Ch.4 – หัวหน้าอัศวิน ฮิวส์ตัน
Translator : Alonenekochan / Author
หัวหน้าอัศวินแห่งเมืองป้อมปราการคราซเซล ฮิวส์ตัน
หากจะให้เล่าถึงวีรกรรมของเขาล่ะก็ ยาวนัก
ประมาณ 20 ปีที่แล้ว เขาในตอนนั้นซึ่งมีอายุ 13 ปี ได้เข้าร่วมรบสงครามในฐานะอัศวินฝึกหัด ในสงครามครั้งแรก เขาได้ถูกส่งไปยังแนวหน้า ได้ลิ้มรสถึงสมรภูมิที่เต็มไปด้วยคาวเลือดและความปราชัย ท่ามกลางเพื่อนร่วมรุ่นที่ล้มหายตายจากหมดไป ฮิวส์ตันผู้โชคดีที่สามารถมีชีวิตรอดได้นั้น ก็เริ่มสะสมประสบการณ์ในการรบทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุด 10 ปีต่อมาเขาก็ได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยขนาดกลางได้สำเร็จ
สงครามหลังจากที่เขาเป็นหัวหน้าหน่วยนั้น ยิ่งดุเดือดรุนแรงราวกับนรกบนดิน
เป็นสงครามที่โหดร้ายเหลือคณา
ตั้งแต่นายพลยันผบ.ทัพใหญ่ ต่างตายเป็นใบไม้ร่วงในสงคราม มีการปรับเปลี่ยนสายบัญชาการหลายหน ความวุ่นวายโกลาหลได้เกิดขึ้นในกองทัพ และในตอนที่กำลังพลสูญเสียไปเกินกว่า 60% นั้น เหลือเพียงฮิวส์ตันที่เป็นหัวหน้าหน่วย ที่สามารถสั่งการแทนได้
『ดูเหมือนว่า จะไม่มีผู้บัญชาการคนอื่นเหลือ นอกจากเธอแล้วล่ะ』
หลังจากที่ได้ยินแพทย์สนามพูดเช่นนั้น เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายบ้าบออะไรกัน
แต่เขาก็รับบทบาทหน้าที่นั้น
เขารวบรวมทหารที่เหลือรอดประมาณ 40% ถอยทัพได้อย่างปลอดภัย โดยแทบไม่สูญเสียกำลังรบเลย
พรสวรรค์ที่เบิกบาน……ทำให้เขาสามารถชี้นำกองทัพขนาดใหญ่ได้
แม้ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องการถอยทัพนั่น จะสำเร็จได้เพราะโชคเสียมากกว่าก็ตาม
ถึงกระนั้น ผลงานของเขาก็ถูกประเมินค่าไว้สูง ฮิวส์ตันจึงได้กลายเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาการกองกำลังต่อต้านออร์ค
กองกำลังต้อต้านออร์คเป็นกองทัพที่ใช้ต่อกรกับการผนวกกำลังของกองทัพออร์คและพวกแฟรี่
หลังจากเป็นผู้ช่วยผบ. ได้ประมาณห้าปี ผบ.ก็เกิดตายในสนามรบขึ้นมา เขาจึงได้ขึ้นเป็น ผบ. สั่งการแทน รับหน้าที่นั้นจนกระทั่งสงครามได้สิ้นสุดลง
ฮิวส์ตันได้ทำสงครามกับออร์คในฐานะ ผบ. ร่วม 10 ปีได้
เนื่องจากต้องทำสงครามกับออร์ค เขาจึงได้ทุ่มเทในเรื่องต่างๆ อย่างสุดสามารถเท่าที่ทำได้
รวบรวมข้อมูลต่างๆให้ได้มากสุดเท่าที่ทำได้ เค้นปัญญามากสุดเท่าที่ทำไหว ในช่วงตอนออกไปสู้รบในแนวหน้า เขาก็ต่อสู้โดยเดิมพันด้วยชีวิต
ด้วยผลลัพธ์นั้น ทำให้เขาเป็นชายผู้ที่สามารถสังหารออร์คได้มากสุดในหมู่มวลมนุษย์ด้วยกันเอง
จนมีบางคนเรียกขานเขาว่า
『ฮิวส์ตันผู้สังหารสุกร』
แม้ช่วงหลังสงครามเอง เขาก็ไม่โอนอ่อนต่อพวกออร์ค
โดยเฉพาะตอนที่เขาพบกับออร์คหลงฝูง (ถูกขับไล่) นั้น เขาจะไม่ปรานีเลย ไม่ว่าออร์คที่หลงฝูงตนนั้นจะอ้อนว้อนขอชีวิตเพียงใด เขาจะสังหารโดยไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น ด้วยภาพลักษณ์นี้เอง ทำให้บรรดาคนที่ได้เป็นอัศวินในช่วงหลังสงคราม เกิดความเคารพยกย่อง เคียงคู่ไปกับความหวาดกลัว
แต่ในความเป็นจริงนั้นเอง หากพูดถึงทัศนคติต่ออร์คแล้ว ฮิวส์ตันกลับเป็นคนที่มีความรู้สึกตรงไปตรงมาผิดจากฉายาที่ถูกโจษจันเป็นอย่างมาก
ไร้ซึ่งความลำเอียง ไร้ซึ่งการแบ่งแยก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับออร์ค เขาไม่ได้รังเกลียดหรือโกรธแค้นอะไรเลย
เนื่องจากเขาคือคนที่รอบรู้เรื่องออร์คมากที่สุด
เพราะรู้อย่างละเอียดจากการต่อสู้มาร่วม 10 กว่าปียังไงล่ะ
ในตอนที่เขายังเป็นผู้ช่วยผบ. เพื่อสามารถฆ่าออร์คได้อย่างได้ผล เพื่อระงับความเสียหายจากการเผชิญหน้ากับออร์คให้ได้น้อยที่สุดเท่าที่ทำใด้ เขารับรู้ได้ว่า ความรู้เกียวกับออร์คเป็นสิ่งที่จำเป็น
ในตลอดช่วงสงครามนั้น เขาได้ศึกษาเรื่องออร์คมากกว่าผู้ใด จากการเฝ้าสังเกตุ ศึกษาจากบันทึกในอดีต และสอบปากคำยามจับตัวพวกออร์คได้
ด้วยวิธีต่างๆนั้น ทำให้ฮิวส์ตันได้เข้าใจเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ออร์คนั้นเป็นนักรบที่เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีที่สูงส่ง ต่างจากสามัญสำนึกที่ตนเคยมี
แน่นอนว่าความรู้สึกนั้นไม่ได้มีแต่ความคิดด้านบวกเสมอไป
เขาเองก็มีความรู้สึกแย่ๆ เรื่องที่ว่า ลูกน้องและสหายศึกถูกเข่นฆ่าไปเช่นกัน
แต่สงครามก็ได้จบลงไปแล้ว เคียดแค้นเกลียดชังกันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร กลับกันเขายังเคารพในตัวตนพวกเขา(ออร์ค)เสียอีก
การที่เขาเข้มงวดกับพวกออร์คหลงฝูงนั้น เพราะพวกออร์คหลงฝูงเป็นตัวตนที่น่ารังเกลียดที่สุดยังไงล่ะ
ตัวตนที่เลือกใช้ชีวิตตามใจอยากตัวเอง ไม่ยอมเชื่อฟังตามกฎระเบียงของพวกเดียวกัน เจ้าพวกนั้นถึงแม้จะด้อมๆมองๆใกล้เมืองของมนุษย์ คงไม่อาจทำตามกฎของมนุษย์ได้อย่างแน่นอน
ผู้ใดที่มิอาจปฎิบัติตนตามสังคมคนส่วนใหญ่ได้นั้น ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานนักหรอก
มีเพียงแค่โทษประหารเท่านั้น ไม่มีการโอนอ่อนให้
ถึงจะมีภาพลักษณ์เช่นนั้น แต่หลังสงครามจบ เขาก็ได้รับยศอัศวิน ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าอัศวินเมืองคราซเซล
คงมีความเห็นว่า หากให้เขาเป็นผู้บัญชาการที่แนวหน้าล่ะก็ อย่างน้อยหลายปีต่อจากนี้คงไม่เกิดสงครามกับพวกออร์คเป็นแน่ และต่อให้เกิดสงครามขึ้นจริง เขาก็คงป้องกันเมืองคราซเซลได้แน่
「ว่าไงนะ? จับตัวผู้ต้องสงสัยคดีลอบโจมตีที่ถนนได้แล้วงั้นหรือ?」
ในวันหนึ่ง เขาได้รับรายงานเรื่องหนึ่งจากลูกน้อง
「ครับ ดูเหมือนคนร้ายจะเป็นออร์คครับ」
「หากเป็นออร์คหลงฝูงล่ะก็ ฉันสั่งให้ฆ่าไปได้เลย ไม่ใช่หรือไงกัน……?」
ฮิวส์ตันที่ได้รับรายงานจากลูกน้อง เอียงคออย่างฉงน
จากข้อตกลงที่ทำไว้กับออร์คคิง หากเจอออร์คที่ถูกเนรเทศจากประเทศล่ะก็อนุญาติให้ฆ่าได้ก็ตาม
แต่สำหรับฮิวส์ตันแล้ว เขาอยากให้ออร์คพวกนั้นกลับไปรับโทษที่ประเทศตัวเองเสียมากกว่า แต่เนื่องจากออร์คเองก็มีกฎหมายของออร์คอยู่ เลยจำใจยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้
「แต่จากการตอบคำถามที่ตรงไปตรงมาแล้ว มีโอกาสที่อาจไม่ใช่ออร์คหลงฝูงก็เป็นได้ครับ」
「งั้นก็ปล่อยตัวไปซะสิ น่าสงสารจะตาย」
「คือเรื่องนั้น… ดูเหมือนท่านจูดิสจะบอกว่ามีเรื่องน่าพิรุธอยู่นะครับ……」
「ยัยเด็กบ้านั่น หากเกิดสงครามกับออร์คขึ้นมา จะรับผิดชอบไหวหรือไง……」
จูดิสเป็นอัศวินหญิงที่รับผิดชอบคดีเกี่ยวกับการลอบโจมตีที่เกิดขึ้นในป่า
หลังเข้าประจำการใหม่มาปีหนึ่ง เห็นท่าว่าชินกับการงานแล้ว เลยมอบหมายให้ดูแลคดีหนึ่งไป
เป็นคดีที่ดูเหมือนจะจบแล้วก็เถอะ ไม่รู้ว่าคนร้ายมีกึ๋น หรือว่าจูดิสไร้ความสามารถเองกันแน่ คดีนั้นจึงยังไม่ได้ข้อสรุปเสียที
แถมหลังๆ ก็ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอีก
อยากให้ช่วยทำยังไงก็ได้ รีบๆสร้างผลงานซะที อยากพิสูจน์ว่าตนไม่ได้ไร้ความสามารถไม่ใช่หรือไง
「แล้วนายคิดยังไงล่ะ?」
「นั่นสิครับ จริงอยู่ที่มีจุดน่าสงสัยอยู่พอควร แถมยังไม่บอกเรื่องเป้าหมายของการเดินทางด้วย ไหนจะมีแฟรี่ติดตามมาด้วย ไหนเรื่องที่โดนล้อมแล้วยังใจเย็นได้อีก เจ้านั่นอาจจะเป็นสปายก็เป็นได้ครับ」
「ฮึ……」
ฮิวส์ตันเผลอหลุดขำออกมา
ทหารคนนี้ยังหนุ่มนัก แถมไม่เคยเข้ารวมสงครามด้วย
เพราะอย่างนั้นเลยไม่รู้ว่าออร์คเป็นเผ่าพันธุ์เช่นไรล่ะนะ
หากรู้เรื่องออร์คอย่างดีล่ะก็ คำว่าสปายนั้นห่างไกลจากความคิดของออร์คนัก
「ท่านฮิวส์ตัน ไม่ใช่เรื่องที่น่าขำเลยนะครับ เจ้านั่นอุตสาห์ยอมให้เราจับแต่โดยดี อาจจะต้องการมาสอดแนมข้อมูลจากภายในก็ได้นะครับ!」
「โง่หรือไง พวกออร์คมันไม่ทำตัวอย่างนั้นหรอก ถ้าจะมาสอดแนมข้อมูลล่ะก็ แฟรี่มันมาแค่ตนเดียวแล้วล่ะ」
แต่เรื่องออร์คที่ฮิวส์ตันรู้นั้น ไม่ใช่พวกที่ยอมให้จับกุมแต่โดยดีอยู่แล้ว
แม้จะมีเพียงตนเดียวก็คงเปิดฉากตีฝ่าทะลวงวงล้อมไปแล้ว และต่อให้จัดการได้ทุกคนก็เถอะ เจ้านั่นคงข่มขืนจูดีสแล้วรีดไถข้อมูลเป็นแน่
การกระทำอย่างเข้าไปล้วงข้อมูลของอีกฝ่ายจากภายในนั่นน่ะ พวกออร์คทำไม่ได้หรอก
อยากมากที่ทำได้ ก็แค่มาสอดแนมด้อมๆมองๆ อยู่ใกล้ๆเท่านั้นแหละ
การสืบว่าศัตรูตั้งฐานตรงไหน มีกี่คน ใช้อาวุธอะไรหอกหรือธนู เรื่องพวกนี้เอง พวกออร์คก็ทำกันบ่อย
จะมีเพียงข้อมูลเชิงละเอียด ที่ต้องเค้นจากปากมนุษย์อย่าง แผนการรบเท่านั้น ที่พวกเขาไม่สามารถสืบหาได้
แต่การที่ยอมให้จับแต่โดยดีโดยไม่ขัดขืนนี่ ดูเหมือนออร์คตนนั้นจะไม่ใช่ออร์คหลงฝูงแน่
คงเป็นออร์คที่มีเหตุผล เคารพกฎที่ออร์คคิงบัญญัติ เพียงต้องการญาติดีกับมนุษย์ล่ะมั้ง ถึงการที่ออร์คที่ชอบอยู่รวมเป็นกลุ่มจะออกมาเดินทางลำพังนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมากก่อนก็ตาม……แต่ออร์คเองก็มีหลากหลายไป จะมีจำพวกนั้นอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ดูเหมือนความจริงก็คือ ออร์คตนนั้นคงโดนจูดีสผลีผลามจับกุมอย่างแน่นอน
ฮิวส์ตันได้สรุปในใจเช่นนั้น
(แต่ เรื่องที่มีแฟรี่ติดสอยห้อยท้ายมาด้วยนี่ มันน่าติดใจอยู่เหมือนกันแฮะ)
ในช่วงสงคราม หากออร์คกับแฟรี่ทำงานร่วมกันเมื่อไร นั่นถือเป็นสัญญาการเริ่มทำสงคราม
แม้สงครามจะจบลงไปแล้ว แต่ด้วยประสบการณ์ในสงครามครั้งก่อน ทำให้เขาได้เตรียมตัวระวังภัยไว้ล่วงหน้า
「งั้น เดี๋ยวข้าจะไปพบหน้าดู」
ฮิวส์ตันพูดพลางลุกจากเก้าอี้
◇
ที่คุมขังนั้นอยู่ใต้ดินของที่ทำการอัศวิน
ในช่วงสงคราม เป็นสถานที่ที่มีเชลยจำนวนมากถูกกักขัง และอีกจำนวนมาก ถูกทรมาณจนตาย แถมช่วงปลายสงครามเองก็ยังเกิดโรคระบาด แพร่กระจายออกจากที่นี่ เป็นที่ที่แม้ถูกสั่งฮิวส์ตันก็ไม่คิดย่างกรายเข้ามาใกล้
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ถูกชำระจนสะอาดปลอดภัย รับบทบาทเป็นสถานที่กุมขังพวกอาชญากรโทษเบา
และในวันนี้เอง สถานที่นี้อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานของผลไม้จำพวกส้ม (น่าจะน้ำหอมของบักแบชมัน)
「เลิกทำเป็นเล่นตัว แล้วบอกเป้าหมายของการเดินทางมาได้แล้ว! มีเป้าหมายอะไรถึงไปเดินด่อมๆในป่านั้นกัน! ทำไมถึงมาที่คราซเซลนี่! แล้วแฟรี่ตัวนั้นมันอะไรกัน!」
ระหว่างที่เดินลงบันไดมายังห้องขัง ฮิวส์ตันได้ยินเสียงของจูดิสก้องไปมา
เสียงขู่กรรโชกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากอัศวินที่พึ่งบรรจุได้
การซักถามด้วยกิริยาแบบนั้น ออร์คที่ถูกจับอยู่คงไม่ตอบแต่โดยดีแน่
เพราะยังไงแแล้ว ออร์คน่ะ ไม่ชอบให้คนอื่น โดยเฉพาะผู้หญิงดูหมิ่นตนเอง
การที่โดนผู้หญิงขู่กรรโชก บังคับแบบนี้ ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอของออร์คส่วนมากมักจะไม่ปริปากแต่โดยดีแน่นอน
ฮิวส์ตันคิดพลางยิ้มเจือนๆ
อีกเดียวคำพูดที่ว่า 「ถ้าอยากให้พูดล่ะก็ คุยกันด้วยกำลังกันดีกว่า」ของออร์คตนนั้นคงปลิวว่อนออกมาเป็นแน่แท้
หากไม่ทำเช่นนั้นล่ะก็ ยังไงก็ไม่มีทางเปิดปากพวกเขาได้แน่
การสอบปากคำออร์คแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์
「เป้าหมายของการเดินทางเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าให้เจาะจงชัดๆก็คือกำลังหาของบางอย่างอยู่ ที่เดินทางในป่าก็เพราะว่า ทางนั้นมันสะดวกกว่า เหตุผลที่มายังเมืองนี้ก็คือ ของที่ว่านั้นอาจจะอยู่ที่เมืองนี้ก็เป็นได้ ส่วนแฟรี่นี้เองก็เป็นเพื่อนเก่าข้า พอรู้เป้าหมายของข้า เลยให้ความร่วมมือด้วยเท่านั้น」
แต่คำตอบที่เขาได้ยินกลับจริงจังผิดคาด
ฮิวส์ตันถึงกลับอุทาน 「โฮ่」ต่อคำตอบนั้น
การที่เลือดขึ้นหน้าเพียงเพื่อโดนบังคับขู่เข็ญนั้น มีแต่พวกออร์ควัยรุ่นเลือดร้อน ในบรรดาออร์คเอง โดยเฉพาะนักรบที่ผ่านสมรภูมิรบมามากมายแล้วนั้น ก็มีผู้ที่ไม่สนใจต่อคำพูดขู่กรรโชกอยู่เช่นกัน
หากเปรียบกับเสียงคำรามในสนามรบแล้ว (Warcry) แค่เสียงขู่กรรโชกทั่วไปแบบนี้ คงไม่ต่างอะไรกับการสนทนาตามปกติกระมั้ง
แต่เขากลับมีคำถามอื่นเพิ่มขึ้นมาในใจอีก
ทำไมออร์คผู้ที่เป็นนักรบเจนศึกถึงได้ออกจากประเทศตน เพื่อค้นหาบางอย่างกัน……
「ไอ้ของที่หาอยู่นั่นมันคืออะไร!? แล้วหาไปทำไม!?」
「เรื่องนั้น……ข้าไม่สามารถบอกได้」
「เพราะอะไรถึงไม่สามารถบอกได้! น่าสงสัย! แกกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่!」
เป็นของที่ถ้าบอกไปแล้ว อาจถูกแย่งชิงได้งั้นหรือ
หรืออาจของที่ว่านั้น ถ้าหากถูกล่วงรู้ว่าทำหายไป อาจทำให้ตกที่นั่งลำบากได้ ระหว่างที่ฮิวส์ตันคิดหาคำตอบที่มีโอกาสเป็นไป 2 ข้อ เขาก็ลงมาถึงหน้าประตูหน้าห้องขัง ฉับพลันเขาก็สังหรใจไม่ดีขึ้นมา
(เสียงนี้มัน……เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน……?)
ฮิวส์ตันเป็นผู้ที่มีลางสังหรอันเฉียบคม
สามารถพูดได้เต็มปากว่า การที่เขารอดจากสงครามมาได้ เพราะลางสังหรอันเฉียบคมของเขา
(กลับดีกว่าไหมนะ……)
ความรู้สึกเช่นนั้นจุกแน่นอยู่เต็มอก…… เสียงกระซิบจากด้านในนั้น ช่วยพาเขารอดพ้นมานักต่อนักแล้ว
ถึงจะรู้สึกไม่ดีเช่นไร แต่ตอนนี้เป็นยุคสงบสุข คงไม่มีเหตุการณ์อะไรเป็นภัยถึงแก่ชีวิตได้แน่
อีกอย่าง ขืนปล่อยจูดิสไว้แบบนี้ล่ะก็ มีหวังหล่อนทำเรื่องเสียเวลาต่อไปอีกเป็นแน่ เขาเป็นพวกเกลียดเรื่องที่เปล่าประโยชน์
ด้วยเหตุนั้น ฮิวส์ตันจึงได้เปิดประตูห้องขังเข้าไป
「จูดิส ทำเกินไปแล้วนะ เกิดลุกลามเป็นปัญหาระหว่างประเทศขึ้นมา จะทำยะ……แว๊ก!」
เขาเผลออุทานออกมาอย่างน่าขัน
ในขนาดเดียวกัน มีกระแสไฟฟ้าวิ่งตรงจากไขสันหลัง หัวใจกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ได้ยินเสียงเขาก้องตะโกนให้เขาวิ่งหนีไปซะ
ในหัว มีภาพความทรงจำตอนที่เขาเป็นผบ. กองกำลังต้านทานออร์คในช่วงสงครามใหม่ๆผุดขึ้นมา
สงครามครั้งนั้น เป็นสงครามที่ฝ่ายเขาควรคว้าชัยได้แน่ๆ
กำลังรบเองก็เหนือกว่าเป็นล้นพ้น แผนการรบเองก็ไร้ที่ติ
แต่กระนั้น ทัพหน้าเขากลับไม่สามารถบุกทะลวงทัพศัตรูได้ แถมยังถูกตีขนาบจากด้านข้างจนกองทัพถูกแยกจากกัน และระหว่างกำลังส่งกำลังเสริมไปช่วยทัพหน้า ทัพหลักดันโดนลอบโจมตีอีก
ไม่รู้ว่าแผนของเขาถูกอ่านออก หรือว่าเพราะความบังเอิญกันแน่ หน่วยที่ลอบโจมตีทัพหลักเขานั้น แม้จะมีจำนวนน้อย แต่มีแต่พวกนักรบหัวกะทิ โดยเฉพาะภาพออร์คผู้โบกสะบัดดาบใหญ่ที่อยู่ในหัวแถวนั้น ฮิวส์ตันไม่สามารถลืมได้
ออร์คตนนั้นฆ่ารอง ผบ. ผู้มั่นใจในฝีมือตนเองของเขาไป
ในช่วงที่สูญเสียลูกน้องไป ฮิวส์ตันได้สั่งให้ถอยทัพทันที เค้ายังนึกว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายเลยด้วยซ้ำ ตอนที่สามารถถอยทัพกลับฐานได้อย่างปลอดภัย
เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวถึงขนาดนั้น
แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ฝัน
เพราะว่า ฝันร้ายหนนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว
หลังจากนั้น เขาได้เผชิญหน้ากับออร์คตนนั้นอย่างไม่คาดคิด หลายต่อหลายรอบ จากมุมมองของฮิวส์ตันแล้ว เขาเห็นเพียงแค่ว่าออร์คตนนั้นมุ่งหมายที่จะพรากชีวิตตนให้จงได้
ถึงจะถูกเล็งอยู่จริงๆก็เถอะนะ หากสามารถกำจัดฮิวส์ตันที่เป็นผบ. ได้ล่ะก็ สามารถบั่นทอนกำลังใจของพวกทหารในกองทัพได้ยังไงล่ะ
ฮิวส์ตันไม่เคยคิดที่จะปะดาบกับออร์คตนนั้นเลยซักครั้ง
เขาเพียงแค่หนีออกจากสนามรบอย่างสุดกำลังเท่านั้น การที่เขารอดถึงขนาดนี้นี่พูดได้คำเดียวว่าเป็นปาฎิหารย์
ออร์คตนนั้น ไม่ว่าฝ่ายของตนจะเสียเปรียบเพียงใด ก็ยืนหยัดเผชิญหน้า
ไม่ว่าทัพฝั่งนี้จะใหญ่เพียงใด มีผู้แข็งแกร่งมากเพียงใด ก็เผชิญหน้าใส่อย่างไม่เกรงกลัว
ศึกตัดสิน ณ ที่ราบสูงเรเมียม เองก็เช่นกัน นักปราญช์ของมนุษย์ได้พามังกรมาร่วมสู้ในสนามรบ ในตอนที่แม้แต่เผ่าโอก้าและเดม่อนได้ถูกเผาเป็นเถ่าถ่าน เขาก็ยังคงปักหลักสู้กับมังกรตัวนั้นเคียงคู่กับสหายรบ
ฮิวส์ตันหลังจากเห็นภาพนั้น เขาถึงกับหลงใหลประทับใจ
ออร์คที่น่าจะป่าเถื่อนเลวทราม กลับสง่างามได้ถึงเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นถึงจำได้แม่น
ผิวสีเขียวเหมือนดั่งออร์คทั่วไป ร่างกายที่กำยำไปด้วยกล้ามเนื้อ รูปร่างแคระแกร็นกว่าออร์คปกติ
ตาแหลมคมดั่งเหยี่ยว ผมสีน้ำเงินแซมไปด้วยสีม่วง
แม้รูปร่างภายนอกจะไม่มีลักษณะพิเศษอะไรแตกต่างจากออร์คตนอื่น แต่ตนนั้นจำไม่ผิดอย่างแน่นอน
การที่เผชิญหน้าใกล้กันขนาดนี้ คงมีเพียงตอนทำพิธีสงบศึกกันเท่านั้น
ไม่สิ แม้แต่ตอนนั้นเองก็ไม่ได้ใกล้ถึงขนาดนี้ ยังเว้นระยะห่างร่วม 20 เมตรอยู่
แต่ระยะห่างตอนนี้นั้น อย่างมากไม่เกิน 5 เมตร
เป็นระยะสังหารล่ะ
แม้จะไม่ได้พกดาบใหญ่ที่มีขนาดความยาวเทียบเท่าความสูงตนอยู่ก็ตาม แต่ฮิวส์ตันทราบความสามารถของออร์คตนนี้ดี
เขานั้นสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วเทียบเท่ากับมนุษย์สัตว์ตอนจำแลงร่างสัตว์ สามารถฉีกกระชากเกราะทมิฬที่สร้างโดยคนแคระได้ด้วยมือเปล่า
เพราะเขาเห็นมาด้วยตาตัวเอง
ไม่ว่าใครต่างไม่เชื่อเรื่องที่เขาเล่า ผบ.คนเก่าที่ตายไปแล้วเองก็เช่นกัน
ออร์คตนนี้มีฉายาที่สะพรึงมากมาย
『นักรบคลั่ง』、『ผู้ทำลายล้าง』、『นักสังหารหมู่』、『วัวคลัง』、『กายาเหล็ก』、『ฝันร้ายแห่งผืนป่าชิพานาช』、『ภัยพิบัติสีเขียว』、『ผู้ตัดเศียร์มังกร』
และอีกมากมายหลายชื่อ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือคำเรียกขานถึงตัวตนเขา
และเขาเองก็ถูกเรียกขานในอาณาจักรออร์คว่า
『ออร์คฮีโร่』แบช
ออร์คผู้น่าหวาดหวั่นที่สุดนั้นอยู่ที่นี่
「……」
พอมองให้ดีๆแล้ว แฟรี่ที่แบชพาไปไหนมาไหนด้วยกันประจำตอนช่วงสงครามเองก็ ถูกพันด้วยเทปนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนโต๊ะเช่นกัน
เรื่องแฟรี่ตนนั้นเอง ฮิวส์ตันก็ล่วงรู้เป็นอย่างดี
แฟรี่ ที่หลังจากจงใจให้ศัตรูจับตัว ก็ใช้เวทมนตร์บางอย่างส่งสัญญาณให้แบชบุกทำลาย (TL : มันไม่ได้จงใจ มันโดนจับจริง แบชมันดมกลิ่นตามไปช่วยเฉยๆ)
แฟรี่ที่มีค่าดุจยารักษานั้น มีส่วนน้อยนักที่จะถูกฆ่าหลังจากโดนจับได้ เจ้านั่นใช้ประโยชน์จากความคิดของมนุษย์เช่นนั้น จงใจยอมให้จับ แล้วส่งสัญญาณเรียกตัวออร์คบ้านี่เข้ามาหา
ด้วยการกระทำเช่นนั้น จึงถูกเรียกว่า『นักล่อเหยื่อซิล』
「จะ จูดีสคุง……」
การที่ฮิวส์ตันส่งเสียงเรียกอย่างน่าสมเพชไม่หนีไปไหนนั้น เพราะเขาตกอยู่ในสายตาของผู้ใต้บังคับบัญชาการต่างหากล่ะ
เขาเป็นถึงหัวหน้ากองพันอัศวินของที่นี่ เป็นผู้บัญชาการ ผู้อยู่เหนืออัศวินและทหารทุกนาย แถมยังเป็นที่เคารพและรักใคร่ของพวกลูกน้องอีกด้วย เขาจึงไม่อยากทรยศต่อความเชื่อใจนั้น
หนำซ้ำ หากมองดีๆล่ะก็ แบชเองก็กำลังทำหน้าอิ่มเอิบใจกับการเป็นคู่สนทนาให้กับจูดิสอยู่เหมือนกัน
ดวงตาที่ราวกับยักษ์มารฆ่าทำลายล้างนั้นหรี่ลง ให้อารมณ์เหมือนกับคุณปู่ใจดีที่กำลังฟังหลานสุดที่รักพูดเอาแต่ใจอยู่อย่างไรอย่างงั้น
อ่า แม้แต่อสูรสงครามเองก็ทำหน้าแบบนั้นเป็นเหมือนกันสินะ ไม่ได้โมโหโทสะเป็นอย่างเดียว ใช่แล้วล่ะ ก็สงครามมันจบลงไปแล้ว มาถึงยุคแห่งความสันติแล้วล่ะนะ ดวงตาของแบชทำให้เขาคิดเช่นนั้น
แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องจริงที่ว่าแบชได้อยู่ที่นี่ตรงนี้
ฮิวส์ตันสูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งหน ระวังตัวเต็มที่ ค่อยๆย่องเข้าไปพลางพูดกับจูดิส
「กะ กำลังทำอะไรอยู่กัน?」
「ค่ะ! หลังจากได้รับเรื่องว่ามีคนถูกออร์คจู่โจมที่ป่าฟากตะวันตก ก็ได้ทำการสืบสวน ได้ข้อมูลมาว่ามีออร์คน่าสงสัยตนหนึ่งเข้ามาในเมือง จึงได้ตามรอยไป จนสามารถรวบตัวได้คาที่พัก ตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำอยู่ค่ะ」
「หืม……」
จับผิดตัวแน่ๆ ฮิวส์ตันสามารถเข้าใจได้ในทันที
หากเป็นแบชล่ะก็คงไม่เหลือผู้เห็นเหตุการณ์แน่นอน ถ้ามีความผิดจริงคงตีวงล้อมหนีไปนานแล้ว
ออร์คตนนี้ แค่วงล้อมประมาณ 100 คน คงตีฝ่ากระจุย หนีไปได้แบบสบายๆ
การที่เขาสามารถพูดฟันธงได้แบบนี้ ก็เพราะประสบการณ์ตรงนั่นเอง
「แม้จะยอมคลายข้อมูลส่วนใหญ่แล้วก็เถอะค่ะ จะมีก็เหลือแค่เป้าหมายของการเดินทางเท่านั้น ที่ไม่ยอมพูดซักที เห้ย! รีบๆคลายออกมาได้แล้ว เจ้าหมูตอนนี่!」
จูดิสกระชากคอเสื้อ(? บทเขียนว่าแถวๆ หน้าอก) ของแบชขึ้นมา
ฮิวส์ตันถึงกับเสียวสันหลังวาบ
「อ๊ะ เดี๋ยวก่อน หยุด อย่าทำอะไรรุนแรงนะ!」
เสียงห้ามปราบที่พูดออกมานั้นค่อนข้างน่าสมเพช
ก็แหงอยู่แล้วล่ะ แม้จะเป็นยุคแห่งสันติก็ตาม ก็ยังมีเรื่องโกรธเคืองกันได้อยู่ดี ยกตัวอย่างเช่น ตอนถูกตำหนิลากพามาขัง แล้วยังเจอเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ที่ไม่รู้จักสนามรบกระชากคอเสื้อ ทำตัวยะโสตะครอกใส่ตัวเอง
อย่างเช่นตอนนี้… เขาจะโกรธก็ไม่แปลกอะไร
「ข้าไม่มีอะไรจะตอบ」
แต่แบชก็ไม่ได้โกรธอะไร
แถมยังทำหน้าอิ่มเอิบ จมูกบานอีกต่างหาก
คาดว่า คงเป็นเพราะกลิ่นหอมจำพวกส้มที่มาจากระแวกห้องขังนี้ทำให้เขาจิตใจกระชุ่มกระชวยก็เป็นได้
แม้ออร์คจะทานได้ทุกอย่าง แต่เขากลับชอบผลไม้อย่างผิดคาด
ฮิวส์ตันวางแผนจะเลื่อนขั้นให้เป็นรางวัลสำหรับคำขอบคุณแก่ลูกน้องที่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ (TL: กลิ่นมันมาจากแบชเหวย 5555)
「อะแฮ่ม……จูดีสคุง ช่วยปล่อยเสื้อเขาด้วย แล้วค่อยๆถอยออกมาอยู่ข้างๆฉันซะ」
「เป็นอะไรหรือคะ? ทำไม『ฮิวส์ตันผู้สังหารสุกร』อย่างท่านถึงทำท่าทีอ่อนแอแบบนั้นด้วยล่ะคะ……」
「อย่าเอ่ยชื่อนั้นนะ!」
ชื่อที่สองของฮิวส์ตันนั้น เป็นชื่อที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับเหล่าออร์คเสียเท่าไร
หากเอ่ยชื่อนั้นตอนจับกลุ่มพวกออร์คหลงฝูงล่ะก็ จะถูกมองด้วยสายตาแค้นเคือง แถมผรุสวาทว่า 「แกคือผู้สังหารสุกรเองสินะ……ฆ่าแม่ง!」
『ผู้สังหารสุกร』นั้นเป็นชื่อที่มีความหมายลึกซึ่งกับพวกออร์คมาก
เอาเถอะ การถูกเรียกว่าหมูนั้น จะโมโหก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
「พูดอะไรอย่างนั้นคะ มาสั่งสอนเจ้าหมูตัวนี้ให้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของท่านฮิวส์ตันดีกว่าค่ะ ฟังให้ดีล่ะ ไอ้หมูตอน ท่านผู้นี้น่ะ คือผู้ที่สังหารออร์คในสงครามครั้งที่แล้วมากสุด ท่านผบ.ฮิวส์ตันไงล่ะ ออร์คอย่างพวกแกน่ะ แค่แคะขี้มูกแล้ว――」
ฮิวส์ตันตะโกนออกมา
เป็นเสียงกรีดร้องที่ออกมาจากจิตวิญญาณ
「หุบปาก! หากไม่หุบปาก เดี๋ยวพ่อตบดิ้นเลยนี่! รีบๆมายืนตรงนี้ได้แล้ว!」
「คะ ค่ะ!」
หลังจากจูดีสโดนฮิวส์ตันตวาดเอาให้ก็ก้มหน้าจ๋อยด้วยท่าทางงงๆ
คงเพราะไม่รู้ว่าตนโดนดุเรื่องอะไร หล่อนเลยทำตัวหดลีบให้เห็น ไว้ค่อยอธิบายทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้หันมาสนใจเรื่องแบชกันดีกว่า
「ซูดー……ฮ่าー……」
ฮิวส์ตันหายใจเข้าออกหนึ่งรอบ ก่อนจะหันไปทางแบชอีกครั้ง
ด้วยความที่จูดีสถูกสั่งให้ถอยออกมา ทำให้ตาของแบชแข็งกร่าวเหมือนกับเหยี่ยวดั่งปกติ ฮิวส์ตันที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับปากสั่นเครือขึ้นมา
「ขะ ขออภัยในความเสียมารยาทแทนลูกน้องด้วยครับ ยัยเด็กบ้านี่เป็นผู้รับผิดชอบคดีลอบทำร้ายตามถนน แถมช่วงนี้ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน เลยร้อนลนอยากทำผลงานให้ได้……อ๊ะ ขออภัยที่แนะนำตัวล่าช้าไป กระผม ฮิวส์ตัน เจล ผู้ดูแลกองทัพของเมืองนี้ครับ」
「ข้าชื่อแบช」
「กระผมรู้ชื่อของท่านมาก่อนแล้วน่ะครับ……」
「รู้จักข้าด้วยรึ?」
「เพราะได้เห็นหน้าตาของท่านในสนามรบมานักต่อนักแล้วน่ะครับ……」
พอได้ยินแบบนั้น แบชก็มองหน้าฮิวส์ตันอย่างจริงๆจังๆ หากจู่ๆจำหน้าขึ้นมาได้ หวังว่าคงไม่พุ่งเข้ามาโจมตี.. ไม่สิตัวเขาเองก็เป็นออร์คที่มีเหตุผลอยู่แล้ว
เชื่อในข้อสรุปครั้งแรกของตนซะ หากเขาคิดจะโจมตีล่ะก็ ปานนี้ห้องนี้คงชะโลมไปด้วยเลือดของพวกลูกน้องตนไปนานแล้ว จูดีสเองก็คงตาเหลือกไร้สติ มีน้ำสีขาวขุนไหลเจิงระหว่างขาเธอไปแล้วล่ะ
ระหว่างพูดปลอบใจตัวเอง ฮิวส์ตันก็ปั้นหน้ายิ้มขึ้นมา
ตลอดเวลา 30 ปีที่เขาทนทุกข์ทรมาณมานั้น เขาไม่เคยปฎิบัติแบบนี้กับออร์คตนไหนมาก่อนเลย ไม่สิ แม้แต่พวกเดียวกันเองด้วยซ้ำมั้ง
「หัวหน้าผู้บัญชาการฮิวส์ตันงั้นหรือ」
「……ครับ คนคนนั้นนั่นแหละครับ」
「เป็นอดีตที่น่าคิดถึงดีจริง ยังสบายดีอยู่สินะ?」
จู่ๆ แบชก็แยกเขี้ยวออกมา
ลักษณะท่าทางเหมือนกับข่มขวัญ แต่สำหรับชายผู้ที่รอบรู้เรื่องออร์คอย่างละเอียดเหลือผู้ใดอยางฮิวจ์ตันแล้ว เขาทราบได้ทันทีว่าการแสดงออกที่เหมือนข่มขู่เช่นนี้นั้นเป็นการยิ้มแบบธรรมดาของพวกออร์ค
เขาเริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาว่าอย่างน้อยก็สามารถเจรจาลุล่วงไปด้วยดีได้
「การที่เรื่องเลยเถิดไปจนถึงขนาดนี้ได้ ทั้งหมดเป็นความผิดพลาดของกระผมในฐานะผู้สั่งการเองครับ จะเป็นพระคุณมากหากท่านสามารถยกโทษให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้」
「ข้าเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร」
แบชพูดด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก แถมชะเง้อมองไปทางจูดิสด้วยท่าทีที่ดูเหมือนเสียดายอะไรบางอย่าง
ฮิวจ์ตันที่เห็นท่าทางแบบนั้น ก็ตีความได้ว่า 「แบชยังคงเคืองจูดีสอยู่ แต่ไม่ถึงกับต้องการฆ่าฟันอะไร」
ท่าทางที่แสดงออกให้เห็นแบบนี้ ราวกับคนใจกว้างที่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นออร์คได้
หากเป็นออร์คธรรมดาทั่วไปล่ะก็ อย่างน้อยคงอยากฉีกจูดิสออกเป็นชิ้นๆแน่
แต่เราเองก็ไม่รู้ว่าจะกระตุกไปโดนหนวดเสือเมื่อไรเช่นกัน
ฮิวจ์ตันรีบเอ่ยคำพูดออกมาราวกับอยากจะรีบๆจบเรื่องนี้ให้ไวที่สุดเท่าที่ทำได้
「คือ……อย่างน้อยขอสอบถามอะไรบางอย่างได้ไหมครับ คงรบกวนเวลาของท่านไม่นานนักหรอก」
「อีกแล้วรึ ก็บอกไปหลายรอบแล้วนิ ว่าข้าพูดไม่ได้น่ะ」
「แค่นิดเดียว ขอเวลาอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเองครับ……!」
ถามคำถามเดิมซ้ำๆไปอีกรอบกันเชียว ระหว่างทำหน้าลำบากใจ ฮิวจ์ตันก็หันไปจ้องจูดิส
จูดิสรีบหันหน้าหลบด้วยความรู้สึกผิด
「คือว่า……」
หลังจากนั้น ฮิวจ์ตันก็ได้สอบถามเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าฝากตะวันตกตามที่ได้รายงานมา
แน่นอนคำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากเดิม
รถม้าถูกบักแบร์จู่โจมใส่ แบชที่เดินผ่านมาพอดีก็ได้ช่วยไล่บักแบร์ให้เท่านั้น
เรื่องที่ส่งเสียงทักพวกผู้หญิง ก็เพราะต้องการสอบถามความสมัครใจ ที่ไม่เข้าจู่โจมก็เพราะมีสัญญาที่ให้ไว้กับราชาออร์ค ที่ห้ามล่วงเกินโดยอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอม
เนื่องจากแบชยืดถือกฎข้อนั้นไว้ ทำให้เรื่องที่จู่โจมพวกผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด
ฮิวจ์ตันพอได้ฟังเรื่องต่างๆ ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ หากเป็นออร์คหลงฝูงก็ว่าไปอย่าง แต่ชายคนนี้ไม่มีทางโกหกแน่นอน
ก็แค่บังเอิญเข้าไปพัวพันในที่เกิดเหตุเท่านั้น
เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นไปตามที่ฮิวจ์ตันคิดไว้ไม่มีผิด
หากแบชต้องการจู่โจมจริงๆล่ะก็ คงไม่มีทางหนีพ้นได้แน่ เรื่องการใช้ชีวิตเดิมพันเพื่อหนีแบชให้พ้นนั้น เขารู้ดียิ่งกว่าใคร การที่หนีแบชที่ตามล่าอย่างจริงจังให้รอดได้นั้น ต้องสังเวยทหารเกราะที่เป็นลูกน้องไปหลายนาย แถมยังต้องพึ่งโชคอย่างมหาศาลอีก
เพราะฉะนั้น
「สุดท้ายแล้วขอกระผมถามอีกเรื่องหนึ่งครับ」
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
「สิ่งที่กำลังตามหาอยู่……องค์ราชา(ออร์ค)เองก็ทรงทราบเรื่องนี้เช่นกันสินะครับ?」
「แน่นอนล่ะ」
「เข้าใจแล้วครับ」
จากคำตอบของแบช ฮิวจ์ตันจึงได้ข้อสรุปในใจ
ทำไมแบชถึงมาอยู่ที่นี่
ทั้งสาเหตุ ทั้งเป้าหมายของการเดินทาง
ทั้งหมดนั้นเพราะเป็นคำสั่งของราชาออร์คยังไงล่ะ
เป็นไปได้ว่า ราชาออร์คเนเมซิสได้สั่งการบางอย่างแก่แบช แบชจึงได้ออกเดินทางตามคำสั่งนั้น
ใจความสำคัญของคำสั่งนั้นคงเป็น 『ให้ค้นหาใครหรืออะไรบางอย่าง』แน่
「ลำบากใจเหมือนกันนะครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางเราอาจะช่วยให้ความร่วมมือได้…」
「เรื่องส่วนตัวข้าน่ะ ไม่ได้คิดจะสร้างความยุ่งยากอะไรให้หรอก」
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ค้นหาอยู่นั้น จะเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถให้มนุษย์ล่วงรู้ได้……งั้นสินะ
การที่แบชที่เป็นถึงวีรบุรุษนั้นถึงกับออกโรงด้วยตัวเอง คงไม่ใช่เรื่องขี้ปะติ๋วแน่
อาจจะเป็นของที่ หากได้ครอบครองแล้วล่ะก็จะทำให้ประเทศได้เปรียบมหาศาล ไม่ก็หากปล่อยให้หลุดมือไปคงทำให้ประเทศเสียผลประโยชน์อย่างมหันต์ก็เป็นได้……
อย่างไงก็ตาม ต้องเป็นของที่สำคัญสำหรับประเทศออร์คเป็นอย่างมากไม่ผิดแน่
ไม่เช่นนั้น วีรบุรุษของประเทศคงไม่ออกตามหาเองเพียงลำพังอย่างแน่นอน
การที่ออร์คตนนี้ไม่ฆ่าฮิวจ์ตันกับจูดิสในที่แห่งนี้ คงเพราะภารกิจนั้นกระมั้ง
หากเกิดความอลหม่านจากการฆ่ามนุษย์ล่ะก็ คงขัดขวางภารกิจแน่ๆ
ปัญหาคือ รายละเอียดของภารกิจนั้นล่ะ……
「เข้าใจแล้วครับ」
ฮิวจ์ตันหยุดคิดเรื่องภารกิจของแบช
แม้สิ่งนั้นอาจจะนำภัยมาแก่พวกมนุษย์ก็ตาม
「ถ้างั้นขอจบการสอบสวนเพียงแต่เท่านี้ครับ ขออภัยกับเรื่องที่เสียมารยาทด้วยครับ」
แต่เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
การที่เอาชีวิตไปเสี่ยงกับอันตราย จนคอกระเด็นออกจากบ่าเพราะจุ้นจ้านไม่เป็นเรื่องนี่ ขอบายล่ะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในสนามรบ และขณะเดียวกันก็มีราคาถูกที่สุด ก็คือชีวิตล่ะ
แบชเองก็ถูกจับเพราะถูกเข้าใจผิด เขาเองก็ให้ความร่วมมือในการให้ปากคำเป็นอย่างดี
เพราะฉะนั้นจึงจบเรื่องไปได้อีกคดี
ปิดได้หนึ่งคดี
อย่างน้อย พรุ่งนี้ก็ส่งข้อความแจ้งไปยังเมืองหลวงว่า 『ออร์คฮีโร่ได้มาเยือนที่เมือง และดูเหมือนกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่』ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นงานของหน่วยข่าวกรองซะก็สิ้นเรื่อง
「อืมม」
แบชพยักหน้าอย่างช้าๆ ก่อนที่จะทำการแก้มัดให้ซิล
「ก่อนกลับช่วยตรวจสอบว่าลืมอะไรหรือไม่ ด้วยนะครับ」
ฮิวจ์ตันพูดด้วยสีหน้าโล่งใจ
เท่านี้ก็โล่งอกไปหนึ่งเรื่อง แบชที่เขาได้พูดคุยใกล้ๆ ครั้งแรกนั้น เป็นคนยิ่งใหญ่สมกับเป็นวีรบุรุษ
แม้จะดูท่าทางว่าใจกว้างแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะระเบิดเมื่อไรเช่นกัน
ฮิวจ์ตันนั้นเชี่ยวชาญเรื่องออร์คเป็นอย่างมาก เพราะรู้เรื่องต่างๆเป็นอย่างดี เขาถึงเข้าใจว่ายังมีบางอย่างที่เข้ายังไม่ทราบอีกมากเช่นกัน
ช่วยกลับไปก่อนที่จะมีใครไปกระตุกหนวดเสือทีเถิด ที่เหลือก็ทำได้แค่ อธิฐานว่าขออย่าไปก่อเรื่องวุ่นวายในเมืองเท่านั้น
ไม่อยากให้มีการเฝ้าระวัง ชีวิตลูกน้องเองก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งเลยจะดีกว่า
ฮิวจ์ตันตัดสินใจเช่นนั้น
ชีวิตตัวเองที่อุตสาห์รอดตายมาถึงตอนนี้ได้นั้น สงครามจบแล้วแท้ๆ ใครจะเอาไปแขวนบนเส้นเชือกเล่นกัน
「……อืมม」
แต่แบชกลับทำหน้ายุ่งยากระหว่างแก้มัดให้แฟรี่
สายตานั้นทอดมองไปที่จูดิส
(หืม……?)
จากรูปการณ์ที่เขาเห็น ดูเหมือนแบชจะมีเรื่องค้างคาใจอะไรบางอย่าง
ทั้งๆที่บอกให้กลับได้แล้วแท้ๆ แต่แบชกลับลังเลอะไรบางอย่าง
ทำไมถึงยังไม่กลับ? ทำไมถึงต้องมองไปจูดิส? หรือว่ายังคงโกรธเธออยู่? แต่เมื่อครู่นี้เจ้าตัวก็บอกเองว่าไม่ได้โกรธอะไรนี่ แล้วทำไมถึงต้องมองเธอแบบนั้นกัน? หรือว่าเธอคนนี้มีข้อมูลอะไรที่เขาต้องการหรือไงกัน?
เธอนั้นเป็นเพียงแค่อัศวิน ทำหน้าที่ตรวจตราแถวป่าฟากทิศตะวันตก……คอยดูแลตามถนน……
ฮิวจ์ตันระดมความคิดในสมองอันปราดเปรื่องของตน จนในที่สุดก็สามารถหาข้อสรุปออกมาได้
「หรือว่า คดีลอบทำลายที่เกิดตามถนนนั้น จะเกี่ยวข้องกับ 『ของที่ตามหาอยู่』กันครับ?」
「……?」
แบชถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ
สภาพเหมือนคงกำลังงงงวยว่าพูดถึงเรื่องอะไรกัน
แต่ พอหลังจากซิลที่ถูกแก้มัดออกมาเป็นอิสระแล้ว ได้ซุบซิบบางอย่างข้างหูเขา แบชก็ได้แสดงท่าทางตกตะลึกชั่วขณะ
หลังจากเขาค่อยๆหันหน้าไปทางฮิวจ์ตัน ก่อนพยักหน้าอย่างช้าๆ
「อืม อาจเป็นเช่นนั้นก็เป็นได้」
「ว่าแล้วเชียว!」
พอรู้ว่าเป็นไปตามที่ตนคิดไว้ ฮิวจ์ตันก็ยิ้มระรื่น
เขาเป็นชายที่ชาญฉลาด นอกจากจะเอาตัวรอดจากอันตรายและจัดการความวุ่นวายในเมืองได้แล้ว เขายังคิดจะขายบุญคุญให้กับออร์คฮีโร่ตนนี้อีก
และเขาก็ไม่ใช่นักบุญแต่อย่างไร
หากเขาสามารถฉกฉวยผลประโยชน์ที่ส่งผลดีต่ออนาคตของตนแล้วล่ะก็ เขาจะขอไขว่คว้าซักเล็กน้อยก็แล้วกัน
「ถ้าอย่างนั้นกรุณาให้จูดิสคอยติดตามท่านไปด้วยเถอะครับ เธอเองก็เป็นถึงผู้รับผิดชอบคดีความเกี่ยวกับการลอบโจมตีตามถนน หากจะตรวจสอบเหตุการณ์ครั้งนี้ล่ะก็ เธอเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อเรื่องนี้มากที่สุดครับ」
「หา?」
คนที่ตอบสนองต่อคำพูดของเขา คือจูดิสที่ยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่ตรงทางเข้า
「เดี๋ยวก่อนค่ะท่านฮิวจ์ตัน! คิดจะให้ดิฉันทำงานร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่คิดแค่เรื่องข่มขืนผู้หญิงงั้นเหรอคะ!?」
จูดิสพรวดออกมาข้างหน้า พลางขี้นิ้วไปยังแบช
แบชพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำพลางมองปลายนิ้วของจูดิสที่ชี้มายังตน
「การผสมพันธุ์โดยไม่ได้รับการสมยอมนั้นถูกสั่งห้ามโดยสนธิสัญญา ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก」
ฮิวจ์ตันพอได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความเร้าร้อนขึ้นมาในอก
พอนึกกลับไปแล้ว ออร์คที่ชื่อแบชตนนี้ ในสมครามเองหลังจากทำลายกองทัพของเขาแล้ว เขาไม่เคยเห็นว่าออร์คตนนี้จะหิ้วผู้หญิงกลับไปด้วยเลย ทั้งๆที่ออร์คตนอื่นกลับมีแต่พวกละเมิดคำสั่ง เริ่มทำการปลุกปล้ำผู้หญิงทั้งนั้น
ทั้งๆที่คิดว่าออร์คไม่มีทางไม่จู่โจมผู้หญิงแท้ๆ……
แม้จะเถรตรงเกินไป แต่เขากลับคิดรักษากฎที่บัญญัติโดยออร์คคิง
「ท่านนั้นเองก็พูดยืนยันแล้วนี่」
「จะเชื่อได้ยังไงกันคะ! ท่านฮิวจ์ตันเองก็น่าจะรู้นี่คะ! สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าออร์คน่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชั่วช้าต่ำทรามไม่รู้จักผิดรู้จักถูก แม้ปากจะพูดแบบนี้ก็เถอะ แต่หากอยู่กับดิฉันสองต่อสองตอนดึกดื่นล่ะก็คงเผยสันดารตนเองเป็นแน่」
พอได้ยินเช่นนั้น ฮิวจ์ตันถึงกับกระชากคอเสื้อของจูดิสขึ้นมา
「หยุดบ้าได้แล้ว ฟังให้ดีล่ะ ออร์คตนนี้น่ะต่างจากพวกออร์คหลงฝูง เป็นถึงออร์คฮีโร่ นามว่าท่านแบช เชียวนะ」
「หา? ฮีโร่? ใครกันล่ะนั่น? ญาติห่างๆของราชาออร์คหรือไงคะ?」
ฮิวจ์ตันถึงกลับไมเกรนขึ้นหัว
หากพูดถึง『ฮีโร่ของเหล่าออร์ค』แบชแล้วล่ะก็ ในช่วงสงคราม ไม่ว่าใครที่สังกัดอยู่กองกำลังต่อต้านออร์คแล้วล่ะก็ ต้องรู้จักชื่อนี้อย่างแน่นอน
ถึงจูดีสจะเป็นอัศวินบรรจุใหม่ช่วงหลังสงครามจบแล้วก็ตาม กลับไม่รู้จักแม้กระทั่งเรื่องนี้นี่มัน..
「……」
ฮิวจ์ตันค่อยๆพยายามกดความรู้สึกอยากตะโกนด่าของตนลง
สงครามเองก็จบมาแล้วสามปี
เหล่าทหารที่เข้าร่วมรบเกม ส่วนใหญ่คงกลับบ้านเกิดตนเองกันหมดแล้ว ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขให้ห่างไกลจากสนามรบ
ทหารที่ประจำการที่เมืองนี้เอง ส่วนใหญ่แทบไม่มีประสบการณ์รบเลย
แม้กระทั่งคนที่ทราบถึงตัวตนของราชาออร์ค แต่ไม่รู้ชื่อเองก็มีอยู่จำนวนมากเช่นกัน
บวกกับแทบไม่มีการติดต่อซื้อขายสินค้ากับระหว่างเมืองป้อมปราการและอาณาจักร์ออร์คด้วย ทั้งจูดิส และลูกน้องของเธอเองก็คงเคยเห็นแต่ออร์คหลงฝูง ได้พบแต่พวกอาชญกรที่ไม่คิดรักษากฎ…… เพราะอย่างนั้น จะไม่รู้เรื่องนี้ก็คงไม่แปลกอะไรงั้นสินะ
「เธออาจจะไม่รู้เรื่องนี้ก็เป็นได้ ในบรรดาออร์คแล้วท่านนี้เองก็มีสถานะภาพที่สูงเป็นพิเศษ ถึงขนาดถ้าเป็นทั่วไปล่ะก็ พวกเธอเองนั้นไม่ได้รับอนุญาติให้พูดคุยกับท่านได้ด้วยซ้ำ」
「เออ……คือว่า? ขนาดนั้นเลยเหรอคะ? ทั้งๆที่เป็นแค่ออร์คแท้ๆ?」
「แม้ดูท่านจะไม่ได้คิดเข้ามาทำลับๆล่อๆอะไรที่คราซเซลนี้ก็ตาม แต่หากท่านนี้โกรธจริงๆขึ้นมาล่ะก็ อย่างเธอน่ะได้เป็นก้อนเนื้อในพริบตาแน่」
「ค่ะ……」
พอเห็นจูดิสทำท่าไม่ค่อยแยแสกับเรื่องที่เขาพูดซักเท่าไร
ฮิวจ์ตันเลยเปลี่ยนท่าทางการพูดใหม่
「หากเธอเป็นสาเหตุทำให้เกิดสงครามกับอาณาจักรออร์คขึ้นมาล่ะก็ คงได้ชดใช้ความผิดด้วยโทษประหารแน่ อยากสัมผัสกับกิโยตินในยุคสงบสุขนี้ดูไหมละ?」
「กิโย……แต่……แต่ว่า หมอนี้น่ะ เป็นแค่……ออร์ค」
ฮิวจ์ตันนั้นรู้ตัวเองดีว่าเป็นคนขี้ขลาดคอยจ้องหาจังหวะหรือโอกาส
ที่เห็นได้ชัดก็คือในช่วงสงคราม เขาคอยเอาแต่หนีแบชตลอด
แต่คนรอบข้างเขากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ทั้งจูดิสทั้งลูกน้องคนอื่นก็ด้วย ต่างคิดว่าเขาเป็นชายที่น่าหวาดหวั่น เลือดเย็นอำมหิตเหนือผู้ใด
เพราะคำขู่ให้กลัวจึงได้ผลมากกว่าคำพูดหรือคำตักเตือน
จูดิสที่ยังอ่อนวัยอยู่นั้นมีหรือจะไม่สั่นกลัว
「เห้ย」
แต่ แบชกลับทำเสียงราวกับตำหนิ เป็นครั้งแรกที่เขาส่งเสียงขึ้นมาอย่างไม่สบอารณ์ จ้องฮิวจ์ตันเขม็ง
「ปล่อยมือนั่นซะ」
ฮิวจ์ตันรีบปล่อยมือทันที ด้วยความเร็วที่เหมือนกันไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
「คือว่า มีอะไรงั้นหรือครับ?」
「แก……」
แบชใช้เวลาเลือกคำพูดชั่วครู่ ก่อนที่จะพูดออกมา
「เอาแต่สั่งผู้หญิงแบบนี้ ไม่มียางอายบ้างหรือไง?」
「เรื่องนั้น……คือว่า……」
ฮิวจ์ตันที่ได้ยินแบบนี้กลับร้อนวาบขึ้นมากลางอก
ถูกกักขังตามใจของพวกมนุษย์ การสอบปากคำที่ยาวนาน แม้สุดท้ายจะจบเรื่องเพราะจับคนผิดก็ตาม แต่ท่าทีที่ดูถูกตนเองของอัศวินหญิงก็ไม่เปลี่ยน
ไม่มีทางที่จะไม่คิดติดใจอะไร เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่โกรธ แต่กลับพูดแสดงความเอาใจใส่ให้กับจูดิส
หากเป็นออร์คทั่วไปฮิวจ์ตันคงหัวเราะขึ้นจมูกไปแล้ว
คงตอบกลับไปว่า เป็นผู้หญิงแล้วไง ยัยนี่เป็นลูกน้องฉัน แกมาเสือกอะไรด้วย
ไม่ก็มองเยาะเย้ย จับกุมตัว ทำให้หวาดกลัว แล้วทำให้จดจำว่าหากได้ใจมากไปจะโดนอะไรบ้างน่ะ
แต่ทว่า ออร์คตนนี้นั้น สามารถฆ่าทุกคนที่อยู่ในนี้ได้ภายในช่วงเวลาอึดใจเดียว ไม่จำเป็นต้องพูดบอกด้วย สามารถทำให้เข้าใจได้ด้วยพละกำลัง ว่าพวกมนุษย์นั้นช่างอ่อนแอขนาดไหน
แต่เขากลับเลือกไม่ทำเช่นนั้น อดทน แม้ถูกดูหมิ่นเหยียบหยามถึงขนาดนั้น
ทำไมเขาถึงเลือกทำเช่นนั้นกัน
เกรงว่าเขาคงคิดถึงออร์คส่วนรวมทั้งหมดอยู่เป็นแน่ หากคิดปฏิปักษ์กับพวกมนุษย์ล่ะก็ จะกลายเป็นการฝ่าฝืนข้อบัญญัติที่ออกโดยราชาออร์คขึ้น ถ้าแบชที่เป็นถึงออร์คฮีโร่ได้หันหลังให้กับกฎนั่นล่ะก็ พวกออร์ควัยรุ่นเลือดร้อนทั้งหลายคงเลียนแบบเขาเป็นแน่
เป็นเช่นล่ะก็ คราวนี้ออร์คคงได้เปิดศึกกับเผ่าอีกครั้งก็เป็นได้ ในสงครามครั้งสุดท้ายเองก็ทำให้จำนวนออร์คลดลงเป็นอย่างมากเช่นกัน หากสงครามเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เผ่าออร์คได้เดินเข้าสู้เส้นทางแห่งหายนะแน่นอน
เพราะเหตุนี้ ถึงได้ยอมรักษากฎ
เพื่อภารกิจ เพื่ออนาคตของออร์ค จึงได้ยอมเสียเท่าที่ตนทำได้
แม้จะมีความแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่กลับใช้เพื่อส่วนรวม
ช่างเป็นชายที่น่าหวาดหวั่นอะไรเยี่ยงนี้
จิตใจที่กว้างใหญ่ไพศาลเหนือจินตนาการนั้น……
พอได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว ทำให้ฮิวจ์ตันถึงกับอับอายตนเองขึ้นมา
จริงอยู่ หากมองจากมุมมองของเขาแล้ว การที่ตัวเองข่มขู่และสั่งผู้หญิงฉอดๆแบบนี้ มันเป็นภาพที่น่าสมเพชจนไม่สามารถทนดูได้กระมั้ง
ในฐานะผู้บัญชาการ ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งแล้ว เขาจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้
เพราะงั้นเขาถึงได้ตัดสินใจ แม้มันอาจจะไปแหย่หนวดเสือเข้าก็ตาม
「อย่างนี้นี่เอง……เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นกระผมจะเข้าร่วมสืบสวนด้วยครับ」
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แบชถึงงงเป็นไก่ตาแตกออกนอกหน้า แต่ฮิวจ์ตันที่กำลังประทับใจอยู่นั้นกลับไม่ได้สังเกตุเห็นในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้