Ch.3 – เมืองป้อมปราการคราซเซล
Translator : Alonenekochan / Author
เมืองป้อมปราการ คราซเซล
ที่แห่งนี้ เป็นเมืองหน้าด่านที่คอยทำสงครามกับออร์คตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา
สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ล้วนสร้างมาจากหิน มีควันจากโรงตีดาบลอยขึ้นมาในแต่ละจุดของพื้นที่
แม้จะไม่เท่ากับในช่วงสงคราม แต่สีหน้าเข้มขึงของเหล่าทหารต่างเป็นที่สะดุดตาของชาวเมืองและพวกพ่อค้า
ทั่วเมืองประกอบไปด้วยเนินเล็กใหญ่มากมาย ล้อมรอบไปด้วยกำแพงสองชั้น
ด้านในกำแพงถูกติดตั้งไปด้วยปืนใหญ่และเครื่องยิงหินมากมาย จากหอสังเกตุการณ์ที่ตั้งประจำแต่ละจุดของเมืองแล้ว คงสามารถสอดส่องผืนป่าของเหล่าออร์คได้ทั้งหมดแน่
สมกับเป็นป้อมปราการของแท้
ว่ากันว่า สงครามระหว่างออร์คกับมนุษย์นั้น ได้ผลัดกันทำสงครามบุกชิงเมืองปราการนี้หลายต่อหลายหน
ตลอดนับพันปี ออร์คนั้นยึดป้อมปราการได้หลายครั้ง แล้วถูกยึดกลับคืนหลายครา
พวกมนุษย์เองก็พยายามอย่างสุดชีวิตเช่นกัน เพราะหากป้อมปราการนี้ถูกยึดได้ละก็ อาณาเขตของประเทศจะโดนพวกออร์คยึดครองไป พวกผู้ชายจะถูกฆ่า พวกผู้หญิงจะถูกลากตัวกลับไปเป็นทาสเพื่อใช้ผสมพันธุ์ พวกมนุษย์นั้นทราบเรื่องเหล่านั้นเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น แม้สงครามจะจบลงแล้วเหมือนอย่างตอนนี้ก็ตาม ความหวาดระแวงต่อเผ่าออร์คของมนุษย์เองก็ยังไม่จางหาย
สงครามได้สอนเรื่องต่างๆมากมาย
ทั้งเรื่องที่ออร์คไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวตามความต้องการทางเพศเอย เรื่องที่ต้องเข้าจู่โจมเผ่าอื่นเพราะต้องการขยายพันธุ์เอย
มีกฎเป็นของตนเอง มีความหยิ่งทนงอันเป็นเอกลักษณ์
และถ้าหากพูดคุยให้เข้าใจในเรื่องนั้นได้ล่ะก็ มีความเป็นไปได้ที่จะต่อรองได้
ต้องขอบคุณบทเรียนต่างๆเหล่านั้น ที่ทำให้แผนการปรองดองของมนุษย์และออร์คสัมฤทธิ์ผลได้
สนธิสัญญาที่ว่าด้วยเงื่อนไข 『ห้ามผสมพันธุ์กับเผ่าพันอื่นโดยอีกฝ่ายไม่สมัครใจ』 โดยให้อัศวินหญิงที่มีความเข้มแข็งพอๆกับออร์ค ในการเป็นคู่เจรจา เป็นการบอกความนัยอีกอย่างให้แก่พวกออร์คให้รู้ว่า “อัศวินหญิงเผ่าอื่นเองก็มี ศักดิ์ศรีเช่นกัน”
เพราะเงื่อนไขนั้นเอง เหล่าออร์คคงจบลงที่เส้นทางแห่งการสูญพันธุ์เป็นแน่แท้ แต่จากการรวบรวมนักโทษหญิงคดีร้ายแรง ส่งให้ประเทศออร์คใช้ในฐานะผู้อุทิตตน ช่วยระงับเหตุผลการต่อต้านจากเหล่าออร์คลงได้
ด้วยเหตุนี้ สถานะการณ์ในปัจจุบันจึงเริ่มอ่อนลง แม้จะเล็กน้อย แต่ก็เริ่มมีการค้าขายระหว่างกัน
แต่ในหมู่มนุษย์เองก็มีคนจำนวนมากที่ยังคิดว่าออร์คคืออสูรกายที่คิดแต่จ้องจะสืบพันธุ์อยู่
เช่นคนที่ไม่รู้ในเรื่องของออร์ค คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์อื่นเอง ก็มีอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง
สงครามเองก็พึ่งจบลงไปไม่กี่ปีด้วย ผู้ที่ยังคงมีความแค้นส่วนตัวต่อออร์คก็ใช่ว่าจะลดน้อยลงซักเท่าไร และในปัจจุบัน ก็มีออร์คที่ถูกเนรเทศจากประเทศ ไล่จู่โจมคนเดินทางแถบแถวเขตของประเทศมนุษย์อยู่เช่นกัน
เพราะฉะนั้น มนุษย์จะหวาดระแวงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
「แต่ว่า ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีวันที่ได้เข้าไปยังเมืองของพวกมนุษย์นะเนี้ย」
「งั้นหรือ? เมืองมนุษย์นี่ไม่ใช่ว่าจะเหมือนๆกันหมดหรือไง?」
กว่าที่แบชจะเดินทางถึงเมืองคราซเซล ก็กินเวลาไปกว่าสามชั่วโมง
หนึ่งในนั้นคือ การเสียเวลากับเรื่องหมาดหมางกับคนเฝ้าประตู ร่วมชั่วโมงหนึ่งได้
แค่เห็นว่าเขาเป็นออร์ค ก็หันหอกเข้าใส่ด้วยท่าทีที่หวาดกลัว
หากไม่ได้ซิลไปอธิบายให้ฟังว่า แบชเป็นนักเดินทางไม่มีอันตราย คงเข้าเมืองไม่ได้เป็นแน่
แม้คนเฝ้าประตูจะคัดค้านจนถึงที่สุดก็ตาม แต่สุดท้ายแบชก็ผ่านเข้าเมืองจนได้ ประเทศของมนุษย์นั้นมีกฎที่ยินยอมให้นักเดินทางเข้าเมืองได้อย่างอิสระ และไม่มีกฎข้อไหนห้ามไม่ให้ออร์คเข้าเมือง
「ผู้หญิงเยอะจริงแฮะ」
「ก็เมืองของมนุษย์ล่ะนะ」
แบชลอบมองบุคคลที่เดินสัญจรผ่านไปมาจากหน้าตา พลางตกใจกับจำนวนผู้หญิงที่ตนเห็น
ในสงคราม การที่ได้เห็นผู้หญิงเยอะขนาดนี้ ก็ตอนที่ทำงานร่วมกับกองทัพซัคคิวบัสเท่านั้น
ถึงการนับซัคคิวบัสเป็นผู้หญิงนั้นออกจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยก็เถอะ
ทางฝั่งผู้หญิงที่เดินผ่านไปมา ทันทีที่สบตาเข้ากับสายแบชที่มองต่างก็รีบซอยเท้าหนีห่างออกไป
「ถ้ามีผู้หญิงเยอะขนาดนี้ล่ะก็ เลือกกินได้ตามใจเลย」
「อ๊ะ จะทำแบบนั้นไม่ได้นะ! ก่อนอื่นอยากให้ดูแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของพวกเธอก่อน」
พอถูกว่าเช่นนั้น แบชก็จ้องไปที่มือซ้ายของพวกผู้หญิง
ที่ตรงนั้นมีแสงแวววับส่องประกายอยู่
「หืม? สวมแหวนกันอยู่แฮะ」
「นั้นคือหลังฐานของการแต่งงานแล้วน่ะ ด้วยพื้นฐานแล้วพวกมนุษย์จะจับคู่ชาย 1 หญิง 1 กัน เพราะฉะนั้นห้ามเลือกเป้าหมายที่เป็นแบบนั้นนะ」
「ผู้หญิงส่วนใหญ่เลยนะนั่น」
「ดูเหมือนพวกมนุษย์น่ะ การอยู่คนเดียวไม่แต่งงานเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยยอมรับกันน่ะ ทั้งผู้ชายเอยผู้หญิงเอย พออายุถึงช่วงประมาณนั้นก็จะแต่งงานกันแทบทั้งหมดล่ะ」
ผิดกับออร์ค ที่ไม่ว่าใครก็แต่งงานกับเมียคนอื่นได้
ด้วยสามัญสำนึกนั้น ทำไมแบชที่เป็นออร์ครู้สึกแปลกใจ
แต่พอคิดถึงเรื่องอัตราส่วนระหว่างผู้ชายและผู้หญิงของเผ่ามนุษย์ที่มีพอๆกัน ทำให้เขาทำใจยอมรับเรื่องนั้นได้
แถมผู้หญิงที่เป็นภรรยานั้นเองก็ไม่มีอาการต่อต้านอะไร ทำให้เกิดความสะดวกสบายใจได้
「เพราะฉะนั้นควรเริ่มหาผู้หญิงที่ไม่ได้สวมแหวนก่อนดีกว่า」
「แต่ระหว่างทางที่มาเนี่ย ผู้หญิงที่ข้าจะทักก็ไม่ได้สวมแหวนซะหน่อยนี่?」
「อ๊ะ……」
ใช่แล้ว ก่อนที่แบชจะมาถึงที่พัก เค้าตั้งใจว่าจะทักผู้หญิงที่พบ แต่ดันเจอกรี๊ดใส่และวิ่งหนีไปซะก่อน
เขายังไม่ได้ทันจะเอ่ยปากเลยด้วยซ้ำ
แค่แบชเข้าไปใกล้ พวกผู้หญิงก็ส่งเสียงกรีดร้องกันแล้ว
「ดูเหมือน อคติที่มีต่อออร์คยังคงเหลืออยู่เยอะเลยล่ะ」
「งั้นหรือ……?」
「ก็ออร์คน่ะ ไม่ว่าหน้าไหน หากเจอพวกผู้ชายก็จะฆ่าทิ้งหมดโดยไม่แยกแยะ หากเจอพวกผู้หญิงก็จะเข้าข่มขืนจนตั้งครรภ์ไม่ใช่หรือไง」
「ก็ไม่ผิดหรอก ในสงครามทุกคนก็ทำแบบนั้น」
แม้ปัจจุบันจะถูกสั่งห้ามโดยกฎหมายที่ยอมรับโดยราชาออร์คอยู่
หากไม่ใช่พวกออร์คที่โดนเนรเทศแล้วล่ะก็ ไม่มีออร์คตนไหนจู่โจมคนอื่นแบบไร้เหตุผลแล้วล่ะ พวกออร์คปกตินั้น เป็นคนที่ทนงต่อศักดิ์ศรีนักรบ มีความจงรักภักดีต่อราชาออร์ค
แต่คนที่ไม่อคติต่อออร์คเอง ก็มีอยู่เช่นกัน
อย่างพวกทหารยามที่รุดเข้ามาใกล้เพราะได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง
ในหมู่พวกเขาเองก็เป็นมีคนที่ไม่มีอคติอยู่ พออธิบายเรื่องราวให้ฟัง เจ้าตัวยังแนะนำให้อย่างมีน้ำใจให้ด้วยว่า「ถ้าหากเป็นนักเดินทางล่ะก็ ก่อนอื่นหาที่พักก่อนจะดีกว่านะ」
ที่พักที่อยู่ปัจจุบันเองก็มาจากคำแนะนำของเขาเช่นกัน
「ความทรงจำเกี่ยวกับออร์คในสงครามของมนุษย์น่ะยังสดใหม่อยู่ คงจะระแวงไปอีกหลายปี แต่นึกไม่ถึงว่าจะวิ่งหนีทันทีที่เห็นหน้าแบบนี้น่ะ」
「ถูกระแวงหรือ……จริงด้วย ก่อนที่จะเจอเอ็ง พอส่งเสียงทัก พวกผู้หญิงก็เผ่นป่าราบเลย」
「หืมมมม แล้ว… ส่งเสียงทักไปแบบไหนกันล่ะ?」
「คลอดลูกให้ฉันที น่ะ」
พอตอบแบบนั้นออกไป ซิลถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก พลางอุทาน「โอ๊ยー」ออกมา
「จะพูดแบบนั้นไม่ได้นะ」
「ห้ามงั้นเหรอ?」
「ฟังให้ดีนะ การคลอดเด็กสำหรับมนุษย์แล้ว เป็นพิธีสำคัญที่แฝงนัยความเกี่ยวกับศาสนาอยู่นะ」
「ว่าไงนะ」
พอได้ยินว่าพิธี แบชนึกไปถึงพิธีสวดบูชาเทพแห่งสงครามที่ถ่ายทอดกันมาในชนเผ่าออร์ค พิธีที่จัดเพียง 1 ปี 1 ครั้ง เป็นพิธีที่สำคัญ เพื่อตัดสินใจเข้าร่วมรบในสงครามครั้งถัดไป
ไม่มีออร์คตนไหนที่จะละเลยต่อพิธีนี้เลยซักตน
「แล้วเรื่องแต่งงานกับคลอดลูกนั้นก็ด้วย ปกติแล้วจะทำเฉพาะกับคนที่ตนหลงไหลเท่านั้นล่ะ การมีลูกกับอีกฝ่ายที่พบหน้าครั้งแรกนั้น ไม่มีใครอยากทำหรอกนะ」
「ยะ อย่างงั้นเหรอ……」
ถึงกับคัลเจอร์ช็อตเลย
การที่มนุษย์เพศเมียส่วนใหญ่เกลียดการผสมพันธุ์กับออร์คนั้นเองก็มีเหตุผลอย่างอื่นอยู่ ไม่ใช่เพียงเพราะความอริต่อกันเท่านั้น พวกออร์คนั้นไม่เพียงแค่ร่างกาย แต่ยังเหยียดย่ำแม้กระทั่งศาสนาของพวกเขาด้วย
「เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้มนุษย์มาเป็นภรรยาล่ะก็ ก่อนอื่นต้องทำให้เจ้าตัวนั้นลุ่มหลงให้ได้ก่อนน่ะ!」
คำพูดของซิลใช่ว่าจะถูกต้องทั้งหมด
พวกมนุษย์ใช่ว่าจะแต่งงานกันเพราะความรักใคร่เสมอไป แต่ในองค์ความรู้ของซิลแล้ว เธอไม่ทราบถึงเรื่องนั้น
「หืม……แต่ว่า ข้าไม่รู้วิธีทำให้มนุษย์ลุ่มหลงซักนิด」
ออร์คนั้นไม่มีแนวคิดเรื่องความรัก
ผู้หญิงมีไว้ล่า บังคับให้ยอมจำนน การที่ถูกห้ามทำแบบนั้น หรือแม้แต่บอกให้ทำให้อีกฝ่ายลุ่มหลงก็ตาม สำหรับเขาก็จนปัญญาไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี
「ในเรื่องส่วนนั้น ไว้ใจข้าน้อยเถอะ! เห็นแบบนี้ ข้าน้อยเองก็รู้ลึกรู้จริงเรื่องมนุษย์เหมือนกันนะ!」
ซิลพูดออกมาพร้อมทุบอกตัวเองดึง “บึก”
แฟรี่ที่เก่งด้านสืบข้อมูลและบัญชาการณ์นั้น ย่อมรู้ข้อมูลเผ่าต่างๆเป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น แม้แต่มนุษย์สัตว์ และเอลฟ์ด้วย
แต่ถึงจะพูดว่าช่ำชองก็ตาม แต่ก็เพียงแค่เรื่องที่เกี่ยวกับสงคราม อย่างเช่น ระดับการมองเห็นตอนกลางคืนเอย ลักษณะรอยเท้าหรืออุจจาระเอย นิสัยและยุทธวิธี ราวๆนี้เท่านั้น ข้อมูลอย่างพวกความรักใคร่ เจ้าตัวคงได้ยินจากข่าวลือ หรือเรื่องซุบซิบนินทาตามร้านเหล้าหรือจากข้างทางเสียมากกว่า
「พึ่งพาได้จริงแฮะ การที่ได้พบเจ้าหลังจากออกเดินทางได้ไม่นานเนี้ย ถือเป็นโชคดีสำหรับข้าจริงๆเลย แล้วในทางปฎิบัติควรทำอย่างไรดีล่ะ」
「นั่นสินะ」
ซิลยิ้มอย่างมาดเท่ ก่อนร่อนลงมายืนบนโต๊ะ
เธอชี้นิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ก่อนที่จะเริ่มทำการเลคเชอร์
「อันดับแรก พวกมนุษย์ผู้หญิงน่ะชอบความสะอาด! เนื้อตัวมอมแมมสกปรก หรือมีกลิ่นตัวนี่เซย์โนวเลยล่ะ」
เลคเชอร์ ①
ทำตัวให้สะอาดเข้าไว้
「งั้นก่อนไปหาผู้หญิงเหล่านั้น ก็ต้องอาบน้ำก่อนสินะ」
「หลังอาบน้ำเสร็จ ทาไอ้นั่นที่ใช้ก่อนรบกับพวกมนุษย์สัตว์ด้วยก็ดีนะ」
「ไอ้นั่นนี่……ไม่ใช่ว่าจะยิ่งทำให้เหม็นไปใหญ่หรอกรึ?」
「เหม็นที่ไหนกันล่ะ! กลิ่นหอมออกจะตาย!」
แบชก้มมองไปยังร่างกายตัวเอง ก่อนที่จะพูดออกมา
ในระหว่างสงคราม ออร์คนั้นได้สู้กับเผ่าพันธุ์อื่นเกือบทั้งหมด
กับเผ่ามนุษย์สัตว์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เผ่ามนุษย์สัตว์เป็นเผ่าที่มีจมูกเป็นเลิศ
สามารถรับรู้กลิ่นตัวที่รุนแรงของออร์คได้ในทันที ทำให้มักถูกพวกนั้นดักซุ่มจู่โจมทีเผลอบ่อยๆ
เพื่อการนั้น จึงได้มีการคิดค้นวิธีการรับมือ โดยการใช้น้ำหอมในการดับกลิ่นกายหลังอาบน้ำ ก่อนที่จะเริ่มทำการต่อสู้กับพวกมนุษย์สัตว์
การกลบกลิ่นด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ หรือพวกหญ้า สามารถหลอกจมูกของพวกมนุษย์สัตว์ได้
โดยเฉพาะน้ำหอมนั้น แฟรี่เองเป็นผู้ผลิต ปัจจุบันเองก็มีการส่งออกไปยังประเทศของพวกมนุษย์และเอลฟ์อีกต่างหาก
「เอ๊า เดี๋ยวให้ยืมของข้าน้อยเอง!」
「อืม」
เลคเชอร์ ②
ทำตัวให้หอมไว้
กลิ่นหอมฟุ้งของน้ำหอมนั้น สำหรับออร์คทั่วไปเป็นอะไรที่ยี้มาก แม้แต่เรื่องที่ต้องใส่น้ำหอมก่อนสู้กับพวกมนุษย์สัตว์นั้นเอง ก็มีบางตนที่ไม่ชอบอยู่ ซึ่งพวกนั้นส่วนใหญ่ มักไม่รอด
ต่างจากแบช
เขาเป็นหนึ่งในนักรบผู้มีชีวิตรอดหลังจากต่อสู้กับพวกมนุษย์สัตว์
ความน่ากลัวของพวกมนุษย์สัตว์ที่ลอบจู่โจมกลางดึกก็คือ การจู่โจมเหยื่อโดยไม่ต้องมองเป้าหมาย
ส่งผลทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทในตอนกลางคืน แต่การใช้น้ำหอมนั้น ช่วยทำให้หลับได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น
อย่างน้อย ระหว่างที่น้ำหอมออกฤทธิ์ จะไม่โดนพวกมนุษย์สัตว์ลอบโจมตีได้แน่นอน
「งั้น รีบๆอาบน้ำก่อนล่ะกัน! เดี๋ยวข้าน้อยจะถูหลังให้เอง!」
ซิลบินพุ่งไปในอากาศ หล่อนบินผ่านตัวแบชไปยังประตูทางเข้า แล้วเคาะประตู ก๊อกๆ
「เจ้าของร้าน! เจ้าของรัาน! นายท่ายต้องการล้างตัว! เพราะงั้นช่วยเตรียมถังน้ำให้ที!」
พอซิลได้ทำการร้องขอ ประตูห้องถูกเปิดแง้มออกมาเล็กน้อย เจ้าของที่พักได้แอบมองลอดเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดๆ
「ออร์คอาบน้ำเป็นด้วยเหรอคะ……?」
「ว่าไงกันนะ! ออร์คอาบน้ำได้มันผิดตรงไหน!? พวกมนุษย์อย่างเธอเนี้ยคิดว่าออร์คเป็นเผ่าพันธุ์ที่สกปรกเหม็นสาปอย่างเดียวสินะ พวกออร์คน่ะ หากเข้ามาในเมืองมนุษย์แล้ว แค่เรื่องใส่ใจกลิ่นกายไม่ให้รบกวนจมูกพวกมนุษย์แค่นั้นก็ทำได้อยู่แล้วล่ะ!」
「เข้าใจแล้วๆ ไม่ต้องตะโกนฉุนเฉียวขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวจะจัดการให้ ราคา 1 เหรียญทองแดงนะ」
「โอเค」
แม้เจ้าของร้านจะทำท่าแปลกใจก็ตาม หลังจากหล่อนรับเงินไปแล้ว ก็รีบออกไปเตรียมน้ำมาให้
「เอาล่ะ ก่อนที่น้ำจะมา เรามาเริ่มเลคเชอร์กันต่อเถอะ!」
「ฝากด้วย」
หลังจากนั้น ระหว่างที่แบชกำลังทำความสะอาดร่างกาย เขาก็เรียนรู้「วิธีเป็นหนุ่มเนื้อหอมในสังคมมนุษย์」ที่ถูกถ่ายทอดโดยตรงจากแฟรี่
◇
「อย่างไรก็ตาม หากทำตามที่ว่าได้ล่ะก็ อย่างน้อยก็คงตกได้ซักคนล่ะ」
「ทำตัวให้สะอาด ระงับกลิ่นกาย พูดคุยเปิดเผยตรงไปตรงมา……」
หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเสร็จแล้ว แบชก็นับนิ้วไล่ทวนกฎที่ซิลสอนมา
เขานั้นเป็นคนที่มีนิสัยจริงจัง แม้แต่ตอนที่ได้รับคำร้องให้ช่วยเป็นกำลังหนุน เขาก็จะรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ แม้จะไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนเลย
เพราะฉะนั้นแม้แต่คำพูดของแฟรี่ที่มีนิสัยขี้เล่นก็ตาม เขาก็ฟังตามโดยไม่คิดสงสัยเลยแม้แต่น้อย
「……」
จู่ๆ แบชได้หยุดเคลื่อนไหว
สาเหตุก็คือ หูที่เฉียบคมของเขานั้นได้ยินเสียงอึกทึกบางอย่าง เสียงที่ได้ยินนั้น สามารถระบุได้ว่ามีคนกำลังทำการบุกล้อมรอบห้องเขาอยู่
「ให้ตายสิ ดูเหมือนต้องทวนให้อีกรอบสินะ คราวนี้ฟังให้ดีล่ะ พวกมนุษย์ผู้หญิงน่ะ โว้ว!?」
พอซิลเห็นแบชดึงดาบที่สะพายอยู่ที่หลังออกมา เธอก็เริ่มลนลาทันที
「กะ กะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ!? หรือว่าศัตรูบุก!?」
ซิลหยิบไม้เท้าขนาดราวไม้จิ้มฟัน ที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมาอย่างลนลาน
ในที่สุดซิลก็รู้สึกตัว
รู้สึกถึงเสียงของเหล็กเสียดเสียงกันดัง แกร๊กๆ รอบตัวได้
พวกเธอนั้นถูกรอบอย่างสมบูรณ์แล้ว ทำไมถึงได้รู้สึกตัวเอาป่านนี้กัน
「เวทกลบเสียงสินะ」
แบชนึกได้ถึงเวทมนตร์ที่มนุษย์ชอบใช้ในตอนซุ่มโจมตี เขาเริ่มระวังตัวอย่างถึงขีดสุด
เวทมนตร์กลับเสียงนั้น เป็นเวทที่ใช้ลบล้างเสียงตามชื่อ แต่มีผลเพียงแค่ขอบเขตหนึ่งเท่านั้น หากเข้าใกล้เกินไป อีกฝ่ายจะได้ยินเสียงตามปกติ เป็นเวทมนตร์บทหนึ่งที่พวกบรรดาทหารหุ้มเกราะของมนุษย์นิยมใช้ การที่เขาได้ยินเสียงแบบนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้มากเกินไป ไม่ก็ทำการล้อมไว้อย่างสมบูรณ์ เพียงพร้อมเผชิญหน้า
ดูจากสภาพแล้ว คงน่าจะเป็นแบบหลังเสียมากกว่า
「หากคาดการณ์จากกลิ่นเอาจำนวนคน และรถม้าใกล้ๆแล้วล่ะก็ มีทหารหนึ่งกองสินะ」
「ถูกตามรอยมาเหรอ?」
「ถึงจะไม่รู้สึกตัวก็ตาม แต่อีกฝ่ายเป็นมนุษย์ล่ะนะ เรื่องแบบนี้เองก็มีบ้างเหมือนกัน」
หากเป็นพวกมนุษย์สัตว์หรือเอลฟ์ล่ะก็ว่าไปอย่าง แต่การที่ถูกมนุษย์ โดยเฉพาะทหารหนึ่งกองที่สวมชุดเกราะเต็มยศสะกดรอยตามง่ายๆแบบนี้ แบชเองก็ไม่ใช่ว่าจะทื่อขนาดนั้น
พวกมนุษย์นั้นมีการใช้เทคนิคเฉพาะในการเจาะจงที่อยู่ของอีกฝ่ายได้ด้วยข้อมูลอันเล็กน้อยกันอย่างยาวนานแล้ว น่ากลัวว่า พวกเขาเหล่านั้นคงตามร่องรอยข้อมูลอันน้อยนิดนั้นมา เพื่อไม่ให้แบชรู้สึกตัวได้
「นายท่าน เอาไงดีล่ะ? หากจะฆ่าให้เหี้ยนละก็ แนะนำเริ่มจัดการทางหน้าต่างก่อน แล้วค่อยอ้อมไปจัดการกับพวกทางเข้า แต่ถ้าอยากบุกทะลวงล่ะก็ ต้องเริ่มจากฝั่งประตูที่มีการเฝ้าระวังภัยน้อยหน่อย เพราะอีกฝั่งคงคิดว่าไม่น่าจะบุกจากทางออกตรงๆแน่ แต่เอาเถอะ จำนวนแค่นี้ล่ะก็ ไม่ว่าจะจัดการทางไหนก็หวานหมูอยู่ดี」
ซิลพูดด้วยท่าทีที่ดูเหมือนจะตั้งสติได้แล้ว
แม้ภายนอกจะดูเหมือนพวกอ่อนวัย แต่แฟรี่ตนนี้เองก็เป็นหนึ่งในทหารผ่านศึกเช่นกัน
การมองทะลุถึงรูปแบบทัพข้าศึกในชั่วอึดใจ และสามารถบอกถึงเส้นทางที่ง่ายต่อการรับมือได้นั้น คือจุดแข็งของเธอเช่นกัน
แบชกับซิลนั้นรวมรบกันมาอย่างยาวนาน ในสงคราม วงล้อมแบบนี้พวกเขาตีทะลวงมานักต่อนักแล้ว
ถ้าอยากฆ่าแบชล่ะก็ ต้องขนมามากกว่านี้อีกร้อยเท่าได้
เป็นคู่ต่อสู้ที่หวานหมูมาก
แต่ แบชกลับส่ายศีรษะตน
「ไม่ได้ จะสู้ไม่ได้ เลือกเจรจากันเถอะ」
พอพูดเช่นนั้น เขาก็ทิ้งดาบใหญ่ในมือลง
ทำไมเขาถึงถูกล้อมกัน เขาเองก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรลงไปซักหน่อย
「แหม……แต่ดูท่าคงโบยความผิดให้ขับไล่ออกจากเมืองแหงๆ……」
「ก็คงเป็นแบบนั้นล่ะ ยังไงก็เถอะ ก่อนที่ถูกสะกดรอยมาได้ถึงที่นี่ แสดงว่าเรื่องนั้นเองก็คงแตกแล้วล่ะ หนีไปตอนนี้ก็ไม่ช่วยอะไร」
ระหว่างที่พูดเรื่องนั้นกัน ก็มีเสียงประตูถูกพังเข้ามา
「ออร์คตรงนั้น! อย่าขยับ!」
คนที่กระโจนเข้ามาในห้องมีอยู่สามคน
เป็นทหารที่สวมเกราะแบบง่ายๆอยู่สองคน และอัศวินที่สวมหมวกเหล็กมีหงอนอีกหนึ่งคน
จากประสบการณ์การต่อสู้อันยาวนานของแบช ทำให้เข้ารู้ว่า หงอนที่อยู่บนหมวกเหล็กนี้คือหลักฐานบงบอกถึงสถานะของอัศวิน
หากพูดเพิ่มเติมล่ะก็ อัศวินของเหล่ามนุษย์นั้นสถานะเทียบได้กับหัวหน้านักรบของเหล่าออร์คเลยทีเดียว
สรุปง่ายๆก็คือ อัศวินคนนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มนั่นเอง
「ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรนิ! แล้วมีธุระอะไรล่ะ มนุษย์!」
「ฮึ!」
อัศวินนั้นเดินเข้ามาสองสามก้าว ก่อนที่จะถอดหมวกตนออก
สิ่งที่ปรากฎให้เห็นนั้น คือสาวสวยที่รวบผมสีทองเปร่งประกายเป็นทรงหางม้า
(ก็ว่าอยู่ทำไมเสียงสูง ที่แท้เป็นผู้หญิงเองหรอกรึ…ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้น…)
ทั้งทีที่เขาเห็นใบหน้าของเธอ ด้านในของแบชเหมือนมีอะไรบางอย่างจู่โจมใส่
สัมผัสความรู้สึกเปรี้ยวอมหวานราวกับได้กัดผลมะเดื่อฝรั่ง (อิจิจิคุ) ที่นุ่มนิ่มได้อย่างเต็มปากเต็มคำนั้น เข้าครอบงำทั่วร่างกายเขา
รูป มะเดื่อฝรั่ง (รูปจากอากู๊)
(TL: มะเดื่อฝรั่ง หรือ อิจิจิคุ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง ขนาดประมาณกำมือ นิ่มมาก แค่ออกแรงนิดเดียวนี่เละคามือได้เลย มีรสชาติหวานอร่อย กินได้ทั้งผลทั้งเปลือกไม่ต้องปลอก เหลือก้านไว้พอ ราคาค่อนข้างสูงในเมืองไทย ใครอยากลองกินลองหาซื้อดู แนะนำไปหาซื้อตามห้างญี่ปุ่นในไทยด้วยตนเองดีกว่า เพราะไม่น่าขนส่งได้ มีโอกาสเละ และเน่าสูง เพราะมันต้องแช่เย็น แต่สัมผัสมันจะเละๆแหยะๆหน่อยนะ เวลาทาน)
(งดงาม……)
คิ้วที่งามหยด ปากที่แสดงให้ถึงทิฐิอันแรงกล้า ดวงตาเรียวแหลมที่ทำให้รู้สึกได้ถึงนิสัยเสียเล็กๆน้อยๆ ผิวขาวราวกับสามารถมองทะลุได้……
ถึงจะมองไม่เห็นร่างกายเนื่องด้วยสวมเกราะอยู่ แต่จากท่าทางที่องอาจแล้ว ทำให้รู้ได้ว่าเป็นร่างกายที่ทนทานมีมวลกล้ามเนื้ออยู่
เป็นผู้หญิงที่ระดับสูงกว่า ผู้หญิงที่พบในป่า หรือเห็นทางหลายเท่า ไม่สิ หลายสิบเท่าตัวนัก
พอคิดว่าตนมีโอกาสที่จะผสมพันธุ์กับร่างกายอันเปลื่อยเปล่าของสาวสวยตรงหน้าแล้ว สมองของแบชก็เหมือนมีไฟฟ้าไหลเข้าไป
ระหว่างขานั้นตั้งโด่อย่างสง่าสงาม
ต้องขอบคุณกางเกงหนังที่แข็งแรงคงทนนั่น ทำให้ไม่เป็นที่อุจาดตาจนเกินงาม
ไม่รู้ว่าหล่อนจะทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของแบชหรือไม่ หล่อนนั้นจ้องไปที่แบช พร้อมตะคอกออกมาว่า
「มีรายงานมาว่า มีออร์คจู่โจมใส่รถม้าที่ถนนหลัก ฝีมือแกสินะ!」
ซิลบ่นพึมพำกับเขาด้วยเสียงเบาๆว่า「เห็นไหม เป็นไปอย่างที่คิดเลย」แต่แบชกลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขาถูกใจอัศวินสาวที่น่ารักคนนี้มากกว่า
หลังจากออกจากประเทศ ก็เจอมนุษย์เพศ♀ชั้นเลิศ แถม หากพูดคุยกับบรรดาออร์คนักรบในเรื่อง『ผู้หญิงแบบไหนถึงเหมาะสำหรับเอามาเป็นเจ้าสาวดี』ล่ะก็ แน่นอนว่า อัศวินสาวต้องนอนกินมาแน่ๆ
ซึ่งเรื่องนี้เอง สำหรับแบชที่เป็นหนุ่มซิงก็ไม่ต่างกัน
ในหัวของเขานั้น มีแต่ฉากภาพการแต่งงาน
มีลูกอย่างต่ำซักขอสามคนได้ก็คงจะดี
จริงๆแล้ว เขาเคยได้ยินมาว่า มีวิชาที่สืบทอดกันในเผ่าเอลฟ์วิชาที่ว่า แม้จะผสมพันธุ์กับออร์คก็สามารถให้กำเนิดเด็กที่ไม่ใช่ออร์คได้อยู่ ถ้าอยากนั้นให้คนหนึ่งเป็นมนุษย์ก็คงดี
เด็กที่คลอดทั้งหมด เป็นผู้ชายหมดเลยได้ยิ่งดี
ก่อนอื่นเด็กคนแรกนั้น ให้ชื่ออัชชู ที่สืบทอดชื่อจากเขา แล้วค่อยสอนวิธีล่าสัตว์และการต่อสู้ได้……
「เห้ย ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง ตอบมาซะ!」
จินตนาการณ์นั้นถูกเสียงของอัศวินหญิงพัดกระจายหายไป
ก่อนอื่น แบชที่กลับมายังโลกความเป็นจริงนั้น เข้ากำลังคิดอยู่ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
การที่จู่ๆขอให้เป็นภรรยาเลยนั้น เป็นเรื่องที่ห้ามทำเด็ดขาด จากคำบรรยายของซิลเมื่อครู่นี้ทำให้เขาเข้าใจเรื่องนี้ได้
แล้ว เขาควรทำอย่างไรดีล่ะ
ในตอนแบบนี้ล่ะก็… เขาลอบมองไปที่มือข้างซ้ายของเธอคนนั้นอย่างระมัดระวัง
หากสวมแหวนที่นิ้วนางล่ะก็ แสดงว่าตัวเมียคนนั้นได้แต่งงานเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถนำมาเป็นของตนได้
「……」
แต่มือข้างซ้ายของอัศวินนั้นเกราะมืออยู่ ทำให้ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าสวมแหวนหรือไม่
「……อืม」
พอเจอเรื่องนอกเหนือบทเรียนไป ทำให้ความคิดเขาหยุดชะงัก
แต่เขาเองก็เป็นถึงวีรบุรษผู้ผ่านศึกมามากมาย
อีกฝ่ายที่เขาไม่สามารถล้มได้ภายในดาบเดียวนั้น มีมากมายราวกับดาวบนฟากฟ้า
ตัวอย่างเช่น ตอนสู้กับสัตว์อสูรเบฮีมอสของผู้ใช้งานสัตว์อสูรเผ่ามนุษย์สัตว์เอง ก็กินเวลาไปหลายสิบชั่วโมง สู้กันตั้งแต่ฟ้าสางต่อเนื่องไปยังกลางดึกเลย
บางเวลา การทำศึกยืดเยื้อเพื่อตรวจสอบความสามารถของอีกฝ่ายให้ทะลุปรุโปร่งเองก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
「เฮ้ย ตอบมาซะ! เป็นแค่ออร์คแท้ๆ อย่ามายั่วโมโหฉันนะ!」
「อะแฮ่ม โทษที…… จริงอยู่ว่าข้าเคยเห็นรถม้านั่น แต่ข้าไม่ได้จู่โจมรถม้านั่นซักหน่อย แค่ส่งเสียงทัก พวกเธอเหล่านั้นก็หนีไปเอง」
แบชสงบสติตัวเอง และตอบคำถามตรงไปตรงมาให้สมกับนักรบออร์ค
เป็นหนึ่งในกฎที่ช่วยให้เนื้อหอมในหมู่มนุษย์ ที่ซิลสอนเขามา
เลคเชอร์ 3
เป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมาซะ
「อย่ามาตอแหล!」
「ข้าไม่ได้โกหก ตอนที่ข้าไปถึง รถม้านั้นก็ถูกพวกบัคแบร์จู่โจมก่อนอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่ผ่านทางนั้น แล้วไล่พวกบัคแบร์ไปแค่นั้น」
「แล้วมีหลักฐานอะไรไหม!?」
「ข้าไม่มีหลักฐาน แต่ข้าขอสาบานต่อชื่อราชาออร์ค เนเมซิส ผู้ยิ่งใหญ่!」
「อึ่ก……」
พอเจอคำปล่าวประกาศอย่างสื่อตรง อัศวินถึงกับทำหน้าเจ็บปวด
การที่ให้คำสัตย์ต่อชื่อราชาออร์คน้้น หมายความว่า ถ้าหากเจ้าตัวโกหกเจ้าตัวจะยอมรับโทษประหาร
ผู้ที่สามารถเอ้ยคำสัตย์นี้ได้ ในหมู่สังคมออร์คเอง มีเพียงนักรบระดับเกรทวอริเออร์ (ผู้บังคับบัญชาหน่วยต่อสู้สงคราม) ขึ้นไป ที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
สำหรับออร์คแล้ว คำสาบานที่ดูสมเป็นชายชาตีนั้นเอง ก็ถือเป็นหลักฐานแสดงถึงฐานะและเกียรยศอย่างหนึ่งเช่นกัน
ออร์คที่สามารถเอ่ยคำสัตย์อย่างซื่อตรงนี้ได้ จะต้องทนแบกรับต่อสายตาอิจฉาของพวกออร์ควัยรุ่นโดยไม่มีข้อยกเว้น ทำให้คำสัตย์นั้นยิ่งมีความหนักแน่นขึ้นไปอีก
พอแบชเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนใจของอัศวิน ก็พูดขึ้นมาในใจว่า「ได้การล่ะ」
แต่อัศวินหญิงเองนั้นไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับ “คำสัตย์” เลย
เพียงแค่เธอเห็นแบชตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา เลยหาเรื่องตำหนิยากเท่านั้นเอง
「แล้วเรื่องที่ผู้เสียหายให้การว่า “ถูกออร์คเข้ามาใกล้แล้วพูดบังคับให้คลอดลูก” นั่นล่ะ!」
「การบังคับอีกเผ่าให้ร่วมเพศโดยไม่ยินยอมนั้น ถูกห้ามอย่างเด็ดขาดภายใต้ชื่อของราชาออร์ค ข้าก็แค่ลองพูดขอความร่วมมือเท่านั้น」
「แบบนั้นมันขอความร่วมมือซะทีไหนกัน!」
「ถ้าไม่ลองทำก็ไม่รู้ผลลัพธ์ การลงมือทำต่างหากล่ะ ถึงจะรู้ผลลัพธ์นั้นได้ ดูเหมือนในสามัญสำนึกของพวกมนุษย์แล้ว การที่จู่ๆขอความร่วมมือในการร่วมเพศนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สินะ」
พอถูกตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา อัศวินถึงกับชะงั้กอีกหน
เธอพึ่งเคยเจอออร์คที่ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้เป็นครั้งแรก
ในสายตาเธอนั้น เธอคิดว่าออร์คตนนี้เป็นเพียงออร์คที่ถูกเนรเทศออกจากประเทศ
หากเป็นออร์คที่ถูกเนรเทศทั่วไปล่ะก็ ทันทีที่เห็นรูปลักษณ์ของเธอ พวกมันก็จะพูดจาต่ำช้าคอยแทะโลม พยายามจับเธอไปผสมพันธุ์ให้ได้ พอถูกซักถามนิดหน่อย ก็โมโหเลือดขึ้นหน้า อาลาวาดไปแล้ว
ไม่สามารถพูดคุยเป็นเหตุเป็นผลได้จนถึงขนาดนี้
「อึ่ก ช่างเป็นออร์คชั้นต่ำอะไรเช่นนี้ ถ้าแค่ผ่านทางเฉยๆ แล้วทำไมต้องขโมยของไปจากรถม้าด้วยล่ะ!」
「หืม……」
ด้วยคำพูดของอัศวินหญิง ทำให้แบชพูดไม่ออกไปช่วงขณะ
จริงอยู่ ของที่หยิบออกไปจากรถม้านั้นมีเพียงหนึ่งสิ่ง ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกล่ะก็เป็น “บุคคลคน” มากกว่า “สิ่งของ” มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่เขาหยิบฉวยออกไปจากรถม้า……
「จริงอยู่ ที่ข้าหยิบฉวยออกมา……」
「เห็นไหม ว่าแล้วไง! แกน่ะถูกจับกุมข้อหาลักทรัพย์ล่ะ!」
「อืมม」
「ดะ เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้อยากให้ฟังที่ข้าน้อยอธิบายก่อนน่ะ!」
พอถึงตอนนี้ ซิลได้บินเข้ามาแทรกระหว่างอัศวินหญิงและแบช
「สิ่งนั้นมันคือข้าน้อยสินะ!? จริงอยู่ ที่ข้าน้อยที่น่าสังเวชนั้นถูกพวกมนุษย์จับยัดใส่ขวดแก้ว วางอยู่บนรถม้านั่น! แต่ว่า การขายแฟรี่เองก็เป็นกฎข้อห้าม สัญญาระหว่างมนุษย์กับแฟรี่มิใช่หรือ ! การตัดสินบุคคลที่ช่วยข้าน้อยที่ถูกลักลอบขาย ว่าเป็นขโมยนั้นมันขัดแย้งแปลกๆไม่ใช่หรือไงกัน!?」
「วะ ว่าไงนะ……?」
ด้วยคำพูดของซิล ทำให้อัศวินถึงกับทำอะไรไม่ถูก
การลักลอบขายแฟรี่นั้นถือเป็นอาชญากรรม รถม้าที่บรรทุกสินค้านั้น แล้วดันถูกออร์คช่วยเหลือไว้พอดี ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่ลักลอบขายก็ตาม แต่การขโมยสินค้านั้นก็ถือว่ามีความผิดฐานขโมยอยู่ดี หนำซ้ำออร์คนั้นเองก็ยังครอบครองสินค้าที่ถูกลักลอบขายนั้นอยู่ด้วย
แม้จากที่ตาเห็นนั้น ดูเหมือนแฟรี่เองจะเป็นคนขอติดตามออร์คด้วยเจตจำนงของเจ้าตัวมากกว่า
แต่ว่า… คำพูดของแฟรี่ตนนั้นจะน่าเชื่อถือได้เพียงไหนกัน? ไม่ใช่แค่พูดกลบเกลือนไปตามเรื่องตามราวหรอกหรือ? พวกแฟรี่เองก็ชอบพูดกลอกกลับเหมือนดั่งลมปากด้วย
「อ๊าาาก……」
เรื่องมันชักยุ่งยากขึ้นมาซะแล้ว
อัศวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าในการคิดเรื่องที่เกิดขึ้นต่างๆนาๆจนตาลาย ในท้ายสุดเธอก็ได้เอ่ยปากออกมาว่า
「ก่อนอื่น ช่วยตามพวกเรามาด้วย!」
「ได้สิ」
แบชตอบกลับมาแทบจะในทันที
เป็นฝ่ายซิลเองที่ถึงกับตกตะลึง เธอหันหน้าไปมองแบชด้วยท่าทางทำอะไรไม่ถูก สะบัดมือสะบัดเท้าชี้ไปทางอัศวินหญิง ฝั่งอัศวินหญิงเองก็คาดไม่ถึงว่า แบชจะทำตามที่ตนสั่งอย่างว่าง่าย เลยแสดงท่าทางอืดอัดใจให้เห็น
「เอ๋? เอาจริงดิ? ยัยนี่กำลังหยามนายท่านอยู่นะ?」
ถ้าอิงตามความคิดของออร์คทั่วไปล่ะก็ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องตามไป
หากพวกเด็กเมื่อวานซืนที่อยู่ในอาณาจักร์ออร์คโดนพูดแบบเดียวกับแบชล่ะก็ คงจะชักดาบขึ้นมา แยกเขี้ยว ท้าต่อยตีไปแล้ว
แต่แบชเองก็มีจุดมุ่งหมายในการเดินทางอยู่
ค้นหาเส้นทางแห่งการสละซิงนั่นเอง
เป็นไปได้ก็อยากได้สาวสวยตรงสเป๊กของตน ยิ่งบริสุทธิ์ได้ยิ่งดี
「ดีแล้วล่ะ!」
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า
อัศวินหญิงผมทองผู้ชื่นชอบการเอาชนะ เป็นผู้หญิงในสเป๊กของตน ถึงจะไม่รู้ว่ายังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ ถึงจะไม่ทราบว่าแต่งงานแล้วหรือยัง แม้ว่าหล่อนจะทำท่าไม่ชอบขี้หน้าตนก็ตาม แต่หล่อนก็ไม่กรี๊ดร้องและหนีไปเหมือนเช่นคนอื่น
แถมผู้หญิงคนนั้นกลับพูดว่า「ตามมาซะ」ด้วยอีก
หากตามไปล่ะก็ อย่างน้อยก็มีโอกาสพูดคุยเพิ่มขึ้นซักนิดหน่อยก็ยังดี
กลับกัน หากไม่ตามไปล่ะก็ คงจบกันแค่ตรงนี้ ยิ่งถ้าหากถูกไล่ออกจากเมืองเพราะอาลาวาดล่ะก็ คงไม่มีโอกาสได้เจอเธอคนนี้อีกครั้งก็เป็นแน่
พอคิดได้เช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไม่ควรตามเธอไป
ในสงคราม โอกาสเพียงครั้งเดียวที่ช่วยให้รอดชีวิตได้นั้น เกิดขึ้นถมไป
การตัดสินใจอันรวดเร็วในการคว้าโอกาสนั้นของเขา ทำให้มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้
「งั้น……ยอมให้ใส่กุญแจมือซะ! ขอคุมตัวแกล่ะ!」
「อ่า」
และแล้วแบชก็ถูกจับกุม
หลังจากที่เขาเดินทางถึง คราซเซลไม่ทันจะ 4 ชั่วโมงดีด้วยซ้ำ