“ท่านอาจารย์กำลังพูดถึงอะไรกัน? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกไปอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก” ลู่โจวได้พยายามออกจากความคิดของตัวเองก่อนที่จะเหลือบมองไปยังทุกคนอย่างช้าๆ ลู่โจวอยากได้คำชมเชยกับพวกเขาอย่าง ‘ขอบคุณที่พยายาม! ‘ แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดที่ไม่มีวันเป็นจริง
หยวนเอ๋อที่สัมผัสได้ว่าท่านอาจารย์ของเธอรู้สึกไม่พอใจอะไรบางอย่างเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกก่อนจะพูดขึ้น “อย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเลยท่านอาจารย์ ข้าได้จัดการกับผู้บุกรุกทั้งหมดแล้ว ถ้าหากท่านยังไม่พอใจข้าจะไม่แทงซ้ำศพของพวกมันเอง! “
โจวจี้เฟิง “??? “
ลู่โจวได้โบกมือปฏิเสธไปอย่างเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “แล้วเจ้าสี่อยู่ไหนกัน? “
“ศิษย์พี่สี่บาดเจ็บสาหัส ในตอนนี้ก็เลยเป็นโอกาสอันแสนหายากของเขาไป ด้วยเคล็ดวิชาเวหาพงพนาทำให้ตัวเขาอยู่ในการปกป้องของเหล่าพืชพรรณ ตอนนี้ตัวเขาที่รักษาตัวอยู่ไม่อาจที่จะมาพบกับท่านอาจารย์ได้” ด้วนมู่เฉิงเป็นคนตอบคำตอบนี้ในระหว่างที่ลากโซ่มาด้วย
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้น “ห้ามให้ใครเข้าใกล้พืชพรรณพวกนั้น 7 วัน” หมิงซี่หยินจะต้องใช้เวลา 7 วันเพื่อที่จะรักษาตัวเอง และถ้าหากหมิงซี่หยินถูกขัดจังหวะระหว่างทาง ตัวเขาก็จะไม่สามารถพัฒนาระดับวรยุทธ์ของตัวเองให้ถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้
ยี่เทียนซินจ้องมองลู่โจวด้วยสายตาแห่งความแค้น หลังจากนั้นเธอก็พูดออกมาอย่างไม่พึงพอใจ “ท่านน่ะไม่ต้องทำเป็นเสแสร้งหรอกนะ ข้ามั่นใจมากว่าท่านจะต้องแอบมาหาหมิงซี่หยินในตอนกลางคืนก่อนที่จะลอบทำร้ายเขาเอง”
ลู่โจวไม่ได้สนใจคำพูดของยี่เทียนซิน ในตอนนั้นเขาหันกลับมาพูดกับหยวนเอ๋อด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมยแทน “หยวนเอ๋อ! “
“ค่ะท่านอาจารย์? “
“จับเจ้าคนทรยศนั้นไปที่หลังภูเขาซ่ะ จับเธอให้หันเข้าหากำแพงเพื่อให้เธอไตร่ตรองถึงความผิดของเธอซะ”
“ได้ค่ะท่านอาจารย์! ” หยวนเอ๋อรีบพาตัวยี่เทียนซินไปในทันที
ยี่เทียนซินสั่นไปทั้งตัวทันทีที่นึกถึงหลังภูเขา ที่ด้านหลังภูเขาเป็นสภาพแวดล้อมที่ทั้งหนาวเย็นและเงียบเหงา ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามที่จะต่อต้านแต่นั่นก็เปล่าประโยชน์ ในตอนนี้จุดตันเถียนของเธอว่างเปล่าไม่เหลืออะไรอีกต่อไป เธอไม่สามารถรวบรวมพลังงานได้เลย
หลังจากนั้นสายตาของลู่โจวก็ได้จับจ้องไปยังโจวจี้เฟิง ในตอนนั้นโจวจี้เฟิงได้คุกเข่าลงพร้อมกับพูดขึ้นมา “ท่านผู้อาวุโส ข้าอยากที่จะอยู่ที่ภูเขาทองด้วย ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย! “
ลู่โจวไม่ได้คิดที่จะรับศิษย์เลยตั้งแต่ที่เดินทางมายังโลกใบนี้ ตัวเขาได้เห็นจากภาพในอดีต ในสมัยที่ปรมาจารย์มหาวายร้ายจีเทียนเด๋าได้ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงจุดสูงสุดได้ ในตอนนั้นเขาก็เริ่มที่จะรับลูกศิษย์ และก็เพราะลูกศิษย์ทั้งเก้าคนของเขาจึงทำให้ลู่โจวถึงต้องปวดหัวเหมือนกับทุกวันนี้ ลู่โจวในตอนนี้ไม่มีพลังพิเศษที่จะสั่งสอนคนอื่นเหมือนกับสมัยอดีตแล้วด้วย
‘ดวงจันทร์ส่องแสงสุกสกาวเหนือท้องทะเล พวกเราจะแบ่งปันช่วงเวลาที่มีด้วยกันแม้ว่าจะห่างไกลกันสักแค่ไหน…’ ลู่โจวในตอนนี้กำลังนึกถึงบทกลอนที่จีเทียนเด๋าได้ใช้ตามหาเหล่าลูกศิษย์ของเขา ในตอนนี้ขาดเพียงแค่คนเดียวบทกลอนก็จะสมบูรณ์แบบ เขาสงสัยว่าทำไมปรมาจารย์จีเทียนเด๋าถึงยังไม่ตามหาลูกศิษย์คนสุดท้ายมา แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรสำหรับลู่โจวอีกต่อไป
“เจ้าน่ะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แต่นี่มันสายไปซะแล้ว เจ้าได้ฝึกวรยุทธ์ของสำนักดาบสวรรค์มาแล้ว เคล็ดวิชาดาบแห่งเต๋ายังไงล่ะ ถ้าหากเจ้าเปลี่ยนเส้นทางการฝึกฝนไปตั้งแต่ตอนนี้ ผลลัพธ์การฝึกฝนของเจ้าก็จะมีเพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น” ลู่โจวได้ถามขึ้น
เจตนารมของลู่โจวนั้นชัดเจน ตัวเขาไม่คิดที่จะรับศิษย์เพิ่มนั่นเอง
“ท่านผู้อาวุโส…” โจวจี้เฟิงในตอนนั้นพยายามขอร้องด้วยสีหน้าที่กระตือรือร้น
ลู่โจวค่อยๆ ยกมือขึ้นมาเพื่อปฏิเสธอีกครั้ง ในตอนนั้นเองเขาก็ได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะอย่างเบาๆ “นี่คือเคล็ดวิชาดาบโบราณเดียวดาย มันเป็นเคล็ดวิชาที่มาจากสำนักดาบสวรรค์ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าในตอนนี้เจ้าจะต้องสามารถฝึกมันจนเชี่ยวชาญได้แน่”
ดวงตาของโจวจี้เฟิงเบิกกว้างขึ้น ตัวเขาจ้องมองไปที่คัมภีร์ด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าโจวจี้เฟิงจะเป็นศิษย์คนโตของสำนักดาบสวรรค์ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็แน่ใจว่าจะเข้าใจคัมภีร์เคล็ดวิชานี้ได้แน่ ในเรื่องของกระบวนดาบโจวจี้เฟิงได้ฝึกฝนจนรู้พื้นฐานทุกอย่างแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับตัวเขาที่จะเชี่ยวชาญวิชาใหม่
ลู่ฉางเฟิงไม่ได้คิดที่จะสอนเคล็ดวิชาแห่งดาบทั้งหมดให้กับตัวเขา แม้ว่าโจวจี้เฟิงจะมีฝีมือและพรสวรรค์แต่ตัวเขาก็ยังขาดประสบการณ์อยู่ ไม่เพียงแค่สำนักดาบสวรรค์เท่านั้น แต่ที่สำนักอื่นในฝ่ายธรรมะก็คิดเช่นเดียวกัน ทุกคนล้วนแต่คิดว่ามันเป็นประเพณีจนเป็นปกติ ไม่มีใครสักคนที่แม้แต่จะกล้าตั้งคำถาม
โจวจี้เฟิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลู่โจวจะมอบเคล็ดวิชาดาบให้กับตัวเขาแบบนี้ เคล็ดวิชาดาบอันนี้ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับสำนักดาบสวรรค์ ตัวเขาอดไที่จะตื่นเต้นไม่ได้เลย ตราบใดที่ตัวเขาอยู่กับลู่โจว โจวจี้เฟิงจะต้องพัฒนาได้มากกว่านี้แน่นอน
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส! ขอบคุณท่านจริงๆ! ” โจวจี้เฟิงถือหนังสือด้วยมือทั้งสองข้างก่อนที่จะก้มหัวคำนับให้กับลู่โจวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ด้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “และก็เพราะเจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้า เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ภูเขาทองแห่งนี้กับพวกเรา”
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว! ” โจวจี้เฟิงพูดออกมาด้วยความเคารพ
“มีที่พักมากมายอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้า นอกเหนือศาลาทางตะวันออกก็ยังมีศาลาทางใต้อยู่ เจ้าก็เลือดอยู่ตามอัธยาศัยซะละ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เอาล่ะเจ้าไปได้แล้ว”
โจวจี้เฟิงเก็บหนังสือในมือเอาไว้ก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับทุกคน ตัวเขาในตอนนี้กำลังจะเดินออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พยักหน้าออกมาเล็กน้อย เป็นธรรมดาที่ศิษย์พี่ผู้อาวุโสอย่างด้วนมู่เฉิงจะเป็นคนคอยจัดการเรื่องเกี่ยวกับภูเขาทองแห่งนี้
ในตอนที่โจวจี้เฟิงจากไป ด้วนมู่เฉิงก็ได้คำนับก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ เจ้าโจวจี้เฟิงคนนั้นมันเป็นศิษย์ของสำนักดาบสวรรค์มาก่อนนะครับ…”
ลู่โจวไม่อยากที่จะเสียเวลาอธิบายมากนัก ถ้าหากตัวเขาจะต้องอธิบาย ลู่โจวจะต้องเล่าให้ฟังตั้งแต่พ่อแม่ของโจวจี้เฟิงถูกฆาตกรรมไป การจะเล่าเรื่องทั้งหมดจะทำให้ตัวเขาเสียเวลามากเกินไปดังนั้นลู่โจวจึงเลือกพูดคำอื่นออกมาแทน “ข้ามีแผนของข้าแล้ว”
“ศิษย์เข้าใจแล้วครับ” ด้วนมู่เฉิงไม่กล้าที่จะถามอีกต่อไปแม้ว่าตัวเขาจะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม
ลู่โจวมองไปที่โซ่ที่กำลังพันธนานการตัวของเขาอยู่ หลังจากที่เห็นแบบนั้นเขาก็เดินไปยังด้านในของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ด้วนมู่เฉิงในตอนนั้นต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ตัวเขากับได้ยินเสียงพึมพำของท่านอาจารย์ซะก่อน “โชคควรจะเข้าข้าง…”
ด้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นจึงคุกเข่าลงก่อนจะพูดออกมา “ท่านอาจารย์พักผ่อนให้เพียงพอนะครับ” หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากศาลาไป
ที่ใบหน้าของด้วนมู่เฉิงเต็มไปด้วยเหงื่อ ตัวเขาพยายามที่จะดึงโซ่ออกจากตัวเอง ด้วนมู่เฉิงในตอนแรกคิดจะให้ลู่โจวช่วยเอาโซ่ที่พันธนาการตัวเขาออกให้ แต่ดูเหมือนว่าตัวเขาจะไม่กล้ามากพอ ดังนั้นตัวเขาจะต้องอยู่กับโซ่แบบนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าทัศนคติของผู้เป็นอาจารย์จะเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ถึงแบบนั้นการไม่แยแสสนใจไยดีต่อลูกศิษย์ของตัวเองก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป
หลังจากที่ขังยี่เทียนซินเอาไว้ที่ด้านหลังภูเขาได้ หยวนเอ๋อก็กลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่เมื่อเธอไม่เห็นว่าอาจารย์ของเธออยู่ ตัวเธอจึงตัดสินใจถามศิษย์พี่สามที่กำลังมีสีหน้าเศร้าสร้อย “เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่หรอ? ” หยวนเอ๋อถามขึ้น
ด้วนมู่เฉิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้โบกมือปฏิเสธก่อนที่จะตอบกลับไป “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่เห็นท่านอาจารย์ดูเหม่อลอยก็เท่านั้น”
“เหม่อลอยอย่างงั้นหรอ? ท่านอาจารย์ทำอะไรอยู่กัน? “
“ไม่ ข้าไม่รู้เลยว่าท่านอาจารย์ทำอะไร แต่ในตอนนั้นเขากำลังพูดอะไรออกมาบางอย่าง”
“พูดอะไรกัน? “
“บางทีท่านอาจารย์อาจจะเวียนหัวก็เป็นได้”
เวียนหัว?
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้าก่อนจะแสดงความเห็นออกมา “ท่านอาจารย์อาจจะเวียนหัวในตอนที่ขี่วิซซาร์ดบินไปบินมาก็ได้ ยังไงซะเขาก็แก่มากแล้วนิ”
“ใช่ ข้าก็คิดแบบนั้น”
“ศิษย์พี่แล้วเราจะจัดการกับเจ้าคนทรยศนั่นยังไง? “
“ข้าคิดว่าพวกเราควรจะรอน้องสี่ออกมาซะก่อน ยังไงซะเขาก็เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในหมู่ของพวกเรา ถ้าหากเจ้าคนทรยศนั่นไม่ได้รับการลงโทษ พวกเราก็คงจะไม่มีกล้าสู้หน้าท่านอาจารย์ได้อีก” ด้วนมู่เฉิงพูดออกมาอย่างจริงจัง
“แต่ศิษย์พี่ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ เจ้าคนทรยศนั่นได้ทิ้งท่านอาจารย์ไปแล้ว แล้วทำไมเจ้านั่นถึงคิดฆ่าท่านอาจารย์ด้วยล่ะ? ” หยวนเอ๋อรู้สึกโกรธเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ด้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ถอนหายใจก่อนจะอธิบายออกมา “ศิษย์น้องหกยี่เทียนซินน่ะเป็นเด็กที่โชคร้าย…”
“โชคร้ายอะไรกัน? ” หยวนเอ๋อได้ยกมือสองข้างขึ้นมาก่อนที่จะใช้นิ้วชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าก็โชคร้ายมากเช่นกัน…”
ด้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก “ข้าจะรักษาบาดแผลให้กับเจ้าเอง พวกเราไปกันเถอะ”
“ได้เลยศิษย์พี่! “
…
ลู่โจวมองไปที่แต้มบุญที่เหลือในหน้าระบบ ตัวเขาใช้แต้มบุญไปกว่าสามพันแต้มเพื่อจับฉลากนำโชค ในตอนนี้ตัวเขาจึงเหลือแต้มบุญเพียง 1,540 เท่านั้น ค่าความโชคดีที่ลู่โจวได้มาก็เพิ่มมากขึ้นจนถึง 60 แต้มไปได้ ลู่โจวที่ยังติดใจอยู่อยากที่จะลองอีกครั้ง
“จับฉลากนำโชค! “
“ติ้ง! คุณได้ใช้แต้มบุญ 50 คุณได้รับค่าความโชคดี 1”
ตอนนี้เขาก็มีค่าความโชคดีถึง 61 แต้มแล้ว
“เยี่ยมมาก! “
ลู่โจวในตอนนี้พยายามที่จะสงบใจของตัวเอง ตัวเขาตัดสินใจที่จะหยุดเสี่ยงโชคต่อ ในตอนนี้สิ่งที่ลู่โจวสามารถทำได้มีเพียงการศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อไปเท่านั้น ลู่โจวที่คิดแบบนั้นก็ได้พูดกับตัวเองออกมา “ฉันจะเปลี่ยนแปลงโชค