ตอนที่ 30 ฟังข้าซะ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่อย่าได้ยั่วโมโหเจ้าพวกนั้น
“สมาคมมังกรฟ้าถูกทำลายไปแล้วอย่างงั้นหรอ? ใครกันที่เป็นคนทำแบบนั้น? ” ยี่เทียนซินได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าหากดูจากร่องรอยที่เหลือทิ้งเอาไว้ เห็นทีคนที่มาบุกโจมตีสมาคมมังกรฟ้าจะเป็นผู้ที่สามารถทะลวงจุดลมปราณทั้งแปดของขั้นมหาราชครูได้”
จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดออกมา “หรือนั่นจะเป็นหยวนเอ๋อกัน? “
“ถึงแม้ว่าศิษย์น้องเล็กหยวนเอ๋อเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้วยนิสัยของศิษย์น้องแล้ว เธอจะต้องฆ่าคนอื่นโดยไม่ปล่อยให้เหลือรอดอย่างแน่นอน และศิษย์น้องก็คงจะไม่ปกปิดวรยุทธ์ของตัวเองแน่” ยี่เทียนซินได้วิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมด
“แล้วถ้าหากตาแก่นั้นออกจากภูเขาทองไปพร้อมกับศิษย์น้องล่ะ? ” จ้าวยูได้ถามออกมาอีกครั้ง
ยี่เทียนซินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ส่ายหัว “นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เพื่อความรอบคอบแล้วข้าจะส่งใครสักคนไปสืบข่าวเรื่องคนสกุลซีเอง เฮ้ เจ้าน่ะ…”
“ครับนายท่าน! “
“นำภาพพวกนี้แล้วไปที่บ้านสกุลซีซะ เมื่อเห็นพวกคนในภาพรีบกลับมาแจ้งข้าในทันทีล่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว! “
ยี่เทียนซินได้โบกมือมาก่อนที่จะมอบภาพสองภาพที่แขวนอยู่ใกล้ๆ ให้ ภาพแรกนั่นก็คือภาพของชายชราคนหนึ่ง เขาคนนั้นคือจีเทียนเด๋า เขาคนนั้นมีใบหน้าที่แห้งเหี่ยวรวมไปถึงเส้นผมอันขาวโพน ส่วนภาพของอีกคนหนึ่งก็คือเด็กผู้หญิงตัวน้อยน่ารักหยวนเอ๋อที่กำลังสวมชุดสีน้ำเงินอยู่
หลังจากออกคำสั่งเสร็จแล้วยี่เทียนซินก็ได้พูดต่อไปอีกว่า “แล้วนี่เรื่องเหรียญตราแห่งจักรวรรดิ…”
“สิ่งนี้จะทำให้เรียกระดมพลกองทัพของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้ ที่เหรียญนั้นถูกแกะสลักเป็นลวดลายมังกรเพื่อแสดงให้คนทั้งเห็นถึงความยิ่งใหญ่ แล้วของแบบนั้นไปปรากฏในเมืองอันยางได้ยังไงกัน? ” จ้าวยู่ได้ถามออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“นั่นมันไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าทางจักรวรรดิจะเชื่อฟังเหรียญตรานั้น แต่การรวมพลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ความเป็นไปได้มีเพียงสองอย่างเท่านั้น ความเป็นไปได้แรกนั่นก็คือเหรียญตราอันนั้นเป็นของปลอม ส่วนความเป็นไปได้ที่สองมีเพียงการใช้เหรียญของจักรพรรดิเท่านั้น จักรพรรดิคนนั้นคงจะปลอมตัวให้เหมือนกับสามัญชนไป แต่ถึงแบบนั้นโลกของยุทธภพก็ได้รับผลพวงมาจากสงครามครั้งใหญ่ในเมื่อหลายปีก่อน ยังไงซะท่านจักรพรรดิคงจะไม่กล้าทำอะไรที่เสี่ยงจนเกินไป”
“นี่มันสมเหตุสมผลดี”
ในตอนนั้นเองยี่เทียนซินก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็พูดต่อออกมา “ไม่ต้องห่วงหรอกศิษย์พี่ ทุกอย่างน่ะอยู่ในการควบคุมของข้า…”
…
ในตอนนั้นเองลู่โจวและหยวนเอ๋อเองก็มาถึงด้านนอกของบ้านสกุลมู่
“หยวนเอ๋อ เจ้าน่ะมีชื่อเสียงมากเกินไป ข้าเองก็กลัวว่าเจ้าจะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น ดังนั้นจากนี้ไปเจ้าน่ะจะต้องเชื่อฟังคำสั่งข้า เข้าใจไหม? “
“ศิษย์เข้าใจแล้วค่ะ! “
“เจ้าน่ะจะทำยังไงกัน ถ้าหากผู้บงการการลักพาตัวในครั้งนี้เป็นพวกศิษย์พี่ของเจ้าเอง? ” ลู่โจวในตอนนั้นได้ถามออกมาอย่างลังเลใจ ตัวเขาเองก็อยากที่จะเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ชอบมาพากลจนเกินไป บางทีเรื่องในครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ของหยวนเอ๋อก็เป็นไปได้
“ไม่มีทางที่จะเป็นพวกศิษย์พี่ไปได้…พวกศิษย์พี่ล้วนแต่ใจดีกับข้า ไม่มีทางเลยที่พวกศิษย์พี่จะคิดลักพาตัวพ่อแม่ของศิษย์ได้” หยวนเอ๋อพูดออกมาในระหว่างนั้นเองเธอก็ใช้นิ้วมืออันเรียวบางบิดไปที่ปลายผมของเธอ
ลู่โจวในตอนนั้นเลิกคิดมากก่อนที่จะส่ายหัว ‘เธอน่ะยังใสซื่อเกินไป…’
“ไปกันเถอะ! ” ลู่โจวพูดพร้อมกับเดินขึ้นบันไดไป
“ให้ข้าเคาะประตูให้ท่านนะ ท่านอาจารย์…”
“พังประตูนี่ไปซะ”
“??? “
ปั้ง!
ประตูที่ถูกลูกเตะอันรุนแรงได้เปิดตัวขึ้น ในตอนที่เสียงดังเกิดขึ้น ตอนนั้นเองเหล่าผู้คุ้มกันก็แห่กันมาเหมือนฝูงผึ้ง และเมื่อเห็นผู้บุกรุกทั้งสองที่เป็นเพียงชายชรากับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ในตอนนั้นหนึ่งในผู้คุ้มกันก็ได้คำรามออกมา “พวกเจ้ากล้าดียังไงมาทำลายประตูบ้านสกุลมู่กัน? จับพวกมันซะ! “
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ทหารยามคนนั้นก่อนที่จะโบกมือให้ หยวนเอ๋อที่ไม่เข้าใจท่าทีของอาจารย์ได้ถามขึ้นมาในทันที “ถอยกันดีไหมท่านปู่? “
“ลุยซะ! ” หลังจากที่หยวนเอ๋อตัวน้อยถูกท่านอาจารย์ของเธออย่างลู่โจวลงโทษ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหยวนเอ๋อก็รู้สึกคับแค้นใจรวมไปถึงหดหู่ใจมาโดยตลอด และนับตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็ไม่เคยที่จะได้ระบายออกมาเลย
เมื่อเหล่าผู้คุ้มกันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ในตอนนั้นเองพวกผู้คุ้มกันทั้งหมดก็พุ่งใส่หยวนเอ๋อราวกับว่าเป็นหมาป่าที่กำลังกระโจนใส่ฝูงลูกแกะ หยวนเอ๋อที่ปะทะเข้ากับฝูงผู้คุ้มกันได้ใช้ลูกเตะรวมไปถึงเพลงหมัดโจมตีไปที่เหล่าผู้คุ้มกัน กระบวนท่าของหยวนเอ๋อนั้นรวดเร็วดุจดั่งสายฟ้าฟาด
ก่อนที่ผู้คุ้มกันทั้งหลายจะตามความเร็วทัน ในตอนนั้นพวกเขาทั้งหมดก็กระเด็นลอยไปก่อนแล้ว ในตอนนั้นไม่มีใครตอบโต้อะไรได้เลย ในที่สุดการต่อสู้ก็จบ
หยวนเอ๋อที่ระบายอารมณ์ได้ปรบมืออย่างพึงพอใจก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา “ท่านปู่ เจ้าพวกนี้น่ะอ่อนเกินไป! “
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ภาพที่เห็นเขาเมื่อครู่นี้คือภาพที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นศักดิ์สิทธิ์กำลังรังแกคนทั่วไปที่ไม่ได้มีวรยุทธ์อะไรเลย ผู้คุ้มกันทั้งหมดนั้นนอนแน่นิ่ง พวกเขาทั้งหมดนอนอยู่กับพื้นโดยที่มีใบหน้าเปียกโชกไปด้วยเลือด ผู้คุ้มกันหลายคนกำลังร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวดบ้างก็พยายามที่จะลุกขึ้นยืน
ในตอนนั้นเองเสียงเอะอะโวยวายก็ดังไปทั่ว ไม่นานนักผู้นำสกุลมู่ มู่หลงไห่ก็ได้เดินตรงมา เขาคนนี้เดินออกมาพร้อมกับผู้ใช้วรยุทธ์อีกหลายคน และเมื่อชายคนนั้นเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาก็ได้ถามลู่โจวออกมาในทันที “พวกเจ้าเป็นใครกัน? “
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นไม่ได้ตอบกลับ ตัวเขาได้ถามออกไปแทน “หวังฟูกุ่ยอยู่ที่บ้านของพวกเจ้าไหม? “
“จับพวกมันซะ”
“เจ้านั่นน่ะปลอมแปลงตราสัญลักษณ์ของกองทัพจักรวรรดิมา ดังนั้นข้าก็เลยส่งตัวเจ้านั้นให้กับทางการไป”
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นได้แต่ขมวดคิ้ว ในตอนที่ตัวเขาอยู่ที่ภูเขาทองไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าพูดแบบนี้ออกมา
“หยวนเอ๋อสั่งสอนให้เจ้านั่นรู้จักการใช้คำพูดซะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ เธอยืดเส้นยืดสายร่างกายตัวเองก่อนจะพูดออกมา “เฮ้ เจ้าน่ะ ดูเหมือนว่าจะต้องฝึกใช้คำพูดใหม่แล้วนะ”
“เจ้าเด็กผู้หญิงอวดดีนั่นมันเป็นใครกัน? พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้สั่งสอนมาอย่างงั้นสินะ…”
ก่อนที่มู่หลงไห่จะพูดจบ ในตอนนั้นหยวนเอ๋อก็ได้หายไปจากจุดที่เธอยืนก่อนหน้านี้ไปแล้ว ในพริบตาเดียวเท่านั้นไม่มีใครสังเกตเห็นหยวนเอ๋อเลยแม้แต่คนเดียว ในทันใดนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้กระแทกพวกเขาทั้งหมดลงกับพื้นไปเป็นที่เรียบร้อย
“ผู้ใช้วรยุทธ์ขั้นมหาราชครู! ” มู่หลงไห่ที่ทรุดตัวลงไปกับพื้นได้พูดขึ้น ตอนนี้เขากำลังจ้องมองหยวนเอ๋อด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ ในตอนนั้นเองเขาคือคนที่พยายามจะลุกขึ้นยืน
“โอ้? เจ้าน่ะดูเหมือนจะแกร่งกว่าคนอื่นๆ สินะ…” หยวนเอ๋อพูดออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนที่จะใช้กำลังโจมตีชายคนนั้นอีกครั้ง
“ไม่! ช้าก่อน! ได้โปรดหยุดก่อน! ” มู่หลงไห่ได้พูดขอร้องอ้อนวอนออกมา “ใครก็ได้ปล่อยชายคนนั้นซะ! หวังฟูกุ่ยน่ะยังสบายดี! “
ไม่นานนักหวังฟูกุ่ยก็ถูกพาตัวออกมา ในตอนนั้นที่ใบหน้าของพ่อบ้านคนนี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ หวังฟูกุ่ยกำลังถูกจับตัวเอาไว้นั่นเอง
ในตอนนี้เหมือนกับคำกล่าวที่ได้ว่าเอาไว้ ‘ตีสุนัขต้องดูเจ้าของ’ หยวนเอ๋อในตอนนี้รู้สึกโกรธในทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่พ่อบ้านของเธอโดนทำร้าย
“ท่านปู่…”
“ทำสิ่งที่เจ้าอยากทำซะเถอะ”
หยวนเอ๋อในตอนนั้นได้หักข้อมือของตัวเองก่อนที่จะยิงฟันออกมา “ใครกล้าทำร้ายหวังฟูกุ่ยกัน? “
ในตอนนั้นเองเสียงแห่งความเงียบก็ได้ครอบคลุมไปทั่วบ้านสกุลมู่ ในฝูงชนที่กำลังนอนอยู่ไม่มีแม้แต่สักคนเดียวที่กล้าตอบคำถามนี้ ไม่มีใครที่กล้ายอมรับความผิดต่อหน้าหยวนเอ๋อที่เป็นยอดฝีมือแบบนี้ได้ ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนในบ้านสกุลมู่ก็เป็นเหมือนกับคนธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้าหยวนเอ๋อตัวน้อยคนนี้
“เจ้าสินะ” หยวนเอ๋อได้พูดขึ้นก่อนที่จะชี้ไปยังมู่หลงไห่
“ไม่…ไม่ใช่ข้า…” มู่หลงไห่รีบโบกมือปฏิเสธซ้ำไปซ้ำมา หวังฟูกุ่ยนั้นเป็นเพียงพ่อบ้านที่เป็นคนธรรมดาๆ เท่านั้น เขาไม่สมควรเลยที่จะถูกทรมานแบบนี้ คนที่สมควรจะถูกทรมานก็คือหัวหน้าครอบครัวผู้ยิ่งใหญ่มากกว่าไม่ใช่หรอ?
“ใช่จริงๆ สินะ เป็นเจ้าจริงๆ ” หยวนเอ๋อได้เดินมาหยุดตรงหน้าของมู่หลงไห่ในพริบตา ตอนนั้นเองเธอได้ยกมือขึ้นก่อนที่จะเหวี่ยงไปบนใบหน้าของเขา
เพรี๊ยะ! เพรี๊ยะ! เพรี๊ยะ!
ลู่โจวในตอนนี้ได้มองอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่เสียงแห่งการลงโทษดังขึ้น ในตอนนั้นใบหน้าของมู่หลงไห่ก็บวมไปทั่ว จมูกของเขามีเลือดไหลริน “ทำไมเจ้ากล้าทำกับข้าแบบนี้กัน? ข้าเองก็ไม่เคยมีความแค้นกับเจ้า…” มู่หลงไห่ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะอื้น
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นจึงได้เอ่ยปากถามออกไป “เจ้าน่ะรู้เรื่องการลักพาตัวคนสกุลซีไหม? “
ในตอนนั้นยังคงเงียบสงบเช่นเคย
“ไม่ต้องรีบตอบกันหรอกนะ” ลู่โจวพูดเสริม หลังจากนั้นเขาก็หันหน้าไปพูดกับหยวนเอ๋อ “หยวนเอ๋อ ถ้าหากข้ารู้สึกโกรธขึ้นมา…ข้าอยากให้เจ้าหักขาของใครสักคนให้หน่อย”
“ได้เลยท่านปู่! ” หยวนเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเธอได้ยินคำอนุญาตของลู่โจว
มู่หลงไห่ในตอนนั้นได้แต่ร้อนรน ‘แล้วข้าจะตอบอะไรกัน? ใครก็ได้ช่วยบอกที’
คนที่เหลือที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ได้แต่เดินถอยออกมาเท่านั้น
“ใช่แล้วล่ะ ข้าน่ะรู้เรื่องนั้น” มู่หลงไห่ได้พูดขึ้น
“นั่นมันฝีมือของใครกัน? “
“ข้ารู้แค่ว่าเจ้าพวกนั้นได้รับการสนับสนุนมาจากสุดยอดผู้ใช้วรยุทธ์ผู้น่าเกรงขาม แม้ว่าตระกูลของข้ากับตระกูลซีจะเป็นศัตรูกัน แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็ไม่สามารถลักพาตัวคนนับร้อยภายในค่ำคืนเดียวได้หรอก” มู่หลงไห่พูดขึ้น
“สุดยอดผู้ใช้วรยุทธ์ผู้น่าเกรงขามอย่างงั้นหรอ? “
มู่หลงไห่ในตอนนั้นเหลือบมองไปที่หวังฟูกุ่ย เขาเดาได้ทันทีว่าชายชราคนนี้จะต้องมีสัมพันธ์อันดีกับคนสกุลซีอย่างแน่นอน เมื่อเห็นแบบนั้นเขาจึงได้พูดออกมา “ท่านผู้เฒ่า ได้โปรดฟังข้าด้วย อย่าไปหลงกลเจ้าพวกนั้น”
“เจ้าน่ะรู้จักพวกมันด้วยอย่างงั้นหรอ? “
มู่หลงไห่ที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ส่ายหัว “ไม่หรอก ข้ารู้แต่ว่าเจ้าพวกนั้นน่ะเป็นคนของภูเขาทอง เจ้าน่ะรู้จักใช่ไหม ภูเขาทองน่ะ? “
“ไม่ บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นที”
‘ชายคนนี้ไม่เคยได้ยินเรื่องภูเขาทองมาก่อน…แต่ถ้าหากตัดสินจากพลังออร่ารวมไปถึงพฤติกรรมของเจ้านี้แล้ว เจ้านี้น่าจะเป็นฤๅษีที่ฝึกฝนตนโดยแยกตัวออกมาจากโลกภายนอก…’ มู่หลงไห่ได้คิดขึ้น
“ที่ภูเขาทองมีปรมาจารย์ผู้ชั่วร้ายคนหนึ่งอาศัยอยู่ เจ้านั่นมีลูกศิษย์ทั้งหมด 9 คนด้วยกัน และแต่ละคนล้วนแต่เป็นมหาวายร้ายที่มีชื่อเสียง มีความเป็นไปได้สูงว่ากลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่ก่อเหตุลักพาตัวจะเกี่ยวข้องกับมหาวายร้ายที่อยู่บนภูเขาทอง…เจ้าพวกนั้นน่ะสามารถฆ่าคนได้ในพริบตาเดียว เจ้าพวกนั้นทุกคนนั้นล้วนแต่ทำเรื่องชั่วร้ายมาแล้วทุกรูปแบบ ท่านผู้เฒ่า ข้าน่ะบอกทุกอย่างเพราะเห็นแก่ว่าเจ้าน่ะเป็นคนดี เจ้าอย่าได้ไปยั่วโมโหคนพวกนั้นจะดีกว่านะ”