ยามนี้เมื่อซูหมิงเข้าใจแล้วก็ยกขวานในมือขวาขึ้นฟันไปทางผู้ฝึกฌานซูบผอมที่เล็งไว้ในสายตาเหมือนตัดฟืนมาตลอดหลายเดือนนี้
ซูหมิงฟันขวานด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่เกิดคลื่นอารมณ์ใดๆ เหมือนจิตสำนึกทุกอย่างหลอมรวมเข้าไปในขวาน ขวานฟันลงในความสงบนิ่งทำให้ฟ้าดินเหมือนสั่นสะเทือน ท้องฟ้าพังทลายลงพร้อมกัน!
ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วนที่จะคว้าไข่มุกวิญญาณหวนคืนหรี่ตาลงดูตกใจตื่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาถอยร่นไปอย่างรวดเร็วและไม่ลังเล ทว่าผู้ฝึกฌานซูบผอมที่ซูหมิงเล็งเป้าเอาไว้เกิดขนลุกไปทั้งตัว เกิดความรู้สึกถึงอันตรายเป็นตายขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาคิดว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หรืออาจพูดได้ว่าอันตรายนี้ไม่มีทางเกิดจากองค์ชายสามขอบเขตวิญญาณเต๋าตรงหน้า!
กระทั่งเขายังไม่ทันตรึกตรองอะไร ยังไม่ทันคิดหลบก็ร้องโหยหวน เมื่อขวานฟันลง แขนขวาพลันหลุดออกจากร่าง
โลหิตพุ่งกระฉูด ภาพนี้สร้างความตกใจแก่ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วน ทั้งยังทำให้ผู้ฝึกฌานซูบผอมหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ดูหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็ถอยไปอย่างรวดเร็ว ยามที่มองซูหมิงมีความตื่นกลัว แต่ไม่นานก็มองขวานในมือซูหมิง!
ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วนได้สติกลับมา ก่อนจ้องขวานในมือซูหมิงตาเขม็ง
“จะ จะเจ้า ตัดฟืนแบบนี้อีกแล้ว ข้าชักจะโมโหเจ้าแล้ว” ตอนนี้เองประตูบ้านถูกผลักออก ชายชราสวมชุดกันหนาวตัวเล็กเดินออกมาด้วยความโมโห ไม่มองผู้ฝึกฌานแข็งแกร่งสองคนบนฟ้า แต่เดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงแล้วแย่งขวานในมือไป
“สิ้นเปลือง เจ้าตัดขาสุนัขดีๆ แบบนี้ทิ้งเสียได้ ดูซะ ข้าจะสอนเจ้าอีกครั้ง ตัดฟืนต้องตัดแบบนี้!” ชายชราถลึงตามองซูหมิง ก่อนใช้มือขวายกขวานฟันลงในช่วงที่ผู้ฝึกฌานอ้วนผอมสองคนบนฟ้าหรี่ตาลง
ตอนนี้ท้องฟ้าเหมือนหายไป ในความขุ่นมัวมีเสียงคำรามแหลมนับไม่ถ้วน แผ่นดินก็หายไปเช่นกัน แต่กลายเป็นเหวลึกอเวจี ฟ้าดินปั่นป่วน ตอนนี้เองผู้ฝึกฌานซูบผอมมีสีหน้าหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ราวกับความหวาดผวาจะจมชีวิตเขา
เขาตัวสั่น นัยน์ตาฉายแววตื่นกลัวเด่นชัด ซูหมิงยังเห็นอีกว่าเมื่อชายชรายกขวานขึ้น เหมือนกับว่าฟ้าดินมีกลิ่นอายพลังที่บอกไม่ถูกเพิ่มมา ซูหมิงคุ้นกับกลิ่นอายพลังนี้ นั่นคือดวงจิตที่เขาคิดว่าไม่มีใครมีในแคว้นกู่จั้ง!
พลังของดวงจิตนี้ ระดับความใหญ่ของมันเหนือกว่าซูหมิงมากๆ ทันทีที่ดวงจิตปรากฏก็ปกคลุมผู้ฝึกฌานซูบผอม นอกตัวเขา…ปรากฏสิ่งที่คนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่คนที่มีดวงจิตจะมองเห็นชัดเจนขึ้น!
นั่นคือ…รูปแบบชะตาที่รวมจากหมอกขาวหลายสายเหมือนวงแหวนอาคมซับซ้อนวงกลม!
ในรูปแบบชะตาเต็มไปด้วยอักขระ อักขระทุกตัวหมายถึงความทรงจำช่วงหนึ่งของคนนี้ พริบตาที่รูปแบบชะตาปรากฏ ขวานของชายชรา…ฟันลง!
เขาไม่ได้ฟันร่างผู้ฝึกฌานซูบผอม แต่ฟันรูปแบบชะตาของผู้ฝึกฌานซูบผอม
ไม่มีเสียงครึกโครม ไม่มีความเลิศล้ำ เพียงขวานธรรมดาๆ ฟันรูปแบบชะตาผู้ฝึกฌานซูบผอม ทำลายอักขระภายใน ทำให้รูปแบบชะตา…เหมือนรวมขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งบิดเบี้ยว หลังจากชายชราฟันลงจนเสร็จแล้ว รูปแบบชะตาบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง ก่อนหายไปจากหัวผู้ฝึกฌานซูบผอม
ขณะเดียวกันผู้ฝึกฌานซูบผอมตัวสั่น ร่างกายบิดเบี้ยวตาม ชั่วขณะที่มีสีหน้าเหลือเชื่อและตื่นกลัวยากจะบรรยายนั้น ตัวเขาไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อยราวกับถูกอุดไว้ในลำคอ จนกระทั่งล้มลง ร่างบิดเบี้ยวในลานบ้าน อาภรณ์หลุดออก ทั้งตัว…กลายเป็นสุนัขขาว!
ตอนนี้ในที่สุดมันก็เห่าเสียงดังเหมือนอัดอั้นมานาน ในเวลาเดียวกันซูหมิงเห็นว่าในแววตาสุนัขสีขาวนั้นมีความหวาดกลัวเด่นชัด ซ้ำยังตัวสั่น
นี่คือ…สุนัขขาวสามขา!
ตอนนี้ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วนบนฟ้าหวาดกลัวกว่าคนที่กลายเป็นสุนัขสีขาวหลายเท่า เขาตัวสั่นพลางถอยไปคิดจะหนีโดยไม่สนสิ่งใด ไม่คาดคิดเลยว่าในหมู่บ้านภูเขาธรรมดาจะมี…ผู้แข็งแกร่งน่ากลัวแบบนี้อยู่!
ในมุมมองเขา ความแกร่งของอีกฝ่ายจะต้องเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์อย่างแน่นอน แต่เขาไม่เข้าใจ เพราะต่อให้มหาเต๋าสูงศักดิ์ในสำนักก็ยังไม่มีอภินิหารเปลี่ยนคนให้เป็นเดรัจฉานแบบนี้!
ด้วยพลังเขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่การแปลงกายธรรมดา ถึงขั้นไม่ใช่การสร้างภาพมายา นี่คือการเปลี่ยนต้นกำเนิดชีวิต ให้ผู้ฝึกฌานซูบผอมเปลี่ยนเป็นเดรัจฉานจากต้นกำเนิดชีวิต!
นี่ต่างหากคือสาเหตุที่เขาหวาดกลัว ยามนี้ในความคิดไม่มีความละโมบต่อสมบัติของซูหมิงอีก ทั้งยังไม่มีจิตสังหารต่อซูหมิงเลย มีอยู่เพียงความคิดเดียวคือหนีสุดชีวิต!
ขณะห้อเหยียด เขาได้ฉีกมวลอากาศออกเข้าไปได้ครึ่งก้าวแล้ว
“เห็นรึยัง นี่ต่างหากคือการตัดฟืน หึหึ ข้าเก่งใช่หรือไม่” ชายชราเชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจแล้วยกขวานในมือขวาขึ้นพร้อมฟันลงไปยังฝึกฌานค่อนข้างอ้วนที่หายเข้าในมวลอากาศ
“จะให้สุนัขอ้วนหนีไปไม่ได้ ข้าจะให้มันเฝ้าบ้าน หิวเมื่อไรก็เอาเนื้อมากินได้จริงหรือไม่” ขณะชายชรากล่าว ผู้ฝึกฌานที่เข้าไปในมวลอากาศตัวสั่นงันงก ร่างเขากระเด็นถอยออกมาตกลงในลานบ้าน ร่างกายบิดเบี้ยวพลางส่งเสียงอู้อี้ ก่อนกลายเป็น…สุนัขใหญ่สีขาว
มันตัวสั่น ยามที่มองชายชรา ความหวาดกลัวในแววตาคือสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต
“เห็นรึยัง ไม่เห็นรึ ตกลงเห็นหรือไม่” ชายชราชี้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวพลางพูดไม่หยุด มองซูหมิงแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่ต่างหากคือการตัดฟืน หึหึ ในแคว้นกู่จั้งมีแต่คนยอมเลียหัวแม่เท้าข้า มีแต่คนจะมาตัดฟืนให้ข้ากันทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เจ้ากู่น้อยในตอนนั้นเคยพาข้าไปเที่ยวสุขสำราญยิ่ง ข้าคงไม่ช่วยเขา
จำเอาไว้ ตัดฟืน ฟันขวางลงไป หากเจ้ามองเป็นฟืน เจ้าจะตัดฟืน แต่หากไม่มองเป็นมัน บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้ตัดฟืน เละเทะจริงๆ ข้าไม่เคยมีลูกศิษย์อะไรมาก่อน และก็ไม่เคยสอนใครด้วย เจ้าค่อยๆ ศึกษาเอาเองแล้วกัน
จำเอาไว้ การตัดฟืนมีสามขั้น ขั้นแรกคือตัดคน สองคือตัดไม้ สามคือตัดไม้หรือคนที่เจ้าไม่ชอบ” ชายชราเกาหัว พูดมานานก็รู้สึกมึนงง จึงโยนขวางทิ้งไว้บนพื้นแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน
ขณะจะเข้าบ้านเขาพลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง หันหน้ากลับมาเล็กน้อย เอียงศีรษะให้ซูหมิง เขาในท่าทางแบบนี้เหมือนต่างออกไปอีกครั้ง ความไม่จริงจังต่อโลกหายไปเล็กน้อย แต่มีการผ่านโลกมาเนิ่นนานเพิ่มมาเล็กน้อย
“ซูหมิง” เขาพูดขึ้นเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงแก่ชรา
ซูหมิงเข้าใจคำพูดชายชราก่อนหน้านี้เล็กน้อยแล้ว ตอนนี้เงยหน้าขึ้นมองชายชรา
“ตั้งชื่อให้สุนัขสองตัวนี้ด้วย หากไม่สื่อสัตย์ก็ฆ่ามันเสีย พรุ่งนี้เราจะได้กินน้ำต้มเนื้อสุนัขกัน” พูดจบชายชราก็เดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าราบเรียบ
ภายในลานบ้าน ฝนยังคงตก ตอนนี้สุนัขสีขาวสองตัวตัวสั่นในสายฝน
ซูหมิงไม่ได้สนใจสุนัขใหญ่สองตัวนี้ แต่หยิบขวานขึ้นแล้วกลับไปในใต้เพิงไม้ มองขวานด้วยแววตาครุ่นคิด สีหน้าเรียบนิ่ง แต่ความจริงเกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจ
เขาไม่เคยสงสัยพลังของชายชรามาก่อน แต่ไม่นึกเลยว่าแค่ท่าตัดฟืนจะน่าตกใจถึงเพียงนี้ นี่เหนือกว่าวิชาอภินิหารทุกอย่าง
‘ตัดรูปแบบชะตา…’ ดวงตาซูหมิงแวววาว เขาลืมภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ลง กระทั่งในมุมมองเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฌานจะทำได้ แต่ก็ได้กลายเป็นโชควาสนาแล้ว!
“โชควาสนา…” ซูหมิงพึมพำ สายตามองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวในลาน ขณะตรึกตรองก็ยกมือขวาขึ้น อาภรณ์และถุงเก็บวัตถุของสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวลอยมาหาเขาทันที
“เจ้าชื่อต้าไป๋!” ซูหมิงชี้สุนัขขาวค่อนข้างอ้วน
“เจ้าชื่อซานไป๋!” ซูหมิงมองสุนัขขาวที่มีสามขา
สุนัขสองตัวนั้นเงียบ มีสีหน้าเศร้าหมอง ท่ามกลางสายฝน พวกมันเหมือนจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากตัวสั่น พลังในร่างกายถูกผนึกไว้ทั้งหมดหลังกลายเป็นเดรัจฉาน ตอนนี้ต่อให้มีชีวิต แต่ก็ตายเสียจะดีกว่า
ความอัปยศและความหวาดกลัวทำให้สุนัขใหญ่ขาวมีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจ
พวกเขาไม่ใช่สุนัข แต่เป็นผู้ฝึกฌาน เป็นผู้อาวุโสเต๋าสูงศักดิ์ของสำนักเอกะเต๋า พวกเขามีพลังควบคุมธรรมชาติในแคว้นกู่จั้งได้ กระทั่งยืนอยู่จุดสูงสุดแล้ว แต่ตอนนี้…
พวกเขารับความแตกต่างที่เกิดขึ้นไม่ได้
“จะตายก็ตายไม่ได้ ดูท่าต่อให้พวกเจ้าตายก็จะมีวิธีให้พวกเจ้ากลับมาเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่นี่อีก หากพวกเจ้าซื่อสัตย์ หลังผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ข้าอาจจะขอร้องตาแก่นั่นให้โอกาสพวกเจ้ากลับมาเป็นผู้ฝึกฌานอีกครั้ง” ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าใคร่ครวญหนึ่งคืน” ซูหมิงพูดจบก็ก้มหน้ามองขวานในมือ ตกอยู่ในห้วงความคิด