แมวตายสี่ตัวเมื่อวานหนีแล้วถึงเสียเลือดตาย ไม่ได้ตายในที่เกิดเหตุ อาจจะเป็นเพราะสัตว์ป่าตัวนั้นหรือฝูงนั้นเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ ลงมืออย่างเ**้ยมโหด ส่วนมีแมวบาดเจ็บหนีไปได้ไหม นั่นก็พูดยาก
การหาเบาะแสยังต้องพึ่งสัมผัสทั้งห้าของพวกภูตสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก ส่วนจางจื่ออันรับหน้าที่ตรวจสอบศพแมวพวกนี้ทีละตัว ดูว่าพอจะหาเบาะแสบางอย่างเจอจากศพได้หรือเปล่า
“ฟู่! ทำเอาข้าตกใจแทบตาย!”
หลังจากพวกภูตสัตว์เลี้ยงแยกย้ายไปแล้ว ริชาร์ดที่ยืนอยู่บนไหล่ของเขา ก็ใช้ปีกลูบหน้าอกของตัวเอง แล้วพูดด้วยความกลัว
“กึ๋นนกของนายไม่เล็กเลยนะ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดขนาดนี้” เขาหัวเราะเยาะ
“แกว๊กๆ! ท้าทายความเป็นความตาย ต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้! แต่เรื่องนี้เอ็งทำไม่ถูกที่นะ ในฐานะที่เป็นนกเหมือนกัน ต้องยืนกรานยึดมั่นตามความเป็นธรรม” ริชาร์ดทำท่าทางวิจารณ์
“อะไรนะ? ทำไมฉันถึงเป็นนกเหมือนกันล่ะ?” เขาตะลึง
“แกว๊กๆ! พวกเขาไม่ได้เรียกเอ็งว่าไก่อ่อนเหรอ? เอ็งยังกล้าปฏิเสธอีก?”
“เชี่ย! ใครกล้าเรียกอย่างนั้น ฉันจะจับพวกเขากดน้ำให้ตายทีละคนเลย!”
ปากก็พูดเล่นเรื่อยเปื่อย แต่ในมือเขาไม่ว่างเลย เขาใส่ถุงมือพลิกขาสี่ข้างของศพแมว หาขนของสัตว์ป่าตามซอกกรงเล็บได้จริงๆ กระทั่งรอยเลือดส่วนหนึ่ง น่าเสียดายที่ยังดูไม่ออกว่าเป็นสัตว์อะไร
หญ้ามากมายตรงกลางที่ว่างถูกทับจนเรียบเป็นวงกว้าง เห็นได้ชัดว่าเคยเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดที่นี่ แมวพวกนี้ไม่ได้นั่งรอความตาย ด้วยการเคลื่อนไหวและสายตาของพวกมัน ถึงแม้เผชิญหน้ากับสัตว์ป่าขนาดใหญ่กว่าพวกมันมากก็กล้าต่อสู้ อาศัยจำนวนมากกว่า ต้องทำให้ศัตรูบาดเจ็บได้แน่นอน
“ฉันหากลิ่นของสัตว์ป่าตัวนั้นเจอแล้ว น่าจะเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง!” เฟยหม่าซือพูดอยู่ไกลๆ
“มีแค่ตัวเดียวเหรอ” จางจื่ออันถาม
เฟยหม่าซือพยักหน้า ก่อนหน้านี้ที่เห็นหมาป่าฆ่าหมาป่าไคโยตีตัวนั้น มันก็จำกลิ่นของหมาป่าตัวนั้นไว้แล้ว
“งั้นก็ตามไปดูเถอะ”
พอได้รับการอนุญาตของเขา เฟยหม่าซือก็รับหน้าที่นำทางอีกครั้ง มุดตามกลิ่นที่หมาป่าทิ้งไว้ แล้วเข้าไปในป่า
เสวี่ยซือจื่อบ่นไม่หยุด ให้เฟยหม่าซือวิ่งช้าๆ หน่อย เพราะมันตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน
แม้เมื่อวานจางจื่ออันคิดว่าเรื่องแมวถูกสัตว์ป่ากัดตายค่อนข้างน่าสงสัย แต่เพราะเรื่องหารังโจรของหลี่ผีเท่อและช่วยเหลือเมแกนสำคัญกว่า จึงคิดจะเพิกเฉยไปก่อน ทว่าถ้าวันนี้ไม่จัดการเรื่องตรงหน้า พวกภูตสัตว์เลี้ยงอาจจะรู้สึกไม่พอใจ อย่างนั้นก็ยิ่งลำบาก ความสามัคคีกันถึงจะเป็นกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ฝูงกวางที่ตามอยู่ข้างหลังก็ได้กลิ่นหมาป่าเหมือนกัน แต่หมาป่าหายไปจากผืนป่านี้เกือบร้อยปีแล้ว ฝูงกวางรู้สึกว่ากลิ่นนี้มาจากสัตว์ป่าบางชนิด แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ป่าชนิดไหน ด้วยเหตุนี้แม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ยังคงตามจางจื่ออันต่อไป
เฟยหม่าซือมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พลางก้มหน้าดมกลิ่นของหมาป่าตัวนั้นไปด้วย และนำทีมเดินเข้าไปในหนองน้ำแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
หนองน้ำนี้ตั้งอยู่ด้านหลังเนินเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง บังลม อากาศร้อนอบอ้าว พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง มีเถาวัลย์มากมายพันเหมือนยุคจูราสิค ทางที่พอเดินได้แทบจะไม่มีเลย ถ้าไม่ปีนข้ามเถาวัลย์ ก็ต้องลอดผ่านไป
ที่นี่บีบให้ทั้งทีมเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า
รอบๆ นี้นอกจากเถาวัลย์ก็มีแต่เถาวัลย์ จางจื่ออันยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร แต่เฟยหม่าซือกลับรู้สึกว่าแปลกๆ ตั้งแต่ทีแรก ทีมเหมือนจะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนตลอดเวลา กลิ่นจึงปิดตายอยู่ที่นี่แล้ว
“เมี๊ยวๆๆ? มีกลิ่นเพิ่มขึ้นมาอีก…”
ตอนนี้เอง เสวี่ยซือจื่อที่เดินโซเซอยู่หลังสุดก็พลันรู้สึกเหมือนเกิดไฟฟ้าสถิตทั่วร่าง เหมือนเห็นสิ่งของน่ารังเกียจ ร่างกายจึงตอบสนองถึงความรู้สึกขยะแขยง แต่ปฏิกิริยาแบบนี้มักจะหมายความว่าสัตว์ตัวผู้ที่น่ารังเกียจกำลังแอบเข้าใกล้ อาจจะอยากยื่นมือหมูเค็มมาสัมผัสมันด้วย
จากนั้นก็มีกลิ่นคาวมาเตะจมูก มันเบิกตาสีฟ้าแวววาวจนกว้าง ก็เห็นหมาป่าที่ตัวใหญ่กว่ามันมากตัวหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แถมยังแยกเขี้ยวแหลมส่องประกายความน่ากลัวด้วย
เสวี่ยซือจื่อไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ มันเห็นสถานการณ์คับขัน ไม่ถอยแต่เดินหน้า กลิ้งลอดใต้ตัวของหมาป่าตัวนั้น ตอนกลิ้งไปถึงใต้ท้อง มันยังกางเล็บแมวออกมาจนสุดแล้วข่วนไปด้วย
“ถุยๆๆ! ขนยาวไม่เป็นระบียบ ยังคิดจะเอาเปรียบข้า!”
ดีที่แขนของเสวี่ยซือจื่อสั้น แต่ขาหลังของหมาป่ายาว ไม่อย่างนั้นคราวนี้…บนโลกคงจะมีขันทีเพิ่มขึ้นมาอีกคน
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ขาหลังข้างหนึ่งของหมาป่าก็ถูกเล็บของเสวี่ยซือจื่อข่วนเป็นรอยเลือด เจ็บจนต้องร้องครวญคราง ขากะเผลกน้อยๆ ไปในทันที
พวกจางจื่ออันที่เดินอยู่ข้างหน้าพบว่าข้างหลังเกิดเรื่อง จึงรีบหันกลับมา และเห็นหมาป่าหนุ่มตัวนี้กำลังพยายามหนี
ไม่ต้องให้เขาสั่ง พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็เข้าล้อมมันจากทุกทิศทันที เพื่อกันไม่ให้มันหนีไป
“เสวี่ยซือจื่อ เธอโอเคไหม?” จางจื่ออันถามอย่างมีมารยาท
“เฮอะ ข้าผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเท่าไรแล้ว? จะเรือล่มในหนองน้ำเล็กๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?” เสวี่ยซือจื่อกลอกตามองบน “แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าตัวนี้กล้าคิดไม่ชอบธรรมกับข้า ต้องตอนตามกฎ!”
“เดี๋ยวก่อน เธออย่าเพิ่งขยับ”
จางจื่ออันวางกระเป๋าสะพายลง แล้วหยิบกล่องยาออกมา ก่อนจะหยิบผ้าชุบแอลกอฮอล์ออกมาผืนหนึ่ง
“ทำอะไร?” เสวี่ยซือจื่อสงสัย
“เช็ดกรงเล็บเปื้อนเลือดของเธอไง”
จางจื่ออันรู้ว่าเสวี่ยซือจื่อไม่เหมือนกับแมวทั่วไป พอว่างก็ชอบเลียกรงเล็บตลอด ปกติก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ตอนนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพื่อระงับความเป็นไปได้ทุกอย่างที่จะติดเชื้อโปรตีนพรีออน
เสวี่ยซือจื่อไม่ค่อยยินยอมนัก แต่ระหว่างทางก็ได้ยินเรื่องโปรตีนพรีออนมาพอสมควร จึงกลั้นใจให้เขาเช็ดเลือดหมาป่าบนกรงเล็บดีกว่า
จางจื่ออันใช้ปลายรองเท้าขุดหลุมเล็กๆ แล้วฝังผ้าชุบแอลกอฮอล์เปื้อนเลือดลงไปในดิน คราวนี้ถึงจะมีเวลาสังเกตหมาป่าหนุ่มตัวนี้อย่างละเอียด
หลังคอและข้างหลังของมันมีขนถูกดึงทึ้งไปหลายจุด เผยให้เห็นเนื้อข้างใน ด้วยเพราะถูกข่วนจนเลือดออกอยู่หลายจุด แม้แต่บนหน้าของมันก็มีรอยกรงเล็บสองสามรอย เห็นได้ชัดว่าเป็นแผลที่ได้จากการต่อสู้กับแมวพวกนั้น แผลพวกนี้เป็นแผลเล็ก ไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหว แต่มีแผลสาหัสเล็กน้อยจากฝีมือของเสวี่ยซือจื่อ
หลังจากถูกพวกภูตสัตว์เลี้ยงล้อมไว้ มันก็คำรามเสียงต่ำจากความเครียด สายตามองผ่านบนหน้าผากของภูตสัตว์เลี้ยงแมวทีละตัว ราวกับหาเป้าหมายไม่เจอ ก่อนที่สายตาจะตกลงที่ตัวของเสวี่ยซือจื่อ
“ไม่ต้องกลัว พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ทำร้ายนายหรอก” จางจื่ออันแบมือทั้งสองข้าง บอกให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงถอยไปหน่อย อย่าประชิดตัวมันมากเกินไป เพราะจะทำให้มันเครียดเอาได้
เขาพยายามรักษาน้ำเสียงให้สงบนิ่งและใจเย็นมากที่สุด ส่งความรู้สึกสงบไปให้มัน แต่ก็เตรียมหยิบปืนช็อตไฟฟ้าหรือสเปรย์ป้องกันหมีออกมาป้องกันตัวตลอดเวลา
แม้หน้าตาภายนอกจะเหมือนกับสุนัข แต่แววตาของหมาป่าหนุ่มเต็มไปด้วยพลังชีวิตของสัตว์ป่า แตกต่างกับสัตว์เลี้ยงในบ้านโดยสิ้นเชิง
ทีแรกมันคิดจะหนี แต่ไม่ว่ามันพยายามหนีไปทางไหน ก็จะมีภูตสัตว์เลี้ยงขวางมันไว้ตลอด ภูตสัตว์เลี้ยงพวกนี้ไม่เหมือนแมวที่มันจู่โจมก่อนหน้านี้ เพราะไม่กลัวมันเลยด้วยซ้ำ
ตีฝ่าวงล้อมล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าหนีไม่รอดแล้ว