เจียงอาเฉียนตื่นตกใจ เขาได้แต่มองไปยังลู่โจวอย่างตกตะลึง ขาของเขาในตอนนี้อ่อนแรงจนเกินไป ความรู้สึกผิดหวังลึกๆ ในใจของเขากำลังทำให้ตัวของเขาสั่นไปทั้งตัว หลังจากนั้นไม่นานเจียงอาเฉียนก็พยายามหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา “ท่านผู้อาวุโสจี ท่านกำลังพูดถึงอะไรกัน? ท่านกำลังล้อเล่นอยู่อย่างงั้นหรอ? “
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้เดินก้าวเท้าไปอย่า่งช้าๆ ก่อนที่จะอธิบายทุกอย่างออกมา “เจ้าน่ะมาจากพระราชวัง” น้ำเสียงที่เจียงอาเฉียนใช้ตอบโต้ลู่โจวทำให้ตัวเขารู้สึกมั่นใจในความจริงนี้มากขึ้น
หัวใจของเจียงอาเฉียนกำลังเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ ตัวเขาพยายามที่จะฝืนยิ้มก่อนที่จะพูดออกมาต่อ “มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน…”
ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป
เจียงอาเฉียนเป็นคนที่ฉลาดและไหวพริบดี ดังนั้นการจะพูดคุยหลอกความจริงกับชายคนนี้คงจะเป็นอะไรที่เสียเวลาเปล่า เจียงอาเฉียนรู้แผนการของเหล่านักบวชจากวิหารแห่งความว่างเปล่าอยู่ก่อนแล้ว ที่สำคัญที่สุดในตอนที่กำลังเดินทางออกจากเมือง เขาคนนี้ก็เป็นคนอาสาขอขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง และเขาคนนี้เองยังบอกอีกว่ามีคนจากพระราชวังคอยติดตามลู่โจวอยู่ ในที่แห่งนี้ไม่มีใครที่จะดูน่าสงสัยไปกว่าเจียงอาเฉียนอีกแล้ว คนที่รู้ดีทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในพิธีศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเรื่องของคนจากพระราชวัง
ลู่โจวได้ส่งหมิงซี่หยินขึ้นหลังของวิซซาร์ดที่อยู่ด้านหลังของเขาไป คนจากพระราชวังคนนั้นยังอยู่ที่นี่ที่ที่ลู่โจวอยู่ แต่คนคนนั้นจะต้องไม่กล้าทำอะไรแน่เพราะว่าสถานะที่แท้จริงของลู่โจวถูกเปิดเผยแล้วนั่นเอง คนจากพระราชวังจะต้องรู้แล้วว่าผู้หญิงที่อยู่กับลู่โจวอีกคนเป็นจ้าวยู่ ที่สำคัญที่สุดในตอนที่เจียงอาเฉียนรู้ความจริงว่าตัวเขาเป็นปรมาจารย์มหาวายร้าย เจียงอาเฉียนได้แสดงอาการสับสนออกมา แผนการที่เขาได้วางเอาไว้จึงถูกขัดขวางไปซะก่อน และเพราะแบบนั้นตัวเขาก็เริ่มแสดงอาการตื่นตกใจออกมามากขึ้น สัญญาณทั้งหมดนี้ทำให้ลู่โจวสันนิษฐานได้ว่าเจียงอาเฉียนนั่นแหละคือคนที่มาจากพระราชวังอีกคน
“ข้าน่ะเป็นคนตรงไปตรงมาและคำพูดของข้าเองก็ตรงไปตรงมาตามนิสัยของข้าเช่นกัน…เจ้าน่ะมีมันสมองที่ชาญฉลาดอยู่ อย่างเจ้าจะต้องรู้แน่ว่าข้าหมายถึงอะไร” ลู่โจวพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
เจียงอาเฉียนยังคงปิดปากเงียบ ความเงียบของเขาที่แสดงออกมาคล้ายกับการยอมรับเป็นนัยๆ หลักฐานทั้งหมดมัดตัวเขาไว้แล้ว เจียงอาเฉียนที่แพ้อย่างหมดรูปไม่มีโอกาสที่จะได้แก้ตัวเลย “ท่านน่ะเป็นคนที่ฉลาดมากท่านผู้อาวุโสจี”
ลู่โจวยังคงยืนตรงพร้อมกับเอามือไขว้หลังเช่นเคย ตัวเขาในตอนนี้ยังคงนิ่งเงียบ
เจียงอาเฉียนได้พูดต่อไป “แต่ท่านน่ะพูดถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นท่านผู้อาวุโส…แม้ว่าข้าน่ะมาจากพระราชวังก็จริง แต่นั่นน่ะก็เป็นเพียงอดีตไปแล้ว ข้าน่ะออกมาจากที่นั่นมาเป็นเวลานานแล้วไงล่ะ ในที่อย่างพระราชวังมันเต็มไปด้วยแผนการร้ายรวมไปถึงผู้คนที่เห็นแก่ได้ ที่แบบนั้นน่ะไม่อาจทำให้ชีวิตของข้ามีชีวิตชีวาขึ้นมาได้” เจียงอาเฉียนได้ถอนหายใจระหว่างพูดก่อนที่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังต่อไป “ผู้คนจากพระราชวังทั้งหลายจะต้องต่อสู้ตลอดเวลาไปกับความหลอกลวง…ท่านผู้อาวุโส ท่านเชื่อเรื่องที่ข้าบอกไหมล่ะ? ” เจียงอาเฉียนไม่คิดว่าลู่โจวจะเชื่อคำพูดที่คล้ายกับคำแก้ตัวแบบนี้
“ข้าน่ะคิดเองได้” ลู่โจวตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ
เจียงอาเฉียนได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินแบบนั้น หลังจากที่ส่ายหัวเขาก็ได้พูดต่อไป “สำหรับตัวข้าเอง ข้าคิดมาเสมอว่าโลกภายนอกน่ะเหมาะกับตัวข้ามากกว่า โลกที่เป็นอิสระไร้ซึ่งพันธะ ข้าอยากที่จะหาเวลาดื่มกับท่านจริงๆ ท่านผู้อาวุโส เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างในพระราชวังให้ฟังเอง”
คำพูดของเจียงอาเฉียนมีเหตุผลอยู่ ถ้าหากเจียงอาเฉียนยังคงอยู่ในพระราชวังต่อไป ด้วยมันสมองอันเจ้าเล่ห์รวมไปถึงวรยุทธที่ตัวเขามีการที่จะขึ้นมามีตำแหน่งได้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
หลังจากนั้นไม่นานเจียงอาเฉียนก็ได้พูดต่อไปด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย “แต่อนิจจา มันสายเกินไปสำหรับมิตรสหายของข้าบางคน เพื่อนของข้ากว่าจะคิดออกจากพระราชวังได้ก็สายไปซะแล้ว บางคนถึงกับต้องเสียชีวิตเพราะเรื่องนี้”
ลู่โจวที่ได้ฟังอยู่เงียบๆ
สิ่งที่เจียงอาเฉียนพูดคือเรื่องจริง มนุษย์ที่อยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยอำนาจอย่างพระราชวังมักจะต้องต่อสู้เอาตัวรอดตลอดเวลา มันซับซ้อนกว่าการใช้ชีวิตในโลกภายนอกที่มีทั้งอิสระและมิตรสหายที่จริงใจ เจียงอาเฉียนที่นึกถึงความหลังได้พูดออกมาอย่างกังวล “ท่านผู้อาวุโส ท่านรู้ตัวตนของข้าแล้ว…พวกเราพอจะยกเลิกข้อตกลงก่อนหน้านี้จะได้ไหม? “
เจียงอาเฉียนเป็นคนที่รักชีวิตของตัวเองมาก ตัวเขาที่ต้องการรักษาชีวิตไว้ได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อถามคำถามนี้ออกมา ตัวเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าลู่โจวจะโกรธจนหันกลับมาโจมตีตัวเขาไหม
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวก่อนจะตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เจ้าก็ลองดูสิ”
“…”
เจียงอาเฉียนถึงกับพูดไม่ออก ‘ในเมื่อลงเรือรำเดียวกันแล้วก็คงจะออกไปไม่ได้ง่ายๆ งั้นสินะ’ หลังจากที่คิดได้แบบนั้นเขาก็พูดต่อไป “ข้าจะปลอดภัยไหมถ้าหากมีคนรู้เรื่องนี้เข้า? “
ลู่โจวได้ตอบกลับในทันที “ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก” หลังจากที่ตอบกลับไปลู่โจวก็ได้แต่คิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ ‘ฉันไม่คิดว่าจะต้องมากังวลอะไรกับความปลอดภัยของเจ้านี่เลย เจียงอาเฉียนน่ะยังไงซะก็เป็นชายที่รักชีวิตเหนือสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว เพราะแบบนั้นเขาจะต้องหาตัวรอดได้แน่’
ลู่โจวได้หันไปหาเจียงอาเฉียนก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง “ตราบใดที่เจ้าไม่เข้ามาขัดขวางศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้า ข้าก็จะไม่ขัดขวางสิ่งที่เจ้าทำเช่นกัน” ลู่โจวได้หยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดเสริมออกมาอีกครั้ง “ตั้งแต่ที่เจ้าออกมาจากพระราชวังมา ข้าก็มั่นใจว่าเจ้าน่ะจะเข้าใจงานที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้าทำดี”
เจียงอาเฉียนได้พยักหน้าตอบรับพร้อมกับถอนหายใจ “ดี…แล้วเรื่องดาบที่พวกเราเคยคุยกันไว้ล่ะท่านผู้อาวุโส…”
“ข้าจะมอบให้กับเจ้าเอง”
เจียงอาเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นได้กอดดาบของตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “ได้ งั้นตกลงตามนี้! “
ลู่โจวเองพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเช่นกัน ตัวเขาได้สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะหันไปทางสัตว์ขี่ของเขา ในตอนนี้บี่เอี๊ยนได้มารอลู่โจวอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ลู่โจวจะกระโดดขึ้นหลังของมันไปเขาก็ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ “ข้าไม่สนใจเรื่องแผนการของทางพระราชวังหรอกนะ ขอแค่พระราชวังไม่ลากพวกเราศาลาปีศาจลอยฟ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ข้าเองก็จะไม่คิดว่าพวกเราเป็นศัตรูกัน”
หยวนเอ๋อแลบลิ้นใส่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะวิ่งไปขึ้นหลังของบี่เอี๊ยนตามลู่โจว
เจียงอาเฉียนได้แต่จ้องมองพวกเขาทั้งสองคนโดยที่ไม่ได้พูดอะไร บี่เอี๊ยนค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะหายไปในอากาศ ลู่โจวในตอนนี้กำลังมุ่งหน้ากลับศาลาปีศาจลอยฟ้า
ทันทีที่ลู่โจวจากไป เจียงอาเฉียนก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น เขาแปลกใจที่ปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นไม่ได้กดดันตัวเขาให้พูดเรื่องพระราชวังออกมาเลย แต่ถึงจะสงสัยแต่นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ท้ายที่สุดแล้วการเป็นศัตรูกับทางพระราชวังเองตัวเขาก็มีแต่จะเสียมากกว่าได้
…
ระหว่างที่ขี่บี่เอี๊ยนพุ่งทะยานไปในท้องฟ้า ลู่โจวก็ได้เปิดเมนูระบบขึ้นมา ตัวเขาคิดจะใช้แต้มบุญกว่า 5,000 แต้มอีกครั้งแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังลังเลอยู่ หลังจากนั้นเขาก็นึกถึงเจียงอาเฉียน คนอย่างชายคนนี้เหมาะที่จะร่วมมือด้วยเท่านั้น เขาคนนี้ไม่เหมาะที่จะมาเป็นคนของลู่โจว
หยวนเอ๋อที่เกาะหลังของลู่โจวอยู่ได้เอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ท่านอาจารย์ พวกเราจะไม่ไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นหรอคะ? “
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าหยวนเอ๋อต้องการอะไร “หยวนเอ๋อ เจ้าน่ะจะเอาแต่เล่นอย่างเดียวเลยอย่างงั้นสินะ”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ทำหน้ามุ่ยก่อนจะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ พวกเราเชื่อใจเจียงอาเฉียนไม่ได้หรอกนะคะ”
“ข้ารู้ดี”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ถามต่อไป “ชายคนนั้นทำงานให้กับพระราชวัง ทำไมท่านถึงเลือกให้ชายคนนั้นคอยหาข้อมูลให้กับพวกเรากัน? “
“พอได้แล้วหยวนเอ๋อ” ลู่โจวได้ใช้มือของเขาเคาะไปที่หัวของหยวนเอ๋อ ตัวเขารู้สึกดีใจที่ลูกศิษย์ตัวน้อยคนนี้คิดถึงเรื่องแบบนี้ได้ ในตอนนี้เธอดีกว่าสมัยก่อนมาก
…
ในขณะเดียวกันที่หุบเขาพยัคฆ์
คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม่ใช่ราชาปีศาจซู่ฮ่องกง ฉายาชื่อของชายคนนี้มีไว้เพื่อข่มขวัญผู้ที่ได้ยินเท่านั้น คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในตอนนี้คือสีวู่หยา เขาเป็นหัวหน้าลัทธิแห่งความมืด
“ศิษย์พี่เจ็ด ศิษย์พี่เจ็ดมักจะมีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งยุทธภพอยู่เสมอ ศิษย์พี่ไม่คิดว่ามันแปลกอย่างงั้นหรอ เรื่องในพิธีศักดิ์สิทธิ์นั่นน่ะ? กงซุน นักบวชผู้มาจากวิหารแห่งความว่างเปล่าคนนั้นมีพลังร่างอวตารที่ทรงพลังเทียบเท่าได้กับร่างอวตารทั้งสี่แห่งร้อยวิถี ชายคนนั้นมีวรยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ด้วยวรยุทธที่ชายคนนั้นมีไม่ได้ทำให้เขาพาจ้าวยู่ออกมาจากชาวยุทธฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมที่ร่วมชุมนุมได้ยังไงกัน? ข้าคิดว่าเรื่องแบบนี้มันไม่น่าที่จะเป็นไปได้เลยนะศิษย์พี่” ซู่ฮ่องกงพูดขึ้น
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นตอบกลับไปอย่างเฉยเมย “ที่กงซุนพาจ้าวยู่ออกมาไม่ได้เป็นเพราะเขาถูกนักบวชผู้อาวุโสสังหารไปยังไงล่ะ”
“สังหาร? กงซุนตายแล้วอย่างงั้นหรอ? เป็นไปได้ยังไงกัน! ” ซู่ฮ่องกงอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“แหล่งข่าวของข้าน่ะเชื่อถือได้เสมอ ในพิธีศักดิ์สิทธิ์กลุ่มนักบวชหัวโล้นจากวิหารแห่งความว่างเปล่าได้ใช้พลังบทสวดมนตร์จากพระสูตรแห่งพราหมณ์โจมตีชาวยุทธผู้มาเข้าร่วมชุมนุมไป แหล่งข่าวที่ข้าได้ยินมาได้บอกเอาไว้ว่ามีชายคนหนึ่งสามารถต้านทานพลังนั้นได้ ไม่ผิดแน่ คงจะมีเพียงนักบวชผู้อาวุโสจากนิกายพุทธเท่านั้นที่สามารถทนทานพลังบทสวดมนตร์และใช้ฝ่ามือวัชระอันทรงพลังได้! “
“แต่ถึงแบบนั้นการที่กงซุนเนี่ยถูกสังหารตายจากพวกเดียวกันก็น่าสงสัยอยู่ดี” ซู่ฮ่องกงที่พูดเสร็จก็ได้แต่เกาหัว
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยปรึกษากัน ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาก่อนที่จะคุกเข่าลง “รายงานท่านหัวหน้าลัทธิ ดาบปีศาจเฉินเหวินเจี๋ยถูกสังหารโดยดาบปีศาจแล้วครับ”
“อย่างงั้นสินะ” สีวู่หยาดูไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก แต่ซู่ฮ่องกงที่ได้ยินข่าวใหม่ตกตะลึงไปในทันที
“ยังมีอีกเรื่องครับท่านหัวหน้า”
“พูดมาสิ”
“เรนบู้ผิง เจ้าสำนักวิหารปีศาจได้ออกมาจากการเก็บตัวแล้วครับ! “
สีวู่หยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ยืนขึ้นในทันที “วรยุทธของเขาล่ะ? “
“ข้าไม่อาจรู้ได้”
“วิหารปีศาจมีความเคลื่อนไหวอะไรไหม? “
“ตอนนี้ยังไม่มีครับ”
“ถ้าหากเจ้าพวกนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไร รีบแจ้งข้าในทันที”
“ข้าเข้าใจแล้ว! “