พอได้ยินที่จางจื่ออันเตือน พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ และรักษาระยะปลอดภัยอยู่ตลอด แค่คอยกันไม่ให้หมาป่าตัวนี้หนีไปได้เท่านั้น ไม่ได้ทำให้มันโกรธหรือกลัวมากขึ้น
แววตาและการกระทำของหมาป่า แสดงความหวาดกลัว โมโห ไม่พอใจ อัปยศ ผิดหวัง และความผิดพลาดออกมา มันรู้แค่ว่าตัวเองถูกล้อมเอาไว้แล้ว และสัญชาตญาณสัตว์ป่าบอกมันว่า สัตว์ที่ดูเหมือนจะธรรมดาพวกนี้ธรรมดาแค่ภายนอกเท่านั้น
จางจื่ออันไม่เคยคุยกับหมาป่ามาก่อน จึงแอบเคร่งเครียดอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรข้างหน้าก็เป็นสัตว์ป่ากินเนื้อจริงๆ ตัวหนึ่ง เขาไม่ได้ตาไวและเคลื่อนไหวเร็วเหมือนพวกภูตสัตว์เลี้ยง ถ้าหมาป่าพุ่งเข้าใส่เขาจริงๆ…บอกว่าไม่กลัวก็คงจะโกหก
แต่ยิ่งเป็นเวลาแบบนี้ ก็ยิ่งต้องสงบและเยือกเย็น เพราะสัตว์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ ฟังดูแล้วเหมือนความคิดทางด้านปรัชญา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายมนุษย์จะปรากฏในรูปแบบก๊าซที่หายใจออกมาและจากส่วนประกอบของเหงื่อ ด้วยการดมกลิ่นอันว่องไวของสัตว์ประเภทสุนัข ก็พอที่จะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ล้ำลึกกว่านั้น
แม้เขาจะเพิ่งเคยคุยกับหมาป่าเป็นครั้งแรก แต่กลับคุ้นเคยกับสุนัขมาก โดยเฉพาะหลังจากรู้จักกับเสี่ยวไป๋และสุนัขจรจัดกองทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของมัน ก็ได้สัมผัสกับสุนัขดุร้ายขนาดใหญ่มากมาย ตอนนั้นเขาเดินเข้าไปในฝูงหมาเนื้อตัวทั้งสกปรก ทั้งเหม็น ทั้งดุร้ายฝูงใหญ่ เขากลัวจนขาอ่อนจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้อาหารพวกมันเป็นครั้งแรก ตอนเกือบจะทำให้สุนัขจรจัดโมโห ถ้าไม่ได้เสี่ยวไป๋ช่วยควบคุมเอาไว้อย่างเต็มกำลัง ก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ
แล้วหมาป่ากับสุนัขขนาดใหญ่แตกต่างอะไรกันไหม?
ถ้าจะให้พูดจริงๆ สุนัขขนาดใหญ่น่ากลัวว่าหมาป่าอีก เพราะหมาป่ากลัวคน แต่สุนัขขนาดใหญ่ไม่กลัวคน แม้กระทั่งสุนัขขนาดใหญ่มากมายก็ถูกเลี้ยงและฝึกเพื่อเป็นสุนัขคุ้มครอง…สุนัขคุ้มครองหมายถึงอะไร? พูดตรงๆ ก็คือสุนัขที่รับมือกับมนุษย์โดยเฉพาะ จึงถูกฝึกให้พุ่งเข้าหาคนและกัดคน
สุนัขพันธุ์โดเบอร์แมนตัวหนึ่งอาจจะกัดหมาป่าในป่าไม่ได้สักตัว แต่กัดคนแล้วไม่ได้ห่วงหน้า พะวงหลังเหมือนหมาป่าแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงลองปรับสภาพจิตใจ นึกถึงเวลาพูดคุยกับสุนัขขนาดใหญ่ที่เป็นลูกน้องของเสี่ยวไป๋อยู่เงียบๆ และแอบปลอบตัวเองในใจตลอดว่า หมาตัวใหญ่ท่าทางอันตรายกว่านี้ยังไม่ทำอะไรฉัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมาป่าที่กลัวคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหรอกมั้ง?
การแอบบอกตัวเองในใจค่อยๆ ได้ผล เขานึกถึงสุนัขใหญ่ท่าทางดุร้ายพวกนั้น ขอแค่คุ้นเคยกับมันแล้ว พวกมันก็ต่างอะไรกับสุนัขอ่อนโยนอย่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ตอนดีใจจะกลิ้งอยู่ตรงหน้าคุณเหมือนกัน ตอนได้กินอาหารเป็นรางวัลก็ร่าเริงเหมือนเด็กได้เครื่องเล่นเกม
เหงื่อบนหน้าผากและบนตัวของเขาค่อยๆ ถูกลมพัดจนแห้งแล้ว
การเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย แม้เขาจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่ก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นช้าลง ไม่ได้หายใจกระชั้นขนาดนั้นแล้ว สายตาที่มองไปยังหมาป่าก็ไม่ได้มองมันเป็นสัตว์ป่าอันตรายตัวหนึ่งอีก แต่มองมันเป็นสุนัขจรจัดที่หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในที่รกร้างตัวหนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง หมาป่ารู้สึกว่าพวกภูตสัตว์เลี้ยงไม่ได้คิดที่จะจู่โจมมัน บวกกับที่มันเสียกำลังไป ตอนนี้จึงละทิ้งความตั้งใจในการตีฝ่าวงล้อม และแลบลิ้นหอบอยู่กับที่
หลังจากใจเย็นลง มันก็มีแรงเหลือไปสังเกตโดยรอบ มันไม่แน่ใจการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของจางจื่ออัน แต่กลิ่นฮอร์โมนที่ลอยมาจากตัวของเขาทำให้มันรู้สึกว่าคนคนนี้กำจัดเจตนาร้ายต่อมันไปแล้ว ไม่ได้กำจัดแค่บนสีหน้าเหมือนในตอนแรก แต่กำจัดแบบที่ส่งออกมาจากในใจ
มันหันหน้ามามองเขา ที่ทำให้มันค่อนข้างประหลาดใจคือ คิดไม่ถึงว่าเขาจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นอย่างใจเย็นด้วยท่าทางผ่อนคลายมาก
จางจื่ออันนั่งลงไปแล้วจริงๆ เพราะด้วยความสูงของเขา ยืนขึ้นมาจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้มัน ในชีวิตตามความเป็นจริง ถ้าเจอคนตัวสูงแบบเหยาหมิง ถึงแม้เหยาหมิงยิ้มแย้มแจ่มใส คนทั่วไปก็ได้รู้สึกกดดันอยู่บ้าง
ถึงนั่งลงแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาลดความระมัดระวัง ความจริงแล้วเขากอดเต็นท์ที่พับอยู่ข้างหลังไว้ที่หน้าอกเพื่อเป็นโล่กำบัง ระหว่างเต็นท์และหน้าอกยังซ่อนสเปรย์ป้องกันหมีเอาไว้ ถ้ามันพุ่งเข้ามากัดเขาจริงๆ เขาจะไม่ลงมือเอาคืน แต่จะใช้เต็นท์ยัดส่งเข้าไปในปากมันก่อน แล้วค่อยพ่นสเปรย์เข้าไปในตา
อยากจะทำร้ายมันและอยากจะปกป้องตัวเอง สภาพจิตใจสองอย่างนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลิ่นฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาก็แตกต่างกันด้วย ดังคำพูดที่ว่า ’จิตใจทำร้ายคนอื่นไม่ควรมี จิตใจระวังคนไม่ควรขาด’
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังขยิบตาให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงครั้งหนึ่ง บอกให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงนั่งลงด้วย
พวกภูตสัตว์เลี้ยงไม่เข้าใจวิธีคิดของเขา รู้สึกว่าวิธีของเขาสะเพร่าเกินไป แต่พวกมันอยู่กับเขามานานขนาดนี้ รู้ว่าเขาไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ถึงอย่างไรก็เป็นคนมากด้วยกลอุบาย ดังนั้นจึงนั่งลงพักเหนื่อยกันอย่างต่อเนื่อง
ที่ตรงนี้สงบลงแล้ว ทีแรกยังได้ยินเสียงหอบหายใจอยู่บ้าง ต่อมาแทบจะเงียบเชียบโดยสิ้นเชิง
จางจื่ออัพยายามนเลี่ยงไม่ให้สบเข้ากับสายตาของหมาป่า เดี๋ยวก็เงยหน้ามองท้องฟ้า เดี๋ยวก็มองเข้าไปในป่าอย่างเบื่อหน่าย
ผ่านไปนานแล้ว พวกภูตสัตว์เลี้ยงเห็นหมาป่าตัวนี้ไม่คิดที่จะจู่โจม จึงพากันหาวฟอดหนึ่ง
บรรยากาศตึงเครียดหายไปแล้ว
เขาแปลกใจกับหมาป่าหนุ่มตัวนี้มาก อยากรู้ว่าทำไมมันถึงต้องกัดแมวพวกนี้ มีคนให้มันทำอย่างนี้หรือเปล่า?
เขาอยากคุยกับมันอย่างสันติ แต่ก็รู้ว่ามันไม่สามารถตอบเขาเป็นคำพูดได้ จึงคิดว่าการกระทำของตัวเองในตอนนี้เสียเวลาทีเดียว ประโยชน์อยู่ตรงไหนล่ะ?
หรือลองผูกมิตรไหม?
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า การสุนัขพัฒนามาจากการฝึกหมาป่า แต่ไม่ได้มีต้นกำเนิดอยู่ที่แอฟริกาเหนือหรือตะวันออกกลางเหมือนแมว และคนโบราณทั่วโลกต่างก็พากันฝึกสอนหมาป่า ดังนั้นการฝึกสอนหมาป่าควรจะง่ายกว่าการฝึกแมวเล็กน้อย
เขาไม่ขอฝึกหมาป่าตัวนี้ อย่างนั้นเสียเวลาและเสียแรงเกินไป แล้วก็ไม่มีประโยชน์ด้วย ถึงแม้ฝึกแล้วก็ยังพามันไปตามอำเภอใจไม่ได้…แต่ผูกมิตรยังมีความเป็นไปได้ ในประวัติศาสตร์มีตำนานที่คนเป็นเพื่อนกับหมาป่าไม่น้อย และมีนิทานของท่านตงกัวกับหมาป่า สิ่งเหล่านี้อธิบายว่าคนโบราณมักจะอยู่ร่วมกับหมาป่า หมาป่าไม่ได้เห็นหน้าแล้วคิดอยากกินคนเลย แม้ความจริงของตำนานและนิทานพวกนี้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่น่าจะไม่ได้แต่งขึ้นมาลอยๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาก็หยิบแท่งโปรตีนอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ของสิ่งนี้ไม่ได้มีแค่คนที่กินได้ เป็นอาหารของพวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ได้เช่นกัน ส่วนผสมของมันมีน้ำตาลน้อยจนแทบไม่มี
เขาไม่ได้กินคนเดียว ยังโยนไปให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงที่กำลังหิวด้วย ทุกคนกินด้วยกัน
หมาป่าแอบตะลึงกับการกระทำของพวกเขา และกลิ่นหอมของอาหารก็ทำให้มันน้ำลายสอ
“นายอยากกินไหม?”
จางจื่ออันโยนแท่งโปรตีนไปให้มันอันหนึ่ง แท่งโปรตีนกลิ้งอยู่บนพื้นสองสามครั้ง ก่อนจะตกลงตรงหน้ามัน
มันถอยหลังสองสามก้าวอย่างเคร่งเครียด พลางจับจ้องแท่งโปรตีนเหมือนจ้องของอันตรายบางอย่าง
ผ่านไปสิบกว่าวินาที แท่งโปรตีนก็ไม่ได้แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดแยกเขี้ยว แต่กลับ…ส่งกลิ่นหอมมาก