สิ่งนี้เป็นไปตามคาดของลู่โจว
เจียงอาเฉียนได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนพร้อมกับดาบยาวที่ตัวเขาครอบครอง ในตอนนี้เขากำลังยิ้มอยู่
ลู่โจวสงสัยว่าเจียงอาเฉียนหนีออกมาจากพิธีศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไงกัน เขาหนีออกมาโดยไม่ได้รับการโจมตีของบทสวดมนตร์นั่น
ลู่โจวยังสงสัยอีกว่าทำไมเจียงอาเฉียนถึงหาที่นี่พบได้ แม้ว่าเจียนอาเฉียนจะพูดน่ารำคาญแต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็คิดว่าชายคนนี้น่าสนใจ เขามั่นใจมากเลยว่าเจียงอาเฉียนจะต้องมีอะไรที่มากกว่าที่ตาของเขาเห็นมาก
เจียงอาเฉียนมองไปที่เฉาซั้วก่อนจะทักทายเขาอย่างสุภาพ “สวัสดีนายพลเฉา! “
เฉาซั้วพยักหน้าตอบรับ ตัวเขาในตอนนี้กำลังรู้สึกผิดหวังอยู่ดังนั้นเขาจึงไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงความเป็นมิตรกับคนแปลกหน้ามากเท่าไหร่นัก
เจียงอาเฉียนได้เดินต่อไปก่อนที่จะไปหยุดลงตรงหน้าของลู่โจว “อาเฉียนขอคำนับท่านผู้อาวุโส”
หยวนเอ๋อกลอกตาไปมองชายคนนั้นก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ช่างไร้ยางอายจริง! “
เจียงอาเฉียนพูดออกมาในขณะที่หัวเราะไปด้วย “ยางอายน่ะช่วยในการเอาตัวรอดไม่ได้หรอกนะคุณหนู”
ทันใดนั้นเองเฉาซั้วก็ขยับตัว นายพลคนนี้คว้าตัวเจียงอาเฉียนเอาไว้ แต่เจียงอาเฉียนก็สามารถสลัดมือหลุดได้อย่างง่ายดาย
เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “นายพลเฉา ดูเหมือนการคว้าตัวข้าคนนี้เอาไว้คงจะไม่ใช่เรื่องอะไรที่เหมาะสมหรอกนะ”
การแสดงออกของเฉาซั้วเปลี่ยนไปในทันที “เดียวก่อนนะสหาย เจ้าน่ะเรียนเขาว่าอะไรนะ? “
“ท่านผู้อาวุโส ท่านผู้อาวุโสยังไงล่ะ” เจียงอาเฉียนตอบกลับไปอย่างร่าเริง
“ท่านผู้อาวุโสอย่างงั้นหรอ? “
เจียงอาเฉียนที่เห็นเฉาซั้วสงสัยได้พูดต่อไป “ถ้าหากตัดสินใจจากชุดที่เจ้าใส่ เจ้าจะต้องเป็นคนของทางการแน่…เจ้าน่ะคุยกับท่านผู้อาวุโสมานานแล้วยังไม่รู้อีกอย่างงั้นหรอ? ท่านผู้นี้น่ะคือนักบวชผู้อาวุโสจากนิกายพุทธยังไงล่ะ” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาในตอนนี้กำลังเยาะเย้ยชายผู้แต่งตัวเป็นทหารที่อยู่ตรงหน้า
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้ลูบเคราของตัวเองก่อนจะพูดออกไป “เจียงอาเฉียน…เจ้าน่ะตามข้ามาที่นี่ ข้ามีคำถามอะไรบางอย่างที่อยากจะถามเจ้า”
เจียงอาเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “ถามมาได้เลยท่านผู้อาวุโส ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้เอง”
ในตอนนี้ผู้คุ้มกันของจักรพรรดิก็ได้เดินมาหาเฉาซั้วก่อนที่จะกระซิบข้างๆ หัวเขา แม้ว่าเขาจะพยายามไม่แสดงสีหน้ามากแค่ไหนแต่เมื่อได้ยินผู้คุ้มกันพูดแล้วนายพลคนนี้ก็ไม่อาจที่จะควบคุมสีหน้าได้ ท่าทีที่เฉาซั้วเคยมีได้เปลี่ยนไป ตัวเขาได้โค้งคำนับให้กับลู่โจวก่อนที่จะพูดอีกขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าน่ะตาบอดไปแล้ว ความจริงท่านก็คือนักบวชผู้อาวุโส! ได้โปรดยกโทษให้กับความไม่รู้ของข้าน้อยด้วย”
‘เยี่ยมมาก ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฉันไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นมันก็ผิดคาดไปสักหน่อย’ เดิมทีลู่โจวไม่ต้องการที่จะเป็นนักบวชผู้อาวุโส แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้การเป็นนักบวชผู้อาวุโสก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรกับเขาไปสักทีเดียว และเพราะสถานการณ์ที่พาไปทำให้ตัวเขาไม่ต้องเสียเวลามาอธิบายตัวเองอีก
“ท่านผู้อาวุโสคนนี้สามารถคลี่คลายวิกฤตที่เกิดขึ้นบนแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองได้ ท่านจัดการกงซุน นักบวชผู้ที่มาจากวิหารแห่งความว่างเปล่าด้วยมือตัวเอง! และเพราะแบบนั้นแล้วข้าน้อยจะต้องเคารพท่านผู้อาวุโสอย่างสูงที่สุด” ท้ายที่สุดมณฑลแห่งนี้ก็ยังตกอยู่ภายใต้เขตการปกครองของเมืองรูหนาน และถ้าหากมีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้นที่นี่ ตัวนายพลคนนี้จะต้องรับผิดชอบผลที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนหน้านี้ตัวเขาไม่ได้ข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์เลย เขาไม่คิดว่าพิธีกรรมที่จัดขึ้นเพื่อยุติความขัดแย้งจะเกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ซะเอง และเมื่อได้ยินเรื่องแบบนั้นมาเฉาซั้วก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ที่พิธีศักดิ์สิทธิ์นั่นจะต้องมีผู้มีวรยุทธสูงส่งมารวมตัวกันอย่างแน่นอน
ลู่โจวไม่ได้คิดที่จะตอบกลับอะไรเฉาซั้ว เขาจ้องมองไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าน่ะเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ซะจริงนะ…”
เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าก็แค่พยายามที่จะเอาชีวิตรอดเท่านั้น ได้โปรดอย่าถือสาเรื่องนั้นเลยท่านผู้อาวุโส…” ในตอนนี้เจียงอาเฉียนไม่กล้าที่จะพูดถึงดาบที่แสนล้ำค่าก่อนหน้านี้
ลู่โจวได้เอ่ยปากถามออกไปอีกครั้ง “ซูผิงน่ะมาจากพระราชวังอย่างงั้นหรอ? “
เจียงอาเฉียนได้ขยิบตาให้กับลู่โจวก่อนที่จะหันไปหาเฉาซั้ว “ถูกต้องแล้ว ในตอนนี้พวกเรามีนายพลเฉาอยู่ด้วย ด้วยตำแหน่งที่นายพลเฉามีจะต้องได้พบกับคนในพระราชวังมาอย่างแน่นอน ข้าพูดถูกไหมล่ะท่านนายพล? “
เฉาซั้วที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ‘เจ้านี่เป็นคนที่ให้ข้อมูลแท้ๆ แต่กลับอยากให้ข้าคนนี้เป็นผู้ยืนยันข้อมูลนั้น? ‘ ในที่สุดนายพลเฉาก็พูดออกมา “ซู่ผิงน่ะเป็นคนของชนชั้นสูงคนหนึ่งในพระราชวัง”
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้า ยังไงซะเรื่องนี้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ในตอนนี้ลู่โจวมั่นใจแล้วว่ามีคนจากพระราชวังที่พยายามจะต่อต้านศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่
ท่านหญิงเจตที่มาจากภูมิภาคตะวันตกเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคงมีความเป็นไปได้อยู่ที่จะมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังและคอยยุยงเรื่องในครั้งนี้ [หมายเหตุนักแปล: เจตในชื่อของท่านหญิงหมายความว่าหยก]
ลู่โจวตัดสินใจที่จะคิดเรื่องนี้ทีหลัง ในพระราชวังนั้นมีชนชั้นสูงมากมายอยู่ ตัวเขาในตอนนี้ไม่อยากที่จะเสี่ยงตัวเองไปยุ่งกับเรื่องเวทมนตร์คาถา สำหรับเขาในตอนนี้พอใจกับข้อมูลที่ได้รับมามากแล้ว แต่ก่อนที่จะทำอะไรตัวเขาจะต้องสะสมแต้มบุญ ให้ได้มากกว่านี้ซะก่อนเพื่อฟื้นฟูวรยุทธที่ตัวเองเคยมีกลับมาอีกครั้งให้ได้ หลังจากตัดสินใจได้ลู่โจวก็ได้เอ่ยปากถาม “เจียงอาเฉียน…เจ้าน่ะกำลังฝึกเคล็ดวิชาหลบหนีอยู่อย่างงั้นสินะ? “
สีหน้าของเจียงอาเฉียนนิ่งไปชั่วขณะ ในตอนนั้นเขาค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างช้าๆ เมื่อความลับที่มีถูกเปิดเผย “ท่านน่ะรอบรู้ซะจริงนะ ท่านผู้อาวุโส”
ในตอนนั้นเองมีเรื่องด่วนถูกรายงานเข้ามาอีกครั้ง
“ท่านแม่ทัพเฉา มีรายงานมาจากทางตะวันตก ศิษย์วายร้ายคนที่สี่ของปรมาจารย์มหาวายร้ายได้ออกมาจากภูเขาทอง ในตอนนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังมณฑลยู่”
เฉาซั้วที่ได้ยินรายงานถึงกับขมวดคิ้ว “เจ้าน่ะอยากที่จะให้ทุกคนที่นี่รู้กันหมดรึไงกัน ฮะ? “
“…”
เจียงอาเฉียนพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อไป “ข้าน่ะคาดหวังกับศิษย์คนที่สี่เอาไว้…ศิษย์คนที่สี่จากศาลาปีศาจลอยฟ้าหมิงซี่หยินคนนั้น เขาน่ะเป็นคนที่ทั้งมีไหวพริบดีและแยบยล ชายคนนั้นน่ะน่าสนใจมาก ความหน้าซื่อใจคดของเขาน่ะเป็นนิสิยที่แท้จริงเลยล่ะ…”
เมื่อหยวนเอ๋อได้ยินแบบนั้นเธอก็ได้ถามออกไป “เจ้านั่นเป็นคนชั่วอย่างงั้นสินะ? แล้วศิษย์คนที่เก้าจากศาลาปีศาจลอยฟ้าล่ะ? คนคนนั้นเป็นยังไงบ้าง? “
เจียงอาเฉียนได้ใช้มือลูบคางของเขา ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะรู้มากเกี่ยวกับเรื่องศาลาปีศาจลอยฟ้า “ศิษย์คนที่เก้าน่ะน่าทึ่งมาก…เธอเป็นศิษย์คนสุดท้ายที่เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นวรยุทธที่เธอมีก็ได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ถ้าหากจะเรียกได้ว่าเธอเป็นอัจฉริยะชาวยุทธก็คงจะไม่ผิดไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่เธอน่ะ…”
“น่าเสียดายอะไร? บอกข้ามาสิ…” หยวนเอ๋อถามอย่างเร่งรีบ
เจียงอาเฉียนได้พูดต่อไป “วายร้ายตัวน้อยคนนั้นน่ะขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงไป น่าเสียดายที่เธอยังเด็กไปเมื่อเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ถ้าหากเธอคนนั้นเติบโตมากกว่านี้ เธอจะต้องเป็นวายร้ายที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้แน่! เดี๋ยวก่อนนะสาวน้อย ทำไมเธอถึงจ้องข้าแบบนั้นกันน่ะ? “
เมื่อลู่โจวเห็นว่าหยวนเอ๋อกำลังจะอารมณ์เสีย ตัวเขาก็รีบชิงพูดตัดบทออกมาซะก่อน “ไว้คุยกันวันอื่นเถอะ” ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกเหนื่อยล้าแล้วหลังจากที่ผ่านเรื่องมาทั้งวัน
หยวนเอ่อในตอนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากจะต้องเชื่อฟังคำพูดของผู้เป็นอาจารย์
เฉาซั้วกำหมัดแน่นก่อนจะพูดออกมา “วายร้ายคนนั้นลงมาจากภูเขาแล้ว ท่าไม่ดีแน่…ข้าจะรีบกลับไปแจ้งข่าวนี้ให้กับชาวยุทธฝ่ายธรรมะเดี๋ยวนี้”
เฉาซั้วที่เพิ่งจะพูดจบในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านล่างก็ได้ตะโกนขึ้น “ท่านนายพล! วายร้ายนั่น…วายร้ายนั่นได้ผ่านมาที่มณฑลชิง เขาได้ลักพาตัวเด็กสาวไปแล้วหลายคน! “
“…”
ริมฝีปากของเฉาซั้วถึงกับกระตุก “เจ้าชั่วนั่น! ข้าน้อยขอตัวก่อน! ” แม้ว่าเฉาซั้วจะแสดงอารมณ์โกรธออกมาแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต่แอบดีใจอย่างลับๆ ว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่เกิดขึ้นในเมืองรูหนานที่เขาปกครอง แต่ถ้าหากวายร้ายนั่นมาที่เมืองรูหนานจริงๆ นายพลคนนี้คิดไม่ออกเลยว่าจะจัดการกับเขาคนนั้นยังไง
ลู่โจวขมวดคิ้วเข้าหากัน ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกสับสนมาก หมิงซี่หยินทำตัวดีมาโดยตลอด หมิงซี่หยินจะอยู่เบื้องหลังเรื่องในครั้งนี้ไหมนะ?
“ติ้ง! สังหารโจรภูเขา ได้รับ 10 แต้มบุญ”
“ติ้ง! สังหารโจรภูเขา ได้รับ 10 แต้มบุญ”
‘โจรภูเขาหรอกหรอ ไม่ใช่เด็กสาวสินะ? ‘
…
เจียงอาเฉียนในตอนนั้นยังคงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “นายพลเฉา ช้าก่อน”
“เจ้าน่ะมีธุระอะไรกับข้ากัน? ” เฉาซั้วได้ถามออกมาอย่างสับสน
“การที่วายร้ายนั่นไปที่มณฑลยู่ มีความเป็นไปได้สูงที่เจ้านั่นน่ะจะมาที่เมืองรูหนานแห่งนี้! “
เฉาซั้วที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้เบิกตากว้าง “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน? “
เจียงอาเฉียนชี้ไปยังหัวของตัวเองพร้อมกับยิ้มอีกครั้ง “เพราะธิดาศักดิ์สิทธิ์จจากพิธีศักดิ์สิทธิ์เป็นศิษย์วายร้ายคนที่ห้ายังไงล่ะ ถ้าหากศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าถูกพาตัวไป แน่นอนว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นจะต้องออกเคลื่อนไหวเพื่อพาตัวเธอกลับแน่ นี่ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะคาดเดาได้น่ะ”
“เอ่อ…”
“นายพลเฉา ศิษย์วายร้ายคนที่สี่น่ะมีวรยุทธ์ที่ลึกล้ำ เขาคนนั้นเคยออกมาจากหุบเขามาก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นวรยุทธของชายคนนั้นก็ใกล้จะถึงระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์มากแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไปแบบนี้ ข้ามั่นใจเลยว่าชายคนนั้นจะต้องสำเร็จวรยุทธแล้วแน่ ใครกันจะหยุดชายคนนั้นได้? ” เจียงอาเฉียนพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่จะจับไปที่ดาบของตัวเขาเอง
คิ้วของเฉาซั้วขมวดมากกว่าเดิม นี่เป็นปัญหาแน่! ทำไมปัญหาถึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบนี้ล่ะ?
เจียงอาเฉียนยังคงพูดต่อไป “ในตอนนี้พวกเรายังมีนักบวชผู้อาวุโสอยู่นะ ทำไมท่านนายพลไม่ลองขอความช่วยเหลือจกาเขาดูล่ะ การจะขอความช่วยเหลือจากพระราชวังคงจะใช้เวลานานเกินไปอยู่แล้วนิ? “
ดวงตาของเฉาซั้วเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของเจียนอาเฉียน “คำพูดของเจ้าช่างชาญฉลาดอย่างแท้จริง” หลังจากนั้นเขาก็หันไปหาลู่โจวก่อนที่จะทำท่าคารวะเขาออกมาอย่างจริงจัง “ท่านผู้อาวุโส ได้โปรดช่วยเมืองรูหนานแห่งนี้ด้วย ช่วยจับวายร้ายคนนั้นเพื่อเห็นแก่ชาวเมืองรูหนานด้วย! “
หยวนเอ๋อถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเรื่องนี้