Puppy Love จดหมายรักระหว่างนายและฉัน 40

ตอนที่ 40

        เมื่อเซี่ยเจิงเริ่มร้องขึ้น ชวีเสี่ยวปอก็เงียบไป ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียงแค่ชวีเสี่ยวปอที่เงียบไปเท่านั้น แต่รอบๆ ตัวเขาก็เงียบสงบลงไปด้วยเช่นกัน แม้แต่เสียงร้องของแมลงหรือว่าเสียงเห่าของสุนัขที่อยู่นอกหน้าต่างก็ถูกกลบไปด้วยเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยเนื้อเสียงแหบอันมีเสน่ห์ของเซี่ยเจิง

 

        เสียงของเซี่ยเจิงตอนร้องเพลงกับตอนพูดปกติไม่ค่อยจะเหมือนกันสักเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองง่วงแล้วหรือเปล่า เขารู้สึกตลอดเลยว่าทุกประโยคที่เซี่ยเจิงร้องออกมานั้นมันทั้งเบาและนุ่นนวล จนทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินเหยียบอยู่บนปุยฝ้ายอันอ่อนนุ่ม ชวีเสี่ยวปอหลับตาลง แล้วจึงผ่อนหายใจลงอย่างช้าๆ เข้าสู่ห่วงนิทราในที่สุด

 

        ในคืนนี้ชวีเสี่ยวปอหลับสบายกว่าปกติ ถ้าหากไม่ใช่เพราะในตอนเช้ามีเสียงเปาะแปะๆ ที่ดังขึ้นมาอยู่พักหนึ่งปลุกเขาให้ตื่น เขาก็คงจะมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก

 

        “เสียงอะไร” ร่างกายเขายังไม่ตื่นดีสักเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอที่กำลังหลับตาอยู่ยกแขนขึ้นมาควานไปยังด้านข้าง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า “เซี่ยเจิง? ”

 

        ไม่มีคนตอบกลับมา

 

        ชวีเสี่ยวปอรีบลืมตาขึ้นมาทันที เขาถึงพบว่าในห้องไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเขา และเสียงเปาะแปะนี้ก็คือเสียงของฝนที่กระทบเข้ากับกระจก

 

        “ตกแรงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าต่างสายตามองไปยังด้านนอก ฝนในฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาอย่างหนัก ดอกไม้เล็กๆ ในลานบ้านยังไม่ทันได้เก็บเข้าบ้านมา จึงทำให้ถูกลมพัดปลิวไปปลิวมาดูแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะออกไปช่วยพวกมัน ขณะนั้นประตูรั้วก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก เซี่ยเจิงถือร่มลายดอกไม้วิ่งฝ่าฝนกลับเข้ามา

 

        “ฝนตกหนักขนาดนี้ นายไปไหนมา? ” ชวีเสี่ยวปอที่เดินลากรองเท้าออกไปยืนอยู่ใต้ชายคาบ้าน เห็นเซี่ยเจิงถือร่มที่เปียกชุ่มเอาไว้อยู่

 

        แม้ว่าเซี่ยเจิงจะยังไม่ได้ตอบคำถามเขา ชวีเสี่ยวปอก็รู้ขึ้นมาทันทีว่าเขาไปทำอะไรมา เพราะว่ากลิ่นหอมของปาท่องโก๋ที่เพิ่งจะขึ้นมาจากกระทะและกลิ่นของเต้าฮวยร้อนๆ ได้ลอยเข้ามาในเตะจมูกเขาเข้าแล้ว

 

        “ตอนที่ออกไปฝนไม่ได้ตกหนักขนาดนี้” เซี่ยเจิงยื่นอาหารเช้าในมือส่งให้ชวีเสี่ยวปอ จากนั้นเขาจึงถอดรองเท้าที่เปียกครึ่งหนึ่งออกไปเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแทน “นายก็ตื่นเช้าเหมือนกันนะเนี่ย”

 

        “จริงเหรอ? กี่โมงแล้วอะ? ” ชวีเสี่ยวปอรับมาพลางแตะๆ ดู มันยังร้อนๆ อยู่เลย

 

        “หกโมงกว่า” เซี่ยเจิงยกคางขึ้น แล้วพูดว่า “ไปหาชามมาใส่เต้าฮวยเถอะ นายจะได้กินตอนร้อนๆ เลย เดี๋ยวฉันจัดการดอกไม้ตรงลานบ้านสักหน่อย”

 

         “รอฉันแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวฉันไปทำด้วย” ชวีเสี่ยวปอรีบเข้าไปในครัวหากะละมังใบเล็กมาใส่เต้าฮวยให้เรียบร้อย จากนั้นจึงออกมาช่วยเซี่ยเจิงย้ายกระถางดอกไม้เข้าบ้านไป ทั้งคู่ขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ด้านหลังก็ยังโดนฝนจนเปียกชุ่มอยู่ดี พอมีลมเย็นๆ พัดโชยมา จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอจามออกมาอยู่หลายที

 

        “แม่นางหลินไต้อวี้ [1] เชิญท่านรีบเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” เซี่ยเจิงสะบัดน้ำที่อยู่บนศีรษะ แล้วชำเลืองมองชวีเสี่ยวครั้งหนึ่ง “ในตู้เสื้อผ้านายลองดูว่าตัวไหนใส่ได้ เลือกใส่เอาเองได้เลย”

 

        ชวีเสี่ยวปอเดินกลับเข้ามาในห้อง จากนั้นจึงเปิดตู้เสื้อผ้าของเซี่ยเจิงออก สไตล์การแต่งตัวของเซี่ยเจิงแตกต่างจากเขามาก ที่โรงเรียนไม่ได้เข้มงวดนัก แต่ว่าการแต่งชุดนักเรียนเป็นข้อกำหนดขั้นพื้นฐานของโรงเรียน ดังนั้นเหล่าหนุ่มสาววัยรุ่นที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลองทุกคนจึงได้เอาความคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวไปใส่ไว้ที่เสื้อด้านในและรองเท้า แต่เซี่ยเจิงนั้นสวนทางกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ในตู้เสื้อผ้าเขามีเพียงแค่สีดำ สีขาว และสีเทา สามสีพื้นฐาน

 

        “ตัวนี้ละกัน” ชวีเสี่ยวปอพูดกับตัวเอง หลังจากเลือกอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงหยิบสเวตเตอร์ตัวสีเทาออกมาใส่

 

        “ดูดีมาก” แล้วจู่ๆ เสียงของเซี่ยเจิงก็ดังขึ้นมาที่ด้านหลังของเขา ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอกำลังยืนอยู่หน้ากระจกแต่งตัว แล้วเขาก็มองเห็นเซี่ยเจิงที่กำลังยืนพิงประตูพร้อมทั้งมองมาที่ตัวเองในกระจกบานนั้น

 

        “หลงความหล่อของฉันเข้าแล้วละสิ” ชวีเสี่ยวปอหันกลับมาสะบัดศีรษะให้เซี่ยเจิงอย่างทะเล้น

 

        “นายอย่าทำแบบนี้เลย” เซี่ยเจิงจิ๊ปาก “ติ๊งต๊องสุดๆ ”

 

        “ฉันติ๊งต๊อง? ” ชวีเสี่ยวปออึ้งไป จากนั้นจึงหันหลังกลับไปส่องกระจกดูอีกสองที “ติ๊งต๊องตรงไหน? ”

 

        “ตรงนี้” เซี่ยเจิงชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง “ผมนายยาวแล้ว ตอนนี้เลยดูเหมือนกับลูกกีวีเลยอะ”

 

        “ให้ตายเถอะ ทวดนายสิ !” พอเซี่ยเจิงพูดแบบนี้ ชวีเสี่ยวปอที่กำลังมองตัวเองอยู่ในกระจกรู้สึกก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาลูบศีรษะอย่างแรงสองครั้ง จากนั้นจึงยิ้มพลางพูดออกไปว่า : “ก็ฉันไม่เคยไว้ผมยาวเลยนี่ เดี๋ยวจะไปโกนออกแล้ว !”

 

        “โกนให้โล้นไปเลยก็ดีนะ” เซี่ยเจิงพูด “เจ้าลูกกีวีไปล้างหน้าแล้วมากินข้าวกันเถอะ”

 

        ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอเดินออกมาจากห้องน้ำ เซี่ยเจิงก็กำลังนั่งรอเขาอยู่ที่ข้างๆ โต๊ะน้ำชา แม้แต่เก้าอี้ตัวเล็กเขาก็เอามาเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อันที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ตอนอยู่บ้านเวินลี่จะเป็นคนบังคับให้เขากินข้าวเช้า ซึ่งโดยปกติก็กินไปเพียงแค่สองคำชวีเสี่ยวปอก็หิ้วกระเป๋าวิ่งออกไปแล้ว แต่ในวันนี้ทันทีที่เขานั่งลง ดึงปาท่องโก๋ออกมาตัวหนึ่งแล้วยัดเข้าปากไป ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนได้หถูกเติมเต็มขึ้นมาอย่างประหลาด หรืออาจจะเป็นเพราะมันคือสิ่งที่เซี่ยเจิงฝ่าฝนตกหนักออกไปซื้อกลับมาให้เขา

 

        “แล้วอีกเดี๋ยวฝนจะหยุดไหมเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังลานบ้านที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแอ่งน้ำเล็ก ทั้งสองคนกินไปด้วยพลางพูดคุยกันไปด้วย

 

        “ไม่น่ารอด พยากรณ์อากาศบอกว่าจะตกถึงคืนนี้เลย” เซี่ยเจิงซดเต้าฮวยเข้าปากไปหนึ่งคำ “เดี๋ยวเรียกรถไปก็ได้”

 

        “อืม” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้า แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า “คุณป้าไม่กินข้าวเช้าเหรอ? ”

 

        “แม่ยังไม่ตื่นเลย” เซี่ยเจิงมองไปยังประตูห้องนอนของแม่ที่ยังคงปิดสนิทอยู่ ในมือก็ปอกไข่ต้มน้ำชาไปด้วย “แล้วอีกอย่างแม่ก็ไม่ค่อยชอบกินของพวกนี้ด้วย ฉันต้มโจ๊กเอาไว้ให้แม่แล้ว”

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรต่อ เซี่ยเจิงปอกไข่ต้มน้ำชาเสร็จก็ส่งให้เขา ชวีเสี่ยวปอจึงยื่นมือออกไปรับมาโดยอัตโนมัติ แต่หลังจากที่รับมาแล้วเขาก็ผงะไปชั่วครู่

 

        ท่าทางเช่นนี้ของทั้งคู่ดูเป็นธรรมชาติมาก ดูเป็นธรรมชาติจนรู้สึกเหมือนกับว่าเซี่ยเจิงควรทำแบบนี้ ส่วนชวีเสี่ยวปอเพียงแค่นั่งรอก็พอแล้ว

 

        “เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจยาว “ฉันว่า”

 

        “มีอะไรเหรอ? ” เซี่ยเจิงยังไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติไป

 

        “นายเป็นแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเลียริมฝีปาก “ที่ดูแลคนอื่นจนเคยชิน? ”

 

        “ดูแล? ” เซี่ยเจิงไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ “ฉันดูแลใครเหรอ? ”

 

        “ก็…” ชวีเสี่ยวปอกัดไข่ต้มน้ำชาไปคำหนึ่ง “แบบนี้ไง ขนาดแม่ฉันยังไม่เอาไข่ต้มน้ำชาที่แกะเสร็จแล้วยื่นให้ฉันแบบนี้เลย”

 

        “มีแบ่งว่าใครเป็นใครด้วย” เซี่ยเจิงหัวเราะ “ที่จริงแล้วฉันก็เคยแกะให้ไม่กี่คนหรอก นายน่าจะเป็นคนที่สองมั้ง”

 

        “แล้วคนแรกใครอะ? ” ชวีเสี่ยวปอสงสัย

 

        “แม่ฉันเอง”

 

        “นายทำแบบนี้ฉันรู้สึกละอายใจขึ้นมาเลย” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจอีกครั้ง “รู้สึกเหมือนว่านายกำลังตอบแทนความแค้นด้วยความดีเลย”

 

        “ไม่เลวนี่” เซี่ยเจิงอดไม่ไหวที่จะยื่นมือไปจิ้มท้องชวีเสี่ยวปอหนึ่งที “ในที่สุดนายก็ใช้สำนวนเป็นแล้ว”

 

        ชวีเสี่ยวปอยืดหลังตรงขึ้นมาทันที พร้อมทั้งเบิกตากว้างพลางพูดว่า : “ฉันพูดจากใจจริง! ฉันอุตส่าห์ซึ้งแล้วนะเนี่ย นายนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ ”

 

        “ช่างมันเถอะๆ ” เซี่ยเจิงทำท่าจะจิ้มไปที่ท้องเขาอีกครั้ง “ถ้าซึ้งใจก็กินไข่ต้มน้ำชาให้หมด แต่ถ้าไม่กินก็เอาคืนมา”

 

        “ให้แล้วจะมาทวงคืนได้ไง? ฝันไปเถอะ” ชวีเสี่ยวปอยัดที่เหลืออีกครึ่งลูกเข้าปากไป เขาเคี้ยวอยู่นานและในที่สุดก็กลืนมันลงไป “บ้าเอ๊ย สำลักๆ ”

 

        พอทานอาหารเช้าเสร็จ ชวีเสี่ยวปอก็ช่วยเก็บถ้วยชาม หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงเตรียมตัวไปโรงเรียน

 

        แต่พอค้นจนทั่วบ้านแล้วก็มีเพียงร่มลายดอกไม้เหลืออยู่แค่คันเดียว ทั้งสองคนไม่มีทางเลือกจึงต้องเบียดกันอยู่ในร่มคันเดียวนั้น แล้วเดินออกไปยังปากซอย

 

 

       

………………………..

เชิงอรรถ

[1] หลินไต้อวี้ เป็นนางเอกในวรรณกรรมจีนเรื่อง ความฝันในหอแดง ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีน 

 

 

        ชวีเสี่ยวปอใช้ปลายรองเท้าเตะเข้าไปที่ก้นของเซี่ยเจิง แล้วเน้นเสียงออกไปว่า : “แค่ไม่กล้า ไม่ใช่อาย”

 

        “แล้วสองคำนี้มันต่างกันตรงไหน? ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นยืน พลางปัดฝุ่นออกจากกางเกง

 

        “ไม่ต่างกัน” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปาก เหมือนกับว่าไม่พอใจกับคำพูดของเซี่ยเจิง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอธิบายออกไปว่า : “คำว่าอายมันแค่ไม่เข้ากับตัวตนของฉัน”

 

        “ว้าว” เซี่ยเจิงจงใจอ้าปากกว้าง พร้อมทั้งขยับถอยหลังไปสองก้าว ทำท่าทางสงสัยออกมา : “แล้วนายมีตัวตนแบบไหนกัน? ไหนเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”

 

        “ไม่ใช่ตัวตนที่เขินอายก็แล้วกันน่ะ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิงที่ทำท่าทางไม่สบอารมณ์จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา

 

        “ฉันว่าใช่แน่ๆ ” เซี่ยเจิงดีดนิ้ว และพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า : “เมื่อกี้ตอนที่นายกอดฉัน ฉันนึกว่านายจะร้องเพลงสำนึกบุญคุณที่ข้างหูฉันซะอีก ตัวตนของนายคงจะมีส่วนที่เป็นเด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์อยู่ด้วยใช่หรือเปล่า”

 

        “บริสุทธิ์บ้านนายสิ !” เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ ใบหน้าของชวีเสี่ยวปอก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ดังนั้นเขาเลยรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที : “แล้วตกลงนายจะหาแปรงสีฟันให้ฉันไหมเนี่ย? ”

 

        “ในบ้านน่าจะไม่มีแล้วละ” เซี่ยเจิงถอนหายใจ “นายไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันออกไปซื้อให้”

 

        ซูเปอร์มาเก็ตที่ใกล้บ้านที่สุดปิดไปแล้ว เซี่ยเจิงเดินออกมาไกลมากถึงจะเจอเข้ากับร้านสะดวกซื้อเล็กๆ เขาจึงเดินเข้าไปซื้อแปรงสีฟัน ทั้งยังซื้อผ้าขนหนูด้วย ในขณะที่กำลังคิดเงิน เขาก็เดินกลับเข้าไปหยิบขนมหมั่นโถวน้อยวั่งจ่ายออกมาด้วยสองห่อ

 

        พนักงานแคชเชียร์เป็นเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง เมื่อเห็นเข้าจึงอดไม่ได้ที่ยิ้มออกมา ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะทักทายหนุ่มหล่อ : “นายชอบกินอันนี้เหรอ? ”

 

        เซี่ยเจิงยื่นเงินไป พร้อมทั้งพูดว่า : “เอาไปให้เด็กน้อยกินน่ะ”

 

        ในหัวของเขาจู่ๆ ก็มีภาพผมทรงสกินเฮดและสายตาอันเย่อหยิ่งที่แฝงไปด้วยความดื้อรั้นของชวีเสี่ยวปอแวบขึ้นมา ซึ่งนี่ก็คือใบหน้าของเด็กน้อยที่ว่านั่นเอง

 

        เซี่ยเจิงใช้ความเร็วสูงสุดในการกลับบ้านมา และก็เป็นอย่างที่เขาคิดชวีเสี่ยวปอยังอาบน้ำไม่เสร็จ กระจกฝ้าในห้องน้ำถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาที่เกิดจากความชื้น แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเงาของร่างกายที่ขยับไปมาได้รางๆ เซี่ยเจิงยืนมองราวกับตกอยู่ในภวังค์อย่างคาดไม่ถึง แต่เขารีบรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ถ้าขืนยังดูต่ออีกก็คงจะไม่ใช่เรื่องของการมองจนเคลิ้มแล้ว แต่ทว่าเขาคงต้องกอบกุมบางส่วนในร่างกายของเขาและลองลงมือทำอะไรสักอย่างกับมัน

 

        “ชวีเสี่ยวปอ” เซี่ยเจิงเคาะประตูห้องน้ำ

 

        เสียงน้ำไหลที่ดังกังวานก็หยุดลงทันที แล้วชวีเสี่ยวปอก็ตอบกลับมาว่า “ซื้อกลับมาแล้วเหรอ? ”

 

        “อืม”

 

        หลังจากสิ้นเสียงของเซี่ยเจิง ไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากห้องน้ำก็โอบล้อมตัวเขาไว้ทั้งตัว ชวีเสี่ยวดึงประตูเปิดออกมาอย่างสบายใจ แล้วร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาก็โผล่ออกมาทั้งร่าง

 

        “ให้/ตาย/สิ” เซี่ยเจิงพ่นคำพูดสามคำนี้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ พร้อมทั้งรีบหันหน้าหนีไปทางอื่นทันที

 

        “นายทำอะไรเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอถาม

 

        “คำถามนี้ฉันน่าจะถามนายมากกว่านะ” เซี่ยเจิงยื่นแปรงสีฟันและผ้าขนหนูส่งให้เขา “ทำไมนายถึงชอบเปลือยก้นวิ่งไปทั่วเนี่ย”

 

        “ฉันวิ่งไปทั่วที่ไหนกัน? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะเสียงดัง แล้วจึงพูดหยอกล้อที่ค่อนข้างจะอนาจารออกไปว่า “อวัยวะส่วนล่างของพวกเราก็ไม่ได้ไม่เหมือนกันสักหน่อย แล้วนายจะไม่กล้ามองทำไมเนี่ย? ”

 

        “ไม่ใช่เรื่องกล้ามองหรือไม่กล้ามองไหม” เซี่ยเจิงรู้สึกจนปัญญา จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปปิดประตู “นายอาบน้ำไปเถอะ !”

 

        แต่ประโยคที่ชวีเสี่ยวปอพูดว่า “พวกเราก็ไม่ได้ไม่เหมือนกันสักหน่อย” ไม่รู้ทำไมถึงทำให้เขาหัวเราออกมาได้ เซี่ยเจิงยืนมีความสุขอยู่หน้าห้องน้ำสักพักถึงค่อยเดินเข้าห้องไป

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปออาบน้ำเสร็จเซี่ยเจิงก็เข้าห้องน้ำไป และตอนที่เขากลับออกมาไฟในห้องก็ปิดลงแล้ว เหลือเพียงไฟดวงเล็กบนหัวเตียงที่ยังคงสว่างอยู่ ส่วนชวีเสี่ยวปอนั้นก็นอนอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ผ้าห่มดูไม่ค่อยจะเป็นระเบียบสักเท่าไหร่ ห่มปิดไว้เพียงแค่หน้าท้อง จึงทำให้ขายาวๆ ทั้งสองข้างของเขาโผล่พ้นออกมาด้านนอก ทว่าดวงตากลับปิดสนิท ดูเหมือนว่าเขาจะนอนหลับแล้ว

 

        เซี่ยเจิงจึงค่อยๆ วางเท้าเดินเบาๆ แต่ชวีเสี่ยวปอก็ฮึมฮัมออกมาทันที แล้วถามออกไปเสียงแหบว่า : “นายอาบเสร็จแล้วเหรอ? ”

 

        “อืม แล้วนี่นายหลับไปแล้วเหรอ? ” เซี่ยเจิงตอบกลับ ทั้งยังถามกลับไปด้วยความรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก

 

        “ตอนแรกก็คิดว่าจะรอนายอยู่เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอขยี้ตา พลางพูดออกมาอย่างงัวเงีย “นอนเถอะ ขึ้นมา”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง และน่าจะเป็นเพราะว่าแสงจากหัวเตียงไปแยงตาเขาเข้า เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจ ทั้งยังพึมพำอะไรออกมาสักอย่าง คล้ายกับเป็นถ้อยคำละเมอในตอนกึ่งหลับกึ่งตื่น

 

        เซี่ยเจิงมองไปที่เขา จากนั้นจึงเอื้อมมือไปปิดไฟลง เพียงชั่วพริบตาภายในห้องก็ตกอยู่ในความมืด

 

        แต่ไม่นานก็มีคนร้อง “โอ๊ย” ขึ้นมา

 

        ในความมืดมิดชวีเสี่ยวปอบ่นขึ้นมาเสียงเบา : “เซี่ยเจิง นายรู้สึกไหมว่านายเหยียบโดนอะไรเข้าแล้ว? ”

 

        เซี่ยเจิงรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก เนื่องจากเขานอนติดกำแพง ถ้าจะไปถึงที่ของตัวเองได้ เขาจำเป็นต้องข้ามตัวชวีเสี่ยวปอไป เมื่อครู่เขาเพิ่งจะข้ามไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียว แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้งตัวของเขาจึงแข็งทื่อขึ้นมาทันที

 

        “อะไร? ”

 

        “นายเหยียบมือฉัน! เจ็บๆ เจ็บๆ! ” ชวีเสี่ยวปอตะโกนร้องออกมา “นายขยับออกก่อนสิ”

 

        เซี่ยเจิงจึงรีบกระโจนตัวลงไปทันที และในที่สุดเขาก็ได้นอนลงบนเตียงสักที

 

        “มือถูกนายเหยียบแบนหมดแล้วเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอบ่นออกมาอย่างไม่พอใจราวกับกำลังสวดมนต์ “ถูกนายเหยียบแบบหมดแล้ว”

 

        “งั้นเดี๋ยวฉันเหยียบอีกครั้งให้มันกลับมาเหมือนเดิม” เซี่ยเจิงขยับหมอน เพื่อปรับให้มันอยู่ในระดับที่สบาย “เฮ้ นี่นายไม่ง่วงแล้วใช่ไหมล่ะ”

 

        “ใช่สิ” ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวกลับมา ในขณะนั้นใบหน้าของเขาจึงเผชิญเข้ากับหลังของเซี่ยเจิง “ถ้าเหยียบนาย นายก็ไม่ง่วงเหมือนกัน”

 

        “ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” เซี่ยเจิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก น้ำเสียงของชวีเสี่ยวปอดูเหมือนกับว่าไม่ได้รับความยุติธรรมเป็นอย่างมาก เซี่ยเจิงที่ได้ยินจึงไม่แปลกที่รู้สึกละอายใจขึ้นมา ราวกับว่าขาข้างนั้นของตัวเองไม่ได้เหยียบถูกมือของเขา แต่กลับเหยียบถูกเส้นเอ็นตรงกลางของเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

        “งั้นเรามาคุยกันสักแป๊บก็ได้” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปเสียงเบา “นายอย่าเอาแต่หันท้ายทอยมาหาฉันได้ไหม? ”

 

        “รายการทอล์กโชว์เปลี่ยนเป็นพูดคุยยามค่ำคืนแล้วเหรอ? ”

 

        เตียงที่ไม่ใหญ่มาก เมื่อเซี่ยเจิงหันกลับมาเผชิญหน้ากับชวีเสี่ยวปอ ในระยะห่างที่ใกล้ถึงเพียงนี้แม้ว่าจะไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เซี่ยเจิงก็ยังสามารถมองเห็นดวงตาอันสดใสคู่นั้นของชวีเสี่ยวปอได้ในทันที

 

        “ฟืด” เซี่ยเจิงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าไป “นายรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่? ”

 

        “อะไรเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะหึๆ ออกมาอย่างร้ายกาจ “นายกำลังคิดว่าทำไมแม้จะอยู่ในความมืดชวีเสี่ยวปอก็ยังหล่อไม่บันยะบันยังถึงขนาดนี้ ใช่หรือเปล่า”

 

        “ฉันกำลังคิดว่า ดวงตาเบิกกว้างเหมือนดั่งระฆัง” ในประโยคหลังนี้เซี่ยเจิงร้องเพลงออกมา “ช่างทำให้คนกลัวเสียจริงๆ ”

 

        “แล้วโทษใครล่ะ” ชวีเสี่ยวปอตะคอกออกไป แล้วก็โยนหัวข้อสนทนากลับมาไว้ที่เซี่ยเจิงอีกครั้ง ที่จริงแล้วทั้งสองคนไม่มีเรื่องอะไรที่จะคุยกัน แต่ว่าถ้าเอาแต่จ้องตากันเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกๆ ไม่น้อยเลย ชวีเสี่ยวปอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามออกไปว่า : “เซี่ยเจิง นายเล่านิทานก่อนนอนเป็นไหม? ”

 

        “นายดูถูกคนแล้วจริงๆ ” เซี่ยเจิงคิดไม่ถึงเลยว่าชวีเสี่ยวปอจะพูดประโยคนี้ออกมา แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงขนมหมั่นโถวน้อยวั่งจ่ายสองห่อนั้นที่ตัวเองเป็นคนซื้อมา ชวีเสี่ยวปอช่างเหมาะกับฉายาเด็กน้อยเสียจริงๆ “ฉันอยู่ในระดับที่ว่าเวลาเจอเด็กก็จะเล่าแต่เรื่องผี”

 

        “งั้นก็ช่างเถอะ” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้า “มันฮาร์ดคอร์เกินไป ฉันรับไม่ไหว” เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาอีกว่า “เพลงกล่อมนอนอะไรทำนองนี้คงจะร้องได้สักเพลงเนอะ”

 

        “นายอยากฟังเพลงอะไรล่ะ? ” เซี่ยเจิงถาม

 

        “อะไรก็ได้ แต่อย่าร้องเพลงร็อกก็พอ” ชวีเสี่ยวปอพูดเสริม “แล้วก็ไม่เอาเพลงเด็กด้วย ถ้านายร้องเพลงเด็กฉันรู้สึกว่าเหมือนนายกำลังเอาเปรียบฉันอยู่”

 

        “Fly me to the moon

  Let me play among those stars

  Let me see what spring is like

  On Jupiter and Mars

  In other words, hold my hand

  In other words, darling kiss me

  ……”

 

 

        อึดอัดใจ

 

        ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง พยายามบรรเทาความรู้สึกอึดอัดใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่

 

        ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาพูดถึงเรื่องส่วนตัวในครอบครัวของเขาให้คนอื่นฟังอย่างตรงไปตรงมา แม้แต่ในตอนแรกที่ซือจวิ้นรู้เรื่องนี้ ก็เป็นเพราะว่าครั้งนั้นเขาดื่มจนเมาถึงได้พูดระบายออกไปจนเปลือก

 

        แต่กับเซี่ยเจิงในครั้งนี้มันต่างออกไป ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังค่อยๆ วางหีบห่ออันหนักอึ้งที่ตัวเองแบกเอาไว้ลง แล้วเปิดมันออกให้เขาดู

 

        เขายอมเชื่อใจคนที่อยู่ตรงหน้านี้ แม้ว่าเขาจะไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้เซี่ยเจิงมีความรู้สึกอย่างไร

 

        รู้สึกแปลกใจ? ไม่เข้าใจ? เอือมระอา? หรือว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้รู้สึกที่จะอยากรู้เรื่องที่แสนจะยุ่งยากวุ่นวายเหล่านี้เลยสักนิด?

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้เลยจริงๆ

 

        แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้หลังจากเขาพูดประโยคนั้นจบก็คือ จริงๆ แล้วตัวเขาเองรู้สึกรับไม่ได้กับคำสารภาพที่น่าอับอายเช่นนั้น ชวีเสี่ยวปอยืนขึ้นมาแล้วกระทืบเท้าอย่างแรงสองครั้ง ดูเหมือนว่ากำลังระบายอารมณ์ แต่ก็ดูเหมือนว่ากำลังปิดบังอะไรเอาไว้ด้วยเช่นกัน

 

       เซี่ยเจิงยังคงนั่งอยู่ในท่าเอาหลังพิงกำแพงอยู่เช่นเดิม ไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมา พร้อมทั้งมองดูเขาอย่างเงียบๆ ในดวงตาของเขาราวกับมีบ่อน้ำลึกที่ไม่อาจมองเห็นก้นบ่อซ่อนเอาไว้อยู่ ช่างมองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

        จนกระทั่งเมื่อชวีเสี่ยวปอค่อยๆ รู้สึกสงบลง แล้วนั่งลงที่ข้างๆ เซี่ยเจิงอีกครั้งหนึ่ง ในขณะนั้นเซี่ยเจิงถึงได้ยื่นมือออกไปตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ

 

        “ไม่ใช่ความผิดของนาย”

 

        ทันใดนั้นอุณหภูมิจากฝ่ามือของเขาก็ส่งผ่านมายังไหล่ข้างที่เซี่ยเจิงสัมผัสลงไป ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าอุณหภูนินั้นได้ซึมเข้าสู่ผิวหนังอย่างง่ายดาย และกำลังไหลเวียนอยู่ในหลอดเลือดของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็พุ่งเข้าสู่หัวใจของเขาโดยไม่ลังเล

 

        เขาไม่คิดเลยว่าประโยคสั้นๆ เพียงแค่นั้น จะมีพลังแห่งการปลอบใจได้มากถึงเพียงนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าความเชื่อใจของเขาไม่ถูกทำให้ผิดหวังอย่างนั้นหรือ?

 

        ชวีเสี่ยวปอหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า : “ที่จริงแล้วบางครั้งฉันก็คิดว่า มันไม่ใช่ความผิดของฉันจริงๆ เหรอ? ถ้าเกิดว่าตอนนั้นแม่ไม่ได้ตั้งท้องฉัน หรือว่าตั้งท้องฉันแต่แท้งไป เธอก็คงจะไม่กลับไปหาชวีอี้เจี๋ยอีก”

 

        “ไม่ถูก” เซี่ยเจิงพูดแทรกเขาขึ้นมา ในที่สุดใบหน้าที่นิ่งเรียบก็เปลี่ยนสีหน้าไป เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้ของชวีเสี่ยวปอเป็นที่สุด

 

        “นั่นมันเป็นสิ่งที่นายเลือกไม่ได้” เซี่ยเจิงพูดเน้นออกไปทีละคำ ทั้งยังมองตรงเข้าไปในดวงตาของชวีเสี่ยวปอ “แต่สิ่งที่นายเลือกไม่ได้ในตอนนั้น กลับเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถเลือกได้พอดิบพอดี และสิ่งที่นายต้องทำก็คือใช้ชีวิตของนายให้ดี ไม่ใช่บังคับตัวเองให้ไปรับผิดชอบกับสิ่งที่คนอื่นเขาเลือก เข้าใจไหม? ”

 

        คำสุดท้ายที่ว่า “เข้าใจไหม” เซี่ยเจิงพูดออกมาเสียงเบามาก ราวกับว่าไม่ได้คาดหวังความเข้าใจจากชวีเสี่ยวปอ แต่กลับเหมือนการพูดปลอบเด็กน้อยมากกว่า ชวีเสี่ยวปอจะไม่ยอมถูกมองว่าเป็นเด็กน้อยเป็นอันขาด ถ้าหากคนอื่นพูด เขาอาจจะพูดตอบกลับไปตรงๆ เลยว่า “นายยุ่งอะไรด้วย” แต่ในตอนนี้ชวีเสี่ยวปอยังสงสัยอยู่เลยว่าจริงๆ แล้วเซี่ยเจิงได้พูดคำนั้นออกมาหรือเปล่า หรือเป็นเพียงแค่เสียงถอนหายใจของเขา ชวีเสี่ยวปอรู้เพียงแค่ว่าเขาถูกคำว่าการเลือกกับคำว่าความรับผิดชอบของเซี่ยเจิงหมุนอยู่รอบๆ จนรู้สึกเวียนหัวไปหมด แต่ในใจของเขากลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา อบอุ่นถึงขนาดที่ว่าทั่วทั้งศีรษะเขาก็ร้อนไปด้วย ในขณะนั้นเขาจึงยื่นแขนออกไปโอบกอดเซี่ยเจิงเอาไว้แน่น

 

        เซี่ยเจิงนึกไม่ถึงว่าชวีเสี่ยวปอจะทำเช่นนี้ เพราะทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนเตียง ดังนั้นท่าทางโอบกอดกันแบบนี้จึงดูแปลกประหลาดมากเลยทีเดียว อย่างน้อยการที่ชวีเสี่ยวปอบิดตัวมาหาก็ดูยั่วยวนมากอย่างเห็นได้ชัด

 

        “เซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ เซี่ยเจิงรู้สึกได้ว่ามีลมพ่นออกมาที่ข้างหูของเขา ทำให้รู้สึกจั๊กจี้สุดๆ

 

        “อืม” เซี่ยเจิงตอบรับ

 

        “ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี” ชวีเสี่ยวปอยกคางขึ้นไปกระทบบนไหล่ของเซี่ยเจิงไม่ได้แรงมากแต่ก็ไม่ได้เบาจนเกินไป “ขอบคุณนายมากนะ”

 

        “ที่จริงแล้วฉันคิดว่าฉันก็ไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่เลยนะ” เซี่ยเจิงไม่กล้าที่จะพูดสักเท่าไหร่ เพราะชวีเสี่ยวปอกอดเขาแน่นมากจนเขาหายใจไม่ออก ถึงยังไงชวีเสี่ยวปอก็เป็นคนที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตร แล้วจู่ๆ ก็มากระโจนเข้ามากอดเขา ความรู้สึกเช่นนี้จึงทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกเหมือนเกิดเดจาวู…

 

        ความรู้สึกเหมือนกับสุนัขพันธ์โกลเดินริทรีฟเวอร์ของเพื่อนบ้านกระโจนเข้าหาเขาอย่างไรอย่างนั้นเลย

 

        “ไม่ สำหรับฉันแล้วมันช่วยได้มากเลยละ” ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็ปล่อยมือออกมา จากนั้นก็ชนไหล่เซี่ยเจิงไปหลายที คล้ายกับบอกให้เขาขยับออกไปหน่อย เซี่ยเจิงจึงขยับไปด้านข้าง จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็ขึ้นมานั่งพิงที่หมอนเหมือนกันกับเขา “ที่จริงเรื่องแบบนี้ทำความเข้าใจคนเดียวมันก็ยากอยู่เหมือนกัน แต่พอได้ระบายออกมาก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยละ”

 

        “อืม ฉันเข้าใจ” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ หลังจากชวีเสี่ยวปอสงบสติลงแล้ว ความกระอักกระอ่วนจากการกอดกันเมื่อครู่นี้จึงเกิดขึ้นตามมา

 

        ทั้งสองคนนั่งเงียบไม่พูดไม่จากันอยู่พักใหญ่ อันที่จริงมันเหมือนกับเขาทั้งคู่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีในบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้ ทว่าผ่านไปไม่นาน ชวีเสี่ยวปอก็พูดฮึมฮัมขึ้นมา “เมื่อกี้ฉันทำอีท่าไหนถึงได้ไปกอดนายเข้าเนี่ย? ”

 

        “นายถามฉัน? ” เซี่ยเจิงหลับตาลงขี้เกียจจะสนใจเขา “ทำฉันตกใจหมด”

 

        “งั้นเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังสะกิดไปที่แขนของเซี่ยเจิง “นี่ เซี่ยเจิง”

 

        เซี่ยเจิงรู้สึกรำคาญ จึงทำเพียงแค่กระตุกเปลือกตา : “ทำไม? ”

 

        “หูนายแดงหมดแล้ว” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไปบีบที่ติ่งหูบางๆ ของเซี่ยเจิงอย่างเบามือราวกับกำลังหยอกล้อ จากนั้นเขาก็ทำท่าราวกับว่าค้นพบทวีปใหม่อย่างไรอย่างนั้น พร้อมทั้งพูดออกไปอย่างตกใจและประหลาดใจว่า : “เซี่ยเจิง? นายเขินเหรอ? ”

 

        “เขินบ้านนายสิ” เซี่ยเจิงผลักมือของชวีเสี่ยวปอออก แล้วจึงพูดออกไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า : “ลูกผู้ชายสองคนกอดกันมีอะไรให้เขินฮะ ฉันแค่รู้สึกตกใจนายก็เท่านั้นแหละ”

 

        เซี่ยเจิงพูดพลางกระโดดลงจากเตียง “ฉันไปสูบบุหรี่สักหน่อยดีกว่า”

 

        “ออกไปสูบข้างนอกเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอถาม

 

        “จะไปเข้าห้องน้ำด้วย” เซี่ยเจิงรีบเดินออกไป

 

        ขณะที่เดินออกมา เซี่ยเจิงก็รีบกำมือเอาไว้แล้วจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อย นั่นจึงทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกสงบลง

 

        ถ้าหากเขาไม่รู้มาก่อนว่าชวีเสี่ยวปอเป็นคนไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น เซี่ยเจิงคงจะเข้าใจผิดว่าท่าทางที่มาจับติ่งหูเขาเช่นนั้นคือ การจงใจมาอ่อยเขา

 

        แต่ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เป็นแบบเดียวกันกับเขา

 

        นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุด และคงจะไม่มีทางอธิบายได้เช่นกัน

 

        เซี่ยเจิงเดินเข้าในลานบ้านและนั่งลงตรงขั้นบันได จากนั้นจึงหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจุดไฟ ไฟจุดเล็กๆ สีแดงนั้นเดี๋ยวก็สว่างเดี๋ยวก็ดับอยู่ในความมืด เซี่ยเจิงรู้สึกว่าจิตใจของเขาเองก็ล่องลอยออกไปเช่นเดียวกัน

 

        เขาไม่จำเป็นต้องหลอกตัวเอง เซี่ยเจิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าท่าทีที่ผิดปกติของตัวเขาที่มีต่อชวีเสี่ยวปอมันมีความหมายแฝงว่าอะไร

 

        ดังนั้นเรื่องนี้จึงยิ่งแย่ขึ้นไปกว่าเดิม

 

        ความจริงแล้วเซี่ยเจิงไม่เคยกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงเลย เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป จนเขาเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

 

        แต่ถ้าหากพูดกลับกัน เรื่องแบบนี้ใครจะไปคาดเดาได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

 

        ในขณะที่บุหรี่มวนที่สองใกล้จะสูบหมด เซี่ยเจิงก็ได้ยินเสียงลากเท้าที่กำลังเดินออกมาจากในบ้าน

 

        “ต่อเลยๆ ฉันเอง” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิงที่ท่าทางลุกลี้ลุกลนพยายามที่จะดับบุหรี่ลง เขาจึงรีบพูดออกไปก่อน “ฉันแค่ออกมาดูเฉยๆ เพราะนายช้าซะเหลือเกิน”

 

        “อดไม่ไหวเลยสูบเพิ่มไปอีกมวน” เซี่ยเจิงยกก้นบุหรี่ในมือขึ้นมา “จะอาบน้ำนอนเลยไหม? ”

 

        “ได้ๆ ” ชวีเสี่ยวปอลูบศีรษะ “เอ่อคือ บ้านนายมีแปรงสีฟันอันใหม่ไหม? ที่จริงแล้วครั้งก่อนฉันก็จะถามนายอยู่แต่ว่าไม่กล้าพูด ครั้งก่อนตอนนอนฉันเลยไม่ได้แปรงฟัน”

 

        “นายยังมีตอนที่ไม่กล้าด้วยเหรอเนี่ย” เซี่ยเจิงยิ้มพลางดับบุหรี่ “ลูกผู้ชายเขินอายเหรอเนี่ย น่ากลัวสุดๆ”

 

 

        “สวัสดีครับคุณป้า”

 

        เป็นอีกครั้งที่ได้มาบ้านของเซี่ยเจิง ครั้งนี้ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้เก้ๆ กังๆ เหมือนครั้งก่อนแล้ว เมื่อเข้าบ้านมาเขาก็เห็นแม่ของเซี่ยเจิงกำลังนั่งขดตัวอยู่บนโซฟา ในมือกำลังถือแผ่นปักครอสติชแผ่นเล็กเอาไว้อยู่ และกำลังตั้งใจทำอย่างใจจดใจจ่อ

 

        “จ้ะ? เสี่ยวเทามาแล้วเหรอ” เมื่อแม่ของเซี่ยเจิงเห็นชวีเสี่ยวปอก็ดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังทักทายออกไปด้วยความอบอุ่น

 

        “แม่ครับ นี่ชวีเสี่ยวปอ” เซี่ยเจิงรีบแก้ “วันนี้เขามานอนค้างบ้านเรานะครับ บ้านเขาไม่มีคนอยู่”

 

        “เรียกอะไรก็ได้ครับๆ ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหะๆ และไม่ได้สนใจที่ตัวเองถูกเปลี่ยนชื่อ

 

        “แม่แก่แล้ว ความจำไม่ค่อยดี” แม่ของเซี่ยเจิงตบโซฟาเบาๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขานั่งลง

 

        “ไม่นั่งแล้วล่ะครับ” เซี่ยเจิงดึงชวีเสี่ยวปอ “เดี๋ยวพวกเราจะเข้าห้องแล้ว แม่เองก็ไม่ต้องปักอันนี้แล้วเหมือนกันนะ ไฟตรงนี้มันมืด เดี๋ยวสายตาจะเสียเอาได้ พรุ่งนี้ค่อยเอามาปักใหม่นะครับ”

 

        “รู้แล้วๆ ” แม่ของเซี่ยเจิงหัวเราะออกมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่าการเป็นห่วงของลูกใช้ได้ผลมาก “ทำไมลูกถึงได้ขี้บ่นกว่าแม่อีกล่ะเนี่ย เสี่ยวปอลูกว่าจริงไหม? ”

 

        “จริงครับ !” ชวีเสี่ยวปอรีบสนับสนุนทันที

 

        “จริงบ้านนายสิ” เซี่ยเจิงพูด

 

        ครั้งนี้ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เกรงใจสักเท่าไหร่ พอเข้ามาในห้องเขาก็ล้มตัวลงนอนแผ่สองสลึงบนเตียงอย่างสบายใจ เซี่ยเจิงน่าจะเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ เพราะเขาได้กลิ่นผงซักฟอกที่เป็นกลิ่นส้มอ่อนๆ อยู่ตรงที่เขานอนลงไป ซึ่งมันทำให้พอดมแล้วก็รู้สึกอยากนอนขึ้นมาทันที

 

        เซี่ยเจิงยังคงคุยกับแม่ของเขาอยู่ เพราะเหมือนชวีเสี่ยวปอจะได้ยินรางๆ ว่าแม่ของเขาบอกว่าพรุ่งนี้จะทำอาหารเช้าให้เขาทั้งสองคนทาน ส่วนที่เหลือก็ฟังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่แล้ว จากนั้นพอผ่านไปเพียงครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้นจากด้านนอก แล้วเซี่ยเจิงก็เดินเข้าห้องมา ชวีเสี่ยวปอจึงลุกขึ้นมานั่งตามไปด้วย

 

        “แม่ของฉันยังจำได้อยู่เลยว่านายยังไม่ได้กินปลา” เซี่ยเจิงยื่นนมที่อยู่ในมือให้ชวีเสี่ยวปอกล่องหนึ่ง “เมื่อกี้เขาไม่กล้าพูด เลยให้ฉันมาบอกนายว่า เรื่องครั้งก่อนขอบใจนายมากนะ”

 

        ชวีเสี่ยวปอหยิบหลอดเสียบลงไป แล้วดูดไปคำหนึ่ง “เรื่องเล็กแค่นี้เอง”

 

        แล้วทั้งสองคนก็ดื่มนมกันอย่างเงียบๆ จนหมดกล่อง จากนั้นเซี่ยเจิงจึงยื่นมือไปรับกล่องเปล่าจากมือชวีเสี่ยวปอมาโดยอัตโนมัติและโยนทิ้งถังขยะไป แล้วถึงค่อยพูดขึ้นว่า : “แม่ฉันไม่ได้เจอเพื่อนนักเรียนของฉันสักเท่าไหร่ พอนายมาเขาเลยดีใจมากเลยล่ะ ไม่งั้นแม่ฉันก็คงจะคิดว่าฉันไม่มีเพื่อนเลย”

 

        ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซี่ยเจิงใช้คำว่า “เพื่อน” คำนี้หรือเปล่า มันทำให้เมื่อชวีเสี่ยวปอได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นพิเศษ เขารู้สึกมีความสุขมากที่เซี่ยเจิงสามารถมอบสถานะนี้ให้เขาได้

 

        “คุณป้าเข้าใจนายผิดแล้วละ” ชวีเสี่ยวปอหรี่ตาลง “ฉันรู้สึกว่าตอนอยู่โรงเรียนนายมนุษยสัมพันธ์ดีมากเลยนะ อย่างน้อยก็ดีกว่าฉันมาก” 

 

        “มนุษยสัมพันธ์ดีกับมีเพื่อนมันคนละเรื่องกัน” เซี่ยเจิงถอนหายใจ “เรื่องในวันนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรับได้ คนส่วนใหญ่ก็คงจะไม่ชอบแหละมั้ง… ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ขายหน้า และไม่อยากให้คนอื่นได้รับรู้”

 

        “ถ้างั้นสภาพจิตใจของฉันก็คงจะแข็งแกร่งมากเลยละ” ชวีเสี่ยวปอหัวออกมา แล้วพูดขึ้นอย่างหน้าไม่อายว่า : “เรียกว่าอะไรนะ เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยใจที่ไม่โลเลใช่ไหม? ”

 

        “ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจมากกว่า” เซี่ยเจิงเปิดหน้าต่าง มือก็คลำไปที่กระเป๋ากางเกง “นายน่ะเป็นคนซื่อๆ แล้วก็บ้ามากด้วย”

 

        “เฮ้ย! ฉันนึกว่านายจะชมฉันซะอีก แล้วนี่นายจะ…” ในขณะชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองพูดเสียงดังเกินไป จึงลดเสียงให้เบาลงมา “สูบบุหรี่อีกแล้วเหรอ”

 

        “งั้นไม่สูบแล้วก็ได้” นึกไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงดึงหน้าต่างปิดเข้ามาแล้ว

 

        “ช่างมัน สูบเถอะๆ” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้า พร้อมกับมองไปยังเซี่ยเจิง “สูบแล้วดีเหรอ? ”

 

        “ไม่ดีหรอก” เซี่ยเจิงกระแอมไอ “แต่บางครั้งที่รู้สึกกลุ้มใจก็จะหยิบมาสูบมวนหนึ่ง มันก็ช่วยได้อยู่เหมือนกันนะ”

 

        “ฉัน…”

 

        “นายจะบอกว่า”

 

        ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกัน เซี่ยเจิงจึงพูดขึ้นก่อนว่า : “นายจะบอกว่า ตอนนี้นายรู้สึกกลุ้มใจสุดๆ เลยอยากจะลองสูบดูสักมวนใช่ไหม”

 

        “เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้าง แล้วยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองสองครั้ง “ฉันนึกว่าฉันซ่อนความรู้สึกเอาไว้อย่างดีแล้วซะอีก”

 

        “เหรอ” เซี่ยเจิงเปิดลิ้นชักหยิบกระจกออกมาแล้วยื่นให้เขา “นายรู้ไหมว่าบนหน้าของนายแทบจะเขียนเอาไว้อยู่แล้วว่า ‘ในใจข้าเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายแต่กลับไม่มีที่ให้ระบายออกมาได้เลย’ ”

 

        “เฮ้” ชวีเสี่ยวปอรับกระจกมาถือเอาไว้ในมือ “เซี่ยเจิง พวกเราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม”

 

        “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ? ” เซี่ยเจิงถามกลับ

 

        ใช่

 

        แน่นอน

 

        ความจริงแล้วเซี่ยเจิงรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอที่เป็นเช่นนี้ดูน่าสนใจมาก เขาที่ทั้งตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกหวาดระแวงกับอะไรเลย แต่ในบางช่วงเวลากลับเผยให้เห็นถึงความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษอย่างที่ไม่ได้เห็นได้บ่อยนัก

 

        เซี่ยเจิงเรียกช่วงเวลานี้ว่า ความอ่อนแอ

 

        และในช่วงเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้ การมีใครสักคนที่เราสามารถเชื่อใจเขาได้ สำหรับทุกคนแล้วมันช่างเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเสียจริงๆ

 

        เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบคำถามกลับไป ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน แต่ทั้งสองคนกลับมองหาคำตอบในสายตาของกันและกัน

 

        “ฉัน…” ชวีเสี่ยวปอกำลังที่จะพูดออกมา

 

        “แป๊บนึง” เซี่ยเจิงยื่นมือออกไปทำท่าทางหยุด แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา

 

        “นายจะทำอะไร? ” ชวีเสี่ยวปอถามออกไปด้วยความสงสัย

 

        “เวลาแบบนี้ก็ควรจะ…” เซี่ยเจิงขยับนิ้วไปบนหน้าจอแล้วจึงกดลงไปสองครั้ง จากนั้นเพลงบรรเลิงเปียโนที่โศกเศร้าเพลงหนึ่งก็ดังขึ้น “เปิดเพลงบรรเลงแบบนี้เป็นพื้นหลังสักหน่อย”

 

        ชวีเสี่ยวปออึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “นายทำรายการทอล์กโชว์หรือไง !”

 

        “อะแฮ่มๆ” เซี่ยเจิงยืดหลังตรงขึ้นมา ในขณะนั้นเขาก็ถือโทรศัพท์ขึ้นมาจ่อไว้ที่ปากทำราวกับมันเป็นไมโครโฟนด้วยท่างที่จริงจัง “ถ้าอย่างนั้น แขกรับเชิญที่เราเชิญมาร่วมรายการพูดความในใจในวันนี้ก็คือ คุณชวีเสี่ยวปอ ปรบมือยินดีต้อนรับด้วยครับ”

 

        “คุณชวีเสี่ยวปอบอกว่าเขาอยากจะออกจากรายการแล้ว” ชวีเสี่ยวปอกระโดดขึ้นมาแล้วจิ้มเข้าไปที่ตรงซี่โครงของเซี่ยเจิงหนึ่งที “เพราะว่าพิธีกรติ๊งต๊องเกินไป”

 

        “เป็นเพราะว่าพิธีกรถูกจิ้มโดนตรงจุดจั๊กจี้เลยต้องขอลงจากเวทีก่อนนะครับ” เซี่ยเจิงทั้งหัวเราะทั้งขยับตัวหลบไปด้วย หลังจากนั้นก็ปิดเพลงบรรเลงเปียโนนั้นไป “แล้วต่อจากนี้ก็ขอยกเวทีให้กับคุณชวีเสี่ยวปอ”

 

        “ได้ครับ งั้นคุณชวีเสี่ยวปอก็จะพูดสักสองประโยค… ให้ตายเถอะ พวกเราเหมือนเป็นคนบ้าเลย” ชวีเสี่ยวปอพูดวิจารณ์ออกมา จากนั้นก็ตบลงไปที่ว่างข้างๆ ตัวเอง “นายมานั่งตรงนี้”

 

        “ทำไม” เซี่ยเจิงเดินไปและนั่งลงข้างๆ เขา “กลัวว่าอีกเดี๋ยวจะพูดจนตัวเองสะเทือนใจ ตอนร้องไห้ก็จะได้พิงเข้ามาในอ้อมแขนฉันหรือไง”

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอพูด “กลัวว่าอีกเดี๋ยวนายจะพูดอะไรพล่อยๆ ออกมา ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะได้ตีได้ง่ายหน่อย” ที่จริงแล้วตัวชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องให้เซี่ยเจิงมานั่งข้างๆ เขาด้วย ถึงยังไงซะยิ่งเซี่ยเจิงอยู่ใกล้เขาขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นมากเท่านั้น

 

        “ไหนเล่ามาสิว่าทำไมนายถึงไม่อยากกลับบ้าน” เซี่ยเจิงดึงหมอนออกมาแล้วปรับมุมให้พิงไปที่ด้านหลัง

 

        “นายรู้จักชวีอี้เจี๋ยไหม? ” ชวีเสี่ยวปอเอียงคอมองเขา โดยตอบออกไปไม่ตรงกับคำถาม และเขาก็คาคการณ์เอาไว้แล้วว่าคงจะได้ยินคำตอบยืนยันจากปากของเซี่ยเจิง

 

        “รู้จัก”

 

        “เขาคือพ่อของฉัน” ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้ว

 

        เซี่ยเจิงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ครูหัวหน้าระดับเคยบอกกับเขาว่าฐานะทางบ้านของชวีเสี่ยวปออยู่ในระดับที่ดีมาก ต่อให้ไม่ต้องพยายามก็สามารถมีชีวิตที่ดีกว่าคนทั่วไปได้มากเลยทีเดียว เซี่ยเจิงจึงได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าชีวิตของชวีเสี่ยวปอจะ “ดีมาก” ถึงระดับนี้

 

        “สุดยอด” เซี่ยเจิงหาคำที่จะมาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของตัวเองอยู่สักพัก แต่เขาก็รู้สึกว่าคำสองคำนี้มันทั้งดุดันและเรียบง่าย เหมาะสมที่สุดแล้ว

 

        “แม่ของฉัน” ชวีเสี่ยวปอหยุดพูดไป… จากมุมที่เซี่ยเจิงนั่งอยู่ เขามองเห็นลูกกระเดือกของชวีเสี่ยวปอขยับขึ้นลงได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันพิสูจน์ให้เห็นว่าเขากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่

 

        “แม่ของฉัน เป็นมือที่สามของชวีอี้เจี๋ย”

 

 

        “พี่อวิ๋นโม่ เกราะอ่อนชิ้นนี้ไม่สวย ข้าไม่ต้องการ” อวิ๋นปิงฮวารีบเอ่ย นางถูกอวิ๋นเสี่ยวกั่วกับอวิ๋นเลี่ยหัวเราะเยาะนั้นไม่เป็นไร แต่หากทำให้อวิ๋นโม่ถูกหัวเราะเยาะไปด้วยก็ไม่ดีแล้ว

        คราวนี้แม้แต่เมิ่งเอ๋อร์ก็ร้อนใจเหมือนกัน กลัวว่าอวิ๋นโม่มีเงินไม่พอแล้วจะถูกอวิ๋นเสี่ยวกั่วหัวเราะเยาะ นางเกลียดผู้หญิงที่เคยทำร้ายอวิ๋นโม่อย่างกับอะไรดี หากอวิ๋นโม่ถูกหญิงผู้นี้เหยียดหยาม นางคงทนไม่ไหว

        “ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้ามาก” อวิ๋นโม่เอ่ยอย่างจริงจัง แม้แต่ถุงเฉียนคุนเขายังซื้อมาแล้ว เกราะอ่อนชุดนี้นับเป็นอะไรได้ “เจ้าของร้าน ราคาเท่าไร ข้าต้องการเกราะอ่อนชุดนี้” 

        “เสแสร้ง” อวิ๋นเสี่ยวกั่วส่งเสียงเย็นชา ไม่เชื่อหรอกว่าอวิ๋นโม่จะซื้อได้

        เจ้าของร้านสองตาเป็นประกาย ถึงเขาจะไม่เชื่อว่าอวิ๋นโม่ซื้อได้ แต่ก็บอกราคาออกไป “ห้าร้อยเหรียญทอง จะซื้อหรือ” 

        “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ซื้อ!” อวิ๋นโม่หยิบตั๋วเงินใบละหนึ่งร้อยเหรียญทองห้าใบออกมาส่งให้เจ้าของร้าน เขามีสามหมื่นเหรียญทอง ให้ช่างตีเหล็กฟางไปสองหมื่น ก็ยังเหลืออีกหนึ่งหมื่น

        เจ้าของร้านยิ้มหวานหยด คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นโม่จะจ่ายห้าร้อยเหรียญทองจริงๆ ทั้งยังรวดเร็ว ไม่ต่อราคา รวบรัดชัดเจนเสียยิ่งกว่าพวกผู้นำที่เขาเคยประจบประแจง

        “เยี่ยม!” เจ้าของร้านตื่นเต้นดีใจ นำกล่องที่สวยเป็นพิเศษมาบรรจุสินค้าแล้วค่อยมอบเกราะอ่อนชิ้นนั้นให้อวิ๋นปิงฮวา “ครั้งหน้าข้าจะให้ส่วนลดท่านหนึ่งส่วน!” 

        อวิ๋นปิงฮวาอ้าปากกว้าง รับกล่องสวยงามที่บรรจุเกราะอ่อนไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ นางเองก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

        “เขาถึงกับทำไปจริงๆ!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วตกตะลึง รู้สึกใบหน้าร้อนฉ่าราวกับโดนตบ เมื่อครู่นางดูถูกอวิ๋นโม่เอาไว้มาก คิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางซื้ออาวุธวิญญาณได้ อึดใจต่อมาอวิ๋นโม่ก็ซื้ออาวุธวิญญาณที่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง ทั้งยังมอบมันให้ผู้อื่น

        “หากตอนนั้นข้าไม่ได้ทิ้งเขา เกราะอ่อนชุดนี้คงจะเป็นของข้า!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วในใจมีแต่ความเสียดาย ที่จริงนางไม่มีเงินจะซื้ออาวุธวิญญาณแม้แต่ชิ้นเดียว

        แต่ว่าอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยเหน็บแนม “มีเงินแล้วเป็นอย่างไร ใต้หล้านี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ ต่อให้เจ้ามีเงินมากกว่านี้ โลกทัศน์ก็จำกัดอยู่แค่ในเมืองกวนซานเจิ้น ไม่อาจสำเร็จงานใหญ่!” 

        จากนั้นอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็รีบพาอวิ๋นเลี่ยจากไป อวิ๋นเลี่ยติดตามอวิ๋นเสี่ยวกั่วอยู่ด้านหลัง ให้นางเป็นผู้นำ

        อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะ รู้สึกว่าน่าขัน เขาไม่คิดเอาความกับอวิ๋นเสี่ยวกั่ว พวกเขาอยู่กันคนละโลก อวิ๋นเสี่ยวกั่วไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะฝันถึงเขา 

        หลังเดินออกจากร้านขายอาวุธแล้ว อวิ๋นปิงฮวาก็ยังมึนงงอยู่ ครู่หนึ่งถึงได้สติ ลนลานส่งเกราะอ่อนชุดนั้นให้เมิ่งเอ๋อร์

        “เมิ่งเอ๋อร์ เกราะอ่อนชุดนี้ข้าไม่ชอบ ให้เจ้าเถอะ!” 

        “ยัยบื้อเสี่ยวฮวา นี่เป็นของขวัญที่พี่ใหญ่มอบให้เจ้า จะเอามาให้ข้าทำไม” เมิ่งเอ๋อร์ยิ้มมุมปาก ตอนนี้นางมีความสุขมาก เพราะพี่ชายของนางนับวันยิ่งไม่ธรรมดา

        อวิ๋นปิงฮวาไม่ใช่ไม่ชอบเกราะชุดนี้ เพียงแต่ไม่กล้ารับของขวัญที่แพงเกินไปต่างหาก “พี่อวิ๋นโม่ ของขวัญชิ้นนี้แพงเกินไปแล้ว ข้าไม่กล้ารับไว้ อีกอย่างข้าก็ยังมีพลังเพียงระดับเสริมกำลังเท่านั้น ใช้อาวุธวิญญาณไม่ได้” 

        อวิ๋นโม่ยิ้มพลางลูบศีรษะของสาวน้อย “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้ากับเมิ่งเอ๋อร์เป็นสหายกันก็เท่ากับเป็นน้องสาวของข้าด้วย พี่ชายให้ของขวัญน้องสาว เจ้ายังจะต้องปฏิเสธให้ได้หรือ ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับเสริมกำลัง แต่อีกไม่ช้าก็จะบรรลุระดับเปลี่ยนชีพจร ถึงตอนนั้นก็ต้องใช้อาวุธวิญญาณไม่ใช่หรือ สวมเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครบอกกันว่ามีแต่ระดับเปลี่ยนชีพจรจึงจะใช้อาวุธวิญญาณได้” 

        สุดท้ายอวิ๋นปิงฮวาก็รับเกราะอ่อนเอาไว้ นางยังคงใจลอยอยู่บ้าง เกราะอ่อนชิ้นนี้ราคาห้าร้อยเหรียญทองเชียวนะ นี่เป็นของที่นางไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย

        ………………………………………

        พอกลับถึงบ้าน อวิ๋นโม่ก็ใช้น้ำนมปฐพีช่วยในการฝึกฝน หลังผ่านความเจ็บปวดรุนแรง น้ำนมปฐพีหมดฤทธิ์ เขาก็เข้าสู่ระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้า ทั้งยังเข้าใกล้ขั้นสูงสุดของระดับเสริมกำลัง

        อวิ๋นโม่ใช้น้ำนมปฐพีจนหมดแล้ว ในหินผลึกเหลือเพียงละอองเล็กน้อย นี่เป็นของวิเศษที่หายาก เขานำมันไปล้างในน้ำจนสะอาด จากนั้นมอบน้ำที่ล้างหินผลึกให้เมิ่งเอ๋อร์ ให้นางใช้เป็นน้ำยาเสริมกำลัง แม้มีน้ำนมปฐพีเจือปนอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีผลเสริมกำลังให้ร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวด

        เมิ่งเอ๋อร์เข้าสู่ระดับเสริมกำลังขั้นหกชั้นฟ้าอย่างคาดไม่ถึง

        อวิ๋นโม่เก็บรักษาหินผลึกที่เคยบรรจุน้ำนมปฐพีเอาไว้ เขาจะใช้มันบรรจุพลังปราณเพื่อรักษาหลีเยียน หินผลึกก้อนนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด เพราะสามารถเก็บรักษาพลังปราณเอาไว้โดยไม่รั่วไหล

        “ตอนนี้ข้ายังเป็นแค่ระดับเสริมกำลัง ไม่สามารถดึงปราณชีวิตในร่างของสัตว์อสูรระดับหนึ่งออกมา คิดจะดึงปราณชีวิตของสัตว์อสูรระดับหนึ่ง คงต้องหลอมโอสถดึงวิญญาณขึ้นมาสักเม็ด” อวิ๋นโม่พูดกับตนเอง โอสถดึงวิญญาณ เป็นโอสถที่เขาคิดค้นด้วยตัวเอง เพื่อดึงปรานชีวิตของสัตว์อสูรระดับหนึ่งหรือลมปราณภายในร่างของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจร 

        “ถึงตอนนั้นต้องให้ท่านแม่กินโอสถดึงวิญญาณลงไปเม็ดหนึ่ง เพื่อชักนำพลังปราณเข้าสู่จุดตันเถียน และต้องมีโอสถที่ช่วยหลอมรวมพลังปราณอีกหนึ่งเม็ด ให้ปราณชีวิตของสัตว์อสูรผสานกับลมปราณภายในร่างของท่านแม่

        “ต้องหลอมโอสถดึงวิญญาณขึ้นมาก่อน ค่อยเข้าไปในเทือกเขาเหนือเมฆา” อวิ๋นโม่ออกจากบ้านเพื่อหาซื้อสมุนไพรวิญญาณที่ต้องใช้ ขณะเขาเพิ่งออกจากบ้านก็เห็นลูกศิษย์ตระกูลอวิ๋นมากมายของห้อมล้อมชายแปลกหน้าหลายคนเอาไว้ พากันเดินไปทางหนึ่ง

        เขาเห็นฉินเหอหลินอยู่ในหมู่คนเหล่านั้น

        “คนตระกูลฉินมาทำอะไรที่บ้านตระกูลอวิ๋น” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว หรือว่าตระกูลฉินรู้ฐานะของเขาแล้ว “เป็นไปไม่ได้” อวิ๋นโม่ส่ายหน้า ปัดความคิดนี้ทิ้งไป ตอนนี้สมควรไร้ผู้รู้เห็นฐานะของเขา

        “ไปชมลานฝึกยุทธ์ของตระกูลอวิ๋นก่อนแล้วกัน” บุรุษหนุ่มที่ถูกห้อมล้อมดั่งดวงจันทร์ในหมู่ดาวเอ่ยปาก อวิ๋นโม่พบว่าอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็อยู่ข้างกายชายผู้นั้น กำลังพูดพลางยิ้มพลาง ส่วนฉินเหอหลินก็ติดตามชายผู้นั้นห่างเพียงครึ่งก้าว แสดงให้เห็นว่าต่างมีฐานะสูงส่ง

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วหันมาเห็นอวิ๋นโม่ก็เชิดคางขึ้นอย่างถือดี จากนั้นไม่สนใจอวิ๋นโม่อีก แต่ยิ่งให้ความสนิทสนมกับบุรุษผู้นั้นมากกว่าเดิม

        “เฮ้อ!” อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะ หลายวันมานี้อวิ๋นเสี่ยวกั่วแสดงออกถึงความมั่นใจในตนเองมาก ทำตัวราวกับคุณหนูสูงศักดิ์ คงเพราะประจบคนเหล่านั้นได้แล้วกระมัง ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นใครถึงมีศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลอวิ๋นรายล้อมมากมาย แม้แต่คนถือดีอย่างฉินเหอหลินก็ยังต้องนอบน้อมถ่อมตัว

        “เอ๋” อวิ๋นโม่ส่งเสียงประหลาดใจเบาๆ เขาพบว่ายังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตชั้นกลางคนหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้น ความสามารถของคนผู้นี้เกรงว่าอาจเหนือกว่าอวิ๋นเว่ยเซิงประมุขตระกูลอยู่เล็กน้อย

        จากนั้นอวิ๋นโม่ก็เห็นอวิ๋นเสวียนเซิง เขาติดตามอยู่ด้านหลังกลุ่มคนอย่างไม่ค่อยสนใจ ไม่เหมือนพวกลูกศิษย์ตระกูลอวิ๋นที่ล้อมหน้าล้อมหลังเด็กหนุ่มอายุน้อยด้านหน้า

        “เสวียนเซิง!” อวิ๋นโม่เดินเข้าไปเรียกอวิ๋นเสวียนเซิงไว้

        “อวิ๋นโม่!” อวิ๋นเสวียนเซิงทักทายด้วยสีหน้าดีใจ

        “เกิดอะไรขึ้น คนผู้นั้นเป็นใคร” อวิ๋นโม่ถาม

        “อ๋อ!” อวิ๋นเสวียนเซิงถอนหายใจ “เจ้ารู้จักเมืองฉยงอวี่ใช่ไหม” 

        “ก็รู้จักอยู่” อวิ๋นโม่พยักหน้า 

        เมืองฉยงอวี่เป็นเมืองติดแหล่งน้ำใกล้กับเมืองกวนซานเจิ้น แม้จะเป็นเมืองมาตรฐานขนาดเล็กที่สุดและไม่เจริญสักเท่าไร แต่ก็ยังเจริญกว่าเมืองกวนซานเจิ้นมาก ได้ยินว่ามียอดยุทธ์ระดับท่องพันลี้ประจำอยู่

        “คนผู้นั้นมาจากตระกูลหวังแห่งเมืองฉยงอวี่” 

        “ตระกูลหวังแข็งแกร่งมากหรือ” 

        “ว่ากันว่าตระกูลหวังมียอดฝีมือระดับก่อจิต ดังนั้นฐานะของตระกูลหวังในเมืองฉยงอวี่จึงไม่อ่อนด้อย ชายฉกรรจ์ผู้นั้น เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ว่ากันว่านั่นเป็นยอดฝีมือระดับก่อจิตผู้หนึ่ง ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าท่านประมุขตระกูลเลย” 

        “พวกเขามาที่ตระกูลอวิ๋นเพื่ออะไร” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว มีคนตระกูลฉินมาเป็นเพื่อน อีกฝ่ายคงไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวเป็นแน่

        “เฮ้อ ตระกูลหวังเติบโตในเมืองฉยงอวี่จนติดเพดานแล้วจึงคิดจะขยับขยายออกมา ขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่มีผู้แข็งแกร่งระดับท่องพันลี้ไม่สนใจทรัพย์สินของเมืองเล็กๆ แต่ว่าตระกูลหวังไม่เหมือนกัน ครั้งนี้ต้องการส่วนแบ่งผลกำไรทางการค้าจากเมืองกวนซานเจิ้น ตระกูลฉินการข่าวว่องไว เข้าหาตระกูลหวังตั้งแต่แรก ยินดีเป็นด่านหน้าให้ตระกูลหวัง ตระกูลอวิ๋นของพวกเราเกรงว่าคงต้องถูกสองตระกูลนี้ขูดรีดแล้ว” 

        อวิ๋นเสวียนเซิงถอนหายใจไม่หยุด “ตระกูลหวังมีอำนาจมาก ตระกูลอวิ๋นของพวกเราต้านทานไม่ไหว พวกมันต้องการผลประโยชน์จากตระกูลอวิ๋น พวกเราก็ไร้กำลังจะต่อต้าน” 

        อวิ๋นโม่ตบบ่าอวิ๋นเสวียนเซิง เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ตระกูลอวิ๋นจะไม่เกิดเรื่องแน่นอน” 

        ในเมื่อเขาตัดสินใจจะปกป้องตระกูลอวิ๋น แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลหวังจะก่อคลื่นลมอะไรได้

        ………………………………………

        คนทั้งสามมองอวิ๋นโม่ด้วยความคาดหวัง อวิ๋นโม่เข้าใจดี พวกเขาไม่อยากขาดการติดต่อกับตน เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “เช่นนี้แล้วกัน ตระกูลอวิ๋นกับข้ามีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง หากพวกเขาเจอเรื่องลำบาก พวกเจ้าก็ช่วยดูแลสักหน่อย”

        แม้พวกอวิ๋นเลี่ยจะน่ารังเกียจ แต่ถึงอย่างไรตระกลูอวิ๋นก็คือต้นตระกูลของเขา อีกอย่างประมุขตระกูลอวิ๋นเว่ยเซิงก็ดีต่อเขาไม่น้อย ศิษย์บางคนอย่างอวิ๋นเสวียนเซิงและพี่อวิ๋นโหรวก็สนิทกับอวิ๋นโม่พอสมควร เห็นแก่พวกเขา อวิ๋นโม่ก็ยินดีปกป้องตระกูลอวิ๋น

        “ภายหน้าข้าจะหลอมอาวุธวิญญาณให้ตระกูลอวิ๋นโดยไม่คิดเงิน!” ช่างตีเหล็กฟางประกาศจุดยืน

        ผู้เฒ่ากัวกล่าวตาม “ต่อไปหากมีของดีอะไร สถานจัดการประมูลอินทรีเพลิงเราจะพิจารณาตระกูลอวิ๋นก่อน!” 

        “ข้าจะคุ้มครองตระกูลอวิ๋นสิบปี!” อู่ซานเหอเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทำให้ผู้เฒ่ากัวและช่างตีเหล็กฟางตกตะลึง การตัดสินใจเช่นนี้ต้องใช้ความกล้าอยู่บ้าง

        อวิ๋นโม่โบกมือ “ไม่ต้องถึงขนาดนั้น หากตระกูลอวิ๋นประสบปัญหา เจ้าค่อยช่วยคลี่คลายก็พอแล้ว ไม่ต้องผูกมัดตนเอง”

        ว่าแล้วอวิ๋นโม่ก็ก้าวเท้าออกจากร้าน “จริงสิ เรื่องของข้า ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าได้แพร่งพราย”

        เมื่อได้ยินน้ำเสียงแฝงความเย็นชาของอวิ๋นโม่ หัวใจของคนทั้งสามก็กระตุกขึ้นมา รีบรับปากโดยเร็ว

        “มีถุงเฉียนคุนแล้ว เรื่องอู่ซานเหอก็จัดการแล้ว ถึงเวลาบรรลุระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้าและฟื้นฟูพลังของท่านแม่แล้ว” อวิ๋นโม่เดินออกจากร้านพร้อมกำหนดแผนการก้าวต่อไป

        ในร้านของอู่ซานเหอ ช่างตีเหล็กฟางและผู้เฒ่ากัวขอตัวลา อู่ซานเหอรีบกลับเข้าห้องฝึกฝน นำโอสถออกมาโดยไม่รีรอแล้วรีบกลืนลงไปทันที

        ตูม!

        ทันใดนั้นฤทธิ์ยารุนแรงก็ทะลวงผ่านแขนขาและกระดูกทั่วร่าง พุ่งไปตามเส้นชีพจรเข้าสู่จุดตันเถียน

        พรวด!

        ผ่านไปหนึ่งเค่อ*อู่ซานเหอก็กระอักเลือดดำออกมาคำหนึ่ง เลือดสีดำที่หยดลงพื้นลุกเป็นไฟ โต๊ะที่อยู่ด้านข้างพลอยติดไฟไปด้วย เพียงพริบตาก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

        “ฮ่าๆๆ! พิษอัคคีในกาย ในที่สุดก็ขจัดได้แล้ว!” อู่ซานเหอหัวเราะเสียงดัง ความโศกเศร้าตลอดหลายปีมลายหายไป เขานำโอสถถอนพิษอีกหนึ่งเม็ดเก็บใส่ขวดหยกอย่างระมัดระวัง วันหน้าหากมีคนบาดเจ็บจากพิษของมดพ่นอัคคี นี่ก็คือสมบัติช่วยชีวิต

        “บุญคุณที่ใต้เท้าแพทย์โอสถถอนพิษ ข้าอู่ซานเหอขอจดจำชั่วชีวิต!” อู่ซานเหอเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

        …………………

        “พวกเราเห็นก่อน ทั้งยังจ่ายเงินแล้ว เรื่องอะไรต้องยกให้เจ้าด้วย!”

        ขณะที่อวิ๋นโม่ซึ่งกลับสู่รูปโฉมเดิมเตรียมตัวกลับบ้านก็ได้ยินน้ำเสียงขุ่นเคืองของเมิ่งเอ๋อร์ดังมาจากถนน 

        ‘หรือมีคนรังแกเมิ่งเอ๋อร์’ สีหน้าอวิ๋นโม่ขรึมลง ยกเท้าก้าวออกไป เสียงของเมิ่งเอ๋อร์ดังขึ้นไม่ขาดตอน ชัดเจนว่าถูกคนรังแกแน่แล้ว

        “เฮอะๆ ฐานะอย่างพวกเจ้าคู่ควรกับกริชเล่มนี้หรือ เพื่อซื้อกริชเล่มนี้เกรงว่าคงต้องขายทรัพย์สินจนหมดบ้านสินะ”

        อวิ๋นโม่ได้ยินเสียงของอวิ๋นเสี่ยวกั่วด้วย น้ำเสียงดูถูกของนางพุ่งเป้าไปที่เมิ่งเอ๋อร์ ทำให้อวิ๋นโม่สีหน้าเคร่งขรึมลงอีก จากนั้นเสียงคุ้นเคยก็ดังตามมา “นั่นก็ไม่แน่ ครอบครัวของมันไม่รู้ว่าร่ำรวยมาจากไหน ไม่เพียงต่อเติมบ้านใหม่ ของกินของใช้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก”

        “อวิ๋นเลี่ย!” นัยน์ตาอวิ๋นโม่สว่างวาบ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเลวนั่นจะยังไม่เข็ดหลาบ

        “เอ๋ จริงหรือเนี่ย ได้ยินมาว่าคลังยากลายเป็นว่างเปล่าเพราะฝีมือหนอนบ่อนไส้ ไม่แน่ว่า… จุ๊ๆ!” เสียงอวิ๋นเสี่ยวกั่วดังขึ้นอีกครั้ง

        “เจ้าพูดไร้สาระอะไร! นี่เป็นเงินที่พี่ชายข้าหามาได้!” เมิ่งเอ๋อร์พูดอย่างมีน้ำโห

        “เหอะๆ ก็แค่ระดับเสริมกำลังคนหนึ่ง จะหาเงินได้มากขนาดนั้นหรือ ช่างน่าขำ อีกอย่างไม่เห็นเขาช่วยงานอะไรของตระกูลสักนิด จะหาเงินมาจากที่ไหนได้” อวิ๋นเสี่ยวกั่วยิ้มเย็น

        เมิ่งเอ๋อร์พูดไม่ออกชั่วขณะ อวิ๋นโม่เคลื่อนไหวลึกลับ นางเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาเงินมาจากไหน แต่นางเชื่อใจพี่ชายตนเอง เขาจะต้องไม่ทำเรื่องอย่างการขโมยของในคลังยาของตระกูลแน่นอน “พี่ชายข้าหาเงินทองอย่างไรไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า! หากเจ้ายังกล้าใส่ความ ข้าจะไปให้ท่านประมุขตระกูลตัดสิน!”

        “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นก็ได้ พวกเจ้ามอบกริชเล่มนั้นออกมา นั่นเป็นกริชล้ำค่า ฐานะอย่างพวกเจ้าไม่คู่ควร!” อวิ๋นเลี่ยเหยียดหยาม

        “เมิ่งเอ๋อร์ แล้วกันไปเถอะ กริชนี้แพงมาก ข้าเก็บไว้ก็ไม่เหมาะสมเท่าไร”

        นี่ย่อมเป็นเสียงของอวิ๋นปิงฮวา

        “ไม่ได้นะ!” เมิ่งเอ๋อร์ตัดบทรุนแรง อย่างไรก็ไม่ยอมถอย “วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ในเมื่อเจ้าถูกใจกริชเล่มนี้ ข้าก็จะซื้อให้เจ้าเป็นของขวัญ! ใครบอกว่าเจ้าไม่คู่ควรกับมัน ข้ายังรู้สึกว่า กริชเล่มนี้ไม่คู่ควรกับเจ้าอยู่บ้างต่างหาก ยิ่งกว่านั้นกริชเล่มนี้พวกเราเห็นก่อน ทั้งยังจ่ายเงินไปแล้ว พวกเขาต่างหากคือคนที่มาแย่ง!”

        “เฮอะๆ อย่างนางเนี่ยนะ ยังกล้าบอกว่ากริชนี้ไม่คู่ควรกับนาง ข้าฟังผิดไปหรือไม่” ดวงตาของอวิ๋นเสี่ยวกั่วจ้องอวิ๋นปิงฮวาอย่างล้อเลียน ทำให้อวิ๋นปิงฮวารู้สึกอับอาย

        “ทำไม เจ้าคิดว่าฐานะของเจ้าสูงส่งแค่ไหนกัน” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของอวิ๋นเสี่ยวกั่ว เมิ่งเอ๋อร์หันไปก็มองเห็นอวิ๋นโม่ ส่วนอวิ๋นเลี่ยที่อยู่ข้างกายทำคอหด เกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมา

        “พี่ใหญ่!”

        “พี่อวิ๋นโม่!”

        เมิ่งเอ๋อร์และอวิ๋นปิงฮวาเห็นอวิ๋นโม่ก็ดีใจ

        อวิ๋นโม่เดินช้าๆ ไปหาน้องสาวและอวิ๋นปิงฮวา สายตาที่มองมาทำให้อวิ๋นปิงฮวารู้สึกอุ่นใจ เด็กหนุ่มหันไปทางอวิ๋นเสี่ยวกั่ว “ในความเห็นของข้า กริชเล่มนี้ไม่ค่อยคู่ควรกับปิงฮวาจริงๆ แต่ในเมื่อเมิ่งเอ๋อร์ตั้งใจมอบให้ ปิงฮวา เจ้าก็ฝืนใจรับเสียหน่อยเถอะ”

        “เจ้าค่ะ พี่อวิ๋นโม่” พอมีอวิ๋นโม่อยู่ ความกล้าของอวิ๋นปิงฮวาก็เพิ่มขึ้น

        “อวิ๋นเสี่ยวกั่ว เจ้าคิดว่าฐานะของเจ้าสูงส่งมากอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นโม่ยิ้มถาม

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วไม่พูด อวิ๋นโม่ล้มอวิ๋นเลี่ยได้ ทำให้นางรู้สึกกลัวอยู่บ้าง

        “อวิ๋นเลี่ย ดูเหมือนว่าพอแผลหายเจ้าก็ลืมความเจ็บที่เคยได้รับสินะ ถึงกล้ารังแกน้องสาวของข้า พวกนางจ่ายเงินซื้อกริชไปแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะแย่งอีก?”

        อวิ๋นเลี่ยพึมพำพลางถอยไปอยู่ด้านหลังอวิ๋นเสี่ยวกั่ว

        “ตัวไร้ประโยชน์!” 

        เรื่องที่ทำให้อวิ๋นโม่ต้องประหลาดใจก็คือ อวิ๋นเสี่ยวกั่วถึงกับกล้าด่าทออวิ๋นเลี่ย ส่วนอวิ๋นเลี่ยก็ไม่กล้าพูดอะไร ก่อนหน้านี้อวิ๋นเสี่ยวกั่วเป็นฝ่ายประจบอวิ๋นเลี่ยถึงได้มีฐานะขึ้นมาบ้าง แต่ว่าตอนนี้นางกลับด่าทออวิ๋นเลี่ย

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วยืดอกขึ้น เดินออกมาก้าวหนึ่ง “อวิ๋นโม่ เจ้าคิดว่าเอาชนะอวิ๋นเลี่ยแล้วจะสามารถวางอำนาจได้แล้วสินะ อย่างไรก็เป็นแค่กบก้นบ่อ**เท่านั้น เจ้าไม่รู้หรอกว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่แค่ไหน”

        อวิ๋นโม่มีสีหน้าพิกล อวิ๋นเสี่ยวกั่วถึงกับพูดว่า เขาไม่รู้จักโลกกว้าง หากถามว่าใครในอาณาจักรจั่วสุยที่รู้ซึ้งอย่างถ่องแท้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใด คนผู้นั้นก็ต้องเป็นอวิ๋นโม่แน่นอน แม้ชาติก่อนเขาจะไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ แต่ประสบการณ์ที่เคยประสบพบเจอมานั้นมากกว่าที่คนทั่วไปจะเทียบได้

        “หึ! ก็แค่พวกโคลนติดเท้าเท่านั้น คิดว่าซื้อกริชเล่มนี้ได้ก็คู่ควรจะใช้มันหรือ” ปากของอวิ๋นเสี่ยวกั่วช่างร้ายกาจจริงๆ พอนางเปิดปากพูดก็ทำเอาอวิ๋นปิงฮวาน้ำตาคลอ

        “เจ้าว่าใครเป็นโคลนติดเท้า คิดว่าตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์หรือไง” เมิ่งเอ๋อร์เถียงกลับแทนสหายของตน เดิมทีอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็เป็นคนอัตคัด อาศัยการประจบสอพลอผู้อื่นจึงพอมีเงินอยู่บ้าง แต่กลับยโสถึงขนาดนี้ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

        “เหอะๆ ไม่รู้ว่าไปประจบผู้ยิ่งใหญ่คนใดถึงทำให้เจ้ามั่นใจในตนเองเช่นนี้” อวิ๋นโม่ยิ้มตอบราวกับไม่นึกโกรธเคือง ในสายตาของเขา คนอย่างอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น “วิ่งวนรอบขาผู้อื่นราวกับสุนัข เจ้าภูมิใจนักหรือ”

        “เจ้า!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วโกรธมาก อวิ๋นเลี่ยซ่อนอยู่ด้านหลังนางโดยไม่กล้าเอ่ยปาก กลัวว่าอวิ๋นโม่จะจัดการตน แต่ในไม่ช้าอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็เยือกเย็นลง จากนั้นหัวเราะเสียงเย็นชาติดๆ กัน “คิดอยากจะก้าวหน้าย่อมต้องใช้วิธีจำพวกนี้อยู่บ้าง เจ้าดูถูกวิธีการเหล่านี้จึงเป็นได้แค่กบก้นบ่ออย่างไรล่ะ”

        อวิ๋นโม่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ ใครกันแน่ที่เป็นกบก้นบ่อ

        “ต่อให้เจ้าเป็นผู้เยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลอวิ๋นแล้วจะอย่างไร สายตาก็ยังคงถูกจำกัดอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างกวนซานเจิ้นเท่านั้น เหอะๆ และก็มีแต่พวกเจ้าที่เอากริชผุๆ เล่มหนึ่งมาเป็นเรื่อง” อวิ๋นเสี่ยวกั่วหัวเราะอย่างมั่นใจ

        “ในสายตาของข้า ของขวัญที่เมิ่งเอ๋อร์มอบให้ ต่อให้ไม่ได้ใช้เงินซื้อก็ถือเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้!” ยากนักที่อวิ๋นปิงฮวาจะกล้าตอบโต้อวิ๋นเสี่ยวกั่วสักครั้ง นางกำกริชในมือแน่น “ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่เจ้ายังคิดจะแย่งกริชเล่มนี้อยู่เลย ตอนนี้กลับเสแสร้งว่าไม่ชอบ”

        “เจ้า!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วถูกตอกหน้าจนพ่ายแพ้เถียงไม่ออก ที่สำคัญคือสตรีที่นางดูถูกเมื่อครู่ยังทำหงอกล่าววาจาตะกุกตะกัก ตอนนี้กลับพูดได้คล่องปาก ทำให้นางขุ่นเคือง

        อวิ๋นโม่มองอวิ๋นเสี่ยวกั่วแล้วหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง จากนั้นไม่สนใจนางอีก เขาหันไปหาอวิ๋นปิงฮวา “ปิงฮวา ไม่ต้องสนใจคนน่ารังเกียจพวกนั้น เรื่องบางอย่างนางไม่มีทางเรียนรู้ได้”

        “อืม” อวิ๋นปิงฮวาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

        “ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของปิงฮวา ข้าก็สมควรมอบของขวัญเช่นกัน” อวิ๋นโม่ยิ้มกล่าว

        “พี่อวิ๋นโม่ให้ของขวัญปิงฮวามามากมายแล้ว!” อวิ๋นปิงฮวายิ้มตอบ ไม่อยากให้อวิ๋นโม่ต้องสิ้นเปลืองอีก

        “ที่ให้ไปคือเรื่องของเมื่อก่อน วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ข้าก็ต้องให้ของขวัญ” อวิ๋นโม่เอ่ยอย่างจริงจังพลางมองเข้าไปในร้านอาวุธ

        “หึ ใครกันแน่ที่เป็นคนน่ารังเกียจ! มีแต่กบก้นบ่อถึงได้เห็นกริชผุๆ เป็นสมบัติล้ำค่า น่ากลัวว่าแม้แต่อาวุธวิญญาณธรรมดาสักชิ้นก็ยังไม่กล้าฝัน” อวิ๋นเสี่ยวกั่วน้ำเสียงเย็นชา

        เจ้าของร้านไม่สนใจปัญหาของคนเหล่านี้ เห็นอวิ๋นโม่จะซื้ออาวุธก็ส่งยิ้มให้ คอยแนะนำอาวุธแบบต่างๆ

        อวิ๋นโม่มองข้ามอาวุธธรรมดาหันไปทางอาวุธวิญญาณ เจ้าของร้านดวงตาเป็นประกาย รู้ว่าอวิ๋นโม่คิด ‘ตบหน้าตนให้บวมเหมือนคนอ้วน***’ จึงรีบแนะนำอาวุธวิญญาณเหล่านั้นแก่เขา

        “พี่อวิ๋นโม่ แล้วกันไปเถอะเจ้าค่ะ ของพวกนี้แพงเกินไปแล้ว” อวิ๋นปิงฮวาเคร่งเครียดขึ้นมา อาวุธวิญญาณเหล่านี้ ขนาดชิ้นที่ถูกที่สุดยังราคาสิบกว่าเหรียญทอง

        “เฮอะๆ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมีเงินซื้ออาวุธวิญญาณเหล่านี้จริงๆ” อวิ๋นเสี่ยวกั่วหัวเราะเสียงเย็น นางคิดว่าอวิ๋นโม่กำลังเสแสร้ง รอให้นางจากไป จากนั้นค่อยซื้อของถูกๆ สักชิ้น ก่อนหน้านี้ครอบครัวอวิ๋นโม่ยังจนแทบตาย นางไม่เชื่อว่าแค่เวลาสั้นๆ เขาจะร่ำรวยขึ้นมา

        อวิ๋นเลี่ยที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็ไม่เชื่อว่าอวิ๋นโม่มีเงินซื้ออาวุธวิญญาณ มันรู้จักอวิ๋นโม่ดี ต่อให้อวิ๋นโม่เอาชนะมันได้ก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้นอยู่ดี อวิ๋นโม่คงไม่ได้ขโมยยาในคลังไปจริงๆ หรอกนะ

        “หึๆ ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะทำอย่างไร!” อวิ๋นเลี่ยหัวเราะในใจ เขาเกลียดชังอวิ๋นโม่ หลังจากที่เขาแพ้ ฐานะของอวิ๋นโม่ในตระกูลก็สูงขึ้น คนมากมายหัวเราะเยาะเขาอย่างไม่ไว้หน้า

        “ชิ้นนั้นราคาเท่าไร” อวิ๋นโม่ชี้ออกไป

        เจ้าของร้านมองตามไป ส่ายศีรษะตอบว่า “ชิ้นนั้น ท่านคงซื้อไม่ไหว”

        นั่นเป็นเกราะอ่อนสวมแนบตัว เหมาะสำหรับให้สตรีสวมใส่ เป็นอาวุธวิญญาณที่ไม่เลว สามารถรับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังชั้นกลาง ดังนั้นเกราะอ่อนชิ้นนี้จึงแพงกว่าอาวุธวิญญาณทั่วไปมาก

        “หึๆ อาวุธวิญญาณแบบนี้ เจ้าซื้อไหวหรือ” อวิ๋นเสี่ยวกั่วหัวเราะเยาะ รอดูอวิ๋นโม่ขายหน้า

        ………………………………………

        * 刻Kè หน่วยระบุเวลา 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

        **井底之蛙 Jǐngdǐzhīwā กบก้นบ่อ เปรียบเป็นกบที่อยู่ก้นบ่อน้ำ เห็นท้องฟ้าผ่านปากบ่อแคบๆ ก็คิดว่าเป็นท้องฟ้าทั้งหมดแล้ว หมายถึง ผู้มีความรู้หรือประสบการณ์น้อยแต่คิดว่าตัวเองรอบรู้มาก เทียบได้กับสำนวนไทยว่า กบในกะลาครอบ

        ***打腫臉充胖子 Dǎ zhǒng liǎn chōng pàngzi ตบหน้าตัวเองให้บวมเหมือนคนอ้วน เปรียบคนที่พยายามทำให้ตัวเองหน้าใหญ่เหมือนคนอ้วนแต่สุดท้ายก็ต้องเจ็บตัวเอง หมายถึง คนที่ไม่มีความสามารถหรือเงินทองแต่แสร้งทำเป็นเก่งหรือร่ำรวย เทียบได้กับภาษาไทยว่า หน้าใหญ่ใจโต

        ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่นอกเส้นพื้นที่ยิงประตูสามคะแนน และชู้ตลงกลางห่วงพอดี

 

        “เยี่ยมยอด” ซือจวิ้นที่ยืนอยู่ไม่ไกลปรบมือชื่นชม พร้อมทั้งยกมือขึ้นปาดเหงื่อตรงหน้าผาก

 

        ทางฝั่งของเซี่ยเจิงก็ชูนิ้วโป้งให้ชวีเสี่ยวปอเหมือนกัน ทั้งยังโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนตรงนั้นมายืนล้อมรอบตัวเอง ตามที่โหยวเจียได้สั่งเอาไว้ หลังจากเลิกเรียนพวกเขาต้องมาเล่นให้คุ้นเคยกันสักหนึ่งเกม คนอื่นๆ ชวีเสี่ยวปอก็ค่อนข้างที่จะรู้มาบ้าง เซี่ยเจิงนั้นเล่นได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่พูด ส่วนซือจวิ้นนี่เป็นมืออาชีพเลย ทว่าระดับการเล่นของเจียงอี้หยางกลับทำให้เขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ที่จริงแล้วเขาไม่เพียงแต่นอนเก่งเป็นอาชีพอย่างเดียว บาสเกตบอลก็เล่นได้ไม่เลวอยู่เหมือนกัน

 

        “พวกเรามีกันหลายระดับ ถ้าแย่งเอาที่หนึ่งมาก็คงจะเป็นไปไม่ได้” ซือจวิ้นเริ่มพูดขึ้นมาก่อน และที่เขาพูดมาก็เป็นเรื่องจริง ในสนามบาสเกตบอลไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ อีกทั้งรายชื่อคนที่ลงแข่งของเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งก็มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น นักกีฬาโรงเรียนสองคนนั้นที่ซือจวิ้นรู้จักก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนที่เหลือก็ล้วนดูมีหน่วยก้านกันทั้งนั้น

 

        “พูดให้ตัวเองยอมแพ้ไปก่อนซะแล้วเหรอ” เมื่อครู่ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเล่นได้ลื่นไหลมาก แต่พอฟังที่ซือจวิ้นพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาจึงรีบพูดขึ้นมาทันที “ทำลายความปรารถนาของตัวเองแล้วเพิ่มความน่าเกรงขามให้ศัตรูงั้นเหรอ”

 

        “จริงๆ แล้ว ฉันก็รู้สึกว่าพวกเราเก่งพอตัว” เจียงอี้หยางที่นั่งอยู่บนลูกบาสค่อยๆ หันไปมองเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น “ฉันรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วพวกเราจะตามพวกเขาทันแน่นอน”

 

        “พวกนายจะพอกันได้ยัง” คนที่พูดขึ้นมานี้คือซุนเผิง ในสถานการณ์ที่พวกเขากำลังสำรวจรอบๆ โรงเรียนอย่างขะมักเขม้น จู่ๆ เขาก็พูดแทรกขึ้นมา “พวกเราจะไม่สามารถทำสำเร็จได้สักครั้งเลยเหรอ”

 

        “ถ้าเล่นกันแบบนี้เห็นทีคงจะไม่ได้” เซี่ยเจิงยกชายเสื้อแขนสั้นขึ้นมาเช็ดหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องที่สวยงามและแบนราบของเขา ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองไปยังพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ข้างสนามบาสเกตบอล  สิ่งที่เขาเห็นก็คือผู้หญิงตรงนั้นสลับกันหยิกกันไปหยิกกันมาทั้งยังอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องเสียงแหลมออกมา จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็หันกลับมามองเซี่ยเจิงอีกครั้ง คนที่ทำให้เกิดเรื่องเขากลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าเส้นเอ็นเส้นไหนของตัวเองผิดปกติไปหรือเปล่า เพราะจู่ๆ เขาก็ขยับเดินไปสองก้าวและไปยืนอยู่ตรงข้ามเซี่ยเจิง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขวางสายตาของเหล่าเด็กสาวพวกนั้นได้พอดิบพอดี

 

        เขารู้สึกรำคาญเด็กสาวที่ชอบคุยกันจ้อกแจ้กจอแจเป็นที่สุด

 

        แต่ในใจของเขากลับไม่รู้สึกอยากที่จะยอมรับมัน

 

        ช่วงนี้เขากินเยอะจนอ้วนขึ้นจริงๆ ก่อนหน้านี้กล้ามหน้าท้องยังเห็นชัดอยู่เลย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีพุงแล้ว แต่ก็ดูจะราบเรียบไปหน่อย ไม่ได้ดูดีเหมือนกับเซี่ยเจิง

 

        ทว่าตอนที่เขามีกล้ามหน้าท้องก็ไม่มีเด็กสาวมายืนกรี๊ดอยู่ล้อมรอบตัวเขาสักหน่อย?

 

        “มีอะไรเหรอ? ” สายตาของเซี่ยเจิงมองไปตามการก้าวเท้าของเขา แล้วจึงถามออกไป

 

        “เปล่าๆ ยืนตรงนั้นแดดมันร้อน” ชวีเสี่ยวปอพูดไปอย่างไม่ได้คิด ถึงแม้ว่าจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่นอกจากตอนเช้ากับตอนกลางคืนที่พอจะมีความเย็นอยู่บ้าง ในเวลาอื่นฤดูร้อนก็ยังคงลากยาวอยู่ไม่ยอมหายไปสักที ชวีเสี่ยวปอมองย้อนแสงกลับไปก็พบเข้ากับเซี่ยเจิงที่ถูกแสงจากดวงอาทิตย์ตกในช่วงตะวันยอแสงสาดส่องปกคลุมลงมาอย่างพอดิบพอดี จึงทำให้ทั้งตัวของเขามีแสงสีลูกพีชส่องประกายอยู่รอบๆ แม้แต่เส้นขนบางๆ บนใบหน้าของเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ชวีเสี่ยวปอมองเขาจนรู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

 

        “นายยืนตรงนี้ยิ่งไม่โดนส่องถูกเหรอ? ” เจียงอี้หยางรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอดูแปลกๆ ไป

 

        “ไม่ต้องยุ่งกับฉันหรอกน่า” ชวีเสี่ยวปอเตะไปยังลูกบาสเกตบอลที่อยู่ใต้ก้นของเจียงอี้หยาง ในตอนนั้นเองเจียงอี้หยางจึงล้มลงไปก้นกระแทกพื้นอย่างแรง และลุกขึ้นมาไล่ตีเขาด้วยความโมโห

 

        “พอแล้วๆ เลิกเล่นกันก่อน” เซี่ยเจิงยิ้ม เรียกสองคนนั้นให้หยุดเล่นกัน “ฉันคิดว่าลองดูก็ได้นะ แต่ว่าพวกเราต้องเปลี่ยนตำแหน่ง”

 

        น้ำเสียงของเซี่ยเจิงราบเรียบมาก แต่ที่แปลกก็คือ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าหลายคนที่อยู่ตรงนั้นกลับเชื่อฟังที่เขาพูด พวกเขาคอยฟังอย่างเงียบๆ ว่าเซี่ยเจิงจะพูดอะไรต่อไป ที่โหยวเจียให้เซี่ยเจิงมารับผิดชอบการแข่งขันบาสเกตบอลก็น่าจะถูกต้องแล้วล่ะ คนคนนี้ช่างมีความเป็นผู้นำและมีความสามารถที่ทำให้คนเชื่อฟังได้จริงๆ

 

        ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือสามารถพึ่งพาได้

 

        “สวีเจี๋ยกับเจียงอี้หยางสลับกัน เจียงอี้หยางนายไปอยู่ตรงตำแหน่งของหมายเลขสี่” เซี่ยเจิงเงยคางขึ้นเพื่อบอกกับสวีเจี๋ยที่เงียบมาตลอด “มีปัญหาอะไรไหม”

 

        “ไม่มีปัญหา” สวีเจี๋ยตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม

 

        “ชวีเสี่ยวปออยู่ตำแหน่งหมายเลขสอง” เซี่ยเจิงมองไปยังเขา

 

        “รับทราบ ไว้ใจได้เลย” ชวีเสี่ยวปอยกมือขึ้นมาไว้ที่ข้างคิ้ว ทำท่าวันทยหัตถ์ให้เซี่ยเจิงด้วยความทะเล้น

 

        “ส่วนฉันกับซุนเผิง…เดี๋ยวดูก่อนว่าต้องเปลี่ยนไหม แต่ซือจวิ้นไม่ต้องเปลี่ยน” เซี่ยเจิงพูดจบก็กระทืบเท้าลงกับพื้น “แต่ว่า ในเมื่อคิดที่จะแข่งขันกัน ไม่แย่งกันเป็นที่หนึ่งก็คงจะไม่สนุก ทุกคนมาทำให้เต็มที่กันเถอะ”

 

        เวลาก็ผ่านมาสักพักแล้ว อีกเดี๋ยวซือจวิ้นยังต้องมีซ้อมกับโค้ชอีก ซึ่งเขาจะไปสายไม่ได้โดยเด็ดขาด หลังจากที่เซี่ยเจิงพูดจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ในตอนนี้จึงเหลือเพียงชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงแค่สองคน

 

        “อวดดี” ชวีเสี่ยวปอนั่งลงตรงใต้แป้นบาสเกตบอล ดูเซี่ยเจิงที่กำลังเลี้ยงลูกบาสอยู่ “ฉันนึกว่านายจะไม่ยอมเข้าร่วมซะอีก คิดไม่ถึงว่านายจะตั้งใจมากขนาดนี้”

 

        “ก็ไม่ได้ยอมซะทีเดียวหรอก” เซี่ยเจิงโยนลูกบาสไปให้เขา ชวีเสี่ยวปอก็รับมาได้อย่างสบายๆ “แต่ในเมื่อได้ทำแล้ว ก็ทำให้ดีไปเลยแล้วกัน”

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี แต่พอเมื่อมองไปที่เงาของเซี่ยเจิงที่กำลังเดินมาหาตัวเอง เขาก็รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพราะในขณะที่เซี่ยเจิงพูดประโยคเมื่อครู่นี้ออกมา สิ่งที่ตัวเขาเองคิดก็คือ “ถ้างั้นก็มาทำให้ดีไปด้วยกันเถอะ” ในตอนสายที่โหยวเจียบังคับให้ตัวเขาเข้าร่วม เขาก็คิดแค่ว่าให้ความร่วมมือไปเท่านั้นก็คงพอ แต่คำพูดของเซี่ยเจิงกลับทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกมีแรงกระตุ้นขึ้นมาอย่างประหลาด ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการออกกำลังกายเมื่อครู่จึงทำให้สารอะดรีนาลีนหลั่งออกมาอย่างพลุ่งพล่าน

 

        “จะดื่มน้ำด้วยไหม? ” เซี่ยเจิงเดินเข้าไปถาม

 

        “เอาด้วย” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเจ็บที่น่อง จนทำให้ก้นไม่อยากที่จะขยับไปด้วย “นายซื้อกลับมาให้ฉันหน่อยละกันนะ ฉันเอาน้ำยี้ห่อม่ายต้ง เอาแบบเย็นนะ”

 

        “ไปด้วยกันสิ” เซี่ยเจิงยื่นมือออกไป “จะได้ไปซื้อของกินด้วย? เดี๋ยวยังต้องมีเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำอยู่อีกนะ”

 

        ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไปจับมือของเซี่ยเจิง ใช้แรงฉุดของเขายืนขึ้นมา

 

        แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกไปจากสนามบาสเกตบอลก็มีคนมาขว้างเอาไว้ก่อน

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่ต้องมองอย่างละเอียด ก็รู้เลยทันทีว่าเป็นผู้หญิงสองสามคนที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ข้างสนามเมื่อครู่นี้

 

        การเอาน้ำมาให้ผู้ชายหลังจากที่เขาเล่นบาสเกตบอลเสร็จแทบจะเป็นวิธีเข้ามาตีสนิทที่ทำกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็เห็นจนเบื่อแล้วเช่นกัน ผู้หญิงเหล่านี้ใช้วิธีนี้ไม่เลิกสักที

 

        “นาย ฉันให้” ผู้หญิงที่ผูกผมหางม้าตรงกลางยื่นน้ำแฟนต้าในมือที่จับไว้นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ให้เซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอเหลือบตามองไป แล้วคิดด้วยเจตนาร้ายว่าไม่แน่พอเปิดฝาออกน้ำอาจจะพุ่งออกมาใส่เขาเลยก็ได้

 

        “ขอบคุณ” เซี่ยเจิงยิ้ม “แต่ว่าไม่เป็นไร”

 

        ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ” แล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนเซี่ยเจิงไม่ได้พูดแบบนี้ ครั้งก่อนที่เซี่ยเจิงเอาน้ำมาให้เขา เขารับมาอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ แถมยังมาบอกอีกว่าไม่อยากให้เธอขายหน้าอยู่ตรงนั้น

 

        “อ๋า” สาวผมม้าคนนั้นหดมือกลับเข้ามาด้วยความผิดหวัง แต่หลังจากนั้นก็รีบพูดออกไปอีกว่า : “งั้นให้ช่องทางติดต่อได้ไหม? ”

 

        “ก็…ช่างมันเถอะนะ” เซี่ยเจิงปฏิเสธออกไปอีกครั้ง

 

        และตอนจบไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่า สาวผมหางม้าคนนั้นเบะปากและถูกเพื่อนสนิทของเธอพาออกไปปลอบใจ เซี่ยเจิงกำลังจะถามชวีเสี่ยวปอว่าอยากกินอะไร แต่ชวีเสี่ยวปอกลับทำหน้าเย็นชาใส่ “ช่างเถอะ ไม่กินแล้ว” พูดจบก็เดินไปยังทางที่จะไปตึกเรียน

 

        “นายเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย” เซี่ยเจิงเดินก้าวขึ้นไปขว้างหน้าเขาไว้

 

        “นายนี่นะ” ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าตัวเองไปเก็บเอาความโกรธนี้มาจากไหน “ฉันเพิ่งรู้ว่านายนี่มันเป็นคนตีสองหน้า”

 

        “พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย” เซี่ยเจิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

        “ครั้งก่อนตอนที่นายรับน้ำของเซี่ยเจิงมาก็ดูมีความสุขดีนี่ ยังใส่ใจความรู้สึกของผู้หญิงเขาด้วย แล้วทำไมครั้งนี้ไม่เป็นเหมือนครั้งก่อนแล้วล่ะ? ” ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาอยากจะพูดอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรก็แล้วแต่เขาต้องระบายความไม่พอใจออกไปจากสมองของเขาให้หมดจนได้ “ฉันเดาไม่ถูกเลยว่านายเป็นคนยังไงกันแน่ บางครั้งก็รู้สึกว่านายเป็นคนมีน้ำใจมาก แต่พอนึกถึงเรื่องตอนที่นายเอาจดหมายรักไปให้เหลาหม่าฉันก็รู้สึกว่านายมันเลวจริงๆ ”

 

        “ฉันไม่ได้เป็นคนเอาจดหมายรักนั่นไปให้เหลาหม่า” เซี่ยเจิงที่เงียบมานานในที่สุดก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ

 

        “ฉันรู้ว่านายเอาไปให้ครูประจำชั้นของนาย”

 

        “ฉันไม่ได้เป็นคนเอาให้”

 

        “ถึงยังไงฉันก็รู้สึกว่า…เดี๋ยวนะ นายพูดว่าไงนะ? ” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนว่าจะต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหนไปแน่ๆ  

 

 

        ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่นอกเส้นพื้นที่ยิงประตูสามคะแนน และชู้ตลงกลางห่วงพอดี

 

        “เยี่ยมยอด” ซือจวิ้นที่ยืนอยู่ไม่ไกลปรบมือชื่นชม พร้อมทั้งยกมือขึ้นปาดเหงื่อตรงหน้าผาก

 

        ทางฝั่งของเซี่ยเจิงก็ชูนิ้วโป้งให้ชวีเสี่ยวปอเหมือนกัน ทั้งยังโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนตรงนั้นมายืนล้อมรอบตัวเอง ตามที่โหยวเจียได้สั่งเอาไว้ หลังจากเลิกเรียนพวกเขาต้องมาเล่นให้คุ้นเคยกันสักหนึ่งเกม คนอื่นๆ ชวีเสี่ยวปอก็ค่อนข้างที่จะรู้มาบ้าง เซี่ยเจิงนั้นเล่นได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่พูด ส่วนซือจวิ้นนี่เป็นมืออาชีพเลย ทว่าระดับการเล่นของเจียงอี้หยางกลับทำให้เขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ที่จริงแล้วเขาไม่เพียงแต่นอนเก่งเป็นอาชีพอย่างเดียว บาสเกตบอลก็เล่นได้ไม่เลวอยู่เหมือนกัน

 

        “พวกเรามีกันหลายระดับ ถ้าแย่งเอาที่หนึ่งมาก็คงจะเป็นไปไม่ได้” ซือจวิ้นเริ่มพูดขึ้นมาก่อน และที่เขาพูดมาก็เป็นเรื่องจริง ในสนามบาสเกตบอลไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ อีกทั้งรายชื่อคนที่ลงแข่งของเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งก็มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น นักกีฬาโรงเรียนสองคนนั้นที่ซือจวิ้นรู้จักก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนที่เหลือก็ล้วนดูมีหน่วยก้านกันทั้งนั้น

 

        “พูดให้ตัวเองยอมแพ้ไปก่อนซะแล้วเหรอ” เมื่อครู่ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเล่นได้ลื่นไหลมาก แต่พอฟังที่ซือจวิ้นพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาจึงรีบพูดขึ้นมาทันที “ทำลายความปรารถนาของตัวเองแล้วเพิ่มความน่าเกรงขามให้ศัตรูงั้นเหรอ”

 

        “จริงๆ แล้ว ฉันก็รู้สึกว่าพวกเราเก่งพอตัว” เจียงอี้หยางที่นั่งอยู่บนลูกบาสค่อยๆ หันไปมองเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น “ฉันรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วพวกเราจะตามพวกเขาทันแน่นอน”

 

        “พวกนายจะพอกันได้ยัง” คนที่พูดขึ้นมานี้คือซุนเผิง ในสถานการณ์ที่พวกเขากำลังสำรวจรอบๆ โรงเรียนอย่างขะมักเขม้น จู่ๆ เขาก็พูดแทรกขึ้นมา “พวกเราจะไม่สามารถทำสำเร็จได้สักครั้งเลยเหรอ”

 

        “ถ้าเล่นกันแบบนี้เห็นทีคงจะไม่ได้” เซี่ยเจิงยกชายเสื้อแขนสั้นขึ้นมาเช็ดหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องที่สวยงามและแบนราบของเขา ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองไปยังพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ข้างสนามบาสเกตบอล  สิ่งที่เขาเห็นก็คือผู้หญิงตรงนั้นสลับกันหยิกกันไปหยิกกันมาทั้งยังอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องเสียงแหลมออกมา จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็หันกลับมามองเซี่ยเจิงอีกครั้ง คนที่ทำให้เกิดเรื่องเขากลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าเส้นเอ็นเส้นไหนของตัวเองผิดปกติไปหรือเปล่า เพราะจู่ๆ เขาก็ขยับเดินไปสองก้าวและไปยืนอยู่ตรงข้ามเซี่ยเจิง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขวางสายตาของเหล่าเด็กสาวพวกนั้นได้พอดิบพอดี

 

        เขารู้สึกรำคาญเด็กสาวที่ชอบคุยกันจ้อกแจ้กจอแจเป็นที่สุด

 

        แต่ในใจของเขากลับไม่รู้สึกอยากที่จะยอมรับมัน

 

        ช่วงนี้เขากินเยอะจนอ้วนขึ้นจริงๆ ก่อนหน้านี้กล้ามหน้าท้องยังเห็นชัดอยู่เลย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีพุงแล้ว แต่ก็ดูจะราบเรียบไปหน่อย ไม่ได้ดูดีเหมือนกับเซี่ยเจิง

 

        ทว่าตอนที่เขามีกล้ามหน้าท้องก็ไม่มีเด็กสาวมายืนกรี๊ดอยู่ล้อมรอบตัวเขาสักหน่อย?

 

        “มีอะไรเหรอ? ” สายตาของเซี่ยเจิงมองไปตามการก้าวเท้าของเขา แล้วจึงถามออกไป

 

        “เปล่าๆ ยืนตรงนั้นแดดมันร้อน” ชวีเสี่ยวปอพูดไปอย่างไม่ได้คิด ถึงแม้ว่าจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่นอกจากตอนเช้ากับตอนกลางคืนที่พอจะมีความเย็นอยู่บ้าง ในเวลาอื่นฤดูร้อนก็ยังคงลากยาวอยู่ไม่ยอมหายไปสักที ชวีเสี่ยวปอมองย้อนแสงกลับไปก็พบเข้ากับเซี่ยเจิงที่ถูกแสงจากดวงอาทิตย์ตกในช่วงตะวันยอแสงสาดส่องปกคลุมลงมาอย่างพอดิบพอดี จึงทำให้ทั้งตัวของเขามีแสงสีลูกพีชส่องประกายอยู่รอบๆ แม้แต่เส้นขนบางๆ บนใบหน้าของเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ชวีเสี่ยวปอมองเขาจนรู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

 

        “นายยืนตรงนี้ยิ่งไม่โดนส่องถูกเหรอ? ” เจียงอี้หยางรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอดูแปลกๆ ไป

 

        “ไม่ต้องยุ่งกับฉันหรอกน่า” ชวีเสี่ยวปอเตะไปยังลูกบาสเกตบอลที่อยู่ใต้ก้นของเจียงอี้หยาง ในตอนนั้นเองเจียงอี้หยางจึงล้มลงไปก้นกระแทกพื้นอย่างแรง และลุกขึ้นมาไล่ตีเขาด้วยความโมโห

 

        “พอแล้วๆ เลิกเล่นกันก่อน” เซี่ยเจิงยิ้ม เรียกสองคนนั้นให้หยุดเล่นกัน “ฉันคิดว่าลองดูก็ได้นะ แต่ว่าพวกเราต้องเปลี่ยนตำแหน่ง”

 

        น้ำเสียงของเซี่ยเจิงราบเรียบมาก แต่ที่แปลกก็คือ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าหลายคนที่อยู่ตรงนั้นกลับเชื่อฟังที่เขาพูด พวกเขาคอยฟังอย่างเงียบๆ ว่าเซี่ยเจิงจะพูดอะไรต่อไป ที่โหยวเจียให้เซี่ยเจิงมารับผิดชอบการแข่งขันบาสเกตบอลก็น่าจะถูกต้องแล้วล่ะ คนคนนี้ช่างมีความเป็นผู้นำและมีความสามารถที่ทำให้คนเชื่อฟังได้จริงๆ

 

        ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือสามารถพึ่งพาได้

 

        “สวีเจี๋ยกับเจียงอี้หยางสลับกัน เจียงอี้หยางนายไปอยู่ตรงตำแหน่งของหมายเลขสี่” เซี่ยเจิงเงยคางขึ้นเพื่อบอกกับสวีเจี๋ยที่เงียบมาตลอด “มีปัญหาอะไรไหม”

 

        “ไม่มีปัญหา” สวีเจี๋ยตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม

 

        “ชวีเสี่ยวปออยู่ตำแหน่งหมายเลขสอง” เซี่ยเจิงมองไปยังเขา

 

        “รับทราบ ไว้ใจได้เลย” ชวีเสี่ยวปอยกมือขึ้นมาไว้ที่ข้างคิ้ว ทำท่าวันทยหัตถ์ให้เซี่ยเจิงด้วยความทะเล้น

 

        “ส่วนฉันกับซุนเผิง…เดี๋ยวดูก่อนว่าต้องเปลี่ยนไหม แต่ซือจวิ้นไม่ต้องเปลี่ยน” เซี่ยเจิงพูดจบก็กระทืบเท้าลงกับพื้น “แต่ว่า ในเมื่อคิดที่จะแข่งขันกัน ไม่แย่งกันเป็นที่หนึ่งก็คงจะไม่สนุก ทุกคนมาทำให้เต็มที่กันเถอะ”

 

        เวลาก็ผ่านมาสักพักแล้ว อีกเดี๋ยวซือจวิ้นยังต้องมีซ้อมกับโค้ชอีก ซึ่งเขาจะไปสายไม่ได้โดยเด็ดขาด หลังจากที่เซี่ยเจิงพูดจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ในตอนนี้จึงเหลือเพียงชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงแค่สองคน

 

        “อวดดี” ชวีเสี่ยวปอนั่งลงตรงใต้แป้นบาสเกตบอล ดูเซี่ยเจิงที่กำลังเลี้ยงลูกบาสอยู่ “ฉันนึกว่านายจะไม่ยอมเข้าร่วมซะอีก คิดไม่ถึงว่านายจะตั้งใจมากขนาดนี้”

 

        “ก็ไม่ได้ยอมซะทีเดียวหรอก” เซี่ยเจิงโยนลูกบาสไปให้เขา ชวีเสี่ยวปอก็รับมาได้อย่างสบายๆ “แต่ในเมื่อได้ทำแล้ว ก็ทำให้ดีไปเลยแล้วกัน”

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี แต่พอเมื่อมองไปที่เงาของเซี่ยเจิงที่กำลังเดินมาหาตัวเอง เขาก็รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพราะในขณะที่เซี่ยเจิงพูดประโยคเมื่อครู่นี้ออกมา สิ่งที่ตัวเขาเองคิดก็คือ “ถ้างั้นก็มาทำให้ดีไปด้วยกันเถอะ” ในตอนสายที่โหยวเจียบังคับให้ตัวเขาเข้าร่วม เขาก็คิดแค่ว่าให้ความร่วมมือไปเท่านั้นก็คงพอ แต่คำพูดของเซี่ยเจิงกลับทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกมีแรงกระตุ้นขึ้นมาอย่างประหลาด ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการออกกำลังกายเมื่อครู่จึงทำให้สารอะดรีนาลีนหลั่งออกมาอย่างพลุ่งพล่าน

 

        “จะดื่มน้ำด้วยไหม? ” เซี่ยเจิงเดินเข้าไปถาม

 

        “เอาด้วย” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเจ็บที่น่อง จนทำให้ก้นไม่อยากที่จะขยับไปด้วย “นายซื้อกลับมาให้ฉันหน่อยละกันนะ ฉันเอาน้ำยี้ห่อม่ายต้ง เอาแบบเย็นนะ”

 

        “ไปด้วยกันสิ” เซี่ยเจิงยื่นมือออกไป “จะได้ไปซื้อของกินด้วย? เดี๋ยวยังต้องมีเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำอยู่อีกนะ”

 

        ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไปจับมือของเซี่ยเจิง ใช้แรงฉุดของเขายืนขึ้นมา

 

        แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกไปจากสนามบาสเกตบอลก็มีคนมาขว้างเอาไว้ก่อน

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่ต้องมองอย่างละเอียด ก็รู้เลยทันทีว่าเป็นผู้หญิงสองสามคนที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ข้างสนามเมื่อครู่นี้

 

        การเอาน้ำมาให้ผู้ชายหลังจากที่เขาเล่นบาสเกตบอลเสร็จแทบจะเป็นวิธีเข้ามาตีสนิทที่ทำกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็เห็นจนเบื่อแล้วเช่นกัน ผู้หญิงเหล่านี้ใช้วิธีนี้ไม่เลิกสักที

 

        “นาย ฉันให้” ผู้หญิงที่ผูกผมหางม้าตรงกลางยื่นน้ำแฟนต้าในมือที่จับไว้นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ให้เซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอเหลือบตามองไป แล้วคิดด้วยเจตนาร้ายว่าไม่แน่พอเปิดฝาออกน้ำอาจจะพุ่งออกมาใส่เขาเลยก็ได้

 

        “ขอบคุณ” เซี่ยเจิงยิ้ม “แต่ว่าไม่เป็นไร”

 

        ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ” แล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนเซี่ยเจิงไม่ได้พูดแบบนี้ ครั้งก่อนที่เซี่ยเจิงเอาน้ำมาให้เขา เขารับมาอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ แถมยังมาบอกอีกว่าไม่อยากให้เธอขายหน้าอยู่ตรงนั้น

 

        “อ๋า” สาวผมม้าคนนั้นหดมือกลับเข้ามาด้วยความผิดหวัง แต่หลังจากนั้นก็รีบพูดออกไปอีกว่า : “งั้นให้ช่องทางติดต่อได้ไหม? ”

 

        “ก็…ช่างมันเถอะนะ” เซี่ยเจิงปฏิเสธออกไปอีกครั้ง

 

        และตอนจบไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่า สาวผมหางม้าคนนั้นเบะปากและถูกเพื่อนสนิทของเธอพาออกไปปลอบใจ เซี่ยเจิงกำลังจะถามชวีเสี่ยวปอว่าอยากกินอะไร แต่ชวีเสี่ยวปอกลับทำหน้าเย็นชาใส่ “ช่างเถอะ ไม่กินแล้ว” พูดจบก็เดินไปยังทางที่จะไปตึกเรียน

 

        “นายเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย” เซี่ยเจิงเดินก้าวขึ้นไปขว้างหน้าเขาไว้

 

        “นายนี่นะ” ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าตัวเองไปเก็บเอาความโกรธนี้มาจากไหน “ฉันเพิ่งรู้ว่านายนี่มันเป็นคนตีสองหน้า”

 

        “พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย” เซี่ยเจิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

        “ครั้งก่อนตอนที่นายรับน้ำของเซี่ยเจิงมาก็ดูมีความสุขดีนี่ ยังใส่ใจความรู้สึกของผู้หญิงเขาด้วย แล้วทำไมครั้งนี้ไม่เป็นเหมือนครั้งก่อนแล้วล่ะ? ” ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาอยากจะพูดอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรก็แล้วแต่เขาต้องระบายความไม่พอใจออกไปจากสมองของเขาให้หมดจนได้ “ฉันเดาไม่ถูกเลยว่านายเป็นคนยังไงกันแน่ บางครั้งก็รู้สึกว่านายเป็นคนมีน้ำใจมาก แต่พอนึกถึงเรื่องตอนที่นายเอาจดหมายรักไปให้เหลาหม่าฉันก็รู้สึกว่านายมันเลวจริงๆ ”

 

        “ฉันไม่ได้เป็นคนเอาจดหมายรักนั่นไปให้เหลาหม่า” เซี่ยเจิงที่เงียบมานานในที่สุดก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ

 

        “ฉันรู้ว่านายเอาไปให้ครูประจำชั้นของนาย”

 

        “ฉันไม่ได้เป็นคนเอาให้”

 

        “ถึงยังไงฉันก็รู้สึกว่า…เดี๋ยวนะ นายพูดว่าไงนะ? ” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนว่าจะต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหนไปแน่ๆ  

 

 

        เสียงตะโกนของชวีเสี่ยวปอได้ยินชัดเจนทุกตัวอักษร เซี่ยเจิงจึงต้องบีบเบรกที่มืออย่างแรง จนทำให้เกิดเสียงแหลมจนแสบแก้วหู

 

        ชวีเสี่ยวปอทั้งวิ่งทั้งกระโดดออกไปอย่างดีใจ โดยไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าใบหน้าของซือจวิ้นที่อยู่ข้างหลังนั้นได้แสงสีหน้าออกมาว่าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

 

        “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือไปจับถุงพลาสติกของเซี่ยเจิงที่แขวนไว้บนแฮนด์จักรยาน ซึ่งในนั้นมีเครปจีนที่ยังร้อนๆ อยู่เลย

 

        “อืม” รอบตาของเซี่ยเจิงดูคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าแล้วเมื่อวานคงจะไม่ค่อยได้นอน

 

        “คุณป้าเป็นยังไงบ้าง? ” ชวีเสี่ยวปอถาม

 

        “พอไหวอยู่” เซี่ยเจิงพูดอย่างสบายๆ แต่ท่าทางที่เหนื่อยล้าของเขากลับทรยศเขาและเปิดเผยความจริงออกมาให้เห็นเข้าแล้ว เมื่อคืนแม่ของเขาเอาแต่ร้องไห้ตลอด เซี่ยเจิงเลยต้องนั่งเฝ้าเขาทั้งคืน “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”

 

        “ตาหมีแพนด้าของนายมันจะลงมาถึงคางอยู่แล้ว” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “นี่ เดี๋ยวเลิกเรียนฉันไปเยี่ยมคุณป้าหน่อยละกัน? ” ในขณะที่พูดชวีเสี่ยวปอก็เดินไปโรงเรียนพร้อมกับเซี่ยเจิงด้วย จนกระทั่งเขานึกอะไรขึ้นมาได้ ชวีเสี่ยวปอจึงรีบหันกลับไปทันที แล้วเรียกซือจวิ้นที่เดินตามหลังมาอย่างช้าๆ : “เร็วสิ รีบตามมา !”

 

       

        หลังจากเลิกเรียนคาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้า ชวีเสี่ยวปอก็ถูกซือจวิ้นคว้าตัวเอาไว้

 

        “วันนี้นายต้องอธิบายให้รู้เรื่อง !” ซือจวิ้นไล่ต้อนชวีเสี่ยวปอไปที่มุมของกำแพง แล้วบังคับให้เขามองตัวเอง

 

        “อะไรๆ อะไรอีกเล่า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกประหลาดใจ

 

        “นี่นายยังเห็นฉันเป็นพี่น้องอยู่ไหม” ซือจวิ้นพูดกับชวีเสี่ยวปออย่างไม่พอใจ “นายเปลี่ยนใจไปแล้ว”

 

        “เห็นสิ ฉันก็เป็นพ่อที่ดีของนายมาตลอดนี่” ชวีเสี่ยวปอเลิกคิ้วขึ้น “เปลี่ยนใจอะไรกัน”

 

        “ไม่ใช่ ก็เขานั่นไง” ซือจวิ้นใช้สายตาชี้ไปยังเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ “นายสองคนนี่ยังไงกันแน่”

 

        “อะไรคือยังไงกันแน่” ชวีเสี่ยวปอดึงคอเสื้อของตัวเอง “ครั้งก่อนนายก็ถามไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

 

        “นายโกหก” บนใบหน้าของซือจวิ้นแทบจะมีประโยคที่ว่า “ชวีเสี่ยวปอนายเปลี่ยนใจแล้วแน่ๆ ตอนนี้ข้าช่างไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยจริงๆ ” เขียนไว้อยู่เต็มหน้าของเขา “นายสองคนไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ นายยังไม่สนใจเลยว่าฉันกินข้าวเช้าหรือยัง”

 

        “คืนวันนั้นที่เขาช่วยฉัน” ชวีเสี่ยวปอเขย่าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บ “ไม่งั้นก็แผลก็คงจะไม่เล็กเท่านี้หรอก”

 

        “อ๋อ” ซือจวิ้นชำเลืองมองที่หลังของเซี่ยเจิงอีกครั้ง แล้วพึมพำออกไปเสียงเบาว่า “ถือว่ายังมีคุณธรรมอยู่มาก”

 

        “นายอยากให้ฉันสนใจว่านายกินข้าวเช้าหรือยังด้วยเหรอ” ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางออกมาโบกให้ซือจวิ้น

 

        “ไม่ใช่” ซือจวิ้นเบิกตากว้าง “งั้นเรื่องจดหมายรักก็ช่างมันแล้ว? ”

 

        “…เปล่า” พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าสภาพจิตใจของเขาไม่ได้อึดอัดจนยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนกับในตอนนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว หรือว่าเป็นเพราะหลังจากที่ถูกเซี่ยเจิงปฏิเสธความรู้สึกนั้นก็จืดจางลงไปแล้ว แต่อย่างไรก็แล้วแต่เขารู้สึกแค่ว่าเขาไม่อยากที่จะจริงจังกับเรื่องนี้อีกต่อไป ทว่าตอนที่อธิบายให้ซือจวิ้นฟัง ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าทำไมปากกับใจของเขาถึงไม่ตรงกัน “ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลังเถอะ มันคนละเรื่องกัน แล้วอีกอย่างนายไม่เห็นเหรอว่าโหยวเจียจับตามองฉันทั้งวัน ถ้าฉันมีเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ฉันก็คงจะไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้แล้วละ”

 

        “มันก็จริง” ซือจวิ้นยังอยากที่จะพูดอะไรออกมาอีก แต่เสียงกริ่งเข้าเรียนกลับดังขึ้นมาซะก่อน ทั้งคู่จึงเดินกลับเข้าที่นั่งของตัวเองไป จากนั้นโหยวเจียที่ถูกชวีเสี่ยวปอนินทาไปเมื่อครู่ก็เดินเข้าห้องมา

 

        ห้องเรียนในวันจันทร์ที่บรรยากาศแสนจะอึมครึม วันหยุดอันแสนสั้นสองวันนี้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่มีแรงกดดันมากมายเช่นนี้มันช่างไม่พอให้ได้พักหายใจหายคอได้เลยเสียจริงๆ ดังนั้นในขณะที่โหยวเจียเดินเข้ามาจึงยังมีนักเรียนหลายคนฟุบหน้านอนหลับอยู่บนโต๊ะ ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของเจียงอี้หยางที่นั่งอยู่ด้านหลังถัดจากโต๊ะเขา

 

        “เรียนวิชาอะไรอะ? ” เซี่ยเจิงที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะตั้งแต่คาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้าเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แล้วถามชวีเสี่ยวปอออกไปด้วยน้ำเสียงที่งัวเงีย

 

        “ประวัติศาสตร์” ชวีเสี่ยวปอหันไปมองโหยวเจียอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากเขาเดินเข้ามายืนอยู่หน้าชั้นเรียนนานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นจึงตอบเขาไป “นอนเต็มอิ่มแล้วเหรอ? ”

 

        “ยังเลย” เซี่ยเจิงขยี้ตา แต่ก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้เลยว่าบนหน้าของเขาถูกรอยพับของเสื้อผ้าประทับลงไปจนเห็นเป็นเส้นสีแดงสองเส้นอย่างชัดเจน

 

        “ตื่นๆ ลุกขึ้นมาๆ” โหยวเจียมองไปยังพวกเขา และใช้แรงตีไปบนโพเดียมหน้าชั้นเรียนสองครั้ง “ครูเข้าใจทุกคนนะ เช้าวันนี้ครูก็ยังนอนไม่เต็มที่เหมือนกัน ถ้าจะนอนก็ค่อยไปนอนตอนพักกลางวัน ในวิชาของครู ครูไม่อนุญาตนอน แต่ถ้าเป็นวิชาของครูคนอื่นครูจะไม่ยุ่งเลย !”

 

        โหยวเจียจับหลักจิตวิทยาของนักเรียนได้เป็นอย่างดี พูดแค่เพียงคำสองคำก็ทำให้ในห้องเรียนมีเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อยเลย

 

        “เอาล่ะ ครูขอพูดอีกเรื่องหนึ่ง” โหยวเจียยกมือขึ้นมาเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง “ปลายเดือนหน้า โรงเรียนจะจัดการแข่งขันบาสเกตบอล ซึ่งโดยปกติแล้วชั้นมอหกจะไม่เข้าร่วม และจะแข่งขันกันภายในระดับชั้น ชั้นมอสี่และมอห้าก็จะมีผู้ชนะชั้นละหนึ่งทีม เมื่อกี้คุณครูหยางที่อยู่ห้องสายวิทย์มาพูดขิงครูตั้งนานสองนาน แล้วชั้นพวกเรามีใครจะเข้าร่วมบ้าง? มีใครอาสาไหม? อย่าทำให้ครูต้องขายหน้าคุณครูหยางนะ”

 

        “ครู ผมครับ !” ซือจวิ้นรีบยกมือและยืนขึ้นมาทันที “ผมเข้าร่วมครับ !”

 

        “เธอต้องเข้าร่วมอยู่แล้วละ” โหยวเจียพยักหน้าแสดงความพอใจ เดิมทืซือจวิ้นก็อยู่ในทีมนักกีฬาของโรงเรียนอยู่แล้ว โอกาสแบบนี้ไม่พลาดแน่นอน

 

        “ยังมีอีกไหม? ” โหยวเจียกวาดสายตามองไปรอบๆ

 

        แล้วก็มีผู้ชายอีกหลายคนยกมือขึ้น ความจริงแล้วคนเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว เพราะเดิมทีห้องสายศิลป์ผู้ชายก็น้อยอยู่แล้ว ถ้าไม่มีตัวสำรองจริงๆ มีเพียงแค่คนลงเล่นในสนามก็พอแล้วล่ะ

 

        “ไม่ค่อยกระตือรือร้นกันเลย งั้นครูเรียกชื่อนะ” โหยวเจียถอนหายใจออกมา “ชวีเสี่ยวปอ”

 

        ชวีเสี่ยวปอที่กำลังแอบกดมือถือเล่นอยู่ด้านล่าง พอเมื่อโหยวเจียเรียกเขาขึ้นมา เขาก็ตัวสั่นราวกับกินปูนร้อนท้อง จากนั้นจึงเอนตัวไปด้านหลังจนชนเข้ากับหลังศีรษะของเจียงอี้หยางและทำให้เขาตื่น

 

        ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันที่จะได้ตอบรับออกไป เจียงอี้หยางก็ยังไม่ทันที่จะเงยหน้าขึ้นมาก็ด่าออกไปอย่างหงุดหงิดว่า : “ชวีเสี่ยวปอก้นนายไฟลุกหรือยังไง? อยู่นิ่งๆ หน่อยสิ”

 

        ทั้งห้องหัวเราะกันอย่างครื้นเครง

 

        “เจียงอี้หยาง !” โหยวเจียพูดไม่ออก

 

        ในตอนนี้เจียงอี้หยางถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แล้วจึงยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ

 

        “เธอก็เข้าร่วมด้วยเลย อย่ามัวเอาแต่นอนทั้งวัน ดูไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด” โหยวเจียยื่นมือชี้ไปที่เขา “แล้วก็ ชวีเสี่ยวปอ”

 

        “ครูครับผมไม่ได้นอนสักหน่อย” ชวีเสี่ยวปอวิเคราะห์สถานการณ์

 

        “เธอเล่นบาสไม่เป็นเหรอ? ” โหยวเจียมองเขา

 

        “เป็นครับ” ชวีเสี่ยวปอเล่นเป็นแน่นอนอยู่แล้ว แต่เขาไม่ค่อยที่จะสนใจกิจกรรมที่ดูเป็นทางการเช่นนี้สักเท่าไหร่ ถ้าเล่นปกติทั่วไปก็พอได้อยู่ พอพูดถึงการแข่งขันเขาก็รู้สึกไม่มีแรงขึ้นมาทันที ดังนั้นซือจวิ้นจึงมักจะบอกเสมอเลยว่าเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับทีม

 

        “เป็นก็ลงเล่นในสนาม” น้ำเสียงของโหยวเจียเป็นน้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธได้เลย “แล้วก็เซี่ยเจิงด้วย”

 

        “ครูครับผมเล่นไม่เป็นครับ” ถ้าเทียบกับคำพูดที่ซื่อสัตย์ของชวีเสี่ยวปอแล้ว คำโกหกของเซี่ยเจิงยังค่อนข้างที่จะดูไหลลื่นมากกว่าเสียอีก

 

        “ให้มันน้อยๆ หน่อย ครูถามครูประจำชั้นคนก่อนของเธอมาแล้ว” โหยวเจียมีการเตรียมตัวมาล่วงหน้า เขาไปสอบถามมาเรียบร้อยแล้วว่าตอนที่เซี่ยเจิงอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่เคยเข้าร่วมการแข่งขันมาแล้วทั้งยังนำชั้นเรียนของเขาให้ได้แชมป์อีกด้วย “พวกเธออย่าทำแบบนี้กันซิ ครูรู้ว่าพวกเราเพิ่งจะแบ่งห้องได้ไม่นานและทุกคนก็ยังไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นทุกคนจึงต้องยิ่งใช้การแข่งขันในครั้งนี้ทำความรู้จักกันให้ได้มากขึ้น”

 

        โหยวเจียพูดร่ายยาวออกมาอีกครั้ง สุดท้ายยังแต่งตั้งให้เซี่ยเจิงมีอำนาจเต็มในการรับผิดชอบทุกเรื่องในระหว่างการแข่นขันนี้ด้วย เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขามีประสบการณ์มาก่อน

 

        “นายมีประสบการณ์มาก่อนเหรอ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง เขาเองก็ไม่มองไม่ออกว่าเซี่ยเจิงยินดีหรือไม่ยินดี แต่เขารู้สึกว่าเซี่ยเจิงน่าจะเป็นแบบเดียวกันกับเขาที่ล้วนไม่ชอบความยุ่งยากเหมือนกัน

 

        “มี” เซี่ยเจิงตอบตามความจริง

 

        “อะไรอ่า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสนใจขึ้นมา

 

        “พอลงสนามก็ตะโกนให้พวกเรายอมแพ้”

 

 

        เสียงตะโกนของชวีเสี่ยวปอได้ยินชัดเจนทุกตัวอักษร เซี่ยเจิงจึงต้องบีบเบรกที่มืออย่างแรง จนทำให้เกิดเสียงแหลมจนแสบแก้วหู

 

        ชวีเสี่ยวปอทั้งวิ่งทั้งกระโดดออกไปอย่างดีใจ โดยไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าใบหน้าของซือจวิ้นที่อยู่ข้างหลังนั้นได้แสงสีหน้าออกมาว่าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

 

        “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือไปจับถุงพลาสติกของเซี่ยเจิงที่แขวนไว้บนแฮนด์จักรยาน ซึ่งในนั้นมีเครปจีนที่ยังร้อนๆ อยู่เลย

 

        “อืม” รอบตาของเซี่ยเจิงดูคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าแล้วเมื่อวานคงจะไม่ค่อยได้นอน

 

        “คุณป้าเป็นยังไงบ้าง? ” ชวีเสี่ยวปอถาม

 

        “พอไหวอยู่” เซี่ยเจิงพูดอย่างสบายๆ แต่ท่าทางที่เหนื่อยล้าของเขากลับทรยศเขาและเปิดเผยความจริงออกมาให้เห็นเข้าแล้ว เมื่อคืนแม่ของเขาเอาแต่ร้องไห้ตลอด เซี่ยเจิงเลยต้องนั่งเฝ้าเขาทั้งคืน “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”

 

        “ตาหมีแพนด้าของนายมันจะลงมาถึงคางอยู่แล้ว” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “นี่ เดี๋ยวเลิกเรียนฉันไปเยี่ยมคุณป้าหน่อยละกัน? ” ในขณะที่พูดชวีเสี่ยวปอก็เดินไปโรงเรียนพร้อมกับเซี่ยเจิงด้วย จนกระทั่งเขานึกอะไรขึ้นมาได้ ชวีเสี่ยวปอจึงรีบหันกลับไปทันที แล้วเรียกซือจวิ้นที่เดินตามหลังมาอย่างช้าๆ : “เร็วสิ รีบตามมา !”

 

       

        หลังจากเลิกเรียนคาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้า ชวีเสี่ยวปอก็ถูกซือจวิ้นคว้าตัวเอาไว้

 

        “วันนี้นายต้องอธิบายให้รู้เรื่อง !” ซือจวิ้นไล่ต้อนชวีเสี่ยวปอไปที่มุมของกำแพง แล้วบังคับให้เขามองตัวเอง

 

        “อะไรๆ อะไรอีกเล่า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกประหลาดใจ

 

        “นี่นายยังเห็นฉันเป็นพี่น้องอยู่ไหม” ซือจวิ้นพูดกับชวีเสี่ยวปออย่างไม่พอใจ “นายเปลี่ยนใจไปแล้ว”

 

        “เห็นสิ ฉันก็เป็นพ่อที่ดีของนายมาตลอดนี่” ชวีเสี่ยวปอเลิกคิ้วขึ้น “เปลี่ยนใจอะไรกัน”

 

        “ไม่ใช่ ก็เขานั่นไง” ซือจวิ้นใช้สายตาชี้ไปยังเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ “นายสองคนนี่ยังไงกันแน่”

 

        “อะไรคือยังไงกันแน่” ชวีเสี่ยวปอดึงคอเสื้อของตัวเอง “ครั้งก่อนนายก็ถามไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

 

        “นายโกหก” บนใบหน้าของซือจวิ้นแทบจะมีประโยคที่ว่า “ชวีเสี่ยวปอนายเปลี่ยนใจแล้วแน่ๆ ตอนนี้ข้าช่างไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยจริงๆ ” เขียนไว้อยู่เต็มหน้าของเขา “นายสองคนไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ นายยังไม่สนใจเลยว่าฉันกินข้าวเช้าหรือยัง”

 

        “คืนวันนั้นที่เขาช่วยฉัน” ชวีเสี่ยวปอเขย่าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บ “ไม่งั้นก็แผลก็คงจะไม่เล็กเท่านี้หรอก”

 

        “อ๋อ” ซือจวิ้นชำเลืองมองที่หลังของเซี่ยเจิงอีกครั้ง แล้วพึมพำออกไปเสียงเบาว่า “ถือว่ายังมีคุณธรรมอยู่มาก”

 

        “นายอยากให้ฉันสนใจว่านายกินข้าวเช้าหรือยังด้วยเหรอ” ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางออกมาโบกให้ซือจวิ้น

 

        “ไม่ใช่” ซือจวิ้นเบิกตากว้าง “งั้นเรื่องจดหมายรักก็ช่างมันแล้ว? ”

 

        “…เปล่า” พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าสภาพจิตใจของเขาไม่ได้อึดอัดจนยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนกับในตอนนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว หรือว่าเป็นเพราะหลังจากที่ถูกเซี่ยเจิงปฏิเสธความรู้สึกนั้นก็จืดจางลงไปแล้ว แต่อย่างไรก็แล้วแต่เขารู้สึกแค่ว่าเขาไม่อยากที่จะจริงจังกับเรื่องนี้อีกต่อไป ทว่าตอนที่อธิบายให้ซือจวิ้นฟัง ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าทำไมปากกับใจของเขาถึงไม่ตรงกัน “ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลังเถอะ มันคนละเรื่องกัน แล้วอีกอย่างนายไม่เห็นเหรอว่าโหยวเจียจับตามองฉันทั้งวัน ถ้าฉันมีเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ฉันก็คงจะไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้แล้วละ”

 

        “มันก็จริง” ซือจวิ้นยังอยากที่จะพูดอะไรออกมาอีก แต่เสียงกริ่งเข้าเรียนกลับดังขึ้นมาซะก่อน ทั้งคู่จึงเดินกลับเข้าที่นั่งของตัวเองไป จากนั้นโหยวเจียที่ถูกชวีเสี่ยวปอนินทาไปเมื่อครู่ก็เดินเข้าห้องมา

 

        ห้องเรียนในวันจันทร์ที่บรรยากาศแสนจะอึมครึม วันหยุดอันแสนสั้นสองวันนี้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่มีแรงกดดันมากมายเช่นนี้มันช่างไม่พอให้ได้พักหายใจหายคอได้เลยเสียจริงๆ ดังนั้นในขณะที่โหยวเจียเดินเข้ามาจึงยังมีนักเรียนหลายคนฟุบหน้านอนหลับอยู่บนโต๊ะ ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของเจียงอี้หยางที่นั่งอยู่ด้านหลังถัดจากโต๊ะเขา

 

        “เรียนวิชาอะไรอะ? ” เซี่ยเจิงที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะตั้งแต่คาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้าเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แล้วถามชวีเสี่ยวปอออกไปด้วยน้ำเสียงที่งัวเงีย

 

        “ประวัติศาสตร์” ชวีเสี่ยวปอหันไปมองโหยวเจียอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากเขาเดินเข้ามายืนอยู่หน้าชั้นเรียนนานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นจึงตอบเขาไป “นอนเต็มอิ่มแล้วเหรอ? ”

 

        “ยังเลย” เซี่ยเจิงขยี้ตา แต่ก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้เลยว่าบนหน้าของเขาถูกรอยพับของเสื้อผ้าประทับลงไปจนเห็นเป็นเส้นสีแดงสองเส้นอย่างชัดเจน

 

        “ตื่นๆ ลุกขึ้นมาๆ” โหยวเจียมองไปยังพวกเขา และใช้แรงตีไปบนโพเดียมหน้าชั้นเรียนสองครั้ง “ครูเข้าใจทุกคนนะ เช้าวันนี้ครูก็ยังนอนไม่เต็มที่เหมือนกัน ถ้าจะนอนก็ค่อยไปนอนตอนพักกลางวัน ในวิชาของครู ครูไม่อนุญาตนอน แต่ถ้าเป็นวิชาของครูคนอื่นครูจะไม่ยุ่งเลย !”

 

        โหยวเจียจับหลักจิตวิทยาของนักเรียนได้เป็นอย่างดี พูดแค่เพียงคำสองคำก็ทำให้ในห้องเรียนมีเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อยเลย

 

        “เอาล่ะ ครูขอพูดอีกเรื่องหนึ่ง” โหยวเจียยกมือขึ้นมาเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง “ปลายเดือนหน้า โรงเรียนจะจัดการแข่งขันบาสเกตบอล ซึ่งโดยปกติแล้วชั้นมอหกจะไม่เข้าร่วม และจะแข่งขันกันภายในระดับชั้น ชั้นมอสี่และมอห้าก็จะมีผู้ชนะชั้นละหนึ่งทีม เมื่อกี้คุณครูหยางที่อยู่ห้องสายวิทย์มาพูดขิงครูตั้งนานสองนาน แล้วชั้นพวกเรามีใครจะเข้าร่วมบ้าง? มีใครอาสาไหม? อย่าทำให้ครูต้องขายหน้าคุณครูหยางนะ”

 

        “ครู ผมครับ !” ซือจวิ้นรีบยกมือและยืนขึ้นมาทันที “ผมเข้าร่วมครับ !”

 

        “เธอต้องเข้าร่วมอยู่แล้วละ” โหยวเจียพยักหน้าแสดงความพอใจ เดิมทืซือจวิ้นก็อยู่ในทีมนักกีฬาของโรงเรียนอยู่แล้ว โอกาสแบบนี้ไม่พลาดแน่นอน

 

        “ยังมีอีกไหม? ” โหยวเจียกวาดสายตามองไปรอบๆ

 

        แล้วก็มีผู้ชายอีกหลายคนยกมือขึ้น ความจริงแล้วคนเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว เพราะเดิมทีห้องสายศิลป์ผู้ชายก็น้อยอยู่แล้ว ถ้าไม่มีตัวสำรองจริงๆ มีเพียงแค่คนลงเล่นในสนามก็พอแล้วล่ะ

 

        “ไม่ค่อยกระตือรือร้นกันเลย งั้นครูเรียกชื่อนะ” โหยวเจียถอนหายใจออกมา “ชวีเสี่ยวปอ”

 

        ชวีเสี่ยวปอที่กำลังแอบกดมือถือเล่นอยู่ด้านล่าง พอเมื่อโหยวเจียเรียกเขาขึ้นมา เขาก็ตัวสั่นราวกับกินปูนร้อนท้อง จากนั้นจึงเอนตัวไปด้านหลังจนชนเข้ากับหลังศีรษะของเจียงอี้หยางและทำให้เขาตื่น

 

        ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันที่จะได้ตอบรับออกไป เจียงอี้หยางก็ยังไม่ทันที่จะเงยหน้าขึ้นมาก็ด่าออกไปอย่างหงุดหงิดว่า : “ชวีเสี่ยวปอก้นนายไฟลุกหรือยังไง? อยู่นิ่งๆ หน่อยสิ”

 

        ทั้งห้องหัวเราะกันอย่างครื้นเครง

 

        “เจียงอี้หยาง !” โหยวเจียพูดไม่ออก

 

        ในตอนนี้เจียงอี้หยางถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แล้วจึงยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ

 

        “เธอก็เข้าร่วมด้วยเลย อย่ามัวเอาแต่นอนทั้งวัน ดูไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด” โหยวเจียยื่นมือชี้ไปที่เขา “แล้วก็ ชวีเสี่ยวปอ”

 

        “ครูครับผมไม่ได้นอนสักหน่อย” ชวีเสี่ยวปอวิเคราะห์สถานการณ์

 

        “เธอเล่นบาสไม่เป็นเหรอ? ” โหยวเจียมองเขา

 

        “เป็นครับ” ชวีเสี่ยวปอเล่นเป็นแน่นอนอยู่แล้ว แต่เขาไม่ค่อยที่จะสนใจกิจกรรมที่ดูเป็นทางการเช่นนี้สักเท่าไหร่ ถ้าเล่นปกติทั่วไปก็พอได้อยู่ พอพูดถึงการแข่งขันเขาก็รู้สึกไม่มีแรงขึ้นมาทันที ดังนั้นซือจวิ้นจึงมักจะบอกเสมอเลยว่าเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับทีม

 

        “เป็นก็ลงเล่นในสนาม” น้ำเสียงของโหยวเจียเป็นน้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธได้เลย “แล้วก็เซี่ยเจิงด้วย”

 

        “ครูครับผมเล่นไม่เป็นครับ” ถ้าเทียบกับคำพูดที่ซื่อสัตย์ของชวีเสี่ยวปอแล้ว คำโกหกของเซี่ยเจิงยังค่อนข้างที่จะดูไหลลื่นมากกว่าเสียอีก

 

        “ให้มันน้อยๆ หน่อย ครูถามครูประจำชั้นคนก่อนของเธอมาแล้ว” โหยวเจียมีการเตรียมตัวมาล่วงหน้า เขาไปสอบถามมาเรียบร้อยแล้วว่าตอนที่เซี่ยเจิงอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่เคยเข้าร่วมการแข่งขันมาแล้วทั้งยังนำชั้นเรียนของเขาให้ได้แชมป์อีกด้วย “พวกเธออย่าทำแบบนี้กันซิ ครูรู้ว่าพวกเราเพิ่งจะแบ่งห้องได้ไม่นานและทุกคนก็ยังไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นทุกคนจึงต้องยิ่งใช้การแข่งขันในครั้งนี้ทำความรู้จักกันให้ได้มากขึ้น”

 

        โหยวเจียพูดร่ายยาวออกมาอีกครั้ง สุดท้ายยังแต่งตั้งให้เซี่ยเจิงมีอำนาจเต็มในการรับผิดชอบทุกเรื่องในระหว่างการแข่นขันนี้ด้วย เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขามีประสบการณ์มาก่อน

 

        “นายมีประสบการณ์มาก่อนเหรอ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง เขาเองก็ไม่มองไม่ออกว่าเซี่ยเจิงยินดีหรือไม่ยินดี แต่เขารู้สึกว่าเซี่ยเจิงน่าจะเป็นแบบเดียวกันกับเขาที่ล้วนไม่ชอบความยุ่งยากเหมือนกัน

 

        “มี” เซี่ยเจิงตอบตามความจริง

 

        “อะไรอ่า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสนใจขึ้นมา

 

        “พอลงสนามก็ตะโกนให้พวกเรายอมแพ้”

 

 

        ทว่าข้าวมื้อนี้ก็ไม่ได้กินอยู่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยเจิงไม่ให้เขาเลี้ยง แต่เป็นเพราะแม่ของเซี่ยเจิงยังไม่รู้สึกตัว เขาไม่วางใจที่จะให้แม่อยู่บ้านเพียงคนเดียว ทั้งสองคนเลยทำกับข้าวมั่วๆ กินกันเอง ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังวางตะเกียบลง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

        ชวีเสี่ยวปอเลิกคิ้วขึ้นพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา ด้วยความลังเลอยู่นิดหน่อย

 

        “รับเถอะ เดี๋ยวฉันไปล้างชามเอง” เซี่ยเจิงจึงรีบยกชามและตะเกียบของทั้งคู่ขึ้นมา เพื่อที่จะให้ความเป็นส่วนตัวกับเขา

 

        “ฉัน…” ชวีเสี่ยวปออยากที่จะพูดอะไรออกมา แต่เซี่ยเจิงกลับเดินออกไปแล้ว เขามองไปยังหน้าจอที่เขียนว่า “ท่านแม่” ซึ่งเขาเป็นคนตั้งให้เวินลี่ จากนั้นจึงกดรับโทรศัพท์

 

        “ฮัลโหล”

 

        “ฮัลโหล ลูก? ” เวินลี่ที่อยู่ในสายดูเหมือนจะใช้ความพยายามลองโทรหาเขาดูอีกสักครั้ง เพราะถึงยังไงตัวเธอเองก็โทรมาหลายต่อหลายสายแล้ว แต่ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้รับเลยสักสาย ดังนั้นเมื่อจู่ๆ มีเสียงจากปลายทางดังขึ้นมาจึงทำให้เธอทั้งรู้สึกตกใจและดีใจไปพร้อมกัน “ลูกอยู่ไหน? กินข้าวหรือยัง? ”

 

        “อยู่บ้านเพื่อนครับ” ชวีเสี่ยวปอทำท่าแคะนิ้วไปด้วย ในขณะนั้นก็มีเสียงเซี่ยเจิงที่กำลังล้างจานดังออกมา จึงทำให้เขาถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปเล็กน้อย ทั้งยังตอบออกไปอย่างใจลอย

 

        “ลูก” เวินลี่ลังเลที่จะพูดออกมา แต่ความจริงแล้วต่อให้เวินลี่ไม่พูด ชวีเสี่ยวปอก็รู้อยู่แล้วว่าเธออยากจะพูดอะไร

 

        เวินลี่ถอนหายใจออกมา ในที่สุดก็พูดออกมาว่า “อย่าโกรธไปเลยนะลูก กลับบ้านกันเถอะ อย่าไปรบกวนที่บ้านเพื่อนเขาเลยนะ”

 

        “ผมไม่อยากเจอชวีอี้เจี๋ย” ชวีเสี่ยวปอพูดไปตรงๆ

 

        “แม่รู้” เวินลี่เงียบไปครู่หนึ่ง เธอไม่ชอบให้ชวีเสี่ยวปอเรียกชื่อของชวีอี้เจี๋ยตรงๆ แต่ในตอนนี้ก็คงต้องปล่อยไปเลยตามเลย “สองวันนี้พ่อของลูกน่าจะไม่ได้กลับมาหรอก เชื่อฟังแม่นะ กลับบ้านเถอะ หรือลูกบอกแม่มาก็ได้ว่าลูกอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวแม่ให้คนขับรถไปรับ? ”

 

        “ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมเรียกรถกลับเอง แค่นี้นะครับ” ชวีเสี่ยวปอรีบวางสายไปทันที แล้วเขาก็นั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้อยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว

 

        “ขนมปังน้อย” ชวีเสี่ยวปอยืนพิงกรอบประตูห้องครัว พลางมองไปยังเซี่ยเจิงที่สวมผ้ากันเปื้อนเอาไว้และกำลังล้างโฟมออกจากอ่างล้างจานอยู่

 

        “อะไรนะ? ” เซี่ยเจิงได้ยินไม่ชัด จึงยื่นมือไปปิดก๊อกน้ำ “นายโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ? ”

 

        “อืม อีกเดี๋ยวจะกลับบ้านแล้ว” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง เนื่องจากเขาผูกผ้ากันเปื้อนแน่นเกินไปหน่อย จึงทำให้เห็นว่าเอวของเซี่ยเจิงดูเล็กมาก จากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงหัวเราะออกไปอย่างร้ายกาจ พลางยื่นนิ้วชี้ออกไป “นายใส่แบบนี้เหมือนกำลังใส่กระโปรงตัวเล็กอยู่เลยอ่ะ”

 

        “งั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงก้มลงไปมอง จากนั้นเขาก็รีบถกชายผ้ากันเปื้อนขึ้นมา เผยให้เห็นขายาวที่ใส่กางเกงขาสั้นเอาไว้อยู่ จากนั้นเขาก็ยกมือมาเท้าเอวแล้วทำท่าทางยั่วยวน “เย้ายวนใจไหม? ”

 

        “ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอตกตะลึงไปสามวินาที เซี่ยเจิงนี่ช่างเป็นคนที่ชอบทำให้คนอื่นประหลาดใจขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวจริงๆ

 

        “พอแล้วๆ แค่นี้พอ” เซี่ยเจิงถอดผ้ากันเปื้อนออก กลั้นขำเอาไว้จากนั้นก็เดินไปตบหลังของชวีเสี่ยวปอเบาๆ แต่เขาก็ยังคงใช้มือกุมท้องเอาไว้และหัวเราะออกมาไม่หยุด

 

        “เป็นเรี่องเป็นราวเลยจริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจเข้าลึกๆ ทั้งยังยกนิ้วโป้งยื่นให้เซี่ยเจิงด้วย

 

        “ก็นายพูดเองว่าเหมือนใส่กระโปรงไม่ใช่เหรอ? ” เซี่ยเจิงยื่นนิ้วไปจิ้มยังจุดบ้าจี้ของชวีเสี่ยวปอ และในที่สุดตัวเองก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งคู่จึงหัวเราะออกมาด้วยกันอย่างสนุกสนาน

 

        หลังจากที่ทั้งสองคนหยุดหัวเราะ ชวีเสี่ยวปอที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่ก็ส่งเสียงโอ๊ะออกมา เหมือนกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ : “ตอนบ่ายนายต้องไปสอนพิเศษด้วยไม่ใช่เหรอ? แล้วคุณป้าจะทำยังไงอ่ะ? ”

 

        “คงไม่ไปแล้วละ” เซี่ยเจิงพูดออกมาอย่างสบายๆ “เดี๋ยวโทรอธิบายให้เขาฟัง ถ้าเปลี่ยนวันได้ก็เปลี่ยน แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็ช่างมันเถอะ”

 

        “แล้วเงินสองร้อยหยวนล่ะ” ชวีเสี่ยวปอร้อนใจขึ้นมา พอร้อนใจออกไปแล้วเขาก็ผงะไป… เงินสองร้อยหยวนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักหน่อย แล้วเขาจะร้อนใจไปทำไมกัน? อีกอย่างเขาเก็บเรื่องเงินอันน้อยนิดนี้มาใส่ใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันคงจะสำคัญต่อเซี่ยเจิงมาก ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปด้วยใบหน้าเหยเก : “ถ้างั้นให้ฉันช่วยดูคุณป้าให้ก่อนไหม? แล้วนายก็ไปสอน? ”

 

        “ขอบใจ” เซี่ยเจิงยิ้ม “แต่ถ้าแม่ฉันตื่นมาแล้วไม่เจอฉันก็จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เหมือนกับแม่ของนายที่จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นนายอีกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ”

 

        “พูดให้มันน้อยๆ หน่อย” ชวีเสี่ยวปอยกศอกขึ้นมาทำท่าจะศอกเข้าไปที่เซี่ยเจิง ซึ่งมันก็เป็นเพียงแค่การทำท่าทางเท่านั้น เขารู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาเล็กน้อย และสาเหตุหลักที่ทำให้เขากลัดกลุ้มเช่นนี้ก็คือ เซี่ยเจิงพูดจี้ใจดำเขาเข้าแล้ว

 

        และแล้วเขาก็พบว่าเซี่ยเจิงนั้นถือว่าเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งที่ตัวเขาก็รู้อยู่อย่างชัดเจนแต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมา ราวกับว่าเขารู้ไปหมดซะทุกเรื่อง เพียงแวบเดียวก็สามารถมองผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

 

        เจ้าขนมปังน้อยนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ

 

        “ได้ งั้นฉันไปก็ได้” ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อย แต่สุดท้ายเวินลี่ก็ส่งข้อความมาเร่งเขาอีกครั้ง ชวีเสี่ยวปอไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้แล้ว จึงจำต้องเตรียมตัวออกเดินทาง

 

        “เดี๋ยวก่อน” เซี่ยเจิงพูดขึ้นพลางรีบเดินเข้าบ้านไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับสิ่งของอย่างหนึ่งที่ถือไว้ในมือ

 

        “อะไรเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอรับมาดู เป็นกล่องพลาสติกกล่องหนึ่งข้างในมีคุกกี้ที่เซี่ยเจิงทำไว้เมื่อเช้าบรรจุไว้อยู่

 

        “นายชอบกินไม่ใช่เหรอ” เซี่ยเจิงพูด “เอากลับไปให้คุณป้าชิมด้วยก็ได้นะ” หลังจากคิดครู่หนึ่งจึงเสริมออกไปอีกประโยคว่า “อย่าทะเลาะกันล่ะ”

 

        “ทะเลาะอะไรเล่า” ชวีเสี่ยวปอมองคุกกี้ที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงชูมันขึ้นมา “ไปล่ะ”

 

        “อืม” เซี่ยเจิงก็โบกมือให้เขาด้วยเช่นกัน

 

        เมื่อชวีเสี่ยวปอเดินไปถึงประตูรั้ว ก็หยุดยืนอีกครั้ง เมื่อหันหลังกลับมาก็เห็นเซี่ยเจิงยังคงยืนมองเขาอยู่ตรงนั้นในท่าทางเดียวกันกับเมื่อครู่นี้

 

        “มีอะไรงั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงถาม

 

        “ไม่มีอะไร” ชวีเสี่ยวปอตะโกนออกไป “เจอกันวันจันทร์เพื่อนร่วมโต๊ะ” แล้วเขาก็หันหลังเดินเข้าซอยไป

 

       

        แน่นอนว่าเมื่อกลับถึงบ้านก็ยังคงเป็นเช่นเดิม พอเวินลี่เห็นชวีเสี่ยวปอเข้าบ้านมาก็เรียกเขาว่า “ลูกสุดที่รัก” หรือไม่ก็ “ลูกชาย” ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ทำราวกับว่าเมื่อคืนชวีเสี่ยวปอจากบ้านเกิดเมืองนอนไปไกลจนทำให้เธอคิดถึงจนแทบจะทนไม่ไหว

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร หลังจากนั้นเขาก็อธิบายไปว่าเรื่องต้วนเหล่ยนั้นเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งมันก็ทำให้เวินลี่ตกใจไปไม่น้อย และหลังจากเงียบอยู่พักใหญ่จึงพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เรื่องนี้พ่อของลูกผิดจริงๆ เดี๋ยวแม่จะต้องไปต่อว่าเขาแน่นอน” ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้มันคงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้นั่นล่ะ เวินลี่จะไปว่าอะไรชวีอี้เจี๋ยได้? อีกอย่างชวีอี้เจี๋ยจะคิดยังไง ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

 

        เช้าวันจันทร์เขารู้สึกเวียนศีรษะจากการนอนไม่เต็มอิ่ม เมื่อชวีเสี่ยวปอเดินไปถึงทางแยกก็รู้สึกว่ากายละเอียดของเขายังคงนอนอยู่บนเตียง และที่เดินอยู่บนถนนนี้ก็เป็นเพียงแค่กายหยาบของเขา จนกระทั่งเขาถูกคนมาตีเข้าที่ด้านหลังอย่างแรง ในขณะนั้นร่างทั้งสองของเขาจึงได้รวมเป็นหนึ่งเดียว จากนั้นก็มีเสียงที่ไม่ค่อยพอใจของซือจวิ้นดังเข้ามาในหูของเขา

 

        “ปอเอ๋อร์ ฉันตั้งใจมารอนายที่นี่เลยนะ” บ้านของซือจวิ้นและบ้านของชวีเสี่ยวปออยู่คนละทางกัน ดังนั้นเขาจึงตื่นแต่เช้าเพื่อมารออยู่ตรงนี้

 

        “วันเสาร์อาทิตย์ไม่เจอกันเลยคิดถึงฉันเหรอ” ชวีเสี่ยวปอหลับตาลงพลางพ่นลมหายใจออกมา พร้อมทั้งทำท่าทางทะเล้นอย่างไม่จริงใจ

 

        “ฉันร้อนใจต่างหากล่ะ !” ซือจวิ้นจับไหล่ของชวีเสี่ยวปอแล้วเขย่าเบาๆ “พวกของต้วนเหล่ยแก๊งนั้น มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ”

 

        “ก็ตีกันไปยกหนึ่งล่ะมั้ง” ชวีเสี่ยวปอตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก พร้อมทั้งถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้นเล็กน้อยให้ซือจวิ้นเห็นผ้าพันแผลที่พันไว้จนหนานั่น “แล้วก็เป็นแบบนี้นี่แหละ”

 

        “บ้าเอ๊ย” ดวงตาของซือจวิ้นมองตรงออกไป “ปอเอ๋อร์…”

 

        “ทำไม? ถ้ายังทำเสียงแบบนี้เลิกฉันต่อยนายแน่” เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดจบ ก็เห็นเงาของคนคนหนึ่งตรงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว

 

        “เซี่ยเจิง !”

 

 

        ทว่าข้าวมื้อนี้ก็ไม่ได้กินอยู่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยเจิงไม่ให้เขาเลี้ยง แต่เป็นเพราะแม่ของเซี่ยเจิงยังไม่รู้สึกตัว เขาไม่วางใจที่จะให้แม่อยู่บ้านเพียงคนเดียว ทั้งสองคนเลยทำกับข้าวมั่วๆ กินกันเอง ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังวางตะเกียบลง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

        ชวีเสี่ยวปอเลิกคิ้วขึ้นพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา ด้วยความลังเลอยู่นิดหน่อย

 

        “รับเถอะ เดี๋ยวฉันไปล้างชามเอง” เซี่ยเจิงจึงรีบยกชามและตะเกียบของทั้งคู่ขึ้นมา เพื่อที่จะให้ความเป็นส่วนตัวกับเขา

 

        “ฉัน…” ชวีเสี่ยวปออยากที่จะพูดอะไรออกมา แต่เซี่ยเจิงกลับเดินออกไปแล้ว เขามองไปยังหน้าจอที่เขียนว่า “ท่านแม่” ซึ่งเขาเป็นคนตั้งให้เวินลี่ จากนั้นจึงกดรับโทรศัพท์

 

        “ฮัลโหล”

 

        “ฮัลโหล ลูก? ” เวินลี่ที่อยู่ในสายดูเหมือนจะใช้ความพยายามลองโทรหาเขาดูอีกสักครั้ง เพราะถึงยังไงตัวเธอเองก็โทรมาหลายต่อหลายสายแล้ว แต่ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้รับเลยสักสาย ดังนั้นเมื่อจู่ๆ มีเสียงจากปลายทางดังขึ้นมาจึงทำให้เธอทั้งรู้สึกตกใจและดีใจไปพร้อมกัน “ลูกอยู่ไหน? กินข้าวหรือยัง? ”

 

        “อยู่บ้านเพื่อนครับ” ชวีเสี่ยวปอทำท่าแคะนิ้วไปด้วย ในขณะนั้นก็มีเสียงเซี่ยเจิงที่กำลังล้างจานดังออกมา จึงทำให้เขาถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปเล็กน้อย ทั้งยังตอบออกไปอย่างใจลอย

 

        “ลูก” เวินลี่ลังเลที่จะพูดออกมา แต่ความจริงแล้วต่อให้เวินลี่ไม่พูด ชวีเสี่ยวปอก็รู้อยู่แล้วว่าเธออยากจะพูดอะไร

 

        เวินลี่ถอนหายใจออกมา ในที่สุดก็พูดออกมาว่า “อย่าโกรธไปเลยนะลูก กลับบ้านกันเถอะ อย่าไปรบกวนที่บ้านเพื่อนเขาเลยนะ”

 

        “ผมไม่อยากเจอชวีอี้เจี๋ย” ชวีเสี่ยวปอพูดไปตรงๆ

 

        “แม่รู้” เวินลี่เงียบไปครู่หนึ่ง เธอไม่ชอบให้ชวีเสี่ยวปอเรียกชื่อของชวีอี้เจี๋ยตรงๆ แต่ในตอนนี้ก็คงต้องปล่อยไปเลยตามเลย “สองวันนี้พ่อของลูกน่าจะไม่ได้กลับมาหรอก เชื่อฟังแม่นะ กลับบ้านเถอะ หรือลูกบอกแม่มาก็ได้ว่าลูกอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวแม่ให้คนขับรถไปรับ? ”

 

        “ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมเรียกรถกลับเอง แค่นี้นะครับ” ชวีเสี่ยวปอรีบวางสายไปทันที แล้วเขาก็นั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้อยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว

 

        “ขนมปังน้อย” ชวีเสี่ยวปอยืนพิงกรอบประตูห้องครัว พลางมองไปยังเซี่ยเจิงที่สวมผ้ากันเปื้อนเอาไว้และกำลังล้างโฟมออกจากอ่างล้างจานอยู่

 

        “อะไรนะ? ” เซี่ยเจิงได้ยินไม่ชัด จึงยื่นมือไปปิดก๊อกน้ำ “นายโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ? ”

 

        “อืม อีกเดี๋ยวจะกลับบ้านแล้ว” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง เนื่องจากเขาผูกผ้ากันเปื้อนแน่นเกินไปหน่อย จึงทำให้เห็นว่าเอวของเซี่ยเจิงดูเล็กมาก จากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงหัวเราะออกไปอย่างร้ายกาจ พลางยื่นนิ้วชี้ออกไป “นายใส่แบบนี้เหมือนกำลังใส่กระโปรงตัวเล็กอยู่เลยอ่ะ”

 

        “งั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงก้มลงไปมอง จากนั้นเขาก็รีบถกชายผ้ากันเปื้อนขึ้นมา เผยให้เห็นขายาวที่ใส่กางเกงขาสั้นเอาไว้อยู่ จากนั้นเขาก็ยกมือมาเท้าเอวแล้วทำท่าทางยั่วยวน “เย้ายวนใจไหม? ”

 

        “ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอตกตะลึงไปสามวินาที เซี่ยเจิงนี่ช่างเป็นคนที่ชอบทำให้คนอื่นประหลาดใจขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวจริงๆ

 

        “พอแล้วๆ แค่นี้พอ” เซี่ยเจิงถอดผ้ากันเปื้อนออก กลั้นขำเอาไว้จากนั้นก็เดินไปตบหลังของชวีเสี่ยวปอเบาๆ แต่เขาก็ยังคงใช้มือกุมท้องเอาไว้และหัวเราะออกมาไม่หยุด

 

        “เป็นเรี่องเป็นราวเลยจริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจเข้าลึกๆ ทั้งยังยกนิ้วโป้งยื่นให้เซี่ยเจิงด้วย

 

        “ก็นายพูดเองว่าเหมือนใส่กระโปรงไม่ใช่เหรอ? ” เซี่ยเจิงยื่นนิ้วไปจิ้มยังจุดบ้าจี้ของชวีเสี่ยวปอ และในที่สุดตัวเองก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งคู่จึงหัวเราะออกมาด้วยกันอย่างสนุกสนาน

 

        หลังจากที่ทั้งสองคนหยุดหัวเราะ ชวีเสี่ยวปอที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่ก็ส่งเสียงโอ๊ะออกมา เหมือนกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ : “ตอนบ่ายนายต้องไปสอนพิเศษด้วยไม่ใช่เหรอ? แล้วคุณป้าจะทำยังไงอ่ะ? ”

 

        “คงไม่ไปแล้วละ” เซี่ยเจิงพูดออกมาอย่างสบายๆ “เดี๋ยวโทรอธิบายให้เขาฟัง ถ้าเปลี่ยนวันได้ก็เปลี่ยน แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็ช่างมันเถอะ”

 

        “แล้วเงินสองร้อยหยวนล่ะ” ชวีเสี่ยวปอร้อนใจขึ้นมา พอร้อนใจออกไปแล้วเขาก็ผงะไป… เงินสองร้อยหยวนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักหน่อย แล้วเขาจะร้อนใจไปทำไมกัน? อีกอย่างเขาเก็บเรื่องเงินอันน้อยนิดนี้มาใส่ใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันคงจะสำคัญต่อเซี่ยเจิงมาก ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปด้วยใบหน้าเหยเก : “ถ้างั้นให้ฉันช่วยดูคุณป้าให้ก่อนไหม? แล้วนายก็ไปสอน? ”

 

        “ขอบใจ” เซี่ยเจิงยิ้ม “แต่ถ้าแม่ฉันตื่นมาแล้วไม่เจอฉันก็จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เหมือนกับแม่ของนายที่จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นนายอีกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ”

 

        “พูดให้มันน้อยๆ หน่อย” ชวีเสี่ยวปอยกศอกขึ้นมาทำท่าจะศอกเข้าไปที่เซี่ยเจิง ซึ่งมันก็เป็นเพียงแค่การทำท่าทางเท่านั้น เขารู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาเล็กน้อย และสาเหตุหลักที่ทำให้เขากลัดกลุ้มเช่นนี้ก็คือ เซี่ยเจิงพูดจี้ใจดำเขาเข้าแล้ว

 

        และแล้วเขาก็พบว่าเซี่ยเจิงนั้นถือว่าเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งที่ตัวเขาก็รู้อยู่อย่างชัดเจนแต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมา ราวกับว่าเขารู้ไปหมดซะทุกเรื่อง เพียงแวบเดียวก็สามารถมองผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

 

        เจ้าขนมปังน้อยนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ

 

        “ได้ งั้นฉันไปก็ได้” ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อย แต่สุดท้ายเวินลี่ก็ส่งข้อความมาเร่งเขาอีกครั้ง ชวีเสี่ยวปอไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้แล้ว จึงจำต้องเตรียมตัวออกเดินทาง

 

        “เดี๋ยวก่อน” เซี่ยเจิงพูดขึ้นพลางรีบเดินเข้าบ้านไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับสิ่งของอย่างหนึ่งที่ถือไว้ในมือ

 

        “อะไรเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอรับมาดู เป็นกล่องพลาสติกกล่องหนึ่งข้างในมีคุกกี้ที่เซี่ยเจิงทำไว้เมื่อเช้าบรรจุไว้อยู่

 

        “นายชอบกินไม่ใช่เหรอ” เซี่ยเจิงพูด “เอากลับไปให้คุณป้าชิมด้วยก็ได้นะ” หลังจากคิดครู่หนึ่งจึงเสริมออกไปอีกประโยคว่า “อย่าทะเลาะกันล่ะ”

 

        “ทะเลาะอะไรเล่า” ชวีเสี่ยวปอมองคุกกี้ที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงชูมันขึ้นมา “ไปล่ะ”

 

        “อืม” เซี่ยเจิงก็โบกมือให้เขาด้วยเช่นกัน

 

        เมื่อชวีเสี่ยวปอเดินไปถึงประตูรั้ว ก็หยุดยืนอีกครั้ง เมื่อหันหลังกลับมาก็เห็นเซี่ยเจิงยังคงยืนมองเขาอยู่ตรงนั้นในท่าทางเดียวกันกับเมื่อครู่นี้

 

        “มีอะไรงั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงถาม

 

        “ไม่มีอะไร” ชวีเสี่ยวปอตะโกนออกไป “เจอกันวันจันทร์เพื่อนร่วมโต๊ะ” แล้วเขาก็หันหลังเดินเข้าซอยไป

 

       

        แน่นอนว่าเมื่อกลับถึงบ้านก็ยังคงเป็นเช่นเดิม พอเวินลี่เห็นชวีเสี่ยวปอเข้าบ้านมาก็เรียกเขาว่า “ลูกสุดที่รัก” หรือไม่ก็ “ลูกชาย” ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ทำราวกับว่าเมื่อคืนชวีเสี่ยวปอจากบ้านเกิดเมืองนอนไปไกลจนทำให้เธอคิดถึงจนแทบจะทนไม่ไหว

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร หลังจากนั้นเขาก็อธิบายไปว่าเรื่องต้วนเหล่ยนั้นเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งมันก็ทำให้เวินลี่ตกใจไปไม่น้อย และหลังจากเงียบอยู่พักใหญ่จึงพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เรื่องนี้พ่อของลูกผิดจริงๆ เดี๋ยวแม่จะต้องไปต่อว่าเขาแน่นอน” ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้มันคงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้นั่นล่ะ เวินลี่จะไปว่าอะไรชวีอี้เจี๋ยได้? อีกอย่างชวีอี้เจี๋ยจะคิดยังไง ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

 

        เช้าวันจันทร์เขารู้สึกเวียนศีรษะจากการนอนไม่เต็มอิ่ม เมื่อชวีเสี่ยวปอเดินไปถึงทางแยกก็รู้สึกว่ากายละเอียดของเขายังคงนอนอยู่บนเตียง และที่เดินอยู่บนถนนนี้ก็เป็นเพียงแค่กายหยาบของเขา จนกระทั่งเขาถูกคนมาตีเข้าที่ด้านหลังอย่างแรง ในขณะนั้นร่างทั้งสองของเขาจึงได้รวมเป็นหนึ่งเดียว จากนั้นก็มีเสียงที่ไม่ค่อยพอใจของซือจวิ้นดังเข้ามาในหูของเขา

 

        “ปอเอ๋อร์ ฉันตั้งใจมารอนายที่นี่เลยนะ” บ้านของซือจวิ้นและบ้านของชวีเสี่ยวปออยู่คนละทางกัน ดังนั้นเขาจึงตื่นแต่เช้าเพื่อมารออยู่ตรงนี้

 

        “วันเสาร์อาทิตย์ไม่เจอกันเลยคิดถึงฉันเหรอ” ชวีเสี่ยวปอหลับตาลงพลางพ่นลมหายใจออกมา พร้อมทั้งทำท่าทางทะเล้นอย่างไม่จริงใจ

 

        “ฉันร้อนใจต่างหากล่ะ !” ซือจวิ้นจับไหล่ของชวีเสี่ยวปอแล้วเขย่าเบาๆ “พวกของต้วนเหล่ยแก๊งนั้น มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ”

 

        “ก็ตีกันไปยกหนึ่งล่ะมั้ง” ชวีเสี่ยวปอตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก พร้อมทั้งถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้นเล็กน้อยให้ซือจวิ้นเห็นผ้าพันแผลที่พันไว้จนหนานั่น “แล้วก็เป็นแบบนี้นี่แหละ”

 

        “บ้าเอ๊ย” ดวงตาของซือจวิ้นมองตรงออกไป “ปอเอ๋อร์…”

 

        “ทำไม? ถ้ายังทำเสียงแบบนี้เลิกฉันต่อยนายแน่” เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดจบ ก็เห็นเงาของคนคนหนึ่งตรงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว

 

        “เซี่ยเจิง !”

 

 

        เซี่ยเจิงลืมไปแล้วว่าเคยได้ยินประโยคนี้มาจากที่ไหน ความโดดเดี่ยวนั้นเป็นสภาวะปกติของมนุษย์ อาจจะดูเสแสร้งไม่มีเหตุผลไปสักนิด แต่สำหรับเซี่ยเจิงแล้ว มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

        เซี่ยเจิงคิดว่าตัวเขาคงจะเคยชินแล้วที่ต้องเผชิญหน้าทุกอย่างเพียงลำพัง ทว่าความจริงคือ คนเราไม่แข็งแกร่งพอที่จะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงคนเดียวไปได้ตลอด ดังนั้นในตอนที่ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่ข้างเขาและออกหน้าแทนเขาในวันนี้ เซี่ยเจิงจึงเพิ่งจะรู้ว่า แท้จริงแล้วความรู้สึกที่มีคนมายืนอยู่ข้างๆ ตัวเองก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่

        “ขอบคุณนะ”

        ในระยะห่างเพียงแค่นี้ ชวีเสี่ยวปอสามารถเห็นหยดน้ำที่อยู่บนใบหน้าของเซี่ยเจิงได้อย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อขยับเข้าไปใกล้ ลมหายใจที่ค่อนข้างชื้นของอีกฝ่ายก็ตกกระทบลงมายังหน้าของเขา ชวีเสี่ยวปอมองตัวเองที่สะท้อนในรูม่านตาของเซี่ย แล้วเขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า :

        “ขอบใจอะไรกัน นายต้องการความช่วยเหลือฉันก็แค่เข้าไปช่วยเท่านั้นแหละ”

        แล้วจู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาสองครั้งอย่างประหลาด ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองดังตึกๆ ตึกๆ ออกมาอย่างผิดปกติ

        ซึ่งมันทำให้เขาไม่กล้าที่จะสบตากับเซี่ยเจิงตรงๆ คงจะเป็นเพราะตั้งแต่ที่เขาทั้งสองรู้จักกันในวันนั้น การไม่ชอบขี้หน้ากันถือว่าเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของเขาทั้งสอง ดังนั้นเมื่อเซี่ยเจิงพูดขอบคุณออกมาด้วยใจจริง จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่

        “ที่จริงแล้วฉันก็เตะออกไปแรงมากอยู่เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอจับศีรษะของตัวเอง “ถึงยังไงนั่นมันก็พ่อนาย”

        “แค่ทางสายเลือดเท่านั้นล่ะ” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาปัดปอยผมที่เปียกชื้นบนหน้าผากออก “มองเห็นไหม? ”

        “ตีนผมดูดีมาก ไม่มีวี่แววว่าที่ผมจะร่วงนะ” ชวีเสี่ยวปอตอบ

        “ให้นายดูตรงนี้” เซี่ยเจิงรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จากนั้นจึงชี้นิ้วไปที่ด้านหนึ่งของคิ้วตัวเอง

        “คิ้วแตกน่ะเหรอ” ชวีเสี่ยวปออ๋อขึ้นมา “ฉันรู้อยู่แล้ว ตอนที่ต่อยกับนายครั้งแรก…ตอนที่เจอกับนายครั้งแรกก็เห็นมันแล้ว แค่นี้เองยังจะเอามาอวดอีก”

        “นายคิดว่าฉันโกนมันเองหรือยังไง? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ “นายดูดีๆ สิ”

        “ไม่ใช่หรอกเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอยื่นหน้าเข้าไป แล้วดูคิ้วของเซี่ยเจิงอย่างละเอียด… มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย คิ้วที่แตกเป็นเพราะว่าตรงนั้นมีรอยแผลเป็น จึงทำให้ขนคิ้วตรงนั้นมันไม่งอกออกมา

        “ตอนเด็กเขาทะเลาะกับแม่ของฉัน แล้วลงไม้ลงมือ” เซี่ยเจิงลูบผมของเขาไปสองที “ฉันเลยรีบวิ่งเข้าไปกอดขาเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาเข้าใกล้แม่ของฉัน นี่เป็นแผลที่เขาใช้แก้วน้ำมาทุบลงมา แต่ถ้าเบี่ยงไปอีกนิดก็จะทุบลงไปที่…” เซี่ยเจิงไปพูดต่อ

        ถ้าเบี่ยงมาอีกนิดเขาก็จะตาบอดไปข้างหนึ่ง

        ชวีเสี่ยวปออ้าปากขึ้นมา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกอัดอั้นตันใจมาก ราวกับว่าเห็นภาพท่าทางของเซี่ยเจิงตัวน้อยที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยเลือดกำลังเอาตัวเข้าไปขว้างเพื่อที่จะปกป้องแม่ที่อยู่ด้านหลังปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น ชวีเสี่ยวชวีรู้สึกเสียใจที่เขาพูดประโยคที่ว่า “ถึงยังไงนั่นมันก็พ่อนาย” นี้ออกไปเมื่อครู่ เขานั่งเงียบอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นจึงด่าคำหยาบออกไปหนึ่งคำ

        “เชี่ย”

        “ช่างมันเถอะ” เซี่ยเจิงตบไปที่ไหล่ของเขา เหมือนกำลังปลอบเขากลับไปด้วยเช่นกัน “ถือซะว่าเติมสีสันให้กับชีวิตตัวเอง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

        ชวีเสียวปอกำลังจะพูดว่า ฉันดูอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือไง แต่ร่างกายกลับซื่อตรงยิ่งกว่า ทั้งยังจามออกมาเสียงดังลั่น

        “บ้าจริงเลย ไปเปลี่ยนละ เปลี่ยนๆ” ชวีเสี่ยวปอสูดจมูก บ่นพึมพำและเดินเข้าบ้านไป

        หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเจิงก็ไปดูแม่อีกครั้ง ทุกครั้งที่เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อความวุ่นวายครั้งหนึ่ง แม่ก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะดีขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้จะหลับไปแล้ว แต่ตรงหว่างคิ้วก็ยังคงขมวดไว้อยู่ เซี่ยเจิงดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้แม่ของเขา หลังจากนั้นจึงเดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง แล้วเขาก็เห็นชวีเสี่ยวปอกำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง แต่เท้ายังวางอยู่บนพื้น ขาของเขาขยับไปมาอย่างอยู่ไม่นิ่ง ท่อนบนสวมเสื้อของเซี่ยเจิง แต่มันสั้นไปหน่อย จึงเผยให้เห็นท้องเล็กน้อย

        “ตอนกลางวันคงจะไม่ได้กินปลาแล้วล่ะ” เซี่ยเจิงนั่งลงข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ เจ้าเตียงไม่รักดีจึงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา

        ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปากออกมา “เมื่อคืนตอนนอนฉันยังไม่กล้าจะพลิกตัวเลย นายรู้ไหม? เสียงเอี๊ยดอ๊าดนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันจะถล่มลงไปได้ตลอดเวลาเลย”

        “งั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ ในใจก็คิดว่านายก็ไม่ได้พลิกตัวน้อยนะ แถมยังพลิกขึ้นมาทับฉันด้วย

        “ไม่กินก็ไม่กิน” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ แล้วยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้ว “ให้คุณป้าพักผ่อนเถอะ”

        ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้อยากอาหารสักเท่าไหร่ เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อความวุ่นวายขนาดนี้ มันช่างทำให้คนรู้สึกขยะแขยงเสียจริง ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอยังคิดอยู่เลยว่าตอนที่แม่ของเซี่ยเจิงทำกับข้าว ตัวเขาจะยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องเข้าไปช่วยไปเป็นลูกมือสักหน่อย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากนอนลง และรอให้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านไป

        เซี่ยเจิงชนเขาไปทีหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอจึงขยับออกไปด้านข้างนิดหน่อย ทั้งสองคนเงียบสนิทไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย จากนั้นเซี่ยเจิงจึงนอนลงไปข้างๆ เขา

        “เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอมองไปบนเพดานซึ่งเป็นจุดด่างๆ ที่เกิดจากความเปียกชื้น “พ่อแม่ของนาย…แม่ของนายหย่ากับเขามากี่ปีแล้วเหรอ? ”

        “น่าจะตอนฉันประมาณแปดขวบล่ะมั้ง” เซี่ยเจิงหลับตาลง ราวกับกำลังระลึกความทรงจำอย่างละเอียด แต่มันก็นานเกินกว่าจะจำได้แล้ว

        “ถ้างั้นเขาก็ตามดื้อพวกนายแบบนี้มาหลายปีแล้วล่ะสิ? ”

        “อืม”

        “แล้วพวกนายไม่คิดที่จะย้ายบ้านอะไรแบบนี้บางเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสิบปี ช่างเป็นช่วงเวลาสิบปีที่ยาวนานซะเหลือเกินที่พวกเขาต้องถูกคนแบบนั้นมาตามรังควานชีวิตไม่หยุดไม่หย่อน เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาเลย

        “เคยคิดแล้ว แล้วก็เคยย้ายแล้วด้วย” เซี่ยเจิงฝืนยิ้มออกมา “แต่ไม่รู้ว่าเซี่ยรุ่ยเซินไปรู้มาจากไหน และก็กลับมาก่อกวนอยู่เหมือนเดิม เจ้าของบ้านกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงให้พวกเราย้ายออกมา”

        “วิญญาณร้ายไม่ไปผุดไปเกิด” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันพูด “แล้วเขาขอเงินไปทำอะไร? ”

        “ใช้หนี้พนัน”

        “ให้ตายเถอะ” ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอเหมือนจะได้ยินรางๆ ว่าคืนเงินอะไรทำนองนี้ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการพนัน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพนันเช่นนี้ ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอยังเด็กอยู่ก็ได้รู้จักมาจากชวีอี้เจี๋ย ในตอนนั้นชวีอีเจี๋ยมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ค่อนข้างดีคนหนึ่ง ธุรกิจก็ประสบความสำเร็จ ทั้งยังมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอถูกชวีอี้เจี๋ยพาไปร่วมงานเลี้ยง ยังเจอคนคนนี้อยู่สองสามครั้ง แต่พอผ่านไปเพียงแค่ประมาณครึ่งปี ชวีเสี่ยวปอก็บังเอิญไปได้ยินเวินลี่พูดว่าชวีอี้เจี๋ยไปร่วมงานศพเขาแล้ว หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอถึงได้รู้ว่าคนคนนั้นเสียชีวิตแล้ว

        โดยการฆ่าตัวตาย

        ติดพนันจนทำให้ครอบครัวล่มจม พ่อเฒ่านอนอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรอเงินที่จะเอามาช่วยชีวิต แต่กลับถูกเขาเอาไปอุดกับเงินที่เสียไป และยังคิดอยู่เสมอว่าตัวเองจะสามารถเงยหน้าอ้าปากได้อีกสักครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นก็กลับตกต่ำยิ่งกว่าเดิมจนน่าเวทนา

        ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า “การพนัน” คำคำนี้มันมีความหมายอะไรแฝงเอาไว้… นักพนันที่ชอบพูดว่า “ฉันจะปรับปรุงตัว” “จะไม่ไปเล่นพนันแล้ว” “ช่วยฉันหน่อยนะ” คำเหล่านี้มันก็เป็นเหมือนกับบาดแผลอันเน่าเฟะบนตัวของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก ทว่าเพียงแค่ถลกผ้าที่ปกปิดความอัปยศนั้นขึ้นมา ก็จะเห็นบาดแผลนั้นใหญ่ขึ้นมาอีกเท่าตัว ราวกับว่าความเน่าเฟะนั้นจะไม่มีวันหยุดกัดกินไปตลอดกาล จนกระทั่งถึงในวันที่ถูกยึดทรัพย์สินไปจนไม่เหลืออะไรเลย

        ห้ามไปติดมันโดยเด็ดขาด

        ต้องอยู่ให้ห่างไกลจากมันมากที่สุด มิเช่นนั้นสิ่งที่จะรอคุณอยู่ก็คือหลุมลึกที่ฆ่าคนโดยปราศจากเลือด

        ชวีเสี่ยวปออยากที่จะกำชับเซี่ยเจิงสักสองสามประโยค แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็เลือกที่จะไม่พูด ถึงยังไงตัวเองก็เป็นเพียงแค่คนยืนดูอยู่ข้างๆ แต่เซี่ยเจิงนั้นคือคนที่อยู่ในกระแสน้ำวนนี้จริงๆ ผ่านอะไรมาตั้งเยอะแยะมากมายยังไม่มีหนทางที่จะเอาตัวเองออกมาได้เลย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเซี่ยเจิงในตอนนี้ก็กล้าหาญมากพอแล้วเช่นกัน

        คำปลอบใจที่พูดออกมาได้ก็คงจะดูเกินความจำเป็นไปหน่อย ชวีเสี่ยวปอคิดอยู่นาน และในที่สุดก็พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า : “ฉันเลี้ยงข้าวนายละกันนะ? ”

        ฟู่

        เซี่ยเจิงกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงหัวเราะออกมาเสียงดัง เขานึกขึ้นมาได้ถึงตอนที่เขาประเมินชวีเสี่ยวปอไว้ครั้งก่อน เด็กน้อย เด็กน้อยจริงๆ เหมือนกับเด็กน้อยชั้นอนุบาลอย่างไรอย่างนั้นเลย พอเห็นนายไม่มีความสุขก็หยิบลูกอมกำหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วจึงพูดว่าให้นายกิน พอกินแล้วนายก็จะมีความสุข ดีไหม?

        แต่ประเด็นที่สำคัญคือ เขารู้สึกว่าเพียงแค่ว่า ถ้าเขาทำเช่นนั้น นายก็จะมีความสุขขึ้นมา

 

        ทำตัวเป็นเด็ก…แต่ก็จริงใจสุดๆ เลยล่ะ

        เซี่ยเจิงลืมไปแล้วว่าเคยได้ยินประโยคนี้มาจากที่ไหน ความโดดเดี่ยวนั้นเป็นสภาวะปกติของมนุษย์ อาจจะดูเสแสร้งไม่มีเหตุผลไปสักนิด แต่สำหรับเซี่ยเจิงแล้ว มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

        เซี่ยเจิงคิดว่าตัวเขาคงจะเคยชินแล้วที่ต้องเผชิญหน้าทุกอย่างเพียงลำพัง ทว่าความจริงคือ คนเราไม่แข็งแกร่งพอที่จะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงคนเดียวไปได้ตลอด ดังนั้นในตอนที่ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่ข้างเขาและออกหน้าแทนเขาในวันนี้ เซี่ยเจิงจึงเพิ่งจะรู้ว่า แท้จริงแล้วความรู้สึกที่มีคนมายืนอยู่ข้างๆ ตัวเองก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่

        “ขอบคุณนะ”

        ในระยะห่างเพียงแค่นี้ ชวีเสี่ยวปอสามารถเห็นหยดน้ำที่อยู่บนใบหน้าของเซี่ยเจิงได้อย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อขยับเข้าไปใกล้ ลมหายใจที่ค่อนข้างชื้นของอีกฝ่ายก็ตกกระทบลงมายังหน้าของเขา ชวีเสี่ยวปอมองตัวเองที่สะท้อนในรูม่านตาของเซี่ย แล้วเขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า :

        “ขอบใจอะไรกัน นายต้องการความช่วยเหลือฉันก็แค่เข้าไปช่วยเท่านั้นแหละ”

        แล้วจู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาสองครั้งอย่างประหลาด ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองดังตึกๆ ตึกๆ ออกมาอย่างผิดปกติ

        ซึ่งมันทำให้เขาไม่กล้าที่จะสบตากับเซี่ยเจิงตรงๆ คงจะเป็นเพราะตั้งแต่ที่เขาทั้งสองรู้จักกันในวันนั้น การไม่ชอบขี้หน้ากันถือว่าเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของเขาทั้งสอง ดังนั้นเมื่อเซี่ยเจิงพูดขอบคุณออกมาด้วยใจจริง จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่

        “ที่จริงแล้วฉันก็เตะออกไปแรงมากอยู่เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอจับศีรษะของตัวเอง “ถึงยังไงนั่นมันก็พ่อนาย”

        “แค่ทางสายเลือดเท่านั้นล่ะ” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาปัดปอยผมที่เปียกชื้นบนหน้าผากออก “มองเห็นไหม? ”

        “ตีนผมดูดีมาก ไม่มีวี่แววว่าที่ผมจะร่วงนะ” ชวีเสี่ยวปอตอบ

        “ให้นายดูตรงนี้” เซี่ยเจิงรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จากนั้นจึงชี้นิ้วไปที่ด้านหนึ่งของคิ้วตัวเอง

        “คิ้วแตกน่ะเหรอ” ชวีเสี่ยวปออ๋อขึ้นมา “ฉันรู้อยู่แล้ว ตอนที่ต่อยกับนายครั้งแรก…ตอนที่เจอกับนายครั้งแรกก็เห็นมันแล้ว แค่นี้เองยังจะเอามาอวดอีก”

        “นายคิดว่าฉันโกนมันเองหรือยังไง? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ “นายดูดีๆ สิ”

        “ไม่ใช่หรอกเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอยื่นหน้าเข้าไป แล้วดูคิ้วของเซี่ยเจิงอย่างละเอียด… มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย คิ้วที่แตกเป็นเพราะว่าตรงนั้นมีรอยแผลเป็น จึงทำให้ขนคิ้วตรงนั้นมันไม่งอกออกมา

        “ตอนเด็กเขาทะเลาะกับแม่ของฉัน แล้วลงไม้ลงมือ” เซี่ยเจิงลูบผมของเขาไปสองที “ฉันเลยรีบวิ่งเข้าไปกอดขาเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาเข้าใกล้แม่ของฉัน นี่เป็นแผลที่เขาใช้แก้วน้ำมาทุบลงมา แต่ถ้าเบี่ยงไปอีกนิดก็จะทุบลงไปที่…” เซี่ยเจิงไปพูดต่อ

        ถ้าเบี่ยงมาอีกนิดเขาก็จะตาบอดไปข้างหนึ่ง

        ชวีเสี่ยวปออ้าปากขึ้นมา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกอัดอั้นตันใจมาก ราวกับว่าเห็นภาพท่าทางของเซี่ยเจิงตัวน้อยที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยเลือดกำลังเอาตัวเข้าไปขว้างเพื่อที่จะปกป้องแม่ที่อยู่ด้านหลังปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น ชวีเสี่ยวชวีรู้สึกเสียใจที่เขาพูดประโยคที่ว่า “ถึงยังไงนั่นมันก็พ่อนาย” นี้ออกไปเมื่อครู่ เขานั่งเงียบอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นจึงด่าคำหยาบออกไปหนึ่งคำ

        “เชี่ย”

        “ช่างมันเถอะ” เซี่ยเจิงตบไปที่ไหล่ของเขา เหมือนกำลังปลอบเขากลับไปด้วยเช่นกัน “ถือซะว่าเติมสีสันให้กับชีวิตตัวเอง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

        ชวีเสียวปอกำลังจะพูดว่า ฉันดูอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือไง แต่ร่างกายกลับซื่อตรงยิ่งกว่า ทั้งยังจามออกมาเสียงดังลั่น

        “บ้าจริงเลย ไปเปลี่ยนละ เปลี่ยนๆ” ชวีเสี่ยวปอสูดจมูก บ่นพึมพำและเดินเข้าบ้านไป

        หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเจิงก็ไปดูแม่อีกครั้ง ทุกครั้งที่เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อความวุ่นวายครั้งหนึ่ง แม่ก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะดีขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้จะหลับไปแล้ว แต่ตรงหว่างคิ้วก็ยังคงขมวดไว้อยู่ เซี่ยเจิงดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้แม่ของเขา หลังจากนั้นจึงเดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง แล้วเขาก็เห็นชวีเสี่ยวปอกำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง แต่เท้ายังวางอยู่บนพื้น ขาของเขาขยับไปมาอย่างอยู่ไม่นิ่ง ท่อนบนสวมเสื้อของเซี่ยเจิง แต่มันสั้นไปหน่อย จึงเผยให้เห็นท้องเล็กน้อย

        “ตอนกลางวันคงจะไม่ได้กินปลาแล้วล่ะ” เซี่ยเจิงนั่งลงข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ เจ้าเตียงไม่รักดีจึงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา

        ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปากออกมา “เมื่อคืนตอนนอนฉันยังไม่กล้าจะพลิกตัวเลย นายรู้ไหม? เสียงเอี๊ยดอ๊าดนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันจะถล่มลงไปได้ตลอดเวลาเลย”

        “งั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ ในใจก็คิดว่านายก็ไม่ได้พลิกตัวน้อยนะ แถมยังพลิกขึ้นมาทับฉันด้วย

        “ไม่กินก็ไม่กิน” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ แล้วยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้ว “ให้คุณป้าพักผ่อนเถอะ”

        ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้อยากอาหารสักเท่าไหร่ เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อความวุ่นวายขนาดนี้ มันช่างทำให้คนรู้สึกขยะแขยงเสียจริง ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอยังคิดอยู่เลยว่าตอนที่แม่ของเซี่ยเจิงทำกับข้าว ตัวเขาจะยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องเข้าไปช่วยไปเป็นลูกมือสักหน่อย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากนอนลง และรอให้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านไป

        เซี่ยเจิงชนเขาไปทีหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอจึงขยับออกไปด้านข้างนิดหน่อย ทั้งสองคนเงียบสนิทไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย จากนั้นเซี่ยเจิงจึงนอนลงไปข้างๆ เขา

        “เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอมองไปบนเพดานซึ่งเป็นจุดด่างๆ ที่เกิดจากความเปียกชื้น “พ่อแม่ของนาย…แม่ของนายหย่ากับเขามากี่ปีแล้วเหรอ? ”

        “น่าจะตอนฉันประมาณแปดขวบล่ะมั้ง” เซี่ยเจิงหลับตาลง ราวกับกำลังระลึกความทรงจำอย่างละเอียด แต่มันก็นานเกินกว่าจะจำได้แล้ว

        “ถ้างั้นเขาก็ตามดื้อพวกนายแบบนี้มาหลายปีแล้วล่ะสิ? ”

        “อืม”

        “แล้วพวกนายไม่คิดที่จะย้ายบ้านอะไรแบบนี้บางเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสิบปี ช่างเป็นช่วงเวลาสิบปีที่ยาวนานซะเหลือเกินที่พวกเขาต้องถูกคนแบบนั้นมาตามรังควานชีวิตไม่หยุดไม่หย่อน เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาเลย

        “เคยคิดแล้ว แล้วก็เคยย้ายแล้วด้วย” เซี่ยเจิงฝืนยิ้มออกมา “แต่ไม่รู้ว่าเซี่ยรุ่ยเซินไปรู้มาจากไหน และก็กลับมาก่อกวนอยู่เหมือนเดิม เจ้าของบ้านกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงให้พวกเราย้ายออกมา”

        “วิญญาณร้ายไม่ไปผุดไปเกิด” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันพูด “แล้วเขาขอเงินไปทำอะไร? ”

        “ใช้หนี้พนัน”

        “ให้ตายเถอะ” ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอเหมือนจะได้ยินรางๆ ว่าคืนเงินอะไรทำนองนี้ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการพนัน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพนันเช่นนี้ ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอยังเด็กอยู่ก็ได้รู้จักมาจากชวีอี้เจี๋ย ในตอนนั้นชวีอีเจี๋ยมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ค่อนข้างดีคนหนึ่ง ธุรกิจก็ประสบความสำเร็จ ทั้งยังมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอถูกชวีอี้เจี๋ยพาไปร่วมงานเลี้ยง ยังเจอคนคนนี้อยู่สองสามครั้ง แต่พอผ่านไปเพียงแค่ประมาณครึ่งปี ชวีเสี่ยวปอก็บังเอิญไปได้ยินเวินลี่พูดว่าชวีอี้เจี๋ยไปร่วมงานศพเขาแล้ว หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอถึงได้รู้ว่าคนคนนั้นเสียชีวิตแล้ว

        โดยการฆ่าตัวตาย

        ติดพนันจนทำให้ครอบครัวล่มจม พ่อเฒ่านอนอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรอเงินที่จะเอามาช่วยชีวิต แต่กลับถูกเขาเอาไปอุดกับเงินที่เสียไป และยังคิดอยู่เสมอว่าตัวเองจะสามารถเงยหน้าอ้าปากได้อีกสักครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นก็กลับตกต่ำยิ่งกว่าเดิมจนน่าเวทนา

        ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า “การพนัน” คำคำนี้มันมีความหมายอะไรแฝงเอาไว้… นักพนันที่ชอบพูดว่า “ฉันจะปรับปรุงตัว” “จะไม่ไปเล่นพนันแล้ว” “ช่วยฉันหน่อยนะ” คำเหล่านี้มันก็เป็นเหมือนกับบาดแผลอันเน่าเฟะบนตัวของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก ทว่าเพียงแค่ถลกผ้าที่ปกปิดความอัปยศนั้นขึ้นมา ก็จะเห็นบาดแผลนั้นใหญ่ขึ้นมาอีกเท่าตัว ราวกับว่าความเน่าเฟะนั้นจะไม่มีวันหยุดกัดกินไปตลอดกาล จนกระทั่งถึงในวันที่ถูกยึดทรัพย์สินไปจนไม่เหลืออะไรเลย

        ห้ามไปติดมันโดยเด็ดขาด

        ต้องอยู่ให้ห่างไกลจากมันมากที่สุด มิเช่นนั้นสิ่งที่จะรอคุณอยู่ก็คือหลุมลึกที่ฆ่าคนโดยปราศจากเลือด

        ชวีเสี่ยวปออยากที่จะกำชับเซี่ยเจิงสักสองสามประโยค แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็เลือกที่จะไม่พูด ถึงยังไงตัวเองก็เป็นเพียงแค่คนยืนดูอยู่ข้างๆ แต่เซี่ยเจิงนั้นคือคนที่อยู่ในกระแสน้ำวนนี้จริงๆ ผ่านอะไรมาตั้งเยอะแยะมากมายยังไม่มีหนทางที่จะเอาตัวเองออกมาได้เลย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเซี่ยเจิงในตอนนี้ก็กล้าหาญมากพอแล้วเช่นกัน

        คำปลอบใจที่พูดออกมาได้ก็คงจะดูเกินความจำเป็นไปหน่อย ชวีเสี่ยวปอคิดอยู่นาน และในที่สุดก็พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า : “ฉันเลี้ยงข้าวนายละกันนะ? ”

        ฟู่

        เซี่ยเจิงกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงหัวเราะออกมาเสียงดัง เขานึกขึ้นมาได้ถึงตอนที่เขาประเมินชวีเสี่ยวปอไว้ครั้งก่อน เด็กน้อย เด็กน้อยจริงๆ เหมือนกับเด็กน้อยชั้นอนุบาลอย่างไรอย่างนั้นเลย พอเห็นนายไม่มีความสุขก็หยิบลูกอมกำหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วจึงพูดว่าให้นายกิน พอกินแล้วนายก็จะมีความสุข ดีไหม?

        แต่ประเด็นที่สำคัญคือ เขารู้สึกว่าเพียงแค่ว่า ถ้าเขาทำเช่นนั้น นายก็จะมีความสุขขึ้นมา

 

        ทำตัวเป็นเด็ก…แต่ก็จริงใจสุดๆ เลยล่ะ

        “พาแม่ฉันกลับบ้านไปก่อน” เซี่ยเจิงหยุดเดินและหันกลับไปพูดกับชวีเสี่ยวปอ

        “เซี่ยเจิง เดี๋ยวฉัน…” ชวีเสี่ยวปออยากจะพูดว่าเดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อนเอง แต่เมื่อเห็นดวงตาอันแดงก่ำของเซี่ยเจิงแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงผงะไปทั้งยังหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น และคิดว่าตัวเองคงทำได้แค่ตอบออกไปว่า “โอเค”

        “ผมบอกคุณแล้วไงว่าอย่ามาที่นี่อีก” เซี่ยเจิงพยายามที่จะพูดให้เสียงไม่สั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่อยากเผยความอ่อนแอให้เซี่ยรุ่ยเซินเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว

        “พ่อมาหาลูก ไม่ได้เลยเหรอ? ” เซี่ยรุ่ยเซินยื่นหน้าออกไปอีกทาง “แล้วก็เมียของพ่อด้วย”

        นานๆ ครั้งเซี่ยรุ่ยเซินจะมาที่นี่เพื่อเล่นละครก่อความวุ่นวาย ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นก็เริ่มที่จะเห็นจนชินตาแล้ว และแน่นอนว่าคนที่มามุงดูบ้างก็รู้สาเหตุอยู่แล้ว พวกเขาจึงพูดกระซิบกระซาบเล่าความเป็นมาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เสียงกระซิบที่ผสมปนเปกันมากมายดังเข้ามาในหูของเซี่ยเจิง จนทำให้เขาได้ยินไม่ชัดเลยสักนิด แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเขาได้ยินทุกประโยคอย่างชัดเจน

           “เลิกแกล้งทำเป็นคนโง่สักที” เซี่ยเจิงกำมัดแน่น อดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะต่อยหน้าเซี่ยรุ่ยเซินเอาไว้ “ผมไม่ได้ต้องการให้คุณมาหาผม แม่ผมก็ไม่ต้องการ”

        สายตาของเซี่ยรุ่ยเซินค่อยๆ มองต่ำลงมา ทำราวกับว่าไม่อยากที่จะเชื่อคำพูดเมื่อครู่ : “ทำไม นี่คิดจะต่อยฉันเหรอ? ”

        เซี่ยเจิงเม้มริมฝีปากไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไรออกไป

        “ทุกคนดูสิ! ลูกที่ฉันเลี้ยงมากับมือ กำลังจะต่อยพ่อแท้ๆ ของตัวเองแล้ว! ” ทันใดนั้นเซี่นรุ่ยเซินก็ตะโกนเสียงดังโวยวายออกไปให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นได้ยิน “เวรกรรมจริงๆ !”

        เซี่ยเจิงผงะไปชั่วขณะ ตัวเขาเองคงประเมินความหน้าไม่อายของคนคนนี้ต่ำเกินไปจริงๆ หลังจากนั้นเขาจึงเข้าไปคว้าแขนของเซี่ยรุ่ยเซิน “คุณต้องการอะไรกันแน่? ”

        “พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง? ” เซี่ยรุ่ยเซินหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ หลังจากนั้นก็หยุดตะโกนออกมาทันที ทั้งยังยิ้มจนเผยให้เห็นฟันเหลืองๆ ของเขา ในดวงตาที่ขุ่นมัวนั้นเต็มไปด้วยความโลภ “ฉันต้องการเงิน”

        “ผมไม่มี” เซี่ยตอบกลับไปทันที

        “เป็นไปไม่ได้” เซี่ยรุ่ยเซินน้ำเสียงเปลี่ยนไปอีกครั้ง จับไปที่มือของเซี่ยเจิงที่กำลังจะสะบัดออกจากแขนของเขา แล้วขอร้องอ้อนวอนออกไปว่า “ลูกชาย ลูก ถือว่าพ่อขอร้องล่ะ ครั้งสุดท้ายแล้ว ให้พ่อใช้หนี้ครั้งนี้หมดก็พอแล้ว”

        “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มี !” เซี่ยเจิงออกแรงดึงมือให้หลุดออกมา แล้วจึงถอยหลังไปสองสามก้าว “คุณเล่นพนันต่อไปเถอะ จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม”

        “ลูกพูดอะไรของลูก? ” เซี่ยรุ่ยเซินกระโจนตัวไปข้างหน้าหวังที่จะจับเซี่ยเจิงแต่ก็ไม่ได้ผล เขายิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่ประจบสอพอจนทำให้คนที่เห็นรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่น้อย “ลูกชาย ขอร้องล่ะ ถ้าพ่อไม่มีเงินไปให้พวกเขาพ่อก็จะถูกตีจนขาหักเลยนะ ลูกทนได้เหรอ? ”

        เซี่ยรุ่ยเซินพูดคำว่าลูกชายออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกว่าสองคำนี้เป็นเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตกลงมาจากฟ้าแล้วขว้างใส่ตัวเองอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงไปไหนได้ ทำได้เพียงปล่อยให้มันตกใส่จนกระทั่งหัวแตกเลือกออก

        เซี่ยเจิงสูดหายใจเข้าไป “งั้นก็ให้พวกเขาตีจนหักไปเลย” หลังจากพูดจบก็หันหลังเดินจากไป

        “ให้ตายเถอะไอ้เซี่ยเจิง ไอ้ลูกสัตว์เดรัจฉานไม่มีหัวใจ !”

        ในขณะที่เซี่ยรุ่ยเซินตะโกนด่าออกไป ในใจของเซี่ยเจิงก็พูดขึ้นว่า “ไปตายซะ” อยู่เหมือนกัน แต่พอคิดดูดีๆ แล้วมันก็ยิ่งน่าขันเข้าไปใหญ่ คนเรามีวิธีที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ถ้าเทียบกับชีวิตที่ตกต่ำย่ำแย่เช่นนี้ ความตายก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายที่สุดล่ะมั้ง?

        ทว่าจู่ๆ เซี่ยรุ่ยเซินก็เงียบไปในทันที

        ชวีเสี่ยวปอแทบจะใช้ความเร็วสูงสุดของเขาวิ่งสวนกับเซี่ยเจิงออกมา ทันใดนั้นเขาก็ยกขาขึ้นเตะเซี่ยรุ่ยเซินจนไปนอนกองอยู่กับพื้น

        “พูดให้มันดีๆ หน่อย !” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง

        ขาข้างนี้ของเขาค่อนข้างที่จะแข็งแรง เซี่ยรุ่ยเซินนอนขดตัวอยู่กับพื้น ปากก็ยังสบถคำด่าออกมาไม่หยุด แต่เป็นเพราะว่าความเจ็บปวดเข้าเล่นงานเลยพูดได้ไม่จบประโยค

        ชวีเสี่ยวปอมองเขาด้วยความเย็นชาไปทีหนึ่ง แล้วเดินกลับมาตบไหล่ของเซี่ยเจิงเบาๆ การกระทำที่ระมัดระวังและอ่อนโยนนี้ดูราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง “ไปกันเถอะ กลับบ้านกัน”

        ทั้งสองคนเดินตามกันเข้าบ้านไป ถึงแม้ว่าเสียงตะโกนด่าของเซี่ยรุ่ยเซินจะดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่สักพักก็ค่อยๆ เงียบลงไป

        เมื่อเซี่ยเจิงเดินเข้ามาในบ้านก็ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนทั้งยังไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เหมือนกับว่าจะยืนอยู่เช่นนี้จนฟ้ามืดอย่างไรอย่างนั้น ชวีเสี่ยวปอก็ยืนมองเขาอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ และรอจุดนั้นเกิดขึ้น

        จุดที่เซี่ยเจิงจะระเบิดออกมา

        ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงหายใจกำลังที่ควบคุมอารมณ์โกรธเอาไว้

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ว่าอย่างไรดี แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่เซี่ยเจิงเล่าถึงเรื่องราวความโชคร้ายของตัวเองถึงได้สงบนิ่งมากถึงขนาดนั้น

        คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เขาดิ้นรนผ่านความลำบากยากเข็ญมาแล้วเกือบจะทุกรูปแบบ ได้ลิ้มลองรสชาติมาแล้วหลากหลายรสชาติ ทั้งยังรู้อย่างชัดเจนด้วยว่าเขาเคยชินกับเรื่องโชคร้ายเช่นนี้ไปซะแล้ว ส่วนคนอื่นก็จะเป็นเพียงคนที่ยืนดูอยู่ด้านข้างสำหรับเขาตลอดไป

        พ่อที่พึ่งพาไม่ได้ แม่ที่สภาพจิตใจอ่อนแอ และชีวิตที่อัตคัดขัดสน

        ทุกสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เซี่ยเจิงต้องลืมตาตื่นมาเผชิญในทุกๆ วัน

        ชวีเสี่ยวปอคิดว่าเซี่ยเจิงจะร้องไห้เสียงดังออกมา แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น

        เซี่ยเจิงทำเพียงแค่ก้มหัวลง ไหล่ของเขาสั่นราวกับควบคุมไม่ได้ นอกจากเสียงหายใจก็ไม่ได้มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาอีกเลย จนกระทั่งเสียงหายใจด้วยความโกรธสงบลงแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงได้หยิบกระดาษทิชชูที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาเขาอย่างเงียบๆ

        “เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย ถึงต่อให้หล่อแค่ไหน แต่พอร้องให้เสร็จก็จะขี้เหร่ขึ้นมาเลย” ชวีเสี่ยวปอหยิบทิชชูออกมาสองแผ่นแล้วกดไปบนหน้าของเซี่ยเจิง ปิดไปตรงตาที่บวมเป่งและจมูกอันแดงแจ๋ของเขา “แต่ว่านายอดทนเก่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก”

        “นี่นายชมฉันหรือว่าฉันกันแน่” เซี่ยเจิงเช็ดหน้าตัวเอง เสียงที่พูดออกมาก็ดูขึ้นจมูกหน่อยๆ

        “ก็ชมนายน่ะสิ” ชวีเสี่ยวปอถอดหายใจออกมา “นี่ เราสองคนจะนั่งลงกันได้ยัง? พอนายไม่นั่งฉันก็ไม่กล่านั่งไปด้วยเลย”

        “นายนั่งก่อนเลย ฉันไปล้างหน้าก่อน” เซี่ยเจิงผายมือออกไป จากนั้นจึงเดินเข้าลานบ้านไป

        ในลานบ้านมีก๊อกน้ำอยู่ เพื่อให้สะดวกในการล้างมือล้างผักในช่วงหน้าร้อน ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่ในบ้านแต่สายตามองออกไปยังด้านนอก เซี่ยเจิงวักน้ำใส่หน้าอย่างลวกๆ สองครั้ง หลังจากนั้นเขาก็เอาศีรษะมุดเข้าไปใต้ก๊อกน้ำปล่อยให้น้ำไหลแรงลงรดมาทั้งศีรษะของเขา

        “บ้าเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นมือไปคว้าคอเสื้อของเซี่ยเจิงดึงขึ้นมา “อยากจมน้ำตายนักหรือไง”

        “แค่นี้จะจมน้ำตายได้ยังไง” น้ำบนศีรษะของเซี่ยเจิงไหล่หยดลงมายังคอของเขา “ฉันแค่อยากให้ตัวเองรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นสักหน่อยก็เท่านั้นเอง”

        “งั้นก็ไม่ต้องเปิดน้ำแรงขนาดนั้นก็ได้นี่” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังเสื้อผ้าของเซี่ยเจิงที่เริ่มเปียก “ตอนนี้มันอุณหภูมิเท่าไหร่ ถ้าพรุ่งนี้เช้านายตื่นมาแล้วไม่อยากได้หัวสมองของตัวเองแล้ว นายเอาให้ฉันก็ได้นะ”

        “ฝันไปเถอะ” เซี่ยเจิงเปิดก๊อกน้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาใช้สองมือวักน้ำขึ้นมา แล้วสาดไปยังชวีเสี่ยวปอ “งั้นนายก็มาเย็นสบายไปด้วยกันเถอะ”

        “เซี่ยเจิงนายมันไม่ใช่คน !” ชวีเสี่ยวปอหลบออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังโดนสาดเข้ามาเต็มด้านหลังอยู่ดี เขาไม่ยอมแพ้ จึงโจมตีกลับในทันที และถึงแม้ว่าสงครามในครั้งนี้จะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่มันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนต่อสู้กันไปมาโดยมีก๊อกน้ำตั้งอยู่กิ่งกลางเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งแทบจะเปียกไปหมดทั้งตัวสงครามในครั้งนี้จึงได้จบลง

        ชวีเสี่ยวปอเดินเข้ามานั่งตรงขั้นบันไดโดยเอามือกุมท้องตัวเองไว้ เนื่องจากเมื่อครู่หัวเราะเยอะเกินไปจนเขารู้สึกเจ็บเข้าที่ช่องท้อง

        เซี่ยเจิงก็ยืนอยู่ด้านข้างของเขาในท่าทางเอนตัวลงมาจับเข่าตัวเอง หลังจากนั้นจึงยื่นเท้าออกไปเตะเข้าที่ปลายรองเท้าของชวีเสี่ยวปอ

        “นายสาดฉันให้ตายไปเลยเถอะ” ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นไปมองเขา ไม่มีแรงที่จะเล่นต่อแล้วจริงๆ “ฉันยอมแล้ว ฉันยอมแพ้แล้วโอเคไหม นายเคยเข้าร่วมงานเทศกาลสงกรานต์มาใช่ไหมเนี่ย”

        “ชวีเสี่ยวปอ” เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบเขากลับไป แต่กลับเรียกชื่อเขาออกไปเบาๆ

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้สาเหตุ “ฮ่ะ? ”

 

        “ขอบคุณนะ”

        “พาแม่ฉันกลับบ้านไปก่อน” เซี่ยเจิงหยุดเดินและหันกลับไปพูดกับชวีเสี่ยวปอ

        “เซี่ยเจิง เดี๋ยวฉัน…” ชวีเสี่ยวปออยากจะพูดว่าเดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อนเอง แต่เมื่อเห็นดวงตาอันแดงก่ำของเซี่ยเจิงแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงผงะไปทั้งยังหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น และคิดว่าตัวเองคงทำได้แค่ตอบออกไปว่า “โอเค”

        “ผมบอกคุณแล้วไงว่าอย่ามาที่นี่อีก” เซี่ยเจิงพยายามที่จะพูดให้เสียงไม่สั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่อยากเผยความอ่อนแอให้เซี่ยรุ่ยเซินเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว

        “พ่อมาหาลูก ไม่ได้เลยเหรอ? ” เซี่ยรุ่ยเซินยื่นหน้าออกไปอีกทาง “แล้วก็เมียของพ่อด้วย”

        นานๆ ครั้งเซี่ยรุ่ยเซินจะมาที่นี่เพื่อเล่นละครก่อความวุ่นวาย ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นก็เริ่มที่จะเห็นจนชินตาแล้ว และแน่นอนว่าคนที่มามุงดูบ้างก็รู้สาเหตุอยู่แล้ว พวกเขาจึงพูดกระซิบกระซาบเล่าความเป็นมาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เสียงกระซิบที่ผสมปนเปกันมากมายดังเข้ามาในหูของเซี่ยเจิง จนทำให้เขาได้ยินไม่ชัดเลยสักนิด แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเขาได้ยินทุกประโยคอย่างชัดเจน

           “เลิกแกล้งทำเป็นคนโง่สักที” เซี่ยเจิงกำมัดแน่น อดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะต่อยหน้าเซี่ยรุ่ยเซินเอาไว้ “ผมไม่ได้ต้องการให้คุณมาหาผม แม่ผมก็ไม่ต้องการ”

        สายตาของเซี่ยรุ่ยเซินค่อยๆ มองต่ำลงมา ทำราวกับว่าไม่อยากที่จะเชื่อคำพูดเมื่อครู่ : “ทำไม นี่คิดจะต่อยฉันเหรอ? ”

        เซี่ยเจิงเม้มริมฝีปากไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไรออกไป

        “ทุกคนดูสิ! ลูกที่ฉันเลี้ยงมากับมือ กำลังจะต่อยพ่อแท้ๆ ของตัวเองแล้ว! ” ทันใดนั้นเซี่นรุ่ยเซินก็ตะโกนเสียงดังโวยวายออกไปให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นได้ยิน “เวรกรรมจริงๆ !”

        เซี่ยเจิงผงะไปชั่วขณะ ตัวเขาเองคงประเมินความหน้าไม่อายของคนคนนี้ต่ำเกินไปจริงๆ หลังจากนั้นเขาจึงเข้าไปคว้าแขนของเซี่ยรุ่ยเซิน “คุณต้องการอะไรกันแน่? ”

        “พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง? ” เซี่ยรุ่ยเซินหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ หลังจากนั้นก็หยุดตะโกนออกมาทันที ทั้งยังยิ้มจนเผยให้เห็นฟันเหลืองๆ ของเขา ในดวงตาที่ขุ่นมัวนั้นเต็มไปด้วยความโลภ “ฉันต้องการเงิน”

        “ผมไม่มี” เซี่ยตอบกลับไปทันที

        “เป็นไปไม่ได้” เซี่ยรุ่ยเซินน้ำเสียงเปลี่ยนไปอีกครั้ง จับไปที่มือของเซี่ยเจิงที่กำลังจะสะบัดออกจากแขนของเขา แล้วขอร้องอ้อนวอนออกไปว่า “ลูกชาย ลูก ถือว่าพ่อขอร้องล่ะ ครั้งสุดท้ายแล้ว ให้พ่อใช้หนี้ครั้งนี้หมดก็พอแล้ว”

        “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มี !” เซี่ยเจิงออกแรงดึงมือให้หลุดออกมา แล้วจึงถอยหลังไปสองสามก้าว “คุณเล่นพนันต่อไปเถอะ จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม”

        “ลูกพูดอะไรของลูก? ” เซี่ยรุ่ยเซินกระโจนตัวไปข้างหน้าหวังที่จะจับเซี่ยเจิงแต่ก็ไม่ได้ผล เขายิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่ประจบสอพอจนทำให้คนที่เห็นรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่น้อย “ลูกชาย ขอร้องล่ะ ถ้าพ่อไม่มีเงินไปให้พวกเขาพ่อก็จะถูกตีจนขาหักเลยนะ ลูกทนได้เหรอ? ”

        เซี่ยรุ่ยเซินพูดคำว่าลูกชายออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกว่าสองคำนี้เป็นเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตกลงมาจากฟ้าแล้วขว้างใส่ตัวเองอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงไปไหนได้ ทำได้เพียงปล่อยให้มันตกใส่จนกระทั่งหัวแตกเลือกออก

        เซี่ยเจิงสูดหายใจเข้าไป “งั้นก็ให้พวกเขาตีจนหักไปเลย” หลังจากพูดจบก็หันหลังเดินจากไป

        “ให้ตายเถอะไอ้เซี่ยเจิง ไอ้ลูกสัตว์เดรัจฉานไม่มีหัวใจ !”

        ในขณะที่เซี่ยรุ่ยเซินตะโกนด่าออกไป ในใจของเซี่ยเจิงก็พูดขึ้นว่า “ไปตายซะ” อยู่เหมือนกัน แต่พอคิดดูดีๆ แล้วมันก็ยิ่งน่าขันเข้าไปใหญ่ คนเรามีวิธีที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ถ้าเทียบกับชีวิตที่ตกต่ำย่ำแย่เช่นนี้ ความตายก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายที่สุดล่ะมั้ง?

        ทว่าจู่ๆ เซี่ยรุ่ยเซินก็เงียบไปในทันที

        ชวีเสี่ยวปอแทบจะใช้ความเร็วสูงสุดของเขาวิ่งสวนกับเซี่ยเจิงออกมา ทันใดนั้นเขาก็ยกขาขึ้นเตะเซี่ยรุ่ยเซินจนไปนอนกองอยู่กับพื้น

        “พูดให้มันดีๆ หน่อย !” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง

        ขาข้างนี้ของเขาค่อนข้างที่จะแข็งแรง เซี่ยรุ่ยเซินนอนขดตัวอยู่กับพื้น ปากก็ยังสบถคำด่าออกมาไม่หยุด แต่เป็นเพราะว่าความเจ็บปวดเข้าเล่นงานเลยพูดได้ไม่จบประโยค

        ชวีเสี่ยวปอมองเขาด้วยความเย็นชาไปทีหนึ่ง แล้วเดินกลับมาตบไหล่ของเซี่ยเจิงเบาๆ การกระทำที่ระมัดระวังและอ่อนโยนนี้ดูราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง “ไปกันเถอะ กลับบ้านกัน”

        ทั้งสองคนเดินตามกันเข้าบ้านไป ถึงแม้ว่าเสียงตะโกนด่าของเซี่ยรุ่ยเซินจะดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่สักพักก็ค่อยๆ เงียบลงไป

        เมื่อเซี่ยเจิงเดินเข้ามาในบ้านก็ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนทั้งยังไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เหมือนกับว่าจะยืนอยู่เช่นนี้จนฟ้ามืดอย่างไรอย่างนั้น ชวีเสี่ยวปอก็ยืนมองเขาอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ และรอจุดนั้นเกิดขึ้น

        จุดที่เซี่ยเจิงจะระเบิดออกมา

        ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงหายใจกำลังที่ควบคุมอารมณ์โกรธเอาไว้

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ว่าอย่างไรดี แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่เซี่ยเจิงเล่าถึงเรื่องราวความโชคร้ายของตัวเองถึงได้สงบนิ่งมากถึงขนาดนั้น

        คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เขาดิ้นรนผ่านความลำบากยากเข็ญมาแล้วเกือบจะทุกรูปแบบ ได้ลิ้มลองรสชาติมาแล้วหลากหลายรสชาติ ทั้งยังรู้อย่างชัดเจนด้วยว่าเขาเคยชินกับเรื่องโชคร้ายเช่นนี้ไปซะแล้ว ส่วนคนอื่นก็จะเป็นเพียงคนที่ยืนดูอยู่ด้านข้างสำหรับเขาตลอดไป

        พ่อที่พึ่งพาไม่ได้ แม่ที่สภาพจิตใจอ่อนแอ และชีวิตที่อัตคัดขัดสน

        ทุกสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เซี่ยเจิงต้องลืมตาตื่นมาเผชิญในทุกๆ วัน

        ชวีเสี่ยวปอคิดว่าเซี่ยเจิงจะร้องไห้เสียงดังออกมา แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น

        เซี่ยเจิงทำเพียงแค่ก้มหัวลง ไหล่ของเขาสั่นราวกับควบคุมไม่ได้ นอกจากเสียงหายใจก็ไม่ได้มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาอีกเลย จนกระทั่งเสียงหายใจด้วยความโกรธสงบลงแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงได้หยิบกระดาษทิชชูที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาเขาอย่างเงียบๆ

        “เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย ถึงต่อให้หล่อแค่ไหน แต่พอร้องให้เสร็จก็จะขี้เหร่ขึ้นมาเลย” ชวีเสี่ยวปอหยิบทิชชูออกมาสองแผ่นแล้วกดไปบนหน้าของเซี่ยเจิง ปิดไปตรงตาที่บวมเป่งและจมูกอันแดงแจ๋ของเขา “แต่ว่านายอดทนเก่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก”

        “นี่นายชมฉันหรือว่าฉันกันแน่” เซี่ยเจิงเช็ดหน้าตัวเอง เสียงที่พูดออกมาก็ดูขึ้นจมูกหน่อยๆ

        “ก็ชมนายน่ะสิ” ชวีเสี่ยวปอถอดหายใจออกมา “นี่ เราสองคนจะนั่งลงกันได้ยัง? พอนายไม่นั่งฉันก็ไม่กล่านั่งไปด้วยเลย”

        “นายนั่งก่อนเลย ฉันไปล้างหน้าก่อน” เซี่ยเจิงผายมือออกไป จากนั้นจึงเดินเข้าลานบ้านไป

        ในลานบ้านมีก๊อกน้ำอยู่ เพื่อให้สะดวกในการล้างมือล้างผักในช่วงหน้าร้อน ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่ในบ้านแต่สายตามองออกไปยังด้านนอก เซี่ยเจิงวักน้ำใส่หน้าอย่างลวกๆ สองครั้ง หลังจากนั้นเขาก็เอาศีรษะมุดเข้าไปใต้ก๊อกน้ำปล่อยให้น้ำไหลแรงลงรดมาทั้งศีรษะของเขา

        “บ้าเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นมือไปคว้าคอเสื้อของเซี่ยเจิงดึงขึ้นมา “อยากจมน้ำตายนักหรือไง”

        “แค่นี้จะจมน้ำตายได้ยังไง” น้ำบนศีรษะของเซี่ยเจิงไหล่หยดลงมายังคอของเขา “ฉันแค่อยากให้ตัวเองรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นสักหน่อยก็เท่านั้นเอง”

        “งั้นก็ไม่ต้องเปิดน้ำแรงขนาดนั้นก็ได้นี่” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังเสื้อผ้าของเซี่ยเจิงที่เริ่มเปียก “ตอนนี้มันอุณหภูมิเท่าไหร่ ถ้าพรุ่งนี้เช้านายตื่นมาแล้วไม่อยากได้หัวสมองของตัวเองแล้ว นายเอาให้ฉันก็ได้นะ”

        “ฝันไปเถอะ” เซี่ยเจิงเปิดก๊อกน้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาใช้สองมือวักน้ำขึ้นมา แล้วสาดไปยังชวีเสี่ยวปอ “งั้นนายก็มาเย็นสบายไปด้วยกันเถอะ”

        “เซี่ยเจิงนายมันไม่ใช่คน !” ชวีเสี่ยวปอหลบออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังโดนสาดเข้ามาเต็มด้านหลังอยู่ดี เขาไม่ยอมแพ้ จึงโจมตีกลับในทันที และถึงแม้ว่าสงครามในครั้งนี้จะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่มันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนต่อสู้กันไปมาโดยมีก๊อกน้ำตั้งอยู่กิ่งกลางเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งแทบจะเปียกไปหมดทั้งตัวสงครามในครั้งนี้จึงได้จบลง

        ชวีเสี่ยวปอเดินเข้ามานั่งตรงขั้นบันไดโดยเอามือกุมท้องตัวเองไว้ เนื่องจากเมื่อครู่หัวเราะเยอะเกินไปจนเขารู้สึกเจ็บเข้าที่ช่องท้อง

        เซี่ยเจิงก็ยืนอยู่ด้านข้างของเขาในท่าทางเอนตัวลงมาจับเข่าตัวเอง หลังจากนั้นจึงยื่นเท้าออกไปเตะเข้าที่ปลายรองเท้าของชวีเสี่ยวปอ

        “นายสาดฉันให้ตายไปเลยเถอะ” ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นไปมองเขา ไม่มีแรงที่จะเล่นต่อแล้วจริงๆ “ฉันยอมแล้ว ฉันยอมแพ้แล้วโอเคไหม นายเคยเข้าร่วมงานเทศกาลสงกรานต์มาใช่ไหมเนี่ย”

        “ชวีเสี่ยวปอ” เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบเขากลับไป แต่กลับเรียกชื่อเขาออกไปเบาๆ

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้สาเหตุ “ฮ่ะ? ”

 

        “ขอบคุณนะ”

        “กินอีกแผ่นด้วยสิ” เซี่ยเจิงเขี่ยบุหรี่ “ยังมีอันที่ใส่วอลนัทด้วยนะ ชิมดูไหม?”

 

        “พักแป๊บนึง” ชวีเสี่ยวปอเลียนิ้วอย่างลวกๆ “ดูไม่ออกเลยจริงๆ แล้วนายเรียนมาจากใครอ่ะ? ”

 

        “ในเน็ตก็มีสูตรสำเร็จบอกอยู่ พวกบล็อกเกอร์อาหารอะไรทำนองนี้ โพสต์ทุกวันเลย” เซี่ยเจิงเห็นที่มุมปากของชวีเสี่ยวปอมีเศษขนมปังติดอยู่ จึงยื่นมืออกมาชี้ไปที่ปากตัวเองในตำแหน่งเดียวกัน เพื่อบอกเขา “ตรงนี้ๆ”

 

        “อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอแลบลิ้นออกมาแล้วเลียเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว “งั้นนายก็ต้องเรียนรู้ก่อนที่จะทำเป็นน่ะสิ เก่งสุดๆ เลย เด็กเรียนนี่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้แบบนั้นออกมาเป๊ะๆ เลยนะ”

 

        “นายเยอะเย้ยฉันเหรอ? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ แล้วก็พ่นควันบุหรี่เฮือกสุดท้ายออกมา จากนั้นจึงดับก้นบุหรี่ลง

 

        “ฉันพูดจริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอก็หัวเราะออกมาสองครั้ง “ฉัน…” คำที่อยากจะพูดต่อถูกเสียงจากนอกหน้าต่างแทรกเข้ามาว่า “เสี่ยวเจิง”

 

        เซี่ยเจิงตอบรับกลับไปหนึ่งคำ แล้วก็หันไปพูดกับชวีเสี่ยวปอว่า  : “แม่ฉันกลับมาแล้ว”

 

        “แย่ล่ะ งั้นฉันไปใส่เสื้อก่อนนะ” ตอนนี้ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะรู้สึกอายขึ้นมา เขารีบกระโดดเข้าไปหยิบกางเกงจากข้างเตียงขึ้นมาใส่ พอใส่ไปได้ข้างหนึ่งถึงเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองใส่กลับด้าน จึงสบถคำหยาบออกมาแล้วเริ่มใส่ใหม่

 

        เซี่ยเจิงเห็นท่าทางรีบๆ ร้อนๆ ของเขา จึงรู้สึกว่ามันตลกมาก

 

        “อบขนมปังเหรอลูก? ” แม่ของเซี่ยเจิงผลักประตูและเดินเข้าบ้านมา “เพื่อนของลูกตื่นหรือยัง? ”

 

        “ตื่นแล้วครับ” เซี่ยเจิงมองไปที่ชวีเสี่ยวปอที่หนึ่ง แล้วตัวเขาจึงเดินออกไป “ซื้ออะไรมาบ้างครับแม่? ”

 

        “ซื้อปลามาตัวหนึ่ง” แม่ของเซี่ยเจิงยกถุงพลาสติกสีดำในมือขึ้นมา “ตอนกลางวันให้เพื่อนของลูกอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ เดี๋ยวแม่เข้าครัวเอง”

 

        “สวัสดีครับคุณป้า” แม่ของเซี่ยเจิงเพิ่งจะพูดประโยคนั้นจบ ชวีเสี่ยวปอก็พุ่งออกมาจากห้อง แล้วจากนั้นก็โค้งคำนับ “เมื่อคืนผมมาดึกไปหน่อยครับ คุณป้าหลับไปแล้ว”

 

        เซี่ยเจิงหน้าตาเหมือนแม่ของเขามาก นี่คือความรู้สึกแรกของชวีเสี่ยวปอ

 

        ดวงกับและจมูกแทบจะเหมือนกันเปี๊ยบเลย เพียงแต่ร่างกายของแม่เซี่ยเจิงนั้นดูความอ่อนระโหยโรยแรง ดวงตาไม่สดเหมือนกับเซี่ยเจิงเลยแม้แต่นิดเดียว… “แม่ของฉันสภาพจิตใจไม่ค่อยคงที่” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็นึกถึงคำพูดที่เซี่ยเจิงพูดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาจึงรีบหันหน้าไปสบตากับเซี่ยเจิงทันที แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

 

        “สวัสดีจ้ะ” แม่ของเซี่ยเจิงต้อนรับเขาด้วยความอบอุ่น “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่แม่ได้เจอกับเพื่อนของเซี่ยเจิง ปกติแล้วเขาไม่พาเพื่อนมาที่บ้านเลย แล้วลูกชื่ออะไรล่ะ? ”

 

        “ผมชื่อชวีเสี่ยวปอครับคุณป้า แซ่ชวีที่เหมือนกับชวีหยวน คำว่าเสี่ยวที่แปลว่ารุ่งอรุณ แล้วก็คำว่าปอที่แปลว่าคลื่นโหมซัดสาด” ชวีเสียวปอพูด แล้วก็หันไปชำเลืองมองเซี่ยเจิงครั้งหนึ่ง คล้ายกับจะบอกเขาเป็นนัยๆ ว่า : “อีกห่างไกลนะเพื่อนคนนี้ คิดไม่ถึงล่ะซิว่าชื่อของฉันจะมีเกียรติสูงส่งเช่นนี้”

 

        “ความหมายดี หน้าตาก็ดี” แม่ของเซี่ยเจิงพยักหน้า “อีกเดี๋ยวก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ เดี๋ยวป้าจะตุ๋นปลาให้กิน”

 

        “ขอบคุณครับคุณป้า” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไป เขาคิดว่าตัวเขาน่าจะเข้าใจคำว่า “สภาพจิตใจไม่ค่อยคงที่” ผิดไป ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้คุยกับแม่ของเซี่ยเจิงสองสามประโยคนี้แล้ว เขาก็รู้สีกว่าแม่ของเซี่ยเจิงดูสบายดีมาก ไม่ได้ดูเป็นโรคอะไร

 

        แต่เวลาผ่านไปไม่นานก็ไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเซี่ยเจิงถึงได้ออกจากบ้านไปอีก ในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนอีกครั้ง

 

        “ปอที่แปลว่าคลื่นโหมซัดสาด” เซี่ยเจิงหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งโยนเข้าปากแล้วเคี้ยว “นายอยู่ไหนเหรอถึงได้คลื่นแรงมาก”

 

        “นายยุ่งอะไรด้วย !” ชวีเสี่ยวปอยกขาขึ้นมาข้างหนึ่งทำท่าทางเหมือนจะบิน แต่ยกขึ้นมาเพียงแค่ครึ่งเดียว แล้วเดินเข้าไปข้างๆ เซี่ยเจิง จากนั้นจึงหยิบคุกกี้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “เฮ้ ฉันรู้สึกว่าแม่นายก็ดูสบายดีนะ”

 

        “ใช่ไหมล่ะ” เซี่ยเจิงพยักหน้า “ถ้าเขาเป็นแบบนี้ได้ตลอดก็คงดี แต่เมื่อไหร่ที่โรคกำเริบก็จะรุนแรงมากเลยล่ะ”

 

        “แล้วทำไมถึงกำเริบได้? ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง ไม่รู้ว่าทำไม เขาแค่เพียงรู้สึกว่าตอนที่เซี่ยเจิงพูดประโยคนี้ออกมาสีหน้าเขาก็ดูเศร้าลงไปมาก แต่ท่าทีของเขากลับไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย สมองของชวีเสี่ยวปอเลยสั่งการให้เขายื่นมือออกไป แล้วบีบแก้มของอีกฝ่ายไปหนึ่งที

 

        “โอ๊ย” เขาน่าจะมือหนักไปหน่อย เซี่ยเจิงตะโกนร้องออกมา แล้วจึงดันชวีเสี่ยวปอออกไป “นายจะบีบทำไมเนี่ย? ”

 

        “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอรีบดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว “น่าจะเป็นเพราะฉันเห็นหน้านายดูนิ่มแหละมั้ง”

 

        “ฉันก็เห็นว่าก้นนายดูนิ่มมากเหมือนกัน” เซี่ยเจิงขยับข้อมือ “ถ้าจะบีบจนม่วงนายก็คงจะไม่ขัดอะไรใช่ไหม”

 

        ชวีเสี่ยวปอหัวเราะเสียงดังและเดินหนีไปไกลแล้ว “ถ้าหากนายยอมรับว่าหน้าของนายนิ่มเหมือนก้นของฉัน ฉันก็ไม่มีอะไรจะขัด !”

 

        ทว่าห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเช่นนี้ ช่างไม่มีที่ว่างเหลือพอที่จะให้ชวีเสี่ยวปอได้แสดงลีลาเลย วิ่งรอบห้องไปเพียงรอบเดียวก็ถูกเซี่ยเจิงจับได้แล้ว เซี่ยเจิงคว้าเข้าไปที่แขนของชวีเสี่ยวปอข้างที่มีแผลจากการถูกเย็บอยู่ แต่เขาก็จับอย่างระวังมือเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บ เซี่ยเจิงไม่ได้ออกแรงเยอะมากและชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้สะบัดตัวออก

 

        “นายไม่ตอบโต้แล้วเหรอ” เซี่ยเจิงจับที่ข้อมือเขาเอาไว้

 

        “จากที่ฉันรู้จักนายนะ นายดูเหมือนจะยังพอมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหะๆ

 

        “นายพูดถูก” เซี่ยเจิงปล่อยมือ แต่วินาทีถัดมาเขาก็ถีบเข้าไปที่ก้นของชวีเสี่ยวปอในตอนที่ชวีเสี่ยวปอไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งตัวของเขาจึงล้มลงไปบนโซฟา จากนั้นเขาเลยตะโกนออกไปเสียงดังว่า “ไอ้บ้าเซี่ยเจิง !”

 

        “นิ่มมากจริงๆ ด้วย” เซี่ยเจิงถ่ายทอดความรู้สึกที่เท้าของเขาไปสัมผัสโดนเมื่อครู่นี้ “สู้ต่อไปนะ มนุษยธรรมมันกินไม่ได้หรอก”

 

        “เซี่ยเจิงนายนี่มัน…” ยังไม่ทันที่จะได้พูดคำว่า เลวทรามต่ำช้า ออกมา เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องออกมามาจากด้านนอก ชวีเสี่ยวปอที่เมื่อครู่ยังคิดว่าจะถือโอกาสนี้นอนบนโซฟาสักหน่อย แต่ก็กลับถูกเสียงนั้นทำให้ตกใจกลัวจนต้องกระโดดขึ้นมา

 

        “บ้าอะไรเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอยังอยากที่พูดเล่นกับเซี่ยเจิงไปประโยคหนึ่งว่านี่มันเป็นเสียงสูงของนักร้องประสานเสียงชัดๆ ทว่าสีหน้าของเซี่ยเจิงกลับดูเปลี่ยนไป

 

        ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเดินตามเซี่ยเจิงออกไป หน้าปากซอยก็มีคนมามุงดูไม่น้อยแล้ว

 

        แต่พอเมื่อเห็นเซี่ยเจิงเดินเข้ามา ผู้คนตรงนั้นก็พร้อมใจกันหลีกทางให้เซี่ยเจิง จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอเห็นแม่ของเซี่ยเจิงนั่งยองๆ อยู่ที่พื้น และก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอ เขากำลังโบกมือพลางพูดว่า “ถอยไป ถอยไปให้พ้น นี่มันเรื่องของครอบครัว” ชวีเสี่ยวปอแทบจะมองไม่เห็นว่าเซี่ยเจิงเดินเข้าไปได้อย่างไร แต่วินาทีถัดมาชายคนนั้นก็ถูกเซี่ยเจิงชนจนเซออกไปและเกือบที่จะล้มลงกับพื้น

 

        “แม่ครับ พวกเราไปกันเถอะ” เซี่ยเจิงอยากที่จะดึงแม่ให้ลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะว่าแม่ของเขาตัวสั่นอย่างรุนแรงทั้งยังไม่ให้ความร่วมเลยสักนิด แม้เซี่ยเจิงออกแรงอย่างมากก็ไม่สามารถฉุดแม่เขาให้ลุกขึ้นมาได้

 

        “คุณป้าครับ” ชวีเสี่ยวปอเรียกออกไป แล้วเขาก็นั่งยองๆ ลงไปตรงหน้าของเธอ หลังจากนั้นจึงเงยหน้าเพื่อส่งสัญญาณให้กับเซี่ยเจิง “ให้ฉันแบกคุณป้านะ? ”

 

        “ฉันขอดูหน่อยสิว่าคนคนนี้คือใครกัน? ” ชายคนที่เพิ่งจะถูกเซี่ยเจิงชนออกไปด้านข้างเมื่อครู่ ค่อยๆ เดินกับเข้ามาใหม่อีกครั้ง “นี่มันลูกชายฉันไม่ใช่เหรอ? นี่ ทุกคนดูสิ นี่คือลูกชายฉันเอง ลูกชายแท้ๆ ของเซี่ยรุ่ยเซิน ทุกคนว่าพวกเราสองพ่อลูกหน้าตาเหมือนกันไหม? ”

 

        คนนี้คือพ่อของเซี่ยเจิง? !

 

        ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้าง เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในใจของเขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถที่จะเอาคนสำมะเลเทเมาที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาเชื่อมโยงเข้ากับคำว่าพ่อของเซี่ยเจิงสี่คำนี้ได้เลย ทว่าเมื่อมองไปยังสายตาของเซี่ยเจิงก็ยิ่งหลุบต่ำลงเรื่อยๆ เขากำลังบีบมือตัวเองแน่น ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอจึงได้รีบยื่นมือไปกุมมือเขาทันที พลางพูดออกไปเสียงเบาว่า “พวกเราพาคุณป้ากลับบ้านกันก่อนเถอะ”

 

        ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขากลับไม่ได้สนใจ ทั้งสองคนออกแรงดึงแม่ของเซี่ยเจิงให้ขึ้นมาอยู่บนหลังของชวีเสี่ยวปออย่างสุดกำลัง แม่ของเซี่ยเจิงตัวเบามาก ชวีเสี่ยวปอแทบจะไม่ต้องใช้แรงอะไรมากก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างสบาย

 

        “ทำอะไร? ” ชายคนนั้นน่าจะรู้แล้วว่าการเข้ามาก่อกวนด้วยคำพูดเช่นนี้ไม่เป็นผล เซี่ยรุ่ยเซินจึงได้ออกมาขวางทางเขาทั้งสองเอาไว้ “เซี่ยเจิงเธอยังเป็นลูกของฉันอยู่ไหม! เห็นพ่อแท้ๆ ของตัวเองแต่กลับทำเป็นมองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ! ”

 

 

        “กินอีกแผ่นด้วยสิ” เซี่ยเจิงเขี่ยบุหรี่ “ยังมีอันที่ใส่วอลนัทด้วยนะ ชิมดูไหม?”

 

        “พักแป๊บนึง” ชวีเสี่ยวปอเลียนิ้วอย่างลวกๆ “ดูไม่ออกเลยจริงๆ แล้วนายเรียนมาจากใครอ่ะ? ”

 

        “ในเน็ตก็มีสูตรสำเร็จบอกอยู่ พวกบล็อกเกอร์อาหารอะไรทำนองนี้ โพสต์ทุกวันเลย” เซี่ยเจิงเห็นที่มุมปากของชวีเสี่ยวปอมีเศษขนมปังติดอยู่ จึงยื่นมืออกมาชี้ไปที่ปากตัวเองในตำแหน่งเดียวกัน เพื่อบอกเขา “ตรงนี้ๆ”

 

        “อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอแลบลิ้นออกมาแล้วเลียเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว “งั้นนายก็ต้องเรียนรู้ก่อนที่จะทำเป็นน่ะสิ เก่งสุดๆ เลย เด็กเรียนนี่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้แบบนั้นออกมาเป๊ะๆ เลยนะ”

 

        “นายเยอะเย้ยฉันเหรอ? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ แล้วก็พ่นควันบุหรี่เฮือกสุดท้ายออกมา จากนั้นจึงดับก้นบุหรี่ลง

 

        “ฉันพูดจริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอก็หัวเราะออกมาสองครั้ง “ฉัน…” คำที่อยากจะพูดต่อถูกเสียงจากนอกหน้าต่างแทรกเข้ามาว่า “เสี่ยวเจิง”

 

        เซี่ยเจิงตอบรับกลับไปหนึ่งคำ แล้วก็หันไปพูดกับชวีเสี่ยวปอว่า  : “แม่ฉันกลับมาแล้ว”

 

        “แย่ล่ะ งั้นฉันไปใส่เสื้อก่อนนะ” ตอนนี้ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะรู้สึกอายขึ้นมา เขารีบกระโดดเข้าไปหยิบกางเกงจากข้างเตียงขึ้นมาใส่ พอใส่ไปได้ข้างหนึ่งถึงเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองใส่กลับด้าน จึงสบถคำหยาบออกมาแล้วเริ่มใส่ใหม่

 

        เซี่ยเจิงเห็นท่าทางรีบๆ ร้อนๆ ของเขา จึงรู้สึกว่ามันตลกมาก

 

        “อบขนมปังเหรอลูก? ” แม่ของเซี่ยเจิงผลักประตูและเดินเข้าบ้านมา “เพื่อนของลูกตื่นหรือยัง? ”

 

        “ตื่นแล้วครับ” เซี่ยเจิงมองไปที่ชวีเสี่ยวปอที่หนึ่ง แล้วตัวเขาจึงเดินออกไป “ซื้ออะไรมาบ้างครับแม่? ”

 

        “ซื้อปลามาตัวหนึ่ง” แม่ของเซี่ยเจิงยกถุงพลาสติกสีดำในมือขึ้นมา “ตอนกลางวันให้เพื่อนของลูกอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ เดี๋ยวแม่เข้าครัวเอง”

 

        “สวัสดีครับคุณป้า” แม่ของเซี่ยเจิงเพิ่งจะพูดประโยคนั้นจบ ชวีเสี่ยวปอก็พุ่งออกมาจากห้อง แล้วจากนั้นก็โค้งคำนับ “เมื่อคืนผมมาดึกไปหน่อยครับ คุณป้าหลับไปแล้ว”

 

        เซี่ยเจิงหน้าตาเหมือนแม่ของเขามาก นี่คือความรู้สึกแรกของชวีเสี่ยวปอ

 

        ดวงกับและจมูกแทบจะเหมือนกันเปี๊ยบเลย เพียงแต่ร่างกายของแม่เซี่ยเจิงนั้นดูความอ่อนระโหยโรยแรง ดวงตาไม่สดเหมือนกับเซี่ยเจิงเลยแม้แต่นิดเดียว… “แม่ของฉันสภาพจิตใจไม่ค่อยคงที่” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็นึกถึงคำพูดที่เซี่ยเจิงพูดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาจึงรีบหันหน้าไปสบตากับเซี่ยเจิงทันที แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

 

        “สวัสดีจ้ะ” แม่ของเซี่ยเจิงต้อนรับเขาด้วยความอบอุ่น “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่แม่ได้เจอกับเพื่อนของเซี่ยเจิง ปกติแล้วเขาไม่พาเพื่อนมาที่บ้านเลย แล้วลูกชื่ออะไรล่ะ? ”

 

        “ผมชื่อชวีเสี่ยวปอครับคุณป้า แซ่ชวีที่เหมือนกับชวีหยวน คำว่าเสี่ยวที่แปลว่ารุ่งอรุณ แล้วก็คำว่าปอที่แปลว่าคลื่นโหมซัดสาด” ชวีเสียวปอพูด แล้วก็หันไปชำเลืองมองเซี่ยเจิงครั้งหนึ่ง คล้ายกับจะบอกเขาเป็นนัยๆ ว่า : “อีกห่างไกลนะเพื่อนคนนี้ คิดไม่ถึงล่ะซิว่าชื่อของฉันจะมีเกียรติสูงส่งเช่นนี้”

 

        “ความหมายดี หน้าตาก็ดี” แม่ของเซี่ยเจิงพยักหน้า “อีกเดี๋ยวก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ เดี๋ยวป้าจะตุ๋นปลาให้กิน”

 

        “ขอบคุณครับคุณป้า” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไป เขาคิดว่าตัวเขาน่าจะเข้าใจคำว่า “สภาพจิตใจไม่ค่อยคงที่” ผิดไป ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้คุยกับแม่ของเซี่ยเจิงสองสามประโยคนี้แล้ว เขาก็รู้สีกว่าแม่ของเซี่ยเจิงดูสบายดีมาก ไม่ได้ดูเป็นโรคอะไร

 

        แต่เวลาผ่านไปไม่นานก็ไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเซี่ยเจิงถึงได้ออกจากบ้านไปอีก ในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนอีกครั้ง

 

        “ปอที่แปลว่าคลื่นโหมซัดสาด” เซี่ยเจิงหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งโยนเข้าปากแล้วเคี้ยว “นายอยู่ไหนเหรอถึงได้คลื่นแรงมาก”

 

        “นายยุ่งอะไรด้วย !” ชวีเสี่ยวปอยกขาขึ้นมาข้างหนึ่งทำท่าทางเหมือนจะบิน แต่ยกขึ้นมาเพียงแค่ครึ่งเดียว แล้วเดินเข้าไปข้างๆ เซี่ยเจิง จากนั้นจึงหยิบคุกกี้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “เฮ้ ฉันรู้สึกว่าแม่นายก็ดูสบายดีนะ”

 

        “ใช่ไหมล่ะ” เซี่ยเจิงพยักหน้า “ถ้าเขาเป็นแบบนี้ได้ตลอดก็คงดี แต่เมื่อไหร่ที่โรคกำเริบก็จะรุนแรงมากเลยล่ะ”

 

        “แล้วทำไมถึงกำเริบได้? ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง ไม่รู้ว่าทำไม เขาแค่เพียงรู้สึกว่าตอนที่เซี่ยเจิงพูดประโยคนี้ออกมาสีหน้าเขาก็ดูเศร้าลงไปมาก แต่ท่าทีของเขากลับไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย สมองของชวีเสี่ยวปอเลยสั่งการให้เขายื่นมือออกไป แล้วบีบแก้มของอีกฝ่ายไปหนึ่งที

 

        “โอ๊ย” เขาน่าจะมือหนักไปหน่อย เซี่ยเจิงตะโกนร้องออกมา แล้วจึงดันชวีเสี่ยวปอออกไป “นายจะบีบทำไมเนี่ย? ”

 

        “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอรีบดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว “น่าจะเป็นเพราะฉันเห็นหน้านายดูนิ่มแหละมั้ง”

 

        “ฉันก็เห็นว่าก้นนายดูนิ่มมากเหมือนกัน” เซี่ยเจิงขยับข้อมือ “ถ้าจะบีบจนม่วงนายก็คงจะไม่ขัดอะไรใช่ไหม”

 

        ชวีเสี่ยวปอหัวเราะเสียงดังและเดินหนีไปไกลแล้ว “ถ้าหากนายยอมรับว่าหน้าของนายนิ่มเหมือนก้นของฉัน ฉันก็ไม่มีอะไรจะขัด !”

 

        ทว่าห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเช่นนี้ ช่างไม่มีที่ว่างเหลือพอที่จะให้ชวีเสี่ยวปอได้แสดงลีลาเลย วิ่งรอบห้องไปเพียงรอบเดียวก็ถูกเซี่ยเจิงจับได้แล้ว เซี่ยเจิงคว้าเข้าไปที่แขนของชวีเสี่ยวปอข้างที่มีแผลจากการถูกเย็บอยู่ แต่เขาก็จับอย่างระวังมือเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บ เซี่ยเจิงไม่ได้ออกแรงเยอะมากและชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้สะบัดตัวออก

 

        “นายไม่ตอบโต้แล้วเหรอ” เซี่ยเจิงจับที่ข้อมือเขาเอาไว้

 

        “จากที่ฉันรู้จักนายนะ นายดูเหมือนจะยังพอมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหะๆ

 

        “นายพูดถูก” เซี่ยเจิงปล่อยมือ แต่วินาทีถัดมาเขาก็ถีบเข้าไปที่ก้นของชวีเสี่ยวปอในตอนที่ชวีเสี่ยวปอไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งตัวของเขาจึงล้มลงไปบนโซฟา จากนั้นเขาเลยตะโกนออกไปเสียงดังว่า “ไอ้บ้าเซี่ยเจิง !”

 

        “นิ่มมากจริงๆ ด้วย” เซี่ยเจิงถ่ายทอดความรู้สึกที่เท้าของเขาไปสัมผัสโดนเมื่อครู่นี้ “สู้ต่อไปนะ มนุษยธรรมมันกินไม่ได้หรอก”

 

        “เซี่ยเจิงนายนี่มัน…” ยังไม่ทันที่จะได้พูดคำว่า เลวทรามต่ำช้า ออกมา เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องออกมามาจากด้านนอก ชวีเสี่ยวปอที่เมื่อครู่ยังคิดว่าจะถือโอกาสนี้นอนบนโซฟาสักหน่อย แต่ก็กลับถูกเสียงนั้นทำให้ตกใจกลัวจนต้องกระโดดขึ้นมา

 

        “บ้าอะไรเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอยังอยากที่พูดเล่นกับเซี่ยเจิงไปประโยคหนึ่งว่านี่มันเป็นเสียงสูงของนักร้องประสานเสียงชัดๆ ทว่าสีหน้าของเซี่ยเจิงกลับดูเปลี่ยนไป

 

        ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเดินตามเซี่ยเจิงออกไป หน้าปากซอยก็มีคนมามุงดูไม่น้อยแล้ว

 

        แต่พอเมื่อเห็นเซี่ยเจิงเดินเข้ามา ผู้คนตรงนั้นก็พร้อมใจกันหลีกทางให้เซี่ยเจิง จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอเห็นแม่ของเซี่ยเจิงนั่งยองๆ อยู่ที่พื้น และก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอ เขากำลังโบกมือพลางพูดว่า “ถอยไป ถอยไปให้พ้น นี่มันเรื่องของครอบครัว” ชวีเสี่ยวปอแทบจะมองไม่เห็นว่าเซี่ยเจิงเดินเข้าไปได้อย่างไร แต่วินาทีถัดมาชายคนนั้นก็ถูกเซี่ยเจิงชนจนเซออกไปและเกือบที่จะล้มลงกับพื้น

 

        “แม่ครับ พวกเราไปกันเถอะ” เซี่ยเจิงอยากที่จะดึงแม่ให้ลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะว่าแม่ของเขาตัวสั่นอย่างรุนแรงทั้งยังไม่ให้ความร่วมเลยสักนิด แม้เซี่ยเจิงออกแรงอย่างมากก็ไม่สามารถฉุดแม่เขาให้ลุกขึ้นมาได้

 

        “คุณป้าครับ” ชวีเสี่ยวปอเรียกออกไป แล้วเขาก็นั่งยองๆ ลงไปตรงหน้าของเธอ หลังจากนั้นจึงเงยหน้าเพื่อส่งสัญญาณให้กับเซี่ยเจิง “ให้ฉันแบกคุณป้านะ? ”

 

        “ฉันขอดูหน่อยสิว่าคนคนนี้คือใครกัน? ” ชายคนที่เพิ่งจะถูกเซี่ยเจิงชนออกไปด้านข้างเมื่อครู่ ค่อยๆ เดินกับเข้ามาใหม่อีกครั้ง “นี่มันลูกชายฉันไม่ใช่เหรอ? นี่ ทุกคนดูสิ นี่คือลูกชายฉันเอง ลูกชายแท้ๆ ของเซี่ยรุ่ยเซิน ทุกคนว่าพวกเราสองพ่อลูกหน้าตาเหมือนกันไหม? ”

 

        คนนี้คือพ่อของเซี่ยเจิง? !

 

        ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้าง เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในใจของเขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถที่จะเอาคนสำมะเลเทเมาที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาเชื่อมโยงเข้ากับคำว่าพ่อของเซี่ยเจิงสี่คำนี้ได้เลย ทว่าเมื่อมองไปยังสายตาของเซี่ยเจิงก็ยิ่งหลุบต่ำลงเรื่อยๆ เขากำลังบีบมือตัวเองแน่น ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอจึงได้รีบยื่นมือไปกุมมือเขาทันที พลางพูดออกไปเสียงเบาว่า “พวกเราพาคุณป้ากลับบ้านกันก่อนเถอะ”

 

        ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขากลับไม่ได้สนใจ ทั้งสองคนออกแรงดึงแม่ของเซี่ยเจิงให้ขึ้นมาอยู่บนหลังของชวีเสี่ยวปออย่างสุดกำลัง แม่ของเซี่ยเจิงตัวเบามาก ชวีเสี่ยวปอแทบจะไม่ต้องใช้แรงอะไรมากก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างสบาย

 

        “ทำอะไร? ” ชายคนนั้นน่าจะรู้แล้วว่าการเข้ามาก่อกวนด้วยคำพูดเช่นนี้ไม่เป็นผล เซี่ยรุ่ยเซินจึงได้ออกมาขวางทางเขาทั้งสองเอาไว้ “เซี่ยเจิงเธอยังเป็นลูกของฉันอยู่ไหม! เห็นพ่อแท้ๆ ของตัวเองแต่กลับทำเป็นมองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ! ”

 

 

        “ฉันไม่ได้กลัวผี” แสงที่ส่องออกมานั้นจ้าจนแยงตา ชวีเสี่ยวปอจึงยืนมือไปปิดมือถือไว้ “แต่ถ้านายยังส่องอันนี้ใส่ฉันไม่เลิก ฉันจะให้นายได้สัมผัสว่าถูกต่อยจนร้องโหยหวนเหมือนผีมันเป็นยังไง”

 

        “ยอมอ่อนให้มือหนึ่งเลย” ทันทีที่เซี่ยเจิงปิดไฟฉายลงในห้องก็ตกอยู่ในความมืด

 

        “จริงๆ นะ ฉันรู้สึกผิดมากๆ เลยที่นอนบนเตียงของนาย” ชวีเสี่ยวปอดึงมุมผ้าห่มของเซี่ยเจิง “พอหลับตาลงก็เห็นภาพนายนอนขดตัวหนาวสั่นอยู่บนโซฟาราวกับเด็กน้อย น่าสงสารสุดๆ เลยล่ะ”

 

        “จะดีกว่านี้เยอะเลยถ้านายตั้งใจเรียนวิชาภาษาและวรรณกรรม แล้วทำละครเรื่องนางเอกผู้น่าสงสารอะไรทำนองนั้นให้ฉัน” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหลแล้วลุกขึ้นยืน หลังจากนั้นเขาและชวีเสี่ยวปอก็ช่วยกันม้วนผ้าห่มเก็บเข้ามา “แล้ววินาทีถัดมาก็จะมีประธานจอมเผด็จการออกมาพูดกับฉันว่า เตียงของนายเป็นของฉันแล้ว”

 

        “ให้ตายสิ นายหยุดพูดเถอะ” ชวีเสี่ยวปอง้างมือออกไปตีเข้าที่หลังของเซี่ยเจิงเบาๆ แล้วทั้งสองคนจึงเดินเข้าห้องไป

 

        “ถ้าเรานอนด้วยกันมันจะเบียดไปหน่อย” เซี่ยเจิงวางผ้าห่มของตัวเองไว้ข้างๆ ผ้าห่มลายดอกไม้ของชวีเสี่ยวปอ “ฉันนอนดิ้น”

 

        “นอนดิ้นกว่าฉันอีกเหรอ” ชวีเสี่ยวปอโยนผ้าห่มลายดอกไม้ออกไปไว้ด้านข้าง “อย่างมากก็แค่นอนละเมอแล้วทะเลาะกันนั่นแหละ”

 

        เซี่ยเจิงนอนชิดกำแพงลงไป ชวีเสี่ยวปอปิดไฟลง หลังจากนั้นจึงดึงผ้าห่มออกแล้วขึ้นเตียงไป

 

        ที่จริงแล้วเมื่อก่อนตอนที่ซือจวิ้นมาเล่นที่บ้านก็เคยนอนค้างกับชวีเสี่ยวปอ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่วันนี้ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกแปลกไป เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับเซี่ยเจิงเท่าซือจวิ้น ดังนั้นแม้แต่จะพลิกตัวก็ต้องค่อยๆ ขยับทีละนิด กลัวว่าจะเสียงดังจนทำให้เซี่ยเจิงตื่น

 

        ทันทีที่เซี่ยเจิงนอนลงก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย คงน่าจะหลับไปแล้ว

 

        “นายค่อยๆ ขยับแบบนี้ กว่าจะพลิกตัวได้ฟ้าก็คงสว่างแล้วล่ะ” แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงที่หลับไปแล้วก็พูดขึ้นมา

 

        “ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอตกใจจนสะดุ้ง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา แล้วพลิกตัวหันหน้าไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว “นายยังไม่หลับอีกเหรอ”

 

        “พยายามแล้ว” เซี่ยเจิงตะแคงข้างหันมา จึงเห็นเข้าที่ด้านหลังศีรษะ และไหล่ของชวีเสี่ยวปอที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มพอดี

 

        “เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ “พรุ่งนี้นายจะทำอะไรเหรอ? ” ที่จริงแล้วเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็ยังหาเรื่องพูด ถึงยังไงก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว คุยกันสักพักก็ดีกว่าจะนอนเฉยๆ เป็นไหนไหน

 

        “ตอนสายไม่ได้ทำอะไร” เซี่ยเจิงยกแขนข้างหนึ่งมารองศีรษะไว้ “ตอนบ่ายไปสอนพิเศษ”

 

        “วันเสาร์อาทิตย์นายยังต้องไปสอนด้วยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอยกตัวขึ้นมาแล้วหันหลังกลับไปมองเซี่ยเจิง

 

        “ครั้งนี้เป็นคาบทดลองสอน” เซี่ยเจิงลืมตาขึ้นมา มองไปยังสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจของชวีเสี่ยวปอ แล้วจึงอธิบายต่อว่า “ผู้ปกครองคนก่อนแนะนำมา บ้านนี้ให้เงินเยอะหนึ่งคาบให้ตั้งสองร้อยหยวน ไม่งั้นฉันก็ไม่ไปหรอก”

 

        “สองร้อยก็ไม่ถือว่าเยอะสักเท่าไหร่นะ” ชวีเสี่ยวปอนอนลงไปพลางพึมพำออกมา เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่เวินลี่หาครูสอนพิเศษมาสอนเขาที่บ้าน จ่ายเงินไปมากกว่าจำนวนนี้เยอะมาก ทว่าเวินลี่อาจจะถูกหลอกให้เสียเงินไปเปล่าๆ ก็เป็นได้ “แต่ว่า…นายรีบร้อนหาเงินไปทำไมกัน”

 

        เซี่ยเจิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงให้คำตอบที่เขาคิดว่าดูเป็นหลักปรัชญามาก

 

        “ใช้ชีวิต”

 

        ถ้าหากคำถามนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิงก็คงจะตอบกลับไปว่า “ฉันคิดว่าสมองนายน่าจะมีปัญหา” ทว่าเมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ครูหัวหน้าระดับพูดกับเขาถึงเรื่องสภาพทางบ้านของชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิงจึงรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินเลยตั้งแต่เกิด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะถามคำถามนี้ออกมา

 

        “แม่ฉันต้องไปหาหมอต้องใช้เงิน กินยาก็ต้องใช้เงิน” เซี่ยเจิงอธิบายออกไปเสียงเรียบ “ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ หน้าหนาวก็ต้องมีค่าฮีตเตอร์อีก แม่ฉันทำงานไม่ได้แล้ว ฉันเลยต้องทำเยอะหน่อย”

 

        “ขอโทษนะ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่งด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ แม้ว่าเซี่ยเจิงจะดูนิ่งๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าเซี่ยเจิงกำลังเปิดเผยบาดแผลให้ตัวเองดูอยู่อย่างไรอย่างนั้นเลย

 

        “นอนลงเถอะ” เซี่ยเจิงยิ้ม ไม่ได้รับคำขอโทษของเขา “แล้วนายล่ะ พรุ่งนี้จะทำอะไร? ”

 

        “ฉันก็ยังไม่รู้เลย” ชวีเสี่ยวปอพูดเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ “แต่ยังไงก็ไม่กลับบ้าน”

 

        “อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปาก “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแสดงฝีมืออะไรให้ดู”

 

        “อะไร? ”

 

        “นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง” เซี่ยเจิงตั้งใจไม่ตอบออกไป ทั้งยังพลิกตัวหันหน้าหนีไปอีกทาง

 

        “อะไรเนี่ย !” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกถูกกระตุ้นความสงสัยขึ้นมา จึงใช้แรงตีไปที่ไหล่ของเซี่ยเจิงหนึ่งที แต่เซี่ยเจิงกลับไม่ได้สนใจทั้งยังไม่ได้พูดอะไรต่อออกมา

 

        “นี่นาย เซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอนอนลงด้วยความโมโห “ฉันอยากจะเห็นจริงๆ เลยว่าพรุ่งนี้นายจะแสดงฝีมืออะไร”

 

 

        คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่ชวีเสี่ยวปอนอนหลับได้อย่างสบายใจถึงเพียงนี้

 

        เพียงแต่ในกลางดึกนั้นค่อนข้างหนาว และเขาก็ฝันว่าตัวเองกำลังกอดหมีตัวใหญ่อยู่ และเขายังใช้แรงเพื่อที่จะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมัน ในตอนแรกหมีตัวใหญ่ตัวนั้นก็ไม่ค่อยจะยอมเท่าไหร่ จึงทำให้เขาโมโหจนเตะมันไปหลายครั้ง มันถึงจะยอมเชื่อฟัง

 

        ความฝันอะไรก็ไม่รู้ไร้สาระ

 

        ชวีเสี่ยวปอมองไปที่ด้านข้างของตัวเองแล้วก็พบว่าเซี่ยเจิงลุกขึ้นไปนานแล้ว เหลือเพียงแค่ผ้าห่มที่ถูกม้วนและวางอยู่ตรงปลายเตียง ในตอนนั้นเขายังรู้สึกรางๆ ด้วยว่าเซี่ยเจิงเดินข้ามตัวเขาไป ทั้งยังเกือบจะเหยียบมือของเขาด้วย

 

        ชวีเสี่ยวปอหาวออกมา จากนั้นจึงยื่นมือไปล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากใต้หมอน

 

        สิบเอ็ดโมงแล้ว

 

        เมื่อคืนเขาตั้งค่าโทรศัพท์ให้อยู่ในโหมดปิดเสียง เวินลี่โทรมาหลายสายเขาก็ไม่ได้รับเลยสักสาย แล้วก็ยังมีข้อความอีกหลายข้อความที่ส่งมาจากซือจวิ้น ซึ่งทุกข้อความก็ล้วนแต่ถามเขาว่าทำไมถึงได้หนีออกจากบ้านไป

 

        ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะตอบกลับไปหาซือจวิ้น ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาซะก่อน

 

        “ตื่นแล้วเหรอ? ” เซี่ยเจิงเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างนั้นสวมกางเกงยีนส์ เขากำลังเดินเข้ามาพร้อมกับคาบบุหรี่ไว้ในปาก

 

        “นายสูบบุหรี่ในบ้านเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่ง

 

         “แม่ฉันออกไปแล้ว” เซี่ยเจิงเดินไปเปิดผ้าม่าน หลังจากนั้นห้องก็สว่างขึ้นมาทันที ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย

 

        “นายทำอะไรน่ะ? ” ในตอนที่เปิดประตูเข้ามา ชวีเสี่ยวปอก็ได้กลิ่นที่ทั้งหอมทั้งหวาน เขาจึงสูดดมกลิ่นนั้นอีกสองครั้ง “เค้กเหรอ? ”

 

        “นายก็ลุกขึ้นมาดูเองสิ” เซี่ยเจิงเปิดหน้าต่างออก เพื่อระบายกลิ่นบุหรี่ที่อยู่ในห้อง แล้วหันไปยิ้มให้ชวีเสี่ยวปอก่อนจะไปยืนพิงที่โต๊ะ “เมื่อวานบอกแล้วไง ว่าจะแสดงฝีมือให้นายดู”

 

        “อุบไว้เก่งซะจริง !” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงฮึดฮัด ถึงแม้ว่าปากจะพูดออกไปอย่างไม่ชอบใจ แต่ว่าการกระทำกลับซื่อสัตย์ยิ่งกว่า เขาสวมรองเท้าเตะแล้วจึงรีบวิ่งออกไปจากห้อง

 

        เซี่ยเจิงก็ยังคงยืนพิงที่โต๊ะและสูบบุหรี่ไปอย่างเงียบๆ ต่อมาไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงพูดว่า “สุดยอด” ดังขึ้นมาจากด้านนอก จากนั้นก็ตามมาด้วยคำว่า “นายทำเองหมดเลยเหรอ” แล้วชวีเสี่ยวปอก็ทั้งวิ่งทั้งกระโดดกลับมาตลอดทางเดิน เขาถือขนมปังที่ถูกกัดไปแล้วคำใหญ่ไว้ในมือ ปากก็พูดออกมาอย่างไม่ค่อยจริงจังว่า  “เซี่ยเจิงนายนี่ใช้ได้เลยนะเนี่ย !”

 

        แต่เซี่ยเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำชมของชวีเสี่ยวปอสักเท่าไหร่ เขากลับมองไปยังชวีเสี่ยวปอที่ใส่เพียงแค่กางเกงในตัวเดียว ขายาวๆ ทั้งสองข้างกำลังขยับเดินเข้ามา ทำให้ในใจของเขากำลังสูดหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง

 

        เมื่อวานตัวเขาเองกำลังนอนอยู่ดีๆ พอตกกลางคืนชวีเสี่ยวปอก็พึมพำออกมาว่าหนาว แล้วจากนั้นก็ขยับตัวเข้ามาแนบชิดเขาเอาไว้ ขาข้างหนึ่งของชวีเสี่ยวปอพาดลงมาตรงที่เอวของเขา ทำให้ขาของเซี่ยเจิงถูกทับจนรู้สึกชา เขาจึงอยากที่จะขยับมันสักหน่อย แต่อีกคนกลับขยับตัวเขามาแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม

 

        หรือที่เขาบอกว่านอนดิ้นจะหมายความว่าแบบนี้?

 

        แต่หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ไอ้คนไม่เต็มบาทคนนี้ดูเหมือนจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

        “นายอบขนมปังเป็นด้วยเหรอเนี่ย? ” ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอไม่ค่อยชอบกินขนมหวานสักเท่าไหร่ แต่ขนมปังและคุกกี้อันเล็กๆ ที่เซี่ยเจิงทำนั้นมันอร่อยมาก แล้วชวีเสี่ยวปอก็ถูกรสชาติของความหวานกระตุ้นให้หิวแล้วด้วย เพราะในท้องเขาไม่อะไรเลยนอกจากขนมปังที่เขาเพิ่งกินไป

        “ฉันไม่ได้กลัวผี” แสงที่ส่องออกมานั้นจ้าจนแยงตา ชวีเสี่ยวปอจึงยืนมือไปปิดมือถือไว้ “แต่ถ้านายยังส่องอันนี้ใส่ฉันไม่เลิก ฉันจะให้นายได้สัมผัสว่าถูกต่อยจนร้องโหยหวนเหมือนผีมันเป็นยังไง”

 

        “ยอมอ่อนให้มือหนึ่งเลย” ทันทีที่เซี่ยเจิงปิดไฟฉายลงในห้องก็ตกอยู่ในความมืด

 

        “จริงๆ นะ ฉันรู้สึกผิดมากๆ เลยที่นอนบนเตียงของนาย” ชวีเสี่ยวปอดึงมุมผ้าห่มของเซี่ยเจิง “พอหลับตาลงก็เห็นภาพนายนอนขดตัวหนาวสั่นอยู่บนโซฟาราวกับเด็กน้อย น่าสงสารสุดๆ เลยล่ะ”

 

        “จะดีกว่านี้เยอะเลยถ้านายตั้งใจเรียนวิชาภาษาและวรรณกรรม แล้วทำละครเรื่องนางเอกผู้น่าสงสารอะไรทำนองนั้นให้ฉัน” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหลแล้วลุกขึ้นยืน หลังจากนั้นเขาและชวีเสี่ยวปอก็ช่วยกันม้วนผ้าห่มเก็บเข้ามา “แล้ววินาทีถัดมาก็จะมีประธานจอมเผด็จการออกมาพูดกับฉันว่า เตียงของนายเป็นของฉันแล้ว”

 

        “ให้ตายสิ นายหยุดพูดเถอะ” ชวีเสี่ยวปอง้างมือออกไปตีเข้าที่หลังของเซี่ยเจิงเบาๆ แล้วทั้งสองคนจึงเดินเข้าห้องไป

 

        “ถ้าเรานอนด้วยกันมันจะเบียดไปหน่อย” เซี่ยเจิงวางผ้าห่มของตัวเองไว้ข้างๆ ผ้าห่มลายดอกไม้ของชวีเสี่ยวปอ “ฉันนอนดิ้น”

 

        “นอนดิ้นกว่าฉันอีกเหรอ” ชวีเสี่ยวปอโยนผ้าห่มลายดอกไม้ออกไปไว้ด้านข้าง “อย่างมากก็แค่นอนละเมอแล้วทะเลาะกันนั่นแหละ”

 

        เซี่ยเจิงนอนชิดกำแพงลงไป ชวีเสี่ยวปอปิดไฟลง หลังจากนั้นจึงดึงผ้าห่มออกแล้วขึ้นเตียงไป

 

        ที่จริงแล้วเมื่อก่อนตอนที่ซือจวิ้นมาเล่นที่บ้านก็เคยนอนค้างกับชวีเสี่ยวปอ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่วันนี้ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกแปลกไป เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับเซี่ยเจิงเท่าซือจวิ้น ดังนั้นแม้แต่จะพลิกตัวก็ต้องค่อยๆ ขยับทีละนิด กลัวว่าจะเสียงดังจนทำให้เซี่ยเจิงตื่น

 

        ทันทีที่เซี่ยเจิงนอนลงก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย คงน่าจะหลับไปแล้ว

 

        “นายค่อยๆ ขยับแบบนี้ กว่าจะพลิกตัวได้ฟ้าก็คงสว่างแล้วล่ะ” แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงที่หลับไปแล้วก็พูดขึ้นมา

 

        “ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอตกใจจนสะดุ้ง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา แล้วพลิกตัวหันหน้าไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว “นายยังไม่หลับอีกเหรอ”

 

        “พยายามแล้ว” เซี่ยเจิงตะแคงข้างหันมา จึงเห็นเข้าที่ด้านหลังศีรษะ และไหล่ของชวีเสี่ยวปอที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มพอดี

 

        “เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ “พรุ่งนี้นายจะทำอะไรเหรอ? ” ที่จริงแล้วเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็ยังหาเรื่องพูด ถึงยังไงก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว คุยกันสักพักก็ดีกว่าจะนอนเฉยๆ เป็นไหนไหน

 

        “ตอนสายไม่ได้ทำอะไร” เซี่ยเจิงยกแขนข้างหนึ่งมารองศีรษะไว้ “ตอนบ่ายไปสอนพิเศษ”

 

        “วันเสาร์อาทิตย์นายยังต้องไปสอนด้วยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอยกตัวขึ้นมาแล้วหันหลังกลับไปมองเซี่ยเจิง

 

        “ครั้งนี้เป็นคาบทดลองสอน” เซี่ยเจิงลืมตาขึ้นมา มองไปยังสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจของชวีเสี่ยวปอ แล้วจึงอธิบายต่อว่า “ผู้ปกครองคนก่อนแนะนำมา บ้านนี้ให้เงินเยอะหนึ่งคาบให้ตั้งสองร้อยหยวน ไม่งั้นฉันก็ไม่ไปหรอก”

 

        “สองร้อยก็ไม่ถือว่าเยอะสักเท่าไหร่นะ” ชวีเสี่ยวปอนอนลงไปพลางพึมพำออกมา เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่เวินลี่หาครูสอนพิเศษมาสอนเขาที่บ้าน จ่ายเงินไปมากกว่าจำนวนนี้เยอะมาก ทว่าเวินลี่อาจจะถูกหลอกให้เสียเงินไปเปล่าๆ ก็เป็นได้ “แต่ว่า…นายรีบร้อนหาเงินไปทำไมกัน”

 

        เซี่ยเจิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงให้คำตอบที่เขาคิดว่าดูเป็นหลักปรัชญามาก

 

        “ใช้ชีวิต”

 

        ถ้าหากคำถามนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิงก็คงจะตอบกลับไปว่า “ฉันคิดว่าสมองนายน่าจะมีปัญหา” ทว่าเมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ครูหัวหน้าระดับพูดกับเขาถึงเรื่องสภาพทางบ้านของชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิงจึงรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินเลยตั้งแต่เกิด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะถามคำถามนี้ออกมา

 

        “แม่ฉันต้องไปหาหมอต้องใช้เงิน กินยาก็ต้องใช้เงิน” เซี่ยเจิงอธิบายออกไปเสียงเรียบ “ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ หน้าหนาวก็ต้องมีค่าฮีตเตอร์อีก แม่ฉันทำงานไม่ได้แล้ว ฉันเลยต้องทำเยอะหน่อย”

 

        “ขอโทษนะ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่งด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ แม้ว่าเซี่ยเจิงจะดูนิ่งๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าเซี่ยเจิงกำลังเปิดเผยบาดแผลให้ตัวเองดูอยู่อย่างไรอย่างนั้นเลย

 

        “นอนลงเถอะ” เซี่ยเจิงยิ้ม ไม่ได้รับคำขอโทษของเขา “แล้วนายล่ะ พรุ่งนี้จะทำอะไร? ”

 

        “ฉันก็ยังไม่รู้เลย” ชวีเสี่ยวปอพูดเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ “แต่ยังไงก็ไม่กลับบ้าน”

 

        “อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปาก “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแสดงฝีมืออะไรให้ดู”

 

        “อะไร? ”

 

        “นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง” เซี่ยเจิงตั้งใจไม่ตอบออกไป ทั้งยังพลิกตัวหันหน้าหนีไปอีกทาง

 

        “อะไรเนี่ย !” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกถูกกระตุ้นความสงสัยขึ้นมา จึงใช้แรงตีไปที่ไหล่ของเซี่ยเจิงหนึ่งที แต่เซี่ยเจิงกลับไม่ได้สนใจทั้งยังไม่ได้พูดอะไรต่อออกมา

 

        “นี่นาย เซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอนอนลงด้วยความโมโห “ฉันอยากจะเห็นจริงๆ เลยว่าพรุ่งนี้นายจะแสดงฝีมืออะไร”

 

 

        คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่ชวีเสี่ยวปอนอนหลับได้อย่างสบายใจถึงเพียงนี้

 

        เพียงแต่ในกลางดึกนั้นค่อนข้างหนาว และเขาก็ฝันว่าตัวเองกำลังกอดหมีตัวใหญ่อยู่ และเขายังใช้แรงเพื่อที่จะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมัน ในตอนแรกหมีตัวใหญ่ตัวนั้นก็ไม่ค่อยจะยอมเท่าไหร่ จึงทำให้เขาโมโหจนเตะมันไปหลายครั้ง มันถึงจะยอมเชื่อฟัง

 

        ความฝันอะไรก็ไม่รู้ไร้สาระ

 

        ชวีเสี่ยวปอมองไปที่ด้านข้างของตัวเองแล้วก็พบว่าเซี่ยเจิงลุกขึ้นไปนานแล้ว เหลือเพียงแค่ผ้าห่มที่ถูกม้วนและวางอยู่ตรงปลายเตียง ในตอนนั้นเขายังรู้สึกรางๆ ด้วยว่าเซี่ยเจิงเดินข้ามตัวเขาไป ทั้งยังเกือบจะเหยียบมือของเขาด้วย

 

        ชวีเสี่ยวปอหาวออกมา จากนั้นจึงยื่นมือไปล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากใต้หมอน

 

        สิบเอ็ดโมงแล้ว

 

        เมื่อคืนเขาตั้งค่าโทรศัพท์ให้อยู่ในโหมดปิดเสียง เวินลี่โทรมาหลายสายเขาก็ไม่ได้รับเลยสักสาย แล้วก็ยังมีข้อความอีกหลายข้อความที่ส่งมาจากซือจวิ้น ซึ่งทุกข้อความก็ล้วนแต่ถามเขาว่าทำไมถึงได้หนีออกจากบ้านไป

 

        ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะตอบกลับไปหาซือจวิ้น ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาซะก่อน

 

        “ตื่นแล้วเหรอ? ” เซี่ยเจิงเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างนั้นสวมกางเกงยีนส์ เขากำลังเดินเข้ามาพร้อมกับคาบบุหรี่ไว้ในปาก

 

        “นายสูบบุหรี่ในบ้านเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่ง

 

         “แม่ฉันออกไปแล้ว” เซี่ยเจิงเดินไปเปิดผ้าม่าน หลังจากนั้นห้องก็สว่างขึ้นมาทันที ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย

 

        “นายทำอะไรน่ะ? ” ในตอนที่เปิดประตูเข้ามา ชวีเสี่ยวปอก็ได้กลิ่นที่ทั้งหอมทั้งหวาน เขาจึงสูดดมกลิ่นนั้นอีกสองครั้ง “เค้กเหรอ? ”

 

        “นายก็ลุกขึ้นมาดูเองสิ” เซี่ยเจิงเปิดหน้าต่างออก เพื่อระบายกลิ่นบุหรี่ที่อยู่ในห้อง แล้วหันไปยิ้มให้ชวีเสี่ยวปอก่อนจะไปยืนพิงที่โต๊ะ “เมื่อวานบอกแล้วไง ว่าจะแสดงฝีมือให้นายดู”

 

        “อุบไว้เก่งซะจริง !” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงฮึดฮัด ถึงแม้ว่าปากจะพูดออกไปอย่างไม่ชอบใจ แต่ว่าการกระทำกลับซื่อสัตย์ยิ่งกว่า เขาสวมรองเท้าเตะแล้วจึงรีบวิ่งออกไปจากห้อง

 

        เซี่ยเจิงก็ยังคงยืนพิงที่โต๊ะและสูบบุหรี่ไปอย่างเงียบๆ ต่อมาไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงพูดว่า “สุดยอด” ดังขึ้นมาจากด้านนอก จากนั้นก็ตามมาด้วยคำว่า “นายทำเองหมดเลยเหรอ” แล้วชวีเสี่ยวปอก็ทั้งวิ่งทั้งกระโดดกลับมาตลอดทางเดิน เขาถือขนมปังที่ถูกกัดไปแล้วคำใหญ่ไว้ในมือ ปากก็พูดออกมาอย่างไม่ค่อยจริงจังว่า  “เซี่ยเจิงนายนี่ใช้ได้เลยนะเนี่ย !”

 

        แต่เซี่ยเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำชมของชวีเสี่ยวปอสักเท่าไหร่ เขากลับมองไปยังชวีเสี่ยวปอที่ใส่เพียงแค่กางเกงในตัวเดียว ขายาวๆ ทั้งสองข้างกำลังขยับเดินเข้ามา ทำให้ในใจของเขากำลังสูดหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง

 

        เมื่อวานตัวเขาเองกำลังนอนอยู่ดีๆ พอตกกลางคืนชวีเสี่ยวปอก็พึมพำออกมาว่าหนาว แล้วจากนั้นก็ขยับตัวเข้ามาแนบชิดเขาเอาไว้ ขาข้างหนึ่งของชวีเสี่ยวปอพาดลงมาตรงที่เอวของเขา ทำให้ขาของเซี่ยเจิงถูกทับจนรู้สึกชา เขาจึงอยากที่จะขยับมันสักหน่อย แต่อีกคนกลับขยับตัวเขามาแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม

 

        หรือที่เขาบอกว่านอนดิ้นจะหมายความว่าแบบนี้?

 

        แต่หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ไอ้คนไม่เต็มบาทคนนี้ดูเหมือนจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

        “นายอบขนมปังเป็นด้วยเหรอเนี่ย? ” ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอไม่ค่อยชอบกินขนมหวานสักเท่าไหร่ แต่ขนมปังและคุกกี้อันเล็กๆ ที่เซี่ยเจิงทำนั้นมันอร่อยมาก แล้วชวีเสี่ยวปอก็ถูกรสชาติของความหวานกระตุ้นให้หิวแล้วด้วย เพราะในท้องเขาไม่อะไรเลยนอกจากขนมปังที่เขาเพิ่งกินไป

        “นั่งสิ” เซี่ยเจิงชี้ไปที่เตียง พลางเรียกชวีเสี่ยวปอ “อยากดื่มอะไรไหม? ”

 

        “น้ำเปล่าก็พอ” ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไป แล้วนั่งลงไปบนเตียงอย่างไม่ค่อยสบายใจ

 

        “ในตู้เย็นมีโซดาอยู่พอดี” ไม่นานเซี่ยเจิงก็กลับเข้ามา นอกจากน้ำแล้วในมือเขายังถือองุ่นที่ล้างเรียบร้อยแล้วมาจานหนึ่งด้วย

 

        “ขอบคุณ” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอรับมาและหมุนฝาออกแล้วเขาจึงเงยหน้าขึ้นกระดกน้ำเข้าไปครึ่งขวด “ขอบคุณลูกพี่มากที่รับผมมาอยู่ด้วย”

 

        เซี่ยเจิงยิ้มๆ แล้วคายเปลือกองุ่นออกมาจากปาก “ถ้าฉันไม่โทรไปหานาย วันนี้นายกะว่าจะไปนอนที่ไหนเหรอ”

 

        “ถ้าหมดหนทางจริงๆ ก็คงจะไปนั่งอยู่ KFC แหละมั้ง” ชวีเสี่ยวปอบิดขี้เกียจ เขารู้สึกว่าเตียงของเซี่ยเจิงนุ่มมาก พอนั่งลงไปแล้วก็ไม่อยากลุกขึ้นอีกเลย ชวีเสี่ยวปอคิดว่าตัวเองน่าจะเหนื่อยมากจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่อยากจะเอนตัวนอนลงไป

 

        “ง่วงก็นอนเถอะ” เซี่ยเจิงดูออกแล้ว

 

        “อืมงั้นก็ได้” ชวีเสี่ยวปอยืดหลังตรงขึ้นมาทันที แต่กลับหาวออกมาตามความรู้สึกจริงๆ ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า : “แล้วฉันนอนตรงไหนอ่ะ? ”

 

        “ก็ตรงนั้นแหละ” เซี่ยเจิงพูด “เดี๋ยวไปหาผ้าห่มมาให้นายใหม่อีกผืน”

 

        “แล้วนายล่ะ? ”

 

        เซี่ยเจิงชี้ไปยังด้านนอกห้อง “ฉันนอนที่โซฟา”

 

        “ไม่ได้ ไม่ได้ๆ” ชวีเสี่ยวปอยืนขึ้นกำลังจะเดินออกไปข้างนอกห้อง “ให้ฉันนอนที่โซฟาแก้ขัดไปคืนหนึ่งก็พอแล้ว”

 

        “นายนอนไม่ได้” เซี่ยเจิงยื่นแขนออกไปขวางเขาเอาไว้ “สภาพจิตใจแม่ฉันไม่ค่อยดี กลัวคนแปลกหน้า ถ้านายนอนที่โซฟาแล้วตอนเช้าแม่ฉันตื่นมาเห็นก็จะรู้สึกกลัว”

 

        “อ๋า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าข้อมูลนี้ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องใหญ่ อะไรคือ “สภาพจิตใจไม่ดี” ? คือมีปัญหาทางด้านสภาพจิตใจอย่างนั้นเหรอ? แต่ว่าคำถามนี้ถ้าถามออกไปตรงๆ ก็คงจะอึดอัดน่าดู ชวีเสี่ยวปอจึงเลือกที่จะเงียบ

 

        “ตอนที่หย่ากับพ่อฉันแม่ถูกกระทบกระเทือนจิตใจเข้าน่ะ” เซี่ยเจิงกลับอธิบายออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงตอนที่พูดประโยคนี้ดูปกติธรรมดาราวกับพูดประโยคที่ว่า “วันนี้ฉันกินปิ้งย่างมา” อย่างไรอย่างนั้นเลย

 

          ทว่าชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม ก็ล้วนแต่จะต้องมีความเจ็บปวดเสียใจร่วมด้วยอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่เมื่อดูท่าทีของเซี่ยเจิงแล้ว เขาทำราวกับว่าเรื่องทุกอย่างมันเรียบร้อยดี

 

        ความจริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้จะแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมาอย่างไร แต่เขากลับรู้สึกว่าเซี่ยเจิงนั้นเก่งสุดๆ ไปเลย

 

        ถ้าให้พูดมากไปกว่านี้ก็เห็นจะเกินความจำเป็นไปสักหน่อย ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงเดินไปนั่งกินองุ่นกับเซี่ยเจิง

 

        ทั้งสองคนกินองุ่นพวงใหญ่อย่างเงียบๆ จนหมด ชวีเสี่ยวปอเป็นคนที่ไม่ชอบกินผลไม้ ในตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าในปากของเขานั้นเต็มไปด้วยรสเปรี้ยว และรู้สึกเข็ดฟันไปหมดทั้งปาก หลังจากนั้นเขาก็แลบลิ้นออกมาเลียไปที่ฟันเขี้ยวของเขา ราวกับพยายามจะพิสูจน์ว่าฟันของเขายังอยู่หรือเปล่า

 

        เซี่ยเจิงหันไปมองเขาทีหนึ่ง แล้วก็กลืนน้ำลายลงไปจนคอขยับขึ้นลง จนทำให้ต้องรีบหันไปทางอื่นทันที หลังจากนั้นเขาก็ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ พลางพูดว่า “ฉันไปหาผ้าห่มให้นายก่อนนะ” แล้วจึงเดินออกไป

 

        หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเจิงก็เดินหอบผ้าห่มกลับมา ชวีเสี่ยวปอมองมันไปทีหนึ่ง ปลอกผ้านวมมีลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ อยู่ เซี่ยเจิงนำผ้าห่มไปปูไว้บนเตียงให้จนเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงอธิบายขึ้นว่า “มีเหลือแค่อันนี้แหละห่มแก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน ผืนอื่นมันหนาเกินไป เอ่อใช่ นายจะอาบน้ำไหม?”

 

        “แขนข้างนี้โดนน้ำไม่ได้” ชวีเสี่ยวปอเอียงคอชี้ไป “มีพลาสติกแรปอะไรแบบนี้ไหม? พันให้ฉันสักสองรอบ? ”

 

        “ได้ๆ ” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา “นายนี่ช่างคิดวิธีแก้ปัญหาซะจริงๆ ”

 

         “ตราบใดที่ความคิดไม่ดิ่งต่ำลง มันก็มักจะมีทางแก้ไขมากกว่าความยากลำบากเสมอ” ชวีเสี่ยวปอพูดอย่างมีความสุข “เมื่อก่อนเหลาหม่ามักจะพูดประโยคนี้อยู่ตลอด”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอไปอาบน้ำแล้ว เซี่ยเจิงที่นั่งอยู่บนเตียงจึงถอนหายใจยาวออกมา

 

        เขาไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่นี้ชวีเสี่ยวปอสังเกตเห็นอะไรหรือเปล่า แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกไม่วางใจขึ้นมาแล้ว

 

        ถ้าหากชวีเสี่ยวปอรู้ว่า ตัวเขามองชวีเสี่ยวปอเลียฟันเขี้ยวจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ชวีเสี่ยวปอจะคิดยังไง?

 

        ฤดูใบไม้ร่วงมันไม่ได้เป็นฤดูที่จะทำให้คนรู้สึกปั่นป่วนได้ง่ายเช่นนี้ ดังนั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ที่เกือบจะถูกเห็นเข้า เซี่ยเจิงก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกัน

 

        หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อตอนเย็นกินหอยนางรมที่ย่างไม่สุกไปสองตัว? เฮ้ย ถ้ามันจะมีประสิทธิภาพขนาดนั้น ยาเม็ดเล็กๆ สีฟ้าตามร้านขายยาก็คงจะขายไม่ได้แล้วล่ะ

 

        เซี่ยเจิงถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง ราวกับว่ากำลังระงับความรู้สึกแปลกประหลาดที่สั่งสมอยู่ตรงช่องท้องส่วนล่างจนรู้สึกหน่วงนั้นให้ลดลงไป เขาพยายามลองทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ผลปรากฏว่าความรู้สึกนั้นก็ค่อยๆ สงบลงเรื่อยๆ

 

        ทว่านี่กลับไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

 

        เซี่ยเจิงขมวดคิ้ว ท่ามกลางความคิดอันยุ่งเหยิงมากมายเหล่านี้ กลับมีความคิดหนึ่งที่เด่นชัดออกมา ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

 

        คนที่เขากำลังมองอยู่ คือชวีเสี่ยวปอ

 

        หลังจากผ่านไปสิบนาที ชวีเสี่ยวปอก็เปลือยท่อนบนเดินกลับมาพร้อมกับกลิ่นหอมของสบู่และหยดน้ำตามตัวที่ไม่ได้เช็ดให้แห้ง

 

        “ผ้าขนหนูที่อยู่บนชั้น ฉันยืมใช้ไปนะ” ชวีเสี่ยวปอเกาหูไปสองสามที “ผืนที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม อันนั้นใช่ของนายไหม”

 

        “ใช่” เซี่ยเจิงยักคิ้ว

 

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าท่าทางยักคิ้วของเซี่ยเจิงต้องมีอะไรแฝงไว้แน่ๆ จึงถามออกไปว่า : “ที่เอาไว้เช็ดหน้า? ”

 

        “เอาไว้เช็ดเท้า” เซี่ยเจิงกลั้นขำเอาไว้จนหน้าแดงก่ำ

 

        “ไอ้บ้าเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอตรงเข้าไปใช้แขนข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บบีบเข้าไปที่คอของเซี่ยเจิง “นายแต่งเรื่องมาแกล้งฉันหรอกหน่า !”

 

         เซี่ยเจิงไม่ได้ขัดขืนอะไร อาจจะเป็นเพราะเขากลัวว่าถ้าดิ้นขัดขืนอาจจะไปโดนเข้ากับแผลของชวีเสี่ยวปอได้ง่าย จึงปล่อยให้เขาบีบคอตัวเองไปแบบนี้ ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มออกไปว่า : “นายคิดว่าไงล่ะ”

 

        “ฉันคิดว่าใช่” ชวีเสี่ยวปอคิดว่าตัวเองเดาถูกแล้ว จึงปล่อยมือออกมา

 

        “ฉันไม่ได้โกหก” เซี่ยเจิงกระแอมไอออกมา “มันคือผืนที่ไว้เช็ดเท้าจริงๆ ”

 

        ชวีเสี่ยวปอ : “เซี่ยเจิงนายมันไม่ใช่คน !”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอต่อยเซี่ยเจิงไปสองหมัดจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา และแน่นอนสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาง่วงนอนแล้ว เขามองไปยังนาฬิกาหนึ่งครั้ง นึกไม่ถึงว่ารู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ชวีเสี่ยวปอคิดว่าทันทีที่ตัวเองหลับตาลงก็อาจจะหมดสติละทางโลกไปเลยก็เป็นได้

 

        “นอนเถอะ” เซี่ยเจิงหอบผ้าห่มตัวเองขึ้นมา แล้วเดินไปยังหน้าประตู “เดี๋ยวปิดไฟให้? ”

 

        “ฝันดี” ชวีเสี่ยวปอล้มตัวลงนอนและหลับตาลง แล้วดึงผ้าห่มลายดอกไม้ขึ้นมาปิดท้องเอาไว้

 

        “ฝันดี” เซี่ยเจิงกดสวิตช์ไฟลง ปิดประตูแล้วจึงเดินจากไป

 

        ในขณะที่ห้องมืดลง ชวีเสี่ยวปอก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าการที่ตัวเองสามารถนอนหลับได้ และการที่เซี่ยเจิงจะนอนหลับไหมเป็นคนละเรื่องกัน เขานอนพลิกตัวไปมาอย่างไม่ค่อยสบายใจ จนทำให้เตียงเล็กๆ นั้นเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

 

        ในห้องนั้นมีกลิ่นอับจางๆ อยู่ คิดว่าน่าจะเป็นธรรมดาของบ้านที่เก่าเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมา เขาไม่ได้คิดถึงเตียงใหญ่ในห้องนอนของเขา แต่กลับคิดว่าเซี่ยเจิงที่นอนอยู่บนโซฟาน่าจะรู้สึกไม่สบายตัวกว่าตัวเองซะอีก

 

        ในตอนที่เดินเข้าห้องมาชวีเสี่ยวปอกวาดสายตาดูไปหนึ่งครั้ง ดังนั้นเขาเลยมีภาพในหัวอยู่บ้าง มันเป็นโซฟาที่ตัวไม่ใหญ่มาก ถ้าดูจากความสูงขนาดนั้นของเซี่ยเจิงแล้ว ขาเขาน่าจะต้องยืดได้ไม่สุดจนทำให้ต้องหดคอเอาไว้แน่ๆ

 

        ชวีเสี่ยวปอนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงราวกันแผ่นแป้งนาน และในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นมานั่ง

 

         เซี่ยเจิงก็ยังไม่หลับเหมือนกัน เมื่อชวีเสี่ยวปอเปิดประตูออกไปก็เห็นเข้ากับเซี่ยเจิงที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนโซฟา จึงทำให้ใบหน้าของเขาทั้งใบถูกแสงสว่างจากจอโทรศัพท์ส่องลงมาจนหน้าดูซีดเผือด

 

        “เข้าห้องน้ำ? ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมานั่ง

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วจึงหยุดยืนอยู่ตรงด้านข้างของเซี่ยเจิง และก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ ผ้าห่มบนตัวของเซี่ยเจิงกว่าครึ่งตกลงไปกองอยู่กับพื้น “ฉันนอนไม่หลับอ่ะ”

 

        “ติดเตียงตัวเองเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอตบไปที่โซฟา ส่งสัญญาณให้เขานั่งลง

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอจึงจำเป็นต้องพูดออกไปว่า : “นายกลับมานอนในห้องเถอะ? ”

 

        เซี่ยเจิงเปิดไฟฉายจากมือถือ แล้วส่องส่ายไปส่ายมาไปที่ชวีเสี่ยวปอ หลังจากนั้นจึงยิ้มพลางพูดออกไปว่า :

 

        “ทำไม นายกลัวผีเหรอ”

 

 

        “นั่งสิ” เซี่ยเจิงชี้ไปที่เตียง พลางเรียกชวีเสี่ยวปอ “อยากดื่มอะไรไหม? ”

 

        “น้ำเปล่าก็พอ” ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไป แล้วนั่งลงไปบนเตียงอย่างไม่ค่อยสบายใจ

 

        “ในตู้เย็นมีโซดาอยู่พอดี” ไม่นานเซี่ยเจิงก็กลับเข้ามา นอกจากน้ำแล้วในมือเขายังถือองุ่นที่ล้างเรียบร้อยแล้วมาจานหนึ่งด้วย

 

        “ขอบคุณ” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอรับมาและหมุนฝาออกแล้วเขาจึงเงยหน้าขึ้นกระดกน้ำเข้าไปครึ่งขวด “ขอบคุณลูกพี่มากที่รับผมมาอยู่ด้วย”

 

        เซี่ยเจิงยิ้มๆ แล้วคายเปลือกองุ่นออกมาจากปาก “ถ้าฉันไม่โทรไปหานาย วันนี้นายกะว่าจะไปนอนที่ไหนเหรอ”

 

        “ถ้าหมดหนทางจริงๆ ก็คงจะไปนั่งอยู่ KFC แหละมั้ง” ชวีเสี่ยวปอบิดขี้เกียจ เขารู้สึกว่าเตียงของเซี่ยเจิงนุ่มมาก พอนั่งลงไปแล้วก็ไม่อยากลุกขึ้นอีกเลย ชวีเสี่ยวปอคิดว่าตัวเองน่าจะเหนื่อยมากจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่อยากจะเอนตัวนอนลงไป

 

        “ง่วงก็นอนเถอะ” เซี่ยเจิงดูออกแล้ว

 

        “อืมงั้นก็ได้” ชวีเสี่ยวปอยืดหลังตรงขึ้นมาทันที แต่กลับหาวออกมาตามความรู้สึกจริงๆ ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า : “แล้วฉันนอนตรงไหนอ่ะ? ”

 

        “ก็ตรงนั้นแหละ” เซี่ยเจิงพูด “เดี๋ยวไปหาผ้าห่มมาให้นายใหม่อีกผืน”

 

        “แล้วนายล่ะ? ”

 

        เซี่ยเจิงชี้ไปยังด้านนอกห้อง “ฉันนอนที่โซฟา”

 

        “ไม่ได้ ไม่ได้ๆ” ชวีเสี่ยวปอยืนขึ้นกำลังจะเดินออกไปข้างนอกห้อง “ให้ฉันนอนที่โซฟาแก้ขัดไปคืนหนึ่งก็พอแล้ว”

 

        “นายนอนไม่ได้” เซี่ยเจิงยื่นแขนออกไปขวางเขาเอาไว้ “สภาพจิตใจแม่ฉันไม่ค่อยดี กลัวคนแปลกหน้า ถ้านายนอนที่โซฟาแล้วตอนเช้าแม่ฉันตื่นมาเห็นก็จะรู้สึกกลัว”

 

        “อ๋า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าข้อมูลนี้ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องใหญ่ อะไรคือ “สภาพจิตใจไม่ดี” ? คือมีปัญหาทางด้านสภาพจิตใจอย่างนั้นเหรอ? แต่ว่าคำถามนี้ถ้าถามออกไปตรงๆ ก็คงจะอึดอัดน่าดู ชวีเสี่ยวปอจึงเลือกที่จะเงียบ

 

        “ตอนที่หย่ากับพ่อฉันแม่ถูกกระทบกระเทือนจิตใจเข้าน่ะ” เซี่ยเจิงกลับอธิบายออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงตอนที่พูดประโยคนี้ดูปกติธรรมดาราวกับพูดประโยคที่ว่า “วันนี้ฉันกินปิ้งย่างมา” อย่างไรอย่างนั้นเลย

 

          ทว่าชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม ก็ล้วนแต่จะต้องมีความเจ็บปวดเสียใจร่วมด้วยอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่เมื่อดูท่าทีของเซี่ยเจิงแล้ว เขาทำราวกับว่าเรื่องทุกอย่างมันเรียบร้อยดี

 

        ความจริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้จะแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมาอย่างไร แต่เขากลับรู้สึกว่าเซี่ยเจิงนั้นเก่งสุดๆ ไปเลย

 

        ถ้าให้พูดมากไปกว่านี้ก็เห็นจะเกินความจำเป็นไปสักหน่อย ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงเดินไปนั่งกินองุ่นกับเซี่ยเจิง

 

        ทั้งสองคนกินองุ่นพวงใหญ่อย่างเงียบๆ จนหมด ชวีเสี่ยวปอเป็นคนที่ไม่ชอบกินผลไม้ ในตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าในปากของเขานั้นเต็มไปด้วยรสเปรี้ยว และรู้สึกเข็ดฟันไปหมดทั้งปาก หลังจากนั้นเขาก็แลบลิ้นออกมาเลียไปที่ฟันเขี้ยวของเขา ราวกับพยายามจะพิสูจน์ว่าฟันของเขายังอยู่หรือเปล่า

 

        เซี่ยเจิงหันไปมองเขาทีหนึ่ง แล้วก็กลืนน้ำลายลงไปจนคอขยับขึ้นลง จนทำให้ต้องรีบหันไปทางอื่นทันที หลังจากนั้นเขาก็ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ พลางพูดว่า “ฉันไปหาผ้าห่มให้นายก่อนนะ” แล้วจึงเดินออกไป

 

        หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเจิงก็เดินหอบผ้าห่มกลับมา ชวีเสี่ยวปอมองมันไปทีหนึ่ง ปลอกผ้านวมมีลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ อยู่ เซี่ยเจิงนำผ้าห่มไปปูไว้บนเตียงให้จนเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงอธิบายขึ้นว่า “มีเหลือแค่อันนี้แหละห่มแก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน ผืนอื่นมันหนาเกินไป เอ่อใช่ นายจะอาบน้ำไหม?”

 

        “แขนข้างนี้โดนน้ำไม่ได้” ชวีเสี่ยวปอเอียงคอชี้ไป “มีพลาสติกแรปอะไรแบบนี้ไหม? พันให้ฉันสักสองรอบ? ”

 

        “ได้ๆ ” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา “นายนี่ช่างคิดวิธีแก้ปัญหาซะจริงๆ ”

 

         “ตราบใดที่ความคิดไม่ดิ่งต่ำลง มันก็มักจะมีทางแก้ไขมากกว่าความยากลำบากเสมอ” ชวีเสี่ยวปอพูดอย่างมีความสุข “เมื่อก่อนเหลาหม่ามักจะพูดประโยคนี้อยู่ตลอด”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอไปอาบน้ำแล้ว เซี่ยเจิงที่นั่งอยู่บนเตียงจึงถอนหายใจยาวออกมา

 

        เขาไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่นี้ชวีเสี่ยวปอสังเกตเห็นอะไรหรือเปล่า แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกไม่วางใจขึ้นมาแล้ว

 

        ถ้าหากชวีเสี่ยวปอรู้ว่า ตัวเขามองชวีเสี่ยวปอเลียฟันเขี้ยวจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ชวีเสี่ยวปอจะคิดยังไง?

 

        ฤดูใบไม้ร่วงมันไม่ได้เป็นฤดูที่จะทำให้คนรู้สึกปั่นป่วนได้ง่ายเช่นนี้ ดังนั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ที่เกือบจะถูกเห็นเข้า เซี่ยเจิงก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกัน

 

        หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อตอนเย็นกินหอยนางรมที่ย่างไม่สุกไปสองตัว? เฮ้ย ถ้ามันจะมีประสิทธิภาพขนาดนั้น ยาเม็ดเล็กๆ สีฟ้าตามร้านขายยาก็คงจะขายไม่ได้แล้วล่ะ

 

        เซี่ยเจิงถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง ราวกับว่ากำลังระงับความรู้สึกแปลกประหลาดที่สั่งสมอยู่ตรงช่องท้องส่วนล่างจนรู้สึกหน่วงนั้นให้ลดลงไป เขาพยายามลองทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ผลปรากฏว่าความรู้สึกนั้นก็ค่อยๆ สงบลงเรื่อยๆ

 

        ทว่านี่กลับไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

 

        เซี่ยเจิงขมวดคิ้ว ท่ามกลางความคิดอันยุ่งเหยิงมากมายเหล่านี้ กลับมีความคิดหนึ่งที่เด่นชัดออกมา ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

 

        คนที่เขากำลังมองอยู่ คือชวีเสี่ยวปอ

 

        หลังจากผ่านไปสิบนาที ชวีเสี่ยวปอก็เปลือยท่อนบนเดินกลับมาพร้อมกับกลิ่นหอมของสบู่และหยดน้ำตามตัวที่ไม่ได้เช็ดให้แห้ง

 

        “ผ้าขนหนูที่อยู่บนชั้น ฉันยืมใช้ไปนะ” ชวีเสี่ยวปอเกาหูไปสองสามที “ผืนที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม อันนั้นใช่ของนายไหม”

 

        “ใช่” เซี่ยเจิงยักคิ้ว

 

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าท่าทางยักคิ้วของเซี่ยเจิงต้องมีอะไรแฝงไว้แน่ๆ จึงถามออกไปว่า : “ที่เอาไว้เช็ดหน้า? ”

 

        “เอาไว้เช็ดเท้า” เซี่ยเจิงกลั้นขำเอาไว้จนหน้าแดงก่ำ

 

        “ไอ้บ้าเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอตรงเข้าไปใช้แขนข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บบีบเข้าไปที่คอของเซี่ยเจิง “นายแต่งเรื่องมาแกล้งฉันหรอกหน่า !”

 

         เซี่ยเจิงไม่ได้ขัดขืนอะไร อาจจะเป็นเพราะเขากลัวว่าถ้าดิ้นขัดขืนอาจจะไปโดนเข้ากับแผลของชวีเสี่ยวปอได้ง่าย จึงปล่อยให้เขาบีบคอตัวเองไปแบบนี้ ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มออกไปว่า : “นายคิดว่าไงล่ะ”

 

        “ฉันคิดว่าใช่” ชวีเสี่ยวปอคิดว่าตัวเองเดาถูกแล้ว จึงปล่อยมือออกมา

 

        “ฉันไม่ได้โกหก” เซี่ยเจิงกระแอมไอออกมา “มันคือผืนที่ไว้เช็ดเท้าจริงๆ ”

 

        ชวีเสี่ยวปอ : “เซี่ยเจิงนายมันไม่ใช่คน !”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอต่อยเซี่ยเจิงไปสองหมัดจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา และแน่นอนสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาง่วงนอนแล้ว เขามองไปยังนาฬิกาหนึ่งครั้ง นึกไม่ถึงว่ารู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ชวีเสี่ยวปอคิดว่าทันทีที่ตัวเองหลับตาลงก็อาจจะหมดสติละทางโลกไปเลยก็เป็นได้

 

        “นอนเถอะ” เซี่ยเจิงหอบผ้าห่มตัวเองขึ้นมา แล้วเดินไปยังหน้าประตู “เดี๋ยวปิดไฟให้? ”

 

        “ฝันดี” ชวีเสี่ยวปอล้มตัวลงนอนและหลับตาลง แล้วดึงผ้าห่มลายดอกไม้ขึ้นมาปิดท้องเอาไว้

 

        “ฝันดี” เซี่ยเจิงกดสวิตช์ไฟลง ปิดประตูแล้วจึงเดินจากไป

 

        ในขณะที่ห้องมืดลง ชวีเสี่ยวปอก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าการที่ตัวเองสามารถนอนหลับได้ และการที่เซี่ยเจิงจะนอนหลับไหมเป็นคนละเรื่องกัน เขานอนพลิกตัวไปมาอย่างไม่ค่อยสบายใจ จนทำให้เตียงเล็กๆ นั้นเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

 

        ในห้องนั้นมีกลิ่นอับจางๆ อยู่ คิดว่าน่าจะเป็นธรรมดาของบ้านที่เก่าเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมา เขาไม่ได้คิดถึงเตียงใหญ่ในห้องนอนของเขา แต่กลับคิดว่าเซี่ยเจิงที่นอนอยู่บนโซฟาน่าจะรู้สึกไม่สบายตัวกว่าตัวเองซะอีก

 

        ในตอนที่เดินเข้าห้องมาชวีเสี่ยวปอกวาดสายตาดูไปหนึ่งครั้ง ดังนั้นเขาเลยมีภาพในหัวอยู่บ้าง มันเป็นโซฟาที่ตัวไม่ใหญ่มาก ถ้าดูจากความสูงขนาดนั้นของเซี่ยเจิงแล้ว ขาเขาน่าจะต้องยืดได้ไม่สุดจนทำให้ต้องหดคอเอาไว้แน่ๆ

 

        ชวีเสี่ยวปอนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงราวกันแผ่นแป้งนาน และในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นมานั่ง

 

         เซี่ยเจิงก็ยังไม่หลับเหมือนกัน เมื่อชวีเสี่ยวปอเปิดประตูออกไปก็เห็นเข้ากับเซี่ยเจิงที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนโซฟา จึงทำให้ใบหน้าของเขาทั้งใบถูกแสงสว่างจากจอโทรศัพท์ส่องลงมาจนหน้าดูซีดเผือด

 

        “เข้าห้องน้ำ? ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมานั่ง

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วจึงหยุดยืนอยู่ตรงด้านข้างของเซี่ยเจิง และก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ ผ้าห่มบนตัวของเซี่ยเจิงกว่าครึ่งตกลงไปกองอยู่กับพื้น “ฉันนอนไม่หลับอ่ะ”

 

        “ติดเตียงตัวเองเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอตบไปที่โซฟา ส่งสัญญาณให้เขานั่งลง

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอจึงจำเป็นต้องพูดออกไปว่า : “นายกลับมานอนในห้องเถอะ? ”

 

        เซี่ยเจิงเปิดไฟฉายจากมือถือ แล้วส่องส่ายไปส่ายมาไปที่ชวีเสี่ยวปอ หลังจากนั้นจึงยิ้มพลางพูดออกไปว่า :

 

        “ทำไม นายกลัวผีเหรอ”

 

 

        หลังจากเซี่ยเจิงอาบน้ำเสร็จ เขาก็เช็ดผมอย่างลวกๆ ไปสองทีแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง

 

        สภาพจิตใจของแม่วันนี้ไม่ค่อยแย่สักเท่าไหร่ อารมณ์ก็ดีขึ้นมากด้วย เมื่อครู่ยังเล่าให้เซี่ยเจิงฟังอย่างละเอียดด้วยว่าวันนี้ไปทำอะไรกับป้าหลี่มาบ้าง ความจริงแล้วสิ่งที่แม่ทำได้ก็แทบจะเหมือนเดิมทุกวัน เล่าไปเล่ามาก็มีแต่เรื่องซ้ำๆ นั้นไม่กี่เรื่อง จึงทำให้เซี่ยเจิงสามารถท่องออกมาได้โดยไม่ขาดไปสักตัวอักษรเดียว แต่เขาก็ยังคงชอบฟังมันมากอยู่ดี

 

        ขอเพียงแค่แม่ยอมเล่าออกมา เขาก็พร้อมที่จะฟังเสมอ

 

        เซี่ยเจิงตัดสินใจที่จะทำกิจกรรมก่อนนอนที่จะช่วยให้เขานอนหลับ

 

        แต่หลังจากที่เล่นเกมจนแพ้กับเพื่อนร่วมทีมที่ไม่เอาไหนไปหนึ่งเกม เขาก็สามารถยืนยันได้เลยว่าเกมไม่เพียงแต่จะไม่สามารถช่วยให้นอนหลับได้ แถมเพื่อนร่วมที่ไม่เอาไหนยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานอนหลับได้ยากกว่าเดิมอีก

 

        เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมาหนึ่งที หลังจากนั้นก็เปิดวีแชทขึ้นมา

 

        ที่ชื่อวีแชทของเขาเป็นเลขมั่วๆ ชุดหนึ่งและมีรูปโปรไฟล์เป็นสีดำ เป็นเพราะว่าโดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้เล่น รายชื่อติดต่อก็มีเพียงแค่สามสิบกว่าคน ดังนั้นคนที่เขาคุยด้วยในหน้าห้องแชทคนแรกก็คือชวีเสี่ยวปอ

 

        และแน่นอนว่าบันทึกการสนทนาก็ยังคงค้างอยู่ที่บทสนทนาที่คุยกับเขาไปเมื่อครั้งที่แล้ว

 

        รูปโปรไฟล์ของชวีเสี่ยวปอเป็นรูปเด็กคนหนึ่ง ในตอนที่เซี่ยเจิงยังไม่เคยเปิดเข้าไปดู เขาคิดว่าคงน่าจะเป็นเพียงรูปหน้าเด็กแสดงสีหน้าที่ดังในอินเทอร์เน็ตอะไรประมาณนั้น แต่พอเมื่อกดเข้าไปดูถึงพบว่า

 

        นี่มันเป็นรูปชวีเสี่ยวปอตอนเด็กไม่ใช่หรอกเหรอ?

 

        ถึงแม้ว่าตัวจะหดเด็กลงไปหลายเท่า แต่พอมองรูปร่างหน้าตาไปแวบแรกก็รู้เลยว่าเป็นเขา

 

        เป็นรูปที่ถ่ายในฤดูหนาว ดังนั้นทั้งตัวของเด็กน้อยชวีเสี่ยวปอจึงถูกห่อเอาไว้อย่างมิดชิด และเขาก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเสื้อที่ใส่มันหนาเกิดไป แขนทั้งสองข้างของเขาเลยไม่สามารถวางขนาบข้างลำตัวลงไปได้ จึงทำให้ต้องกางออกไปด้านข้างอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อรวมเข้ากับท้องกลมๆ จึงทำให้ดูเหมือนกับแพนกวินน้อยที่หนาวจนหน้าแดงตัวหนึ่ง

 

        เซี่ยเจิงกดขยายรูปเข้าออกอยู่หลายครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมชวีเสี่ยวปอถึงได้เลือกรูปนี้มาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

        “นายส่งไรมา? ” ชวีเสี่ยวปอไม่อยากจะเสียแรงพิมพ์ จึงส่งข้อความเสียงไป ฟังก์ชั่นการยกเลิกข้อความถูกออกแบบมาไว้อย่างดีมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาอยากจะทำให้คนที่ขี้สงสัยถามซักไซ่ออกไปในที่สุด

 

        เซี่ยเจิงนั่งบนพื้นอย่างไม่มีแรงมาเป็นเวลานาน

 

        เขาไม่กล้าที่จะบอกไปว่า เป็นเพราะตัวเองหัวเราะจนลืมตัวเลยตกลงมาจากเตียง และมีมที่ส่งไปให้เขานั้นก็เกิดจากในตอนที่คว้ามือถือแล้วมือลั่นกดส่งไป เขาไม่ได้ทันดูเลยสักนิดว่ามันคืออะไร จึงรีบกดยกเลิกข้อความไปก่อนเพื่อปกปิดความอับอาย

 

        “ไม่มีอะไร ส่งผิดน่ะ” รู้สึกเหมือนกับทำเรื่องไม่ดีแล้วถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คนอย่างไรอย่างนั้นเลย แต่เซี่ยเจิงก็ยังคงนั่งอยู่บนพื้นและตอบกลับไปอย่างสงบนิ่ง “ถึงบ้านแล้ว? ”

 

        เมื่อชวีเสี่ยวมองสามคำนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไรออกไป ถึงบ้านอะไรกันล่ะ นอกจากตัวเขาแล้ว บนถนนเส้นนี้แม้แต่หมาจรจัดก็ยังไม่มีเลย

 

        แต่ไม่นานก็มีข้อความเสียงส่งเข้ามาอีกครั้ง

 

        “นายยังอยู่ข้างนอกเหรอ? ” แล้วหลังจากนั้นก็มีคำขอเปิดวิดีโอคอลมาจากเซี่ยเจิงทันที

 

        ชวีเสี่ยวปอผงะไปชั่วครู่ แต่เขาก็ยกมือขึ้นมาขยี้ที่ดวงตา แล้วถึงได้กดเชื่อมต่อไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเชื่อมต่อแล้วชวีเสี่ยวปอจึงพบว่าที่เขาขยี้ตาไปเมื่อครู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ดวงตาของเขาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอยังคงบวมอยู่อย่างเห็นได้ชัด

 

        “ยังอยู่ข้างนอกจริงๆ ด้วย” เมื่อครู่ตอนที่เซี่ยเจิงเปิดฟังในข้อความเสียงของชวีเสี่ยวปออีกครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงรถขับผ่าน นึกไม่ถึงว่าจะเขาจะเดาถูก และแน่นอนเขาก็ยังเดาถูกอีกว่าชวีเสี่ยวปอคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่ๆ ไม่อย่างนั้นค่ำมืดดึกดื่นจะออกมาเดินข้างนอกทำไมกัน “นายอย่าบอกนะว่านายออกมาเดินย่อย”

 

        “ฉันจะมีอะไรให้ย่อยได้ยังไง? ” ชวีเสี่ยวปอกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าทำไมพอเซี่ยเจิงโทรศัพท์มาถึงทำให้อารมณ์เขาดีขึ้นอย่างประหลาด

 

        “นายพูดแบบนี้ ซุปไข่ผักรวมก็เสียใจแย่น่ะสิ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมาจากพื้น มือถือจึงสั่นตามตัวเขาไปด้วยสองครั้ง

 

        “นายนั่งกับพื้นเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเห็นภาพจากในหน้าจออย่างชัดเจน

 

        “อ๋อ เมื่อกี้ออกกำลังอยู่” เซี่ยเจิงโกหกออกไปหน้านิ่งๆ “แพลงก์น่ะ”

 

        “อ่อ งั้นก็เจ๋งสุดๆ เลย” ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกไป ทั้งสองคนมองอีกฝ่ายผ่านมือถือและเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน

 

        “นาย…”

 

        “ฉัน…”

 

        “นายพูดก่อนเถอะ” ชวีเสี่ยวปอยกคางขึ้น ส่งสัญญาณให้เซี่ยเจิง

 

        “ฉันไปรอนายที่ที่พวกเราแยกกันตรงนั้นก็แล้วกัน” เซี่ยเจิงสวมเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว “นายจะไปถึงประมาณกี่โมง”

 

        “อะไร? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกคาดไม่ถึง แต่ภาพในหน้าจอเซี่ยเจิงกลับพูดไปด้วยพลางใส่รองเท้าไปด้วย และกำลังที่จะออกจากบ้านแล้ว

 

        “นายอยากจะนอนอยู่ข้างถนนหรือไง? ” เซี่ยเจิงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ กับโทรศัพท์ ทั้งใบหน้าของเขาก็ปรากฏขึ้นมาเต็มหน้าจอ “มานอนบ้านฉันสักคืนก็แล้วกัน”

 

        หลังจากที่เดินทางออกมาไกลในที่สุดเซี่ยเจิงก็เห็นชวีเสี่ยวปอแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่ว่ากลับไม่เหมือนท่ายืนสักเท่าไหร่ เพราะเขาอยู่ไม่นิ่งเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว เท้าซ้ายขวาสลับกันวาดวงกลมอยู่ที่พื้น

 

        แล้วอยู่ดีๆ เซี่ยเจิงก็เห็นรูปชวีเสี่ยวปอตอนเด็กรูปนั้นปรากฏขึ้นมาบนหน้าของเขาอย่างประหลาด แต่กลับเป็นเพนกวินน้อยตัวสูงยาว เขาจึงได้รีบหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปด้านหลังของเพนกวินน้อยไปหลายรูป หลังจากนั้นถึงค่อยเดินเข้าไป

 

        “เร็วมากเลยนะเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอหันหลังมาแล้วเห็นเซี่ยเจิง ในขณะที่เขากำลังเดินเข้ามา ชวีเสี่ยวปอก็ย่ำเท้าอย่างรู้สึกไม่สบายใจ

 

        “เรียกรถมาเลยเร็วน่ะ” เซี่ยเจิงมองไปที่ชวีเสี่ยวปอ และจุดที่สำคัญที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นที่ใบหน้าของเขา “ร้องไห้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

 

        “เห้ย” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกขายหน้าขึ้นมาทันที บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าความละเอียดอ่อนของเซี่ยเจิง มักจะทำให้ตัวเขาไม่สามารถซ่อนอะไรเอาไว้ได้เลยอยู่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทว่าในคืนนี้หากไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยเจิงดูออก ยังไงเขาเองก็คงไม่ยอมลดศักดิ์ศรีมาพูดขอให้เซี่ยเจิงพาเขาไปอยู่ด้วยสักหนึ่งคืนหรอก “ลูกพี่ ขอร้องล่ะอย่าถามเลย”

 

        “ได้” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้คิดที่จะถามหรอก ชวีเสี่ยวปอที่นิสัยแบบนี้ สาเหตุที่หนีออกจากบ้านมาน่ะเหรอ นอกเสียจากว่าตัวเขาจะอยากพูดเอง ถึงต่อให้ใครถามก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก

 

        ทั้งสองคนจึงเรียกรถ และต่อมาไม่นานรถก็มาจอดอยู่ที่ปากซอยบ้านของเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอมองเข้าไปด้านในเห็นลานบ้านที่ยังมีไฟสว่างอยู่เพียงหลังเดียว จึงคิดว่าน่าจะเป็นที่นั่น

 

        “พ่อแม่นายนอนหลับกันหมดแล้วเหรอ? ” ไม่มีไฟตามทาง และในตรอกซอยนี้ก็เงียบจนได้ยินเพียงแค่เสียงก้าวเดินของทั้งสองคน ชวีเสี่ยวปอเดินอยู่ด้านหลังของเซี่ยเจิงจึงทำให้ตอนที่พูดเขาลดเสียงเบาลงไปอย่างไม่รู้ตัว

 

        “แม่ฉันหลับไปตั้งนานแล้วล่ะ” เซี่ยเจิงตอบ

 

        “อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่เซี่ยเจิงพูดถึงเพียงแค่แม่ของเขา

 

        “ถึงแล้ว” เซี่ยเจิงผลักประตูรั้วให้เปิดออก เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไป

 

        ชวีเสี่ยวปอชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไป ข้างในเป็นลานบ้านที่ดูธรรมดาๆ แต่ถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยมาก ด้านนอกยังมีเชือกตากผ้าที่แขวนเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้เก็บอยู่อีกสองสามตัว ซึ่งเสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนเป็นของเซี่ยเจิง

 

        เซี่ยเจิงเดินเข้าไปจับขากางเกงที่แขวนอยู่ตัวหนึ่ง แล้วก็พูดกับตัวเองว่า “ทำไมยังไม่แห้งอีกละเนี่ย” ทั้งยังดีดนิ้วไปยังชวีเสี่ยวปอหนึ่งครั้ง “เอาแต่ยืนตรงนั้นทำไม เข้าบ้านกันเถอะ”

 

        ความจริงแล้วทันทีที่รถแท็กซี่จอด ชวีเสี่ยวปอก็เดาเอาไว้อยู่แล้วว่าพื้นเพสภาพบ้านของเซี่ยเจิงคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่เขาเข้าบ้านมาแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็แอบตกใจไปไม่น้อย

 

        ถ้าเทียบกับห้องของตัวเองแล้ว ห้องของเซี่ยเจิงนั้นถึงจะเรียกว่าความเรียบง่ายที่แท้จริง เพราะมันมีเพียงแค่เตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ และไม่มีอย่างอื่นอีกเลย

 

        ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอยังมองและประเมินไปที่เตียงของเขาด้วย แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็พอที่จะเบียดคนสองคนไว้ได้โดยไม่มีปัญหา แต่ว่าตัวเขาเองก็คงจะไม่สามารถเปิดปากขอร้องให้เซี่ยเจิงนอนเตียงเดียวกับเขาได้ ในห้องนี้ไม่มีแม้ตัวเก้าอี้สักตัว แล้วอีกเดี๋ยวเขาจะไปนอนไหนล่ะ?

 

 

        หลังจากเซี่ยเจิงอาบน้ำเสร็จ เขาก็เช็ดผมอย่างลวกๆ ไปสองทีแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง

 

        สภาพจิตใจของแม่วันนี้ไม่ค่อยแย่สักเท่าไหร่ อารมณ์ก็ดีขึ้นมากด้วย เมื่อครู่ยังเล่าให้เซี่ยเจิงฟังอย่างละเอียดด้วยว่าวันนี้ไปทำอะไรกับป้าหลี่มาบ้าง ความจริงแล้วสิ่งที่แม่ทำได้ก็แทบจะเหมือนเดิมทุกวัน เล่าไปเล่ามาก็มีแต่เรื่องซ้ำๆ นั้นไม่กี่เรื่อง จึงทำให้เซี่ยเจิงสามารถท่องออกมาได้โดยไม่ขาดไปสักตัวอักษรเดียว แต่เขาก็ยังคงชอบฟังมันมากอยู่ดี

 

        ขอเพียงแค่แม่ยอมเล่าออกมา เขาก็พร้อมที่จะฟังเสมอ

 

        เซี่ยเจิงตัดสินใจที่จะทำกิจกรรมก่อนนอนที่จะช่วยให้เขานอนหลับ

 

        แต่หลังจากที่เล่นเกมจนแพ้กับเพื่อนร่วมทีมที่ไม่เอาไหนไปหนึ่งเกม เขาก็สามารถยืนยันได้เลยว่าเกมไม่เพียงแต่จะไม่สามารถช่วยให้นอนหลับได้ แถมเพื่อนร่วมที่ไม่เอาไหนยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานอนหลับได้ยากกว่าเดิมอีก

 

        เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมาหนึ่งที หลังจากนั้นก็เปิดวีแชทขึ้นมา

 

        ที่ชื่อวีแชทของเขาเป็นเลขมั่วๆ ชุดหนึ่งและมีรูปโปรไฟล์เป็นสีดำ เป็นเพราะว่าโดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้เล่น รายชื่อติดต่อก็มีเพียงแค่สามสิบกว่าคน ดังนั้นคนที่เขาคุยด้วยในหน้าห้องแชทคนแรกก็คือชวีเสี่ยวปอ

 

        และแน่นอนว่าบันทึกการสนทนาก็ยังคงค้างอยู่ที่บทสนทนาที่คุยกับเขาไปเมื่อครั้งที่แล้ว

 

        รูปโปรไฟล์ของชวีเสี่ยวปอเป็นรูปเด็กคนหนึ่ง ในตอนที่เซี่ยเจิงยังไม่เคยเปิดเข้าไปดู เขาคิดว่าคงน่าจะเป็นเพียงรูปหน้าเด็กแสดงสีหน้าที่ดังในอินเทอร์เน็ตอะไรประมาณนั้น แต่พอเมื่อกดเข้าไปดูถึงพบว่า

 

        นี่มันเป็นรูปชวีเสี่ยวปอตอนเด็กไม่ใช่หรอกเหรอ?

 

        ถึงแม้ว่าตัวจะหดเด็กลงไปหลายเท่า แต่พอมองรูปร่างหน้าตาไปแวบแรกก็รู้เลยว่าเป็นเขา

 

        เป็นรูปที่ถ่ายในฤดูหนาว ดังนั้นทั้งตัวของเด็กน้อยชวีเสี่ยวปอจึงถูกห่อเอาไว้อย่างมิดชิด และเขาก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเสื้อที่ใส่มันหนาเกิดไป แขนทั้งสองข้างของเขาเลยไม่สามารถวางขนาบข้างลำตัวลงไปได้ จึงทำให้ต้องกางออกไปด้านข้างอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อรวมเข้ากับท้องกลมๆ จึงทำให้ดูเหมือนกับแพนกวินน้อยที่หนาวจนหน้าแดงตัวหนึ่ง

 

        เซี่ยเจิงกดขยายรูปเข้าออกอยู่หลายครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมชวีเสี่ยวปอถึงได้เลือกรูปนี้มาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

        “นายส่งไรมา? ” ชวีเสี่ยวปอไม่อยากจะเสียแรงพิมพ์ จึงส่งข้อความเสียงไป ฟังก์ชั่นการยกเลิกข้อความถูกออกแบบมาไว้อย่างดีมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาอยากจะทำให้คนที่ขี้สงสัยถามซักไซ่ออกไปในที่สุด

 

        เซี่ยเจิงนั่งบนพื้นอย่างไม่มีแรงมาเป็นเวลานาน

 

        เขาไม่กล้าที่จะบอกไปว่า เป็นเพราะตัวเองหัวเราะจนลืมตัวเลยตกลงมาจากเตียง และมีมที่ส่งไปให้เขานั้นก็เกิดจากในตอนที่คว้ามือถือแล้วมือลั่นกดส่งไป เขาไม่ได้ทันดูเลยสักนิดว่ามันคืออะไร จึงรีบกดยกเลิกข้อความไปก่อนเพื่อปกปิดความอับอาย

 

        “ไม่มีอะไร ส่งผิดน่ะ” รู้สึกเหมือนกับทำเรื่องไม่ดีแล้วถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คนอย่างไรอย่างนั้นเลย แต่เซี่ยเจิงก็ยังคงนั่งอยู่บนพื้นและตอบกลับไปอย่างสงบนิ่ง “ถึงบ้านแล้ว? ”

 

        เมื่อชวีเสี่ยวมองสามคำนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไรออกไป ถึงบ้านอะไรกันล่ะ นอกจากตัวเขาแล้ว บนถนนเส้นนี้แม้แต่หมาจรจัดก็ยังไม่มีเลย

 

        แต่ไม่นานก็มีข้อความเสียงส่งเข้ามาอีกครั้ง

 

        “นายยังอยู่ข้างนอกเหรอ? ” แล้วหลังจากนั้นก็มีคำขอเปิดวิดีโอคอลมาจากเซี่ยเจิงทันที

 

        ชวีเสี่ยวปอผงะไปชั่วครู่ แต่เขาก็ยกมือขึ้นมาขยี้ที่ดวงตา แล้วถึงได้กดเชื่อมต่อไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเชื่อมต่อแล้วชวีเสี่ยวปอจึงพบว่าที่เขาขยี้ตาไปเมื่อครู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ดวงตาของเขาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอยังคงบวมอยู่อย่างเห็นได้ชัด

 

        “ยังอยู่ข้างนอกจริงๆ ด้วย” เมื่อครู่ตอนที่เซี่ยเจิงเปิดฟังในข้อความเสียงของชวีเสี่ยวปออีกครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงรถขับผ่าน นึกไม่ถึงว่าจะเขาจะเดาถูก และแน่นอนเขาก็ยังเดาถูกอีกว่าชวีเสี่ยวปอคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่ๆ ไม่อย่างนั้นค่ำมืดดึกดื่นจะออกมาเดินข้างนอกทำไมกัน “นายอย่าบอกนะว่านายออกมาเดินย่อย”

 

        “ฉันจะมีอะไรให้ย่อยได้ยังไง? ” ชวีเสี่ยวปอกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าทำไมพอเซี่ยเจิงโทรศัพท์มาถึงทำให้อารมณ์เขาดีขึ้นอย่างประหลาด

 

        “นายพูดแบบนี้ ซุปไข่ผักรวมก็เสียใจแย่น่ะสิ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมาจากพื้น มือถือจึงสั่นตามตัวเขาไปด้วยสองครั้ง

 

        “นายนั่งกับพื้นเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเห็นภาพจากในหน้าจออย่างชัดเจน

 

        “อ๋อ เมื่อกี้ออกกำลังอยู่” เซี่ยเจิงโกหกออกไปหน้านิ่งๆ “แพลงก์น่ะ”

 

        “อ่อ งั้นก็เจ๋งสุดๆ เลย” ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกไป ทั้งสองคนมองอีกฝ่ายผ่านมือถือและเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน

 

        “นาย…”

 

        “ฉัน…”

 

        “นายพูดก่อนเถอะ” ชวีเสี่ยวปอยกคางขึ้น ส่งสัญญาณให้เซี่ยเจิง

 

        “ฉันไปรอนายที่ที่พวกเราแยกกันตรงนั้นก็แล้วกัน” เซี่ยเจิงสวมเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว “นายจะไปถึงประมาณกี่โมง”

 

        “อะไร? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกคาดไม่ถึง แต่ภาพในหน้าจอเซี่ยเจิงกลับพูดไปด้วยพลางใส่รองเท้าไปด้วย และกำลังที่จะออกจากบ้านแล้ว

 

        “นายอยากจะนอนอยู่ข้างถนนหรือไง? ” เซี่ยเจิงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ กับโทรศัพท์ ทั้งใบหน้าของเขาก็ปรากฏขึ้นมาเต็มหน้าจอ “มานอนบ้านฉันสักคืนก็แล้วกัน”

 

        หลังจากที่เดินทางออกมาไกลในที่สุดเซี่ยเจิงก็เห็นชวีเสี่ยวปอแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่ว่ากลับไม่เหมือนท่ายืนสักเท่าไหร่ เพราะเขาอยู่ไม่นิ่งเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว เท้าซ้ายขวาสลับกันวาดวงกลมอยู่ที่พื้น

 

        แล้วอยู่ดีๆ เซี่ยเจิงก็เห็นรูปชวีเสี่ยวปอตอนเด็กรูปนั้นปรากฏขึ้นมาบนหน้าของเขาอย่างประหลาด แต่กลับเป็นเพนกวินน้อยตัวสูงยาว เขาจึงได้รีบหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปด้านหลังของเพนกวินน้อยไปหลายรูป หลังจากนั้นถึงค่อยเดินเข้าไป

 

        “เร็วมากเลยนะเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอหันหลังมาแล้วเห็นเซี่ยเจิง ในขณะที่เขากำลังเดินเข้ามา ชวีเสี่ยวปอก็ย่ำเท้าอย่างรู้สึกไม่สบายใจ

 

        “เรียกรถมาเลยเร็วน่ะ” เซี่ยเจิงมองไปที่ชวีเสี่ยวปอ และจุดที่สำคัญที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นที่ใบหน้าของเขา “ร้องไห้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

 

        “เห้ย” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกขายหน้าขึ้นมาทันที บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าความละเอียดอ่อนของเซี่ยเจิง มักจะทำให้ตัวเขาไม่สามารถซ่อนอะไรเอาไว้ได้เลยอยู่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทว่าในคืนนี้หากไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยเจิงดูออก ยังไงเขาเองก็คงไม่ยอมลดศักดิ์ศรีมาพูดขอให้เซี่ยเจิงพาเขาไปอยู่ด้วยสักหนึ่งคืนหรอก “ลูกพี่ ขอร้องล่ะอย่าถามเลย”

 

        “ได้” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้คิดที่จะถามหรอก ชวีเสี่ยวปอที่นิสัยแบบนี้ สาเหตุที่หนีออกจากบ้านมาน่ะเหรอ นอกเสียจากว่าตัวเขาจะอยากพูดเอง ถึงต่อให้ใครถามก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก

 

        ทั้งสองคนจึงเรียกรถ และต่อมาไม่นานรถก็มาจอดอยู่ที่ปากซอยบ้านของเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอมองเข้าไปด้านในเห็นลานบ้านที่ยังมีไฟสว่างอยู่เพียงหลังเดียว จึงคิดว่าน่าจะเป็นที่นั่น

 

        “พ่อแม่นายนอนหลับกันหมดแล้วเหรอ? ” ไม่มีไฟตามทาง และในตรอกซอยนี้ก็เงียบจนได้ยินเพียงแค่เสียงก้าวเดินของทั้งสองคน ชวีเสี่ยวปอเดินอยู่ด้านหลังของเซี่ยเจิงจึงทำให้ตอนที่พูดเขาลดเสียงเบาลงไปอย่างไม่รู้ตัว

 

        “แม่ฉันหลับไปตั้งนานแล้วล่ะ” เซี่ยเจิงตอบ

 

        “อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่เซี่ยเจิงพูดถึงเพียงแค่แม่ของเขา

 

        “ถึงแล้ว” เซี่ยเจิงผลักประตูรั้วให้เปิดออก เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไป

 

        ชวีเสี่ยวปอชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไป ข้างในเป็นลานบ้านที่ดูธรรมดาๆ แต่ถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยมาก ด้านนอกยังมีเชือกตากผ้าที่แขวนเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้เก็บอยู่อีกสองสามตัว ซึ่งเสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนเป็นของเซี่ยเจิง

 

        เซี่ยเจิงเดินเข้าไปจับขากางเกงที่แขวนอยู่ตัวหนึ่ง แล้วก็พูดกับตัวเองว่า “ทำไมยังไม่แห้งอีกละเนี่ย” ทั้งยังดีดนิ้วไปยังชวีเสี่ยวปอหนึ่งครั้ง “เอาแต่ยืนตรงนั้นทำไม เข้าบ้านกันเถอะ”

 

        ความจริงแล้วทันทีที่รถแท็กซี่จอด ชวีเสี่ยวปอก็เดาเอาไว้อยู่แล้วว่าพื้นเพสภาพบ้านของเซี่ยเจิงคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่เขาเข้าบ้านมาแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็แอบตกใจไปไม่น้อย

 

        ถ้าเทียบกับห้องของตัวเองแล้ว ห้องของเซี่ยเจิงนั้นถึงจะเรียกว่าความเรียบง่ายที่แท้จริง เพราะมันมีเพียงแค่เตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ และไม่มีอย่างอื่นอีกเลย

 

        ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอยังมองและประเมินไปที่เตียงของเขาด้วย แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็พอที่จะเบียดคนสองคนไว้ได้โดยไม่มีปัญหา แต่ว่าตัวเขาเองก็คงจะไม่สามารถเปิดปากขอร้องให้เซี่ยเจิงนอนเตียงเดียวกับเขาได้ ในห้องนี้ไม่มีแม้ตัวเก้าอี้สักตัว แล้วอีกเดี๋ยวเขาจะไปนอนไหนล่ะ?

 

 

        “ยังดื่มไม่ชินสินะ”

 

        ชวีอี้เจี๋ยกำลังจัดวางกาน้ำชาใบเล็กที่อยู่ในมือ พร้อมทั้งเปิดเผยคำโกหกของชวีเสี่ยวปอที่พูดไปเมื่อครู่

 

        “ครับ มันเทียบกับโค้กไม่ได้เลยครับ” ชวีเสี่ยวปอค้านออกไป รู้สึกราวกับว่าความขมที่อยู่ในปากของตัวเองจะไม่สลายหายไป จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวมาก

 

        “การดื่มชาต้องค่อยๆ ชิม จึงจะรับรู้ถึงรสชาติของมัน” ชวีอี้เจี๋ยเอนตัวพิงไปยังโซฟา “คนก็ต้องค่อยๆ เติบโตเช่นกัน”

 

        ชวีเสี่ยวปอเขี่ยนิ้วเล่นและไม่ได้พูดอะไรออกมา ที่จริงแล้วเขาก็อยากจะพูดว่า “แล้วสองเรื่องนี้มันเกี่ยวกันยังไง? ช่วงนี้พ่ออ่านบทความเกี่ยวกับสุขภาพจิตเยอะเกินไปใช่ไหม” แต่เขาก็ยั้งเอาไว้ก่อน

 

        “ช่วงนี้อยู่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง? ” ในที่สุดชวีอี้เจี๋ยก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา

 

        “อยากจะถามอะไร ก็ถามมาตรงๆ เลยครับ” ชวีเสี่ยวปอค่อนข้างที่จะเบื่อหน่ายกับรูปแบบการพูดคุยที่อ้อมค้อมและวกไปวนมาเช่นนี้ของชวีอี้เจี๋ย แล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนชวีอี้เจี๋ยก็ใช้วิธีการพูดแบบนี้กับชวีจิ่งเหมือนกัน จึงทำให้เข้าใจได้เลยว่าทำไมลูกๆ ของชวีอี้เจี๋ยถึงสื่อสารกับเขาไม่ค่อยจะราบรื่นสักเท่าไหร่ “ทำไมแม่ผมถึงร้องไห้ครับ”

 

        “งั้นลูกอธิบายเรื่องต้วนเหล่ยให้พ่อฟังทีได้ไหม? ” เมื่อชวีอี้เจี๋ยถามคำถามนี้ออกมา ชวีเสี่ยปอกลับรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าโรงเรียนนำมาแจ้งผู้ปกครอง หรือว่าคนที่รู้จักในสถานีตำรวจนำมาบอกเขากันแน่ แต่ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกว่าเขารู้มาจากที่ไหน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะชวีเสี่ยวปอคิดเอาไว้อยู่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเร็วเพียงนี้

 

        “ไม่ได้ครับ” ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธออกไปตรงๆ “อีกอย่าง พ่อกับแม่ก็รู้เรื่องกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

 

        “เห้อ” ชวีอี้เจี๋ยถอนหายใจยาว “ลูกเอ๋ย”

 

        ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอแทบอยากจะรีบบินขึ้นไปบนห้อง

 

        “แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราสองคนก็ไม่เคยมานั่งคุยกันดีๆ แบบนี้เลยสักครั้ง ลูกอย่ามองพ่อว่าเป็นศัตรูเช่นนี้เลยจะได้ไหม” ชวีอี้เจี๋ยมองชวีเสี่ยวปอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม “เมื่อตอนบ่ายพอแม่ของลูกรู้เรื่อง ก็ร้องไห้ไม่หยุดเลย ทั้งยังไม่กล้าโทรไปถามอะไรลูกด้วย กลัวลูกจะโมโห”

 

        “……ครับ” ชวีเสี่ยวปอก้มศีรษะลงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เขาสามารถทำเป็นไม่สนใจชวีอี้เจี๋ยได้ แต่ไม่สนใจเวินลี่ไม่ได้เป็นอันขาด

 

        “ลูกก็โตขนาดนี้แล้ว อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ” ชวีอี้เจี๋ยนานๆ ครั้งที่จะเห็นชวีเสี่ยวปอไม่เถียงออกมา จึงใช้โอกาสนี้ในการพูดต่อไปอีกว่า “ครั้งนี้ก็ช่างมันเถอะ เรื่องที่เหลือเดี๋ยวพ่อจัดการเอง จำไว้เป็นบทเรียนและห้ามทำอีกรู้ไหม”

 

        “เรื่องที่เหลือ? ” ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าคำพูดที่ชวีอี้เจี๋ยพูดมันหมายความว่าอะไร

 

        “ทางครอบครัวของต้วนเหล่ยจะไม่สืบหาเรื่องนี้ต่อ” ชวีอี้เจี๋ยนวดไปที่หว่างคิ้วเบาๆ ราวกับว่าเขาได้แก้ไขปัญหาใหญ่ที่ทำให้เขาปวดหัวไปได้เรื่องหนึ่ง “ลูกไปเรียนด้วยความสบายใจ ก็พอแล้ว”

 

        “สืบหา? ” ชวีเสี่ยวปอเหมือนว่าจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาแล้ว จึงลุกขึ้นยืนอย่างหมดความอดทน “เรื่องของต้วนเหล่ยผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง”

 

        ชวีอี้เจี๋ยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับมองชวีเสี่ยวปอขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “จะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องล้วนไม่สำคัญ อีกเดี๋ยวก็ขึ้นไปขอโทษแม่เขา แล้วก็ไปนอนเถอะ” พอพูดจบชวีอี้เจี๋ยก็ลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไป

 

        “เดี๋ยวก่อนครับ” ชวีเสี่ยวปอก้าวออกไปยืนขวางหน้าพ่อของเขา แล้วพูดออกไปโดยเน้นทุกตัวอักษรว่า : “ผมบอกแล้วไงครับว่า ที่ต้วนเหล่ยโดนแทง ไม่เกี่ยวข้องกับผม”

 

        เมื่อก่อนไม่เคยได้เปรียบเทียบเลย ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ ทันใดนั้นชวีอี้เจี๋ยก็รู้สึกว่าตัวเขาดูเหมือนจะละเลยลูกคนนี้ไปมาก ลูกชายเขาคนนี้สูงกว่าตัวเขาไม่ใช่น้อยๆ แล้ว

 

        “แต่พ่อจำได้ว่าวันนั้นที่ไปตกปลาพวกลูกสองคนก็ดูไม่ค่อยชอบหน้ากันสักเท่าไหร่” ชวีอี้เจี๋ยมองชวีเสี่ยวปอเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ชอบต่อต้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง “พอแล้ว เรื่องนี้ก็เอาไว้พอแค่นี้ ตอนบ่ายพ่อคุยกับพ่อของต้วนเหล่ยแล้ว ที่จริงแล้วเขาก็มีเรื่องให้พ่อช่วยอยู่เหมือนกัน พ่อก็เข็นเรือตามน้ำ [1] ตอบตกลงเขาไป แต่ลูกต้องจำเอาไว้ว่าลูกเป็นลูกชายของพ่อ จะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังซะก่อนว่าจะทำให้พ่อขายหน้าหรือเปล่า”

 

        ชวีอี้เจี๋ยคงจะคิดว่าตัวเองพูดได้เข้าใจมากแล้ว ในตอนที่พูดจบเขายังตบเบาๆ ไปที่ไหล่ของชวีเสี่ยวปอด้วย ทว่าเมื่อตอนที่ชวีอี้เจี๋ยกำลังจะขึ้นไปด้านบน ทางด้านหลังของเขาก็มีเสียงอะไรบางอย่างกระแทกลงไปที่พื้นจนแตกละเอียด

 

        กาน้ำชาใบเล็กของชวีอี้เจี๋ยใบนั้นแตกกระจายจนผสมรวมเข้ากับน้ำชาและกากชาเต็มไปทั่วทั้งพื้น

 

        “ผมบอกแล้วไงว่า ผมไม่ได้ทำ”

 

        เสียงของชวีเสี่ยวปอสั่น แต่ว่ากลับใช้พลังใส่ลงไปในทุกคำพูด “แล้วก็ ผมมันเป็นคนที่ทำให้พ่อขายหน้าจริงๆ นั่นแหละ ผมที่เกิดออกมา ก็ทำให้พ่อขายหน้าแล้ว !”

 

        เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดจบ ในสมองของเขาก็เหลือไว้เพียงแค่คำว่า หนี

 

        ในที่ที่มีชวีอี้เจี๋ย ก็เป็นเปรียบเสมือนเป็นกรงขังใหญ่แห่งหนึ่ง เขาต้องหนีออกไปจากที่นี่

 

        ตอนที่ออกจากบ้านมาเขาเหมือนจะเห็นเวินลี่เดินออกมาด้วย คิดว่าคงจะมาขว้างเขาไว้ไม่ให้เขาไป แต่ชวีเสี่ยวปอไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น

 

        เขาไม่รู้ว่าเขาวิ่งมานานเท่าไหร่แล้ว แต่พอเมื่อหยุดลงบริเวณโดยรอบก็เงียบสงัดเหลือไว้เพียงแค่เงาที่ทอดยาวไปตามไฟถนนเท่านั้น ชวีเสี่ยวปอจึงนั่งลงไปบนฟุตบาทริมถนน หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง

 

        มีหลายเรื่องที่เราเลือกไม่ได้

 

        อย่างเช่นเลือกเกิด และเลือกพ่อแม่

 

        ก็เหมือนกับในวัยเด็กที่ชวีเสี่ยวปอสงสัยอยู่หลายต่อหลายครั้ง เขาไม่เข้าใจว่า “ลูกนอกสมรส” คำนี้แท้จริงแล้วมันมีความหมายอะไรแฝงไว้กันแน่ แต่เมื่อโตขึ้นเขาจึงรู้ว่า จริงๆ แล้วไม่ต้องเข้าใจมันมากก็ได้ จะได้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจขึ้นอีกสักหน่อย

 

        ทว่าตอนนี้เขาไม่อาจที่จะแกล้งทำเป็นสบายใจได้อีกต่อไป

 

        เขาไม่สามารถที่จะเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตไปได้ตลอด มัวแต่เฝ้ารอตอนที่พ่อเลิกงานแล้วเอาหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์มเมอร์สและรถแข่งของเล่นกลับมาให้ หลังจากนั้นก็พาเขาไปเตะฟุตบอลที่สนาม และตอนที่เตะเข้าประตูก็โห่ร้องทั้งยังอุ้มเขาขึ้นไปสูงๆ ด้วยความดีใจ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงชัดเจนและลึกซึ้งอยู่เช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมาชวีเสี่ยวปอก็ไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้เลยสักครั้ง

 

        ชวีเสี่ยวปอคิดว่ามนุษย์เราไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีสักนิดที่ชอบแข่นขันกับตัวเอง โดยเฉพาะแข่งกับสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ มันก็คงน่าจะประมาณว่าความทรงจำที่เลวร้ายมักจะชัดเจนอยู่ตลอด แต่ความทรงจำที่มีความสุขกลับมักจะลืมไปอย่างง่ายดาย

       

        บางครั้งชวีเสี่ยวปอก็คิดว่า ตอนแรกที่เวินลี่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์กับชวีอี้เจี๋ย เธอจะเต็มไปด้วยความหวังในการตั้งหน้าตั้งตาที่จะได้มีลูกเหมือนกับพ่อแม่คนอื่นๆ หรือเปล่า?

 

        หรือจะรู้สึกว่ากำลังจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นมาแล้วกันแน่?

 

        ทว่าเขากลับรู้สึกว่า แม้ความสัมพันธ์ของเขากับชวีอี้เจี๋ยจะไม่สนิทสนมกันสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยคนเราก็น่าจะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นเขาเองที่คิดมากเกินไปเอง

 

        หรือว่าในใจของชวีอี้เจี๋ยจะมองว่าตัวเขาเป็นเหมือนกับคนเลวที่ไม่สามารถจะให้อภัยได้ ที่ทั้งไปก่อปัญหาข้างนอกแล้วยังไม่ยอมรับ พอที่บ้านจะช่วยแก้ไขปัญหาก็กลับส่ายหน้าปฏิเสธ

 

          ชวีเสี่ยวปอลูบใบหน้าตัวเองอย่างแรงไปสองครั้ง เบ้าตาที่บวมแดงและมือที่เปียกชื้นเตือนเขาว่าตัวเองในตอนนี้คงจะดูเหมือนจนมุมเข้าแล้วจริงๆ แต่ความเย็นเยือกใต้ก้นของเขาก็ทำให้เขาจำใจต้องลุกขึ้นยืนเหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

 

        ต้องหาที่พักที่พอจะถูๆ ไถๆไปได้สักหนึ่งคืน

 

        แต่ตอนที่เขาออกมานั้นรีบร้อนเกินไปหน่อย กระเป๋าตังค์จึงคงยังอยู่ในกระเป๋าหนังสืออยู่ ไม่มีเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สแกนจ่ายผ่านมือถือได้ แต่ไม่มีบัตรประชาชนนี่สิ คิดว่าไม่ว่าจะไปพักที่ไหนก็คงจะเป็นเรื่องยาก

 

        ร้านอินเทอร์เน็ตเหรอ?

 

        ช่างเถอะ ชวีเสี่ยวปอล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว ร้านอินเทอร์เน็ตเถื่อนที่เข้ารู้จักก็คือร้านที่อยู่แถวๆ โรงเรียน ซึ่งเผลอๆ อาจจะไปเจอเข้ากับคนของต้วนเหล่ยที่นั่น ไม่ต้องรีบเร่งเอาตัวไปจ่อเข้ากับปลายกระบอกปืนเช่นนั้นหรอก

 

        หรือว่าจะไปหาซือจวิ้น?

 

        ก็ไม่ได้อีก เวินลี่รู้เบอร์โทรของซือจวิ้น ไม่แน่ตอนนี้อาจจะโทรไปถามแล้วก็ได้

 

        ชวีเสี่ยวปอยืนย่ำเท้าอยู่ที่เดิม แล้วหยิบมือถือออกเลื่อนดูบันทึกการโทรไปมา แล้วเขาก็พบว่าไม่มีคนที่จะสามารถรับเขาเอาไว้ได้แม้แต่สักคนเดียวเลย

 

        และแล้วเสียงของวีแชทก็ดังขึ้น

 

        ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเห็นข้อความนั้นส่งมาจากชื่อวีแชทที่เป็นเลขมั่วๆ ชุดหนึ่งนั้น เขาจึงรีบเปิดหน้าแชทขึ้นมาทันที

 

        แต่เขากลับไม่เห็นว่าเซี่ยเจิงพิมพ์อะไรมา เพราะอีกฝ่ายกดยกเลิกข้อความไปแล้ว

 

 

………………………..

เชิงอรรถ

[1] เข็นเรือตามน้ำ เป็นสำนวนจีน อุปมาถึงการดำเนินการไปตามสถานการณ์ที่เป็นไป

 

 

        “ยังดื่มไม่ชินสินะ”

 

        ชวีอี้เจี๋ยกำลังจัดวางกาน้ำชาใบเล็กที่อยู่ในมือ พร้อมทั้งเปิดเผยคำโกหกของชวีเสี่ยวปอที่พูดไปเมื่อครู่

 

        “ครับ มันเทียบกับโค้กไม่ได้เลยครับ” ชวีเสี่ยวปอค้านออกไป รู้สึกราวกับว่าความขมที่อยู่ในปากของตัวเองจะไม่สลายหายไป จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวมาก

 

        “การดื่มชาต้องค่อยๆ ชิม จึงจะรับรู้ถึงรสชาติของมัน” ชวีอี้เจี๋ยเอนตัวพิงไปยังโซฟา “คนก็ต้องค่อยๆ เติบโตเช่นกัน”

 

        ชวีเสี่ยวปอเขี่ยนิ้วเล่นและไม่ได้พูดอะไรออกมา ที่จริงแล้วเขาก็อยากจะพูดว่า “แล้วสองเรื่องนี้มันเกี่ยวกันยังไง? ช่วงนี้พ่ออ่านบทความเกี่ยวกับสุขภาพจิตเยอะเกินไปใช่ไหม” แต่เขาก็ยั้งเอาไว้ก่อน

 

        “ช่วงนี้อยู่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง? ” ในที่สุดชวีอี้เจี๋ยก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา

 

        “อยากจะถามอะไร ก็ถามมาตรงๆ เลยครับ” ชวีเสี่ยวปอค่อนข้างที่จะเบื่อหน่ายกับรูปแบบการพูดคุยที่อ้อมค้อมและวกไปวนมาเช่นนี้ของชวีอี้เจี๋ย แล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนชวีอี้เจี๋ยก็ใช้วิธีการพูดแบบนี้กับชวีจิ่งเหมือนกัน จึงทำให้เข้าใจได้เลยว่าทำไมลูกๆ ของชวีอี้เจี๋ยถึงสื่อสารกับเขาไม่ค่อยจะราบรื่นสักเท่าไหร่ “ทำไมแม่ผมถึงร้องไห้ครับ”

 

        “งั้นลูกอธิบายเรื่องต้วนเหล่ยให้พ่อฟังทีได้ไหม? ” เมื่อชวีอี้เจี๋ยถามคำถามนี้ออกมา ชวีเสี่ยปอกลับรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าโรงเรียนนำมาแจ้งผู้ปกครอง หรือว่าคนที่รู้จักในสถานีตำรวจนำมาบอกเขากันแน่ แต่ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกว่าเขารู้มาจากที่ไหน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะชวีเสี่ยวปอคิดเอาไว้อยู่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเร็วเพียงนี้

 

        “ไม่ได้ครับ” ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธออกไปตรงๆ “อีกอย่าง พ่อกับแม่ก็รู้เรื่องกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

 

        “เห้อ” ชวีอี้เจี๋ยถอนหายใจยาว “ลูกเอ๋ย”

 

        ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอแทบอยากจะรีบบินขึ้นไปบนห้อง

 

        “แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราสองคนก็ไม่เคยมานั่งคุยกันดีๆ แบบนี้เลยสักครั้ง ลูกอย่ามองพ่อว่าเป็นศัตรูเช่นนี้เลยจะได้ไหม” ชวีอี้เจี๋ยมองชวีเสี่ยวปอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม “เมื่อตอนบ่ายพอแม่ของลูกรู้เรื่อง ก็ร้องไห้ไม่หยุดเลย ทั้งยังไม่กล้าโทรไปถามอะไรลูกด้วย กลัวลูกจะโมโห”

 

        “……ครับ” ชวีเสี่ยวปอก้มศีรษะลงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เขาสามารถทำเป็นไม่สนใจชวีอี้เจี๋ยได้ แต่ไม่สนใจเวินลี่ไม่ได้เป็นอันขาด

 

        “ลูกก็โตขนาดนี้แล้ว อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ” ชวีอี้เจี๋ยนานๆ ครั้งที่จะเห็นชวีเสี่ยวปอไม่เถียงออกมา จึงใช้โอกาสนี้ในการพูดต่อไปอีกว่า “ครั้งนี้ก็ช่างมันเถอะ เรื่องที่เหลือเดี๋ยวพ่อจัดการเอง จำไว้เป็นบทเรียนและห้ามทำอีกรู้ไหม”

 

        “เรื่องที่เหลือ? ” ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าคำพูดที่ชวีอี้เจี๋ยพูดมันหมายความว่าอะไร

 

        “ทางครอบครัวของต้วนเหล่ยจะไม่สืบหาเรื่องนี้ต่อ” ชวีอี้เจี๋ยนวดไปที่หว่างคิ้วเบาๆ ราวกับว่าเขาได้แก้ไขปัญหาใหญ่ที่ทำให้เขาปวดหัวไปได้เรื่องหนึ่ง “ลูกไปเรียนด้วยความสบายใจ ก็พอแล้ว”

 

        “สืบหา? ” ชวีเสี่ยวปอเหมือนว่าจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาแล้ว จึงลุกขึ้นยืนอย่างหมดความอดทน “เรื่องของต้วนเหล่ยผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง”

 

        ชวีอี้เจี๋ยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับมองชวีเสี่ยวปอขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “จะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องล้วนไม่สำคัญ อีกเดี๋ยวก็ขึ้นไปขอโทษแม่เขา แล้วก็ไปนอนเถอะ” พอพูดจบชวีอี้เจี๋ยก็ลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไป

 

        “เดี๋ยวก่อนครับ” ชวีเสี่ยวปอก้าวออกไปยืนขวางหน้าพ่อของเขา แล้วพูดออกไปโดยเน้นทุกตัวอักษรว่า : “ผมบอกแล้วไงครับว่า ที่ต้วนเหล่ยโดนแทง ไม่เกี่ยวข้องกับผม”

 

        เมื่อก่อนไม่เคยได้เปรียบเทียบเลย ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ ทันใดนั้นชวีอี้เจี๋ยก็รู้สึกว่าตัวเขาดูเหมือนจะละเลยลูกคนนี้ไปมาก ลูกชายเขาคนนี้สูงกว่าตัวเขาไม่ใช่น้อยๆ แล้ว

 

        “แต่พ่อจำได้ว่าวันนั้นที่ไปตกปลาพวกลูกสองคนก็ดูไม่ค่อยชอบหน้ากันสักเท่าไหร่” ชวีอี้เจี๋ยมองชวีเสี่ยวปอเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ชอบต่อต้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง “พอแล้ว เรื่องนี้ก็เอาไว้พอแค่นี้ ตอนบ่ายพ่อคุยกับพ่อของต้วนเหล่ยแล้ว ที่จริงแล้วเขาก็มีเรื่องให้พ่อช่วยอยู่เหมือนกัน พ่อก็เข็นเรือตามน้ำ [1] ตอบตกลงเขาไป แต่ลูกต้องจำเอาไว้ว่าลูกเป็นลูกชายของพ่อ จะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังซะก่อนว่าจะทำให้พ่อขายหน้าหรือเปล่า”

 

        ชวีอี้เจี๋ยคงจะคิดว่าตัวเองพูดได้เข้าใจมากแล้ว ในตอนที่พูดจบเขายังตบเบาๆ ไปที่ไหล่ของชวีเสี่ยวปอด้วย ทว่าเมื่อตอนที่ชวีอี้เจี๋ยกำลังจะขึ้นไปด้านบน ทางด้านหลังของเขาก็มีเสียงอะไรบางอย่างกระแทกลงไปที่พื้นจนแตกละเอียด

 

        กาน้ำชาใบเล็กของชวีอี้เจี๋ยใบนั้นแตกกระจายจนผสมรวมเข้ากับน้ำชาและกากชาเต็มไปทั่วทั้งพื้น

 

        “ผมบอกแล้วไงว่า ผมไม่ได้ทำ”

 

        เสียงของชวีเสี่ยวปอสั่น แต่ว่ากลับใช้พลังใส่ลงไปในทุกคำพูด “แล้วก็ ผมมันเป็นคนที่ทำให้พ่อขายหน้าจริงๆ นั่นแหละ ผมที่เกิดออกมา ก็ทำให้พ่อขายหน้าแล้ว !”

 

        เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดจบ ในสมองของเขาก็เหลือไว้เพียงแค่คำว่า หนี

 

        ในที่ที่มีชวีอี้เจี๋ย ก็เป็นเปรียบเสมือนเป็นกรงขังใหญ่แห่งหนึ่ง เขาต้องหนีออกไปจากที่นี่

 

        ตอนที่ออกจากบ้านมาเขาเหมือนจะเห็นเวินลี่เดินออกมาด้วย คิดว่าคงจะมาขว้างเขาไว้ไม่ให้เขาไป แต่ชวีเสี่ยวปอไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น

 

        เขาไม่รู้ว่าเขาวิ่งมานานเท่าไหร่แล้ว แต่พอเมื่อหยุดลงบริเวณโดยรอบก็เงียบสงัดเหลือไว้เพียงแค่เงาที่ทอดยาวไปตามไฟถนนเท่านั้น ชวีเสี่ยวปอจึงนั่งลงไปบนฟุตบาทริมถนน หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง

 

        มีหลายเรื่องที่เราเลือกไม่ได้

 

        อย่างเช่นเลือกเกิด และเลือกพ่อแม่

 

        ก็เหมือนกับในวัยเด็กที่ชวีเสี่ยวปอสงสัยอยู่หลายต่อหลายครั้ง เขาไม่เข้าใจว่า “ลูกนอกสมรส” คำนี้แท้จริงแล้วมันมีความหมายอะไรแฝงไว้กันแน่ แต่เมื่อโตขึ้นเขาจึงรู้ว่า จริงๆ แล้วไม่ต้องเข้าใจมันมากก็ได้ จะได้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจขึ้นอีกสักหน่อย

 

        ทว่าตอนนี้เขาไม่อาจที่จะแกล้งทำเป็นสบายใจได้อีกต่อไป

 

        เขาไม่สามารถที่จะเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตไปได้ตลอด มัวแต่เฝ้ารอตอนที่พ่อเลิกงานแล้วเอาหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์มเมอร์สและรถแข่งของเล่นกลับมาให้ หลังจากนั้นก็พาเขาไปเตะฟุตบอลที่สนาม และตอนที่เตะเข้าประตูก็โห่ร้องทั้งยังอุ้มเขาขึ้นไปสูงๆ ด้วยความดีใจ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงชัดเจนและลึกซึ้งอยู่เช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมาชวีเสี่ยวปอก็ไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้เลยสักครั้ง

 

        ชวีเสี่ยวปอคิดว่ามนุษย์เราไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีสักนิดที่ชอบแข่นขันกับตัวเอง โดยเฉพาะแข่งกับสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ มันก็คงน่าจะประมาณว่าความทรงจำที่เลวร้ายมักจะชัดเจนอยู่ตลอด แต่ความทรงจำที่มีความสุขกลับมักจะลืมไปอย่างง่ายดาย

       

        บางครั้งชวีเสี่ยวปอก็คิดว่า ตอนแรกที่เวินลี่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์กับชวีอี้เจี๋ย เธอจะเต็มไปด้วยความหวังในการตั้งหน้าตั้งตาที่จะได้มีลูกเหมือนกับพ่อแม่คนอื่นๆ หรือเปล่า?

 

        หรือจะรู้สึกว่ากำลังจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นมาแล้วกันแน่?

 

        ทว่าเขากลับรู้สึกว่า แม้ความสัมพันธ์ของเขากับชวีอี้เจี๋ยจะไม่สนิทสนมกันสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยคนเราก็น่าจะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นเขาเองที่คิดมากเกินไปเอง

 

        หรือว่าในใจของชวีอี้เจี๋ยจะมองว่าตัวเขาเป็นเหมือนกับคนเลวที่ไม่สามารถจะให้อภัยได้ ที่ทั้งไปก่อปัญหาข้างนอกแล้วยังไม่ยอมรับ พอที่บ้านจะช่วยแก้ไขปัญหาก็กลับส่ายหน้าปฏิเสธ

 

          ชวีเสี่ยวปอลูบใบหน้าตัวเองอย่างแรงไปสองครั้ง เบ้าตาที่บวมแดงและมือที่เปียกชื้นเตือนเขาว่าตัวเองในตอนนี้คงจะดูเหมือนจนมุมเข้าแล้วจริงๆ แต่ความเย็นเยือกใต้ก้นของเขาก็ทำให้เขาจำใจต้องลุกขึ้นยืนเหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

 

        ต้องหาที่พักที่พอจะถูๆ ไถๆไปได้สักหนึ่งคืน

 

        แต่ตอนที่เขาออกมานั้นรีบร้อนเกินไปหน่อย กระเป๋าตังค์จึงคงยังอยู่ในกระเป๋าหนังสืออยู่ ไม่มีเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สแกนจ่ายผ่านมือถือได้ แต่ไม่มีบัตรประชาชนนี่สิ คิดว่าไม่ว่าจะไปพักที่ไหนก็คงจะเป็นเรื่องยาก

 

        ร้านอินเทอร์เน็ตเหรอ?

 

        ช่างเถอะ ชวีเสี่ยวปอล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว ร้านอินเทอร์เน็ตเถื่อนที่เข้ารู้จักก็คือร้านที่อยู่แถวๆ โรงเรียน ซึ่งเผลอๆ อาจจะไปเจอเข้ากับคนของต้วนเหล่ยที่นั่น ไม่ต้องรีบเร่งเอาตัวไปจ่อเข้ากับปลายกระบอกปืนเช่นนั้นหรอก

 

        หรือว่าจะไปหาซือจวิ้น?

 

        ก็ไม่ได้อีก เวินลี่รู้เบอร์โทรของซือจวิ้น ไม่แน่ตอนนี้อาจจะโทรไปถามแล้วก็ได้

 

        ชวีเสี่ยวปอยืนย่ำเท้าอยู่ที่เดิม แล้วหยิบมือถือออกเลื่อนดูบันทึกการโทรไปมา แล้วเขาก็พบว่าไม่มีคนที่จะสามารถรับเขาเอาไว้ได้แม้แต่สักคนเดียวเลย

 

        และแล้วเสียงของวีแชทก็ดังขึ้น

 

        ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเห็นข้อความนั้นส่งมาจากชื่อวีแชทที่เป็นเลขมั่วๆ ชุดหนึ่งนั้น เขาจึงรีบเปิดหน้าแชทขึ้นมาทันที

 

        แต่เขากลับไม่เห็นว่าเซี่ยเจิงพิมพ์อะไรมา เพราะอีกฝ่ายกดยกเลิกข้อความไปแล้ว

 

 

………………………..

เชิงอรรถ

[1] เข็นเรือตามน้ำ เป็นสำนวนจีน อุปมาถึงการดำเนินการไปตามสถานการณ์ที่เป็นไป

 

 

Puppy Love จดหมายรักระหว่างนายและฉัน

Puppy Love จดหมายรักระหว่างนายและฉัน

Score 10
Status: Completed
‘ชวีเสี่ยวปอ’ ตั้งใจสารภาพรักกับ ‘เซี่ยเจิง’ สาวมัธยมปีสี่ห้องหก ผ่านจดหมายรักที่เขาตั้งใจเขียนเป็นอย่างดี แต่แผนทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า! เมื่อจดหมายนั้นดันส่งให้กับ ‘เซี่ยเจิง’ อีกคนที่เป็นผู้ชาย!!! แถมสาวที่เขาแอบปิ๊งยังไปสารภาพรักกับหมอนั่นอีก! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ทว่า…ยิ่งหนีกลับยิ่งเจอ จากความเข้าใจผิด…ผันเปลี่ยนเป็นความใกล้ชิด ที่จะทำให้หัวใจคุณเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว ---------------------------------------------------------------------------------- เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ :Beijing Kinging Holdings Limited ประพันธ์โดย: 眼圆 (Yǎn yuán) ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Public Co.,LTD บรรณาธิการ : ไพสิฐ ต่วนขำ แปลและเรียบเรียงโดย : สุพัฒนี ธีรพรเศรษฐ์ พิสูจน์อักษร : ฐิตา ชัยสิริสมบัติ --------------------------------------------

Options

not work with dark mode
Reset