หลังจากที่สายฝนสีม่วงหยุดตัวลง ดาบพลังงานรอบๆ ดาบยืนยาวก็จางหายไป สุดท้ายแล้ว ดาบยืนยาวก็ตกลงมา
ตราบใดที่ยู่ฉางตงมีดาบ เขาก็จะรอดชีวิต หลังจากที่สัมผัสถึงตําแหน่งของดาบยืนยาวได้ แล้วยู่ฉางตงก็โคจรพลังไปที่ดาบ
ดาบยืนยาวเปล่งประกายอีกครั้ง มันได้พุ่งลงไปยังเหวลึกด้วยความเร็วสูง
จนถึงตอนนี้ยู่ฉางตงตกลงไปกว่าหลายร้อยเมตรแล้ว สถานที่ที่ตัวเขาอยู่ช่างมืดมิด ยู่ฉางตงรู้สึกราวกับอยู่ในบ่อน้ําที่แห้งเหือด มันเป็นบ่อน้ําลึกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนสิ่งที่ตัวเขามองเห็นมีเพียงแสงสว่างจากบนท้องฟ้าอันริบหรี่ ดวงอาทิตย์ที่กําลังตกค่อยๆพรากแสงสว่างไปจากตัวเขา
ดวงตะวันหายไปหลังคูสวรรค์ที่สูงตระหง่าน ท้ายที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็จมดิ่งสู่ความมืดมิด
ในความมืดมิด อีกด้านหนึ่งของคูสวรรค์ บนพื้นที่เย็นยะเยือกใกล้ๆ กับเหวลึกหนึ่งแสนฟุต ยู่เฉิงไห่ในวัยหนุ่มก่าลังนอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น มือของเขากอดฝักดาบยืนยาวเอาไว้ ร่างกายของยู่เฉิงไห่แข็งที่อ
หิมะตกและยังมีสายลมพัดผ่าน
สุดท้ายยู่เฉิงไห่ก็ตื่นขึ้น ยู่เฉิงไห่ที่ได้สติรีบมองไปรอบตัว ตัวเขากําลังสับสนอย่างเห็นได้ชัด แม้จะอยู่ในหิมะแต่ยู่เฉิงไห่ก็ไม่ได้รู้สึกหนาว ที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ยู่เฉิงไห่มองไม่เห็นอะไรเลย สิ่งเดียวที่ตัวเขาจําได้ก็คือตัวเองตกลงสู่เหวลึก ยู่เฉิงไห่จําไม่ได้ด้วยซ้ําว่าหมดสติไปตั้งแต่ตอนไหน
“ที่นี่มันนรกอย่างงั้นเหรอ?”
ไม่มีใครรู้ว่านรกหน้าตาเป็นยังไง แต่ความมืดมิดควรจะเป็นลักษณะพื้นฐานของนรก อย่างน้อยที่สุดยเฉิงไห่ก็คิดไว้แบบนั้น
ยู่เฉิงไห่ในวัยหนุ่มคิดว่าตัวเองได้เสียชีวิตก่อนที่จะไปนรก ความเงียบรอบตัวทําให้ยู่เฉิงไห่แทบทนไม่ไหว มีเพียงเสียงหัวใจของเขาที่กําลังดังอยู่เท่านั้น
“ศิษย์พี่?”
เสียงของยู่เฉิงไห่ดังกังวานในความมืดมิด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบ
ยู่เฉิงไห้ไม่ได้กลัวความมืดแม้แต่น้อย…เจตจํานงที่ตัวเขามีมันกล้าหาญยิ่งกว่าใครคนไหนๆ ยู่เฉิงไห่รวบรวมสติก่อนที่จะออกเดินไป
หลังจากนั้นไม่กี่เมตร
พรึบ!
“นี่มันหน้าผา!”
ยู่เฉิงไห่ถอยกลับ เพราะการถอยหลังทําให้เศษหินตกลงไปในหุบเหวลึก
ยู่เฉิงไห่ที่สัมผัสได้แบบนั้นไม่กล้าเดินต่อ
ตัวเขาเหลือบมองท้องฟ้า ที่ท้องฟ้าว่างเปล่า นอกจากสายลมกลางคืนที่พัดผ่าน มีเพียงความเงียบจนน่ากลัวเท่านั้นที่อยู่กับตัวเขา ยู่เฉิงไห่ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีกต่อไป
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทําได้ นั่นก็คือการรอ
ค่ําคืนนี้ทําให้ยู่เฉิงไห่นอนไม่หลับ
เมื่อฟ้าสาง…ในที่สุดยู่เฉิงไห่ก็มองเห็นรอบตัว
เหวที่ลึกกว่าหนึ่งแสนฟุตอยู่ที่ด้านหน้าของยู่เฉิงไห่เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!
ยู่เฉิงไห่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก…ก่อนที่จะลุกขึ้นมาด้วยความยากลําบาก
ไม่ว่าจะพยายามมองไปที่ก้นบึงมากแค่ไหน ตัวเขาก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด
“ศิษย์พี่อยู่ที่ไหน?” ยู่เฉิงไห่ตะโกนลงไปในเหวลึก “ศิษย์พี่ ท่านอยู่ที่ไหน?”
แม้ว่าจะพยายามแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ได้คําตอบอะไร
ยู่เฉิงไห่มองไปรอบตัว…นอกจากคูสวรรค์ที่ตั้งตระหง่าน หุบเหวลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด ยู่เฉิงไห่อยู่ตามล่าพัง
พระอาทิตย์วันใหม่ขึ้นสู่ขอบฟ้า
ยู่เฉิงไห่จําได้ดีถึงสิ่งที่ยู่ฉางตงเคยบอกเอาไว้ อีกด้านหนึ่งของคู่สวรรค์ก็คือดินแดนหยาน ยู่เฉิงไห่ที่คิดแบบนั้นหันกลับไปมองคสวรรค์ก่อนที่จะออกเดินไป ตัวเขาก้าวไปที่ด้านหน้าโดยที่ยังคงจับฝักดาบเอาไว้แน่น
ยู่เฉิงไห่เดินทางมากว่าหลายชั่วโมง เมื่อรู้สึกเหนื่อยเขามักจะนั่งลง เมื่อรู้สึกกระหายยู่เฉิงไห่ก็มักจะดื่มน้ําจากในลําธาร
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ยู่เฉิงไห่ก็ยังเดินไม่ถึงคูสวรรค์ แม้คูสวรรค์จะดูเหมือนใกล้แต่มันก็ยังห่างไกลจากตัวเขา
เมื่อรู้สึกหมดหนทาง…ในตอนนั้นเองยู่เฉิงไห่ก็มองเห็นกลุ่มควัน
ยู่เฉิงไห่มองเห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งและได้กลิ่นอาหารเข้า ตัวเขาที่รับรู้แบบนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปอย่างตื่นเต้น
ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน…
ยู่เฉิงไห่เห็นชาวบ้านหลายคนเดินออกมา “ชาวรั่วหรื่อย่างงั้นเหรอ? หรือคนจากลั่วหลานกัน?”
ชาวบ้านที่ดูแข็งแรงและอายุยังน้อยมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทางเข้า แม้ว่าเสื้อคลุมของยู่เฉิงไห่จะเสียหายไปหมดแล้ว แต่ตัวตนที่เขามีก็ยังไม่สามารถปกปิดตัวตนได้
“ชาวดินแดนหยานอย่างงั้นเหรอ?”
หลังจากที่ใช้วันเวลาอย่างยากลําบากมานาน ยู่เฉิงไห่ก็มักจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เขาที่สัมผัสได้แบบนั้นรีบหันหลังกลับก่อนที่จะวิ่งหนี!
“จับมันซะ!”
“อย่าให้มันหนีไปได้!”
พรึบ!
หมาป่าสองตัวที่ใหญ่กว่ายู่เฉิงไห่ได้วิ่งออกจากหมู่บ้านมา แม้ว่ายู่เฉิงไห่จะวิ่งเร็วแค่ไหนแต่ถ้าหากตัวเขาไม่มีพลังวรยุทธ มันก็แทบจะไม่เป็นไม่ได้เลยที่จะเอาชนะหมาป่าพวกนั้นได้
หมาป่าทําตามคําสั่งของชาวบ้านก่อนที่จะไล่ล่ายู่เฉิงไห้ไป
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้ทาสอีกแล้วนะ เพื่อหมู่บ้านกลั่วของพวกเรา!”
สองวันต่อมา
ที่ตําหนักต้าเฉิงเกิดการพบปะพูดคุยขึ้น
ลู่โจวกําลังรับฟังอยู่
ฮั่วจงหยางที่ยืนอยู่ในตําหนักพูดขึ้น “หลังจากการทํางานอย่างหนักเป็นเวลากว่าสองเดือน ในที่สุดเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี…เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ปราศจากสายลับ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพวกเราพบสายลับแค่คนเดียวเท่านั้น ประตูเมืองทั้งสี่ทิศต่างก็ถูกคนจากสํานักอเวจทั้งสี่ห้องโถงปกป้องกันเป็นอย่างดี ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นทั้งนั้น…ถ้าหากพวกเราไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านห้า พวกเราก็คงจะไม่สามารถทําได้เลย”
จ้าวยู่เองก็ไม่มีประสบการณ์ในการปกครองอะไรเช่นกัน คนเดียวที่มีทักษะการปกครองก็คือองค์ไทเฮา เป็นเพราะจ้าวยู่ถือเป็นลูกหลานขององค์ไทเฮา เพราะแบบนั้นผู้เป็นย่าจึงให้คําแนะนํากับจ้าวยู่จนแก้ปัญหาได้
แม้ความจริงจะเป็นแบบนั้น แต่ทุกๆคนก็คิดว่าจ้าวยู่เก่งกาจก็เพราะคําแนะนําจากลู่โจวอยู่ดี
ฝานลี่เทียนที่อยู่ด้วยพูดสรรเสริญ “ท่านปรมาจารย์ ข้าไม่รู้เลยว่าท่าจะเก่งทั้งปุ่นและปู่แบบนี้ ทักษะการต่อสู้ของท่านทําให้มณฑลทั้งเก้าพบกับความสงบสุขได้ ทักษะการบริหารของท่านเองก็ทําให้โลกใบนี้สงบสุขได้เช่นกัน ท่านคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โดยแท้จริง!”
ซยู่ชูกลอกตามอง “พี่ใหญ่ไม่ต้องการให้พวกเราพูดชื่นชมสรรเสริญหรอก”
ลู่โจวยกมือขึ้น…มันเป็นการขัดขวางการถกเถียงของทุกคน ตัวเขาไม่มีอารมณ์ที่จะฟังคําเยินยอของพวกเขา ลู่โจวมองไปที่ต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะถามออกมา “มีจดหมายมาจากมณฑลเหลียง บ้างรึเปล่า?”
ตัวนมู่เฉิงรีบตอบ “ศิษย์น้องเจ็ดบอกว่ามณฑลเหลียงยังคงสงบ ข้าคิดว่าที่นั่นคงจะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น นอกเหนือจากนั้น…” ตัวนมู่เฉิงหยุดพูดไปชั่วขณะ แต่เมื่อคิดดูให้ดีตัวเขาก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “ศิษย์พี่ใหญ่ฟื้นคืนชีพแล้ว…แต่…แต่ระหว่างทางกลับเขาถูกผู้คนจากลั่วหลานวางกับดักโจมตี ข้าคิดว่าศิษย์พี่คงจะต้องพบเรื่องยากล่าบากอยู่แน่…”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ลู่โจวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาลูบเคราก่อนที่จะหันกลับมา “พวกเขาข้ามคูสวรรค์มาแล้วรึยัง?”
“ข้า…ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะข้ามมา”
อันที่จริงคําถามนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร ถ้าหากทั้งคู่ข้ามคูสวรรค์มาได้ พวกเขาก็คงจะปลอดภัย ด้วยความสามารถที่สีว์หยามีมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งคู่จะไม่ถูกสีรู่หยาพากลับมา
เรื่องยากลําบากที่ตัวนมู่เฉิงพูดถึงมีความเป็นไปได้สูงที่มันอาจจะหมายถึงความตายและอาการบาดเจ็บสาหัส…ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่มันไม่ใช่เรื่องดีแน่
ลู่โจวไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆ เกี่ยวกับการตายของผู้เป็นศิษย์ ตัวเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ศิษย์ต้องตายจากไปง่ายๆ แน่
“ฮั่วจงหยาง”
“ครับ ท่านปรมาจารย์
“ข้าขอฝากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไว้กับเจ้าจะได้ไหม?”
ฮั่วจงหยางตกตะลึง “เอ่อ…” แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือ แต่ฮั่วจงหยางเป็นเพียงผู้มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบเท่านั้น ล่าพังตัวเขาจะไปดูแลเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไงกัน? ในอดีตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้รับการคุ้มครองโดยแม่ทัพทั้งแปดผู้ยิ่งใหญ่ มันคงเป็นเรื่องยากเกินไปสําหรับฮัวจงหยาง ผู้เป็นเจ้าสํานักก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้ว่าสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสามจะถูกรักษาจนหายแล้วก็ตาม แต่ทุกคนก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูพลังวรยุทธอยู่ดี
ผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคงจะเทียบเคียงได้กับผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบสิบคน ดูเหมือนปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้ตั้งใจที่จะออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไป ถ้าหากไม่มียอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคอยดูแลเรื่องที่นี่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่ฮั่วจงหยางจะรู้สึกไม่มั่นใจ
จ้าวยู่โค้งคํานับก่อนที่จะพูดอาสา “ท่านอาจารย์ ข้าจะอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์…”
ลู่โจวพยักหน้า จ้าวยู่มีสายเลือดของราชวงศ์อยู่ในตัว มันคงจะเป็นประโยชน์มากกว่านี้ถ้าหากนางจะอยู่ที่นี่
ในขณะนั้นเองยี่เทียนซินก็โค้งค่านับ “ท่านอาจารย์ ข้าขออยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เอง”
ลู่โจวกวาดตามองผู้คนในตําหนักก่อนจะพูดขึ้น “ซยู่ชู เจ้าเป็นยอดฝีมือแห่งลัทธิขงจือ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้เขตแดนพลัง เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยซะเถอะ”
“ค่ะ พี่ใหญ่”
“ฮั่ววูเด้ เจ้าเชี่ยวชาญในการใช้วิชาการป้องกัน เจ้าเองก็ควรจะอยู่ด้วย ฮัวยู่จึงก็เช่นกัน เจ้าเชี่ยวชาญในการใช้ธนู การที่เจ้าอยู่ที่นี่มันจะต้องดีกว่าแน่”
“ครับ/ค่ะ ท่านปรมาจารย์
ลู่โจวหันกลับไปมองเล้งลัว ฝานเทียน และสาวกที่เหลือ
เมือซ่ฮ่องกงเห็นแววตาของผู้เป็นอาจารย์ เขาก็รีบโค้งคํานับ “ท่านอาจารย์ ข้าขอติดตามรับใช้ท่านเอง”
ซู่เทียนหยวนที่ยืนอยู่ข้างเขารีบดึงซ่ฮ่องกงขึ้นมา “ถ้าหากท่านต้องการ ข้าก็พร้อมจะไปด้วย”
ในตลอดหลายวันที่ผ่านมาซ่เทียนหยวนต้องเสียหน้ามาโดยตลอด เขาไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นคิดอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงการติดตามผู้เป็นลูกชาย
“ซูฮ่องกง เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่อไป”
“หะ?”
“เจ้าไม่เต็มใจที่จะทําตามอย่างงั้นเหรอ?”
“เปล่า ไม่เลย…ข้ายินดีทํา!” ซ่ฮ่องกงพูดเสียงดัง
ผู้อาวุโสทั้งสี่ต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านปรมาจารย์สุดยอดจริงๆ !
ถ้าหากซ่ฮ่องกงอยู่ที่นี่ ซู่เทียนหยวนก็จะอยู่ที่นี่ด้วย
ซูเทียนหยวนและลัทธินักบุญโบราณมีพลังเทียบเท่าได้กับผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ ดังนั้นถ้าหากพวกเขาอยู่ที่นี่ มันก็คงจะดีกว่า
หลังจากที่แจกแจงงานทั้งหมดลู่โจวก็พูดต่อ “ส่งจดหมายไปให้สีว์หยา บอกให้เจ้านั้นส่งรถม้าล่องเมฆามา”
“ครับ”
ลู่โจวจะพาคนอื่นๆ ไปด้วย
เรื่องของมณฑลทั้งเก้าได้รับการคลี่คลายแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องค้นหาคริสตัลแห่งความทรงจํา ฝานเทียนและเล้งลัวต่างก็เคยไปเยือนดินแดนของชนเผ่าอื่น การที่พาทั้งสองคนไปจะต้องเป็นประโยชน์แน่นอน ส่วนสาวกคนอื่นๆ เองก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจะต้องพึ่งพาได้แน่
ลู่โจวรู้สึกได้ว่ามีความลับอีกมากมายถูกซ่อนไว้ในคริสตัลความทรงจํา
ในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น รถม้าล่องเมฆาก็ได้ลอยออกจากพระราชวังหลวง รถม้าได้จอดลงที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนที่จะใช้เวลาพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งวัน เช้าวันรุ่งขึ้นรถม้าลอยฟ้าก็ออกเดินทางไปทางมณฑลเหลียงต่อไป