คิ้วที่เคยขมวดของฉินจานได้คลายลง
มือสังหารที่ได้ตายไปย่อมดีกว่าการที่มือสังหารหนีไปได้
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนเชิญหลี่หยุนเฉามาที่นี่เอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีองค์ชายสี่ติดตามมาด้วย ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นจริงฉินจานจะต้องเป็นผู้รับกรรมไม่ผิดแน่
“เด็กๆ! ” ฉินจานได้ตะโกนขึ้น
เหล่าทหารผู้คุ้มกันก็ได้วิ่งมายังลานบ้าน “นายท่าน! “
“รีบเก็บกวาดเร็วเข้า! “
เหล่าทหารยามได้มองไปที่ศพที่อยู่บนพื้น เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นพวกเขาก็ได้เก็บศพของมือสังหารออกไปให้พ้นจากลานบ้าน
หลี่หยุนเฉาค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ตัวเขาได้แหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่เพิ่งจะขึ้นสู่ขอบฟ้า
ในตอนนี้มันก็สายมากแล้ว ตัวเขาควรที่จะกลับไปยังที่ที่จากมา
หลี่หยุนเฉาได้ออกมานานมากแล้ว ถ้าหากตัวเขาไม่กลับไปอัครมเหสีจะต้องตามหาตัวเขาแน่ แน่นอนว่าเมื่อมาถึงตอนนั้นขันทีหลี่ไม่แม้แต่จะกล้าจินตนาการถึงสิ่งที่จะตามมาได้เลย
“ท่านผู้อาวุโส ข้าจะต้องกลับแล้ว ข้าน้อยขอตัว” หลี่หยุนเฉาได้พูดขึ้น ลู่โจวไม่ได้ตอบกลับอะไรไป ในตอนนี้ไม่มีใครหยุดขันทีหลี่เอาไว้
องค์ชายสี่หลิวปิงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้าคิดว่า…ถึงเวลาแล้วที่จะต้องไป”
“ดูหน้าหนาๆ ของเขาเอาไว้สิ”
ลู่โจวที่ได้พูดออกมา “เจ้าน่ะทำให้ข้านึกถึงเขาคนนั้น”
เมื่อลู่โจวจะพูดต่อตัวเขาก็จำได้ว่าองค์ชายทั้งสองมีพ่อคนเดียวกัน เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่แปลกใจเลยที่องค์ชายสี่คนนี้จะมีนิสัยเหมือนกับเจียงอาเฉียนได้
“เขาอย่างงั้นหรอ? “
“ลืมมันไปซะเถอะ เจ้าคงไม่อยากพูดถึงเจ้านั่นหรอก” เป็นเวลานานแล้วที่ลู่โจวได้ติดต่อกับเจียงอาเฉียน ครั้งล่าสุดที่เขาติดต่อชายคนนี้ได้นั่นก็คือครั้งที่หมิงซี่หยินเป็นผู้ติดต่อ
ในตอนนี้ลู่โจวยังอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าเจียงอาเฉียนจะเป็นองค์ชาย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่เลือกที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในพระราชวัง ดังนั้นลู่โจวจึงคิดว่าคนอย่างเจียงอาเฉียนคงจะไม่มาที่นี่แน่
ลู่โจวกลับไปที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกับเดินเอามือไขว้หลัง ในตอนนั้นหลิวปิงก็ได้เดินตามเขาไปติดๆ
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็รู้ว่ามันแปลก นางรีบพูดออกไป “นี่มันก็ดึกแล้ว เจ้ายังไม่ไปอีกอย่างงั้นหรอ? “
“ไปอย่างงั้นหรอ? “
“เจ้าไม่คิดว่าอาจารย์ของข้าจะต้องพักผ่อนอย่างงั้นหรอไงกัน? ” หยวนเอ๋อได้พูดตอบกลับมา
หลิวปิงได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโส ไม่ว่ายังไงข้าก็อยากที่จะหาสหายมากกว่าศัตรู ท่านไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนตัดสินใจ การมีสหายที่ดีย่อมดีกว่าการที่มีศัตรูอยู่แล้ว เอาไว้พวกเราค่อยพบกันใหม่”
ลู่โจวไม่ได้หยุดเขา ตัวเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะไปยุ่งกับคนของทางพระราชสำนักอยู่ก่อนแล้ว ท้ายที่สุดองค์ชายหลิวปิงก็เป็นคนที่เพิ่งจะกลับมาจากชายแดน เขาคนนี้ยังไม่มีขุมกำลังหรืออำนาจที่มากพอ และยังมีอีกหลายคนจับตามององค์ชายองค์นี้
แต่ยังไงซะองค์ชายคนนี้ก็กล้ามากพอที่จะปลอมตัวเป็นขันทีน้อยเพื่อมาพบลู่โจว
หยวนเอ๋อได้เกาหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์พวกเราควรที่จะขู่เจ้านั่นดีไหมคะ? หรือจะให้ศิษย์จับเขากลับมาดี? “
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น” ลู่โจวได้ตอบกลับไป
“ค่ะ”
หยวนเอ๋อได้มองย้อนกลับไปที่ทางด้านของจ้าวยู่ เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นศิษย์พี่กำลังเศร้าสร้อยกับอดีตที่ผ่านมาหยวนเอ๋อก็ได้พูดขึ้น “ศิษย์พี่ ในตอนนี้ยังไงซะท่านก็กำลังมีชีวิตอยู่ ข้าคิดว่าท่านควรจะใช้ชีวิตที่เหลืออันน้อยนิดอยู่อย่างมีความสุขจะดีกว่านะ”
ลู่โจวถึงกับผงะ แม้ว่าตัวเขาจะรู้ดีว่าหยวนเอ๋อต้องการที่จะพูดปลอบประโลมจ้าวยู่ แต่ถึงแบบนั้นคำที่นางใช้กลับดูผิดแปลกเกินกว่าที่จะเป็นคำปลอบประโลมได้
ในลานบ้านตอนนี้มีคนใช้หลายคนกำลังเข้ามาทำความสะอาด ลูกชายของฉินจานได้เดินเหยียดแขนมาที่ลานบ้านแห่งนี้ “ท่านพ่อ แขกของพวกเรายังอยู่ที่ไหม? “
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก กลับไปห้องของเจ้าซะ” ฉินจานได้พูดออกมา
“เขาเป็นใครกันแน่? “
ฉินจานได้มองกลับไปยังห้องโถงใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังกำแพงที่ได้รับความเสียหาย “เขาเป็นชายที่น้องของเจ้าจะไม่หยุดพูดถึง…”
ฉินโจที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่ง ตัวเขารู้สึกงุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน
ฉินจานขี้เกียจเกินกว่าที่จะอธิบายออกมา ตัวเขาได้หันกลับมาสั่งคนรับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ แทน “พาเขากลับไปที่ห้องของตัวเองซะ” หลังจากที่ทั้งสองคนได้เดินจากไปฉินจานก็ได้ถอนหายใจก่อนที่จะพึมพำออกมา “คนขี้ขลาดแบบเขาจะไปสืบทอดคฤหาสน์ของพวกเราได้ยังไงกัน? “
“ค่ะ นายท่าน” เมื่อใกล้ที่จะทำความสะอาดลานเสร็จสิ้น ฉินจานก็ได้เดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่พร้อมกับพ่อบ้านหง “ท่านผู้อาวุโส ข้าไม่รู้เลยว่าองค์ชายสี่จะติดตามมาด้วยแบบนี้ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะ” ฉินจานได้พูดขึ้น
“เจ้าไม่รู้จักเขาอย่างงั้นหรอ? “
ฉินจานได้ถอนหายใจออกมา “องค์ชายสี่มักจะอยู่ที่เขตชายแดน ในตอนที่ข้าเจอเขาเป็นครั้งสุดท้าย ในตอนนั้นองค์ชายยังเด็กมาก ตอนนี้เขากลายเป็นชายวัยกลางคนไปแล้ว รูปร่างหน้าตาขององค์ชายได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะการปลอมตัว ข้าก็เลยจำองค์ชายสี่ไม่ได้เลย”
“เขตชายแดนอย่างงั้นหรอ…” ลู่โจวพึมพำออกมา “ถ้าหากเขามาจากเขตชายแดน แล้วทำไมหลิวปิงถึงจะต้องพยายามรวบรวมคนให้เหมือนกับองค์ชายคนอื่นๆ ด้วยล่ะ? “
ในชีวิตที่ผ่านมาของลู่โจว ผู้ที่อยู่ในเขตชายแดนมักจะไม่ทำตัวตามกฎเกณฑ์แบบนี้
ฉินจานได้ตอบกลับไป “มันก็คงจะเป็นการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง อีกไม่นานอำนาจการสั่งการทหารทั้งหมดขององค์ชายสี่ก็จะต้องถูกยึดกลับไป เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะต้องอยู่คนเดียวอย่างไร้อำนาจ แม้ว่าเขาจะไม่มีเจตนาทำร้ายผู้อื่นแต่ก็ไม่มีอะไรจะมารับรองว่าตัวเขาจะอยู่ได้อย่างปลอดภัย”
“ลืมมันไปซะเถอะ” ลู่โจวได้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะเอามือไขว้หลัง “เจ้าทำงานให้ข้าได้ดีมาก…ข้าน่ะไม่ชอบติดค้างใคร บอกมาว่าเจ้ามีความปรารถนาอะไรที่จะให้ข้าช่วย”
ฉินจานได้โบกมือปฏิเสธก่อนจะตอบกลับมา “ข้าน้อยไม่กล้า! ตัวข้าไม่ได้เหมือนกับพวกผู้ฝึกยุทธทั้งหลายในโลกใบนี้ ข้าไม่เคยคิดที่อยากจะครอบครองทรัพย์สมบัติจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามาก่อนเลย”
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะหันกลับมาทางจ้าวยู่และหยวนเอ๋อ
ในขณะเดียวกันหมิงซี่หยินก็ได้กักขังลู่ชิวผิงไว้ที่ศาลาทางเหนือได้
เมื่อกักขังหนูขโมยคนนี้ได้แล้วตัวเขาก็ได้พาฝานซงมาเพื่อผนึกพลังวรยุทธของลู่ชิวผิงเอาไว้
เช้าวันต่อมาหมิงซี่หยินก็ได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ตัวเขาได้มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อบินมาได้ครึ่งทางตัวเขาก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจ ‘ท่านอาจารย์อยู่ที่ไหนกันแน่? แล้วข้าจะไปเจอกับท่านอาจารย์ได้ที่ไหนกัน? ‘
ในบ่ายวันนั้นก็ถึงเวลาแห่งการนัดหมายแล้ว
พ่อบ้านหงฟู่ รู้ว่าขันทีหลี่จะต้องกลับมาอีกแน่ ดังนั้นตัวเขาจึงได้มารออยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์อยู่ก่อนแล้ว หงฟู่ได้กวาดตามองไปยังถนนที่อยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่เช้าตรู่
ในตอนที่แสงแดดยามเที่ยงกำลังสาดส่องลงมา ในตอนนั้นรถม้าที่คุ้นเคยก็ได้ผ่านถนนที่หงฟู่จับจ้องอยู่
หงฟู่ที่เห็นแบบนั้นดีใจมาก ตัวเขารีบหันไปบอกคนรับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ “ไปบอกนายท่านซะว่าเขามาแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปในทันที” รถม้าคันนั้นได้หยุดต่อหน้าหงฟู่
เมื่อม่านในรถม้าถูกแหวกออก ผมสีเงินของหลี่หยุนเฉาก็ได้สะท้อนแสงกลับมา ดูเหมือนว่าตัวเขาจะอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่
“ขันทีหลี่! ” พ่อบ้านหงรีบไปช่วยพยุงหลี่หยุนเฉา
หลี่หยุนเฉาแหงนมองไปบนคฤหาสน์ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสเองก็จะรักษาคำพูดเช่นกัน”
“เชิญทางนี้” หงฟู่ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ ยังไงซะเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับปรมาจารย์มหาวายร้ายที่อยู่ที่นี่ เรื่องต่อไปนี้ก็อยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตแล้ว
หลี่หยุนเฉาได้หยิบกล่องผ้าออกมาก่อนที่จะเดินตามหงฟู่เข้าไปในคฤหาสน์
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งคู่ก็ได้เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ ลู่โจวในตอนนี้ยังคงยืนอย่างสง่างามโดยที่ไม่เคลื่อนไหวไปไหน หลี่หยุนเฉาที่เห็นแบบนั้นรีบเดินตรงไปหาในทันที ตัวเขาได้เดินเข้าไปอย่างเคารพก่อนที่จะยื่นห่อผ้าให้ “นี่คือคัมภีร์ที่ข้าได้พูดถึงเมื่อวานนี้”
ลู่โจวจ้องไปที่กล่องผ้าใบนั้น “เจ้ารู้ไหมว่าของชิ้นนี้มันมีไว้เพื่ออะไร? “
“ข้าไม่รู้ แต่ถ้าหากมันไม่ใช่ของที่มีประโยชน์ ทางพระราชสำนักก็คงจะไม่เก็บมันไว้แน่” หลี่หยุนเฉาได้พูดต่อ “ในตอนที่อัครมเหสีทรงประชวรด้วยโรคหัวใจ นางก็ได้เผลอใช้ของสิ่งนี้เป็นหมอนรองนอนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้วพระองค์ก็ได้หายจากอาการป่วยในเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน ข้าคิดว่าของชิ้นนี้จะต้องมีอะไรที่แตกต่างจากคัมภีร์ธรรมดาจะมีแน่ บางทีมันอาจจะทำมาจากหยกที่มีพลังคุณสมบัติพิเศษซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้”
“เจ้าคาดเดาได้ดีนิ” ลู่โจวไม่ได้ตั้งใจที่จะเฉลยคำตอบแต่แรกอยู่แล้ว ยังไงซะถ้าหากขันทีคนนี้ไม่ได้คำตอบ คำตอบนั่นก็จะขึ้นอยู่กับจินตนาการของเขาอยู่ดี ในขณะที่ลู่โจวรับกล่องผ้ามา ตัวเขาก็ได้โบกแขนเพื่อเปิดกล่องใบนี้
“ติ้ง! ได้รับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์”
เป็นอย่างที่ลู่โจวคาดเอาไว้ มันคือชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นั่นเอง
“ยังมีของแบบนี้อีกไหม? ” เมื่อลู่โจวจ้องมองไปยังเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่มี ตัวเขาก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
หลี่หยุนเฉาที่ได้ยินแบบนั้นตกใจจนแทบกระโดด ตัวเขาได้อธิบายออกมาอย่างเร่งรีบ “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะเก็บของสิ่งนี้เอาไว้กับตัวเอง ถ้าหากข้ามีของสิ่งนี้อีกจริง ข้าก็คงจะไม่รอมาถึงวันนี้แน่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าก็คงจะขายมันออกไปนานแล้ว”