหญ่ซูหมิงหยิบขวานขึ้นมาตัดฟืนต่อในลานยามกลางดึก
วันเวลาผ่านไปทีละวัน ชายชราจะกระโดดโลดเต้นออกมายามเช้าทุกวัน ตะโกนเสียงดังหลายประโยค พูดว่าหากสุขภาพดีสุขภาพจิตดีก็จะดีไปด้วย และยังไล่ตามสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวนั้นในลานบ้าน หัวเราะแปลกๆ ตลอดเวลา บอกว่าหากไล่ตามตัวไหนทันเย็นวันนั้นจะกินตัวนั้น ทำให้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวต้องเล่นกับเขาด้วยความหวาดกลัวและไม่เป็นสุข
ซูหมิงยังคงตัดฟืนอยู่ข้างๆ ต่อไป วันนี้เขาได้เรียนรู้การไม่จงใจฟันขวานแล้ว แต่ตัดฟืนออกเป็นสองท่อนอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเป็นธรรมชาติมากขึ้นจนไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แต่บางครั้งจะเอียงหน้ามองชายชราที่กระโดดโลดเต้นกับสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวนั้น
จนเวลาผ่านไปนาน สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวถูกไล่ตามแบบนี้ทุกๆ วันจนเกือบจะลืมว่าตนเป็นผู้ฝึกฌานไปแล้ว พวกมันเริ่มพบว่าตาแก่แค่ทำให้ตกใจกลัวเฉยๆ ไม่ได้คิดจะกินพวกมันจริงๆ ดังนั้นหลายเดือนต่อมา ส่วนใหญ่สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวจะทำพอเป็นพิธีไปเท่านั้น
จนกระทั่ง…วันหนึ่งชายชราโกรธขึ้นมา ตะโกนเสียงดังทำให้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวตัวสั่น ทั้งยังวิ่งหนีสุดชีวิต
“พวกเจ้าสุนัขรับใช้สองตัว คิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าแอบขี้เกียจมาตลอดหลายเดือนนี้รึ ดีๆๆ ศิษย์ข้าไม่ให้ข้ากินพวกเจ้า แต่ข้าล่วงเกินพวกเจ้าได้!
ย่ามันเถอะ วันนี้ข้าไล่ตามใครทัน มันต้องนอนกับข้าในบ้าน!” ความกระปรี้กระเปร่าจากคำพูดชายชราไม่เพียงทำให้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวตัวสั่น แต่ยังทำให้ซูหมิงที่แม้จะชินกับคำพูดชายชราที่น่าตกใจบ่อยครั้งแล้วก็ยังอึ้งไป
เขาพลันพบว่าจะดูถูกอาจารย์คนนี้ไม่ได้เลย ตอนที่เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจเขา เจ้ามักจะพบว่าแท้จริงแล้วในตัวเขา…ยังมีความชอบที่เจ้าคาดไม่ถึงอีกมากนัก
อย่างเช่น…ตอนนี้ซานไป๋ร้องโหยหวน กำลังจะถูกชายชราจับได้แล้ว…
ซูหมิงรีบหมุนตัวกลับตัดฟืนต่อไป
พริบตาเดียวซูหมิงก็อยู่กับชายชราอีกหนึ่งปี หนึ่งปีนี้สงบมาก เพียงแต่ว่าสุนัขใหญ่ในลานจากสองตัวก่อนหน้านี้กลายเป็นห้าตัว
สามตัวที่เพิ่มมามีนามซื่อไป๋ อู่ไป๋ แล้วอีกตัวก็มีนามว่าซานไป๋เช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่ซูหมิงเรียกซานไป๋ สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวจะวิ่งมาทันที
ส่วนสุนัขใหญ่อีกสามตัว ตัวหนึ่งมาจากสำนักเอกะเต๋า ที่เหลือ…มาจากฝ่ายอสุรา
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอีกครึ่งปี ซูหมิงได้รับสารจากกู่ไท่ พวกเขาหาที่อยู่คร่าวๆ ของแส้ดาราพบแล้ว กะประมาณว่าอีกหนึ่งเดือนก็จะหาตำแหน่งที่แม่นยำพบ ให้ซูหมิงเตรียมตัวเคลื่อนย้ายไปรับให้ดี
หนึ่งเดือนนี้เดิมทีซูหมิงคิดว่าจะได้ตัดฟืนอย่างสงบต่อไป แต่วันก่อนเดินทาง ช่วงที่แสงตะวันกำลังร้อนแรง มีเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ มาจากประตูลานบ้าน
แทบเป็นขณะเดียวกับที่ประตูลานบ้านเกิดเสียงเคาะ ตาแก่ที่กำลังกระโดดโลดเต้นไล่จับอู่ไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ซูหมิงยืนขึ้นเดินไปหน้าประตูลานบ้าน
“ไอ้บัดซบมาแล้ว เปิดประตูให้มัน!” ตาแก่แค่นเสียงขึ้นจมูก ซูหมิงมีสีหน้าปกติ แต่นัยน์ตาเป็นสมาธิเล็กน้อย ตอนที่เปิดประตูออก เขาเห็นบุรุษยืนอยู่ตรงประตูคนหนึ่ง
เป็นชายวัยกลางคนที่ดูสงบนิ่งมาก สวมอาภรณ์ยาวสีขาว เส้นผมดำแกว่งตามสายลม ตอนที่ยืนอยู่ตรงนั้นให้ความรู้สึกไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด ขอเพียงเจ้ามองเขา เจ้าจะมองข้ามทุกอย่างรอบตัวไปโดยไร้การควบคุม เหมือนว่าทั้งโลกนี้เหลือเพียงร่างเงาเขา
ซูหมิงมองชายวัยกลางคน อีกฝ่ายก็มองซูหมิงเช่นกัน ดวงตาเขาใสมาก ไม่มีคลื่นอารมณ์แฝงอยู่แม้แต่น้อย ยิ้มน้อยๆ ให้ซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ไม่กล่าว แต่หมุนตัวเดินไปนั่งบนตอไม้ หยิบขวานขึ้นมาตัดฟืนต่อ ชายวัยกลางคนยิ้มพลางเดินเข้าไปในลานบ้าน ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามา เห็นๆ อยู่ว่าในตัวเขาไม่ได้แผ่กลิ่นอายพลังใดๆ แต่กลับทำให้ลานแห่งนี้เหมือนบิดเบี้ยวในมิติ พลันมืดครึ้มลง แม้แต่สีสันของท้องฟ้ายังหายไปในพริบตา ราวกับว่าทั้งโลกเหลือเพียงชายวัยกลางคนจริงๆ
นี่คือความบ้าอำนาจที่ไม่เด่นชัด ไม่รุนแรง แต่กลับถึงจุดสูงสุด!
หากเผยมาภายนอกก็จะให้ความรู้สึกไม่ลึกซึ้ง แต่การเก็บอยู่ภายในต่างหากที่จะทำให้ความบ้าอำนาจสูงสุดของจิตใจเป็นเหมือนชายวัยกลางคนผู้นี้
เขาเดินเข้าไปในลานบ้าน ไม่กล่าว เมื่อกวาดสายตามองสุนัขใหญ่ห้าตัวแล้วก็ยังไม่มองชายชรา แต่เดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง มองเขายกขวานตัดฟืน
“ไม่เลว ถอยออกจากเรื่องชิงบัลลังก์ แซ่ซิวจะให้ฟ้าดินไม่สูญสลายแก่เจ้า มิเช่นนั้น เจ้าลำบาก ข้าลำบาก เขาก็ลำบาก” ชายชุดคลุมขาวพูดเสียงเบา ไม่มีความบ้าอำนาจแผ่ออกมา แต่คำพูดนี้กลับกลายเป็นฟ้าผ่าในใจซูหมิง ส่งเสียงดังก้องแทนที่ทั้งโลกจิตใจเขา พุ่งตรงไปหาดวงจิตซูหมิง เกิดเสียงดังสนั่นไร้รูปกับสี่ดวงจิตโลกแท้จริง
มือซูหมิงที่กำขวานอยู่หยุดชะงัก ก่อนเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองชายชุดคลุมขาวอย่างเย็นชาพลางพูดขึ้นเรียบๆ
“เจ้าดูถูกข้ารึ?”