พลังผนึกตราประทับทั้งหกที่ปรากฏขึ้นเริ่มที่จะขยายตัวก่อนที่จะหดตัวลงกลับมา
เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอยู่ แต่เมื่อเห็นพลังของฮั๊ววู่เด๋าก็ทำให้ทุกคนต่างก็ตกตะลึง ถึงแม้ว่าพลังจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนแต่พวกเขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะรู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีได้ ทุกๆ คนต่างก็พยายามดิ้นรนทุกอย่างเพื่อที่จะออกจากแท่นประลองดอกบัวนั่นเอง แต่น่าเสียดาย เสาทั้งเก้าที่ถูกหมอกควันสีดำเข้าปกคลุมไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาได้หนีไปไหน ในตอนนี้ทุกคนถูกขังอยู่ในกรงขนาดใหญ่
ฮั๊ววู่เด๋าได้มองไปที่พลังโซ่สีดำก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่ต้องเป็นห่วงไปท่านปรมาจารย์ ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ รถม้าลอยฟ้าคันนี้จะต้องปลอดภัยแน่”
ลู่โจวพยักหน้าให้เล็กน้อย ด้วยพลังวรยุทธที่ฮั๊ววู่เด๋ามีการจะปกป้องรถม้าคันนี้ได้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร สิ่งที่ลู่โจวกำลังสงสัยอยู่คือเรื่องของหุ่นเชิดที่แสนจะอ่อนแอพวกนี้มากกว่า ในการใช้เครื่องสังเวยเรียกหุ่นเชิดที่ดูอ่อนแอพวกนี้ออกมาคงจะเป็นเรื่องที่ดูไม่สมเหตุสมผลมากที่สุดแล้ว หุ่นเชิดพวกนี้ไม่สามารถที่จะทำอะไรศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แม้แต่นิดเดียว
ในขณะที่มองไปรอบๆ ลู่โจวก็พบว่าร่างของลั่วซิงกงที่เคยนอนอยู่กับพื้นในตอนนี้ได้หายไปแล้ว มันหายไปจนเหลือแต่ของเหลว ลั่วซิงกงเป็นหนึ่งในยอดฝีมือ เขาได้สละตัวเองเป็นเครื่องสังเวยก็เพื่อสร้างพลังงานจำนวนมากขึ้นมา ในขณะเดียวกันต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน และหยวนเอ๋อ ในตอนนี้ทั้งสามคนกำลังรับมือกับหุ่นเชิดจำนวนมากอยู่ สำหรับผู้ฝึกยุทธผู้ไร้ฝีมือ พวกเขาทำได้เพียงวิ่งหนีเท่านั้น แต่จะหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่รอด พวกเขาไม่ต่างอะไรจากแกะที่กำลังจะโดนเชือด สิ่งเดียวที่ทุกคนจะทำได้นั่นก็คือการหลีกเลี่ยงการโจมตีต่อไป โชคดีที่คนส่วนใหญ่พอจะมีพลังวรยุทธอยู่ในตัว เพราะแบบนั้นทั้งร่างกายและจิตใจของพวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไป
พลังโซ่สีดำได้ส่องแสงออกมาอีกครั้ง มันเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านพวกมันไป แสงสีน้ำเงินได้ส่องสะท้อนออกมาจากโซ่ทั้งหลาย ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นได้แต่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “เจ้านี่พยายามที่จะฆ่าทุกคนที่อยู่ในนี้…ชั่วช้าซะจริง! “
เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ได้ตายจากไปแล้วได้ถูกเวทมนตร์คาถาควบคุมอีกครั้ง มันได้พุ่งใส่สาวกทั้งสามของลู่โจวอย่างบ้าคลั่ง ในตอนนั้นเองหุ่นเชิดตัวหนึ่งก็ได้คำรามออกมา “พวกเจ้าจะหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น! “
ลู่โจวไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับความปลอดภัยของเหล่าศิษย์ทั้งสามเลย
หุ่นเชิดส่วนหนึ่งพยายามพุ่งใส่รถม้าล่องเมฆาด้วยเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นเมื่อต้องเผชิญกับสุดยอดพลังป้องกันอย่างพลังผนึกตราประทับทั้งหกผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นแบบเดิม
“นั่นมันอะไรกันน่ะ? ” จ้าวยู่ได้อุทานขึ้น เนื่องจากนางเป็นผู้คุมพังงารถม้า เพราะแบบนั้นนางจึงเห็นทุกอย่างได้ดีกว่าคนที่อยู่บนรถม้า นางเห็นอะไรบางอย่างที่ส่องแสงสีดำออกมา มันเป็นแสงที่อยู่ตรงโซ่พลังงานที่ตัดผ่านกัน
“นั่นมันจุดที่พลังได้มาบรรจบกัน…มันเป็นจุดที่มีทั้งพลังที่แข็งแกร่งที่สุดและพลังที่อ่อนแอที่สุด” ลู่โจวได้พูดขึ้น
ฮั๊ววู่เด๋าพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะพูดเสริม “ถูกต้องแล้ว อีกฝ่ายต้องการที่จะทำลายทุกอย่างด้วยพลัง”
“พลังนั่นมันแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? ” จ้าวยู่สังเกตเห็นว่าหุ่นเชิดพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร
“สิ่งที่นี่กลัวของเวทมนตร์คาถาไม่ใช่พลังทำลาย แต่มันเป็นพลังที่จะกัดกร่อนร่างกายและจิตใจของใครบางคนมากกว่า…”
“แล้วตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไงกัน? “
ซู่วววว!
เสียงพลังของโซ่สีดำได้ดังปะทุขึ้น ฮั๋ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าเป็นพลังพระสูตรธารณี, พลังบทสวดหัวใจแห่งเต๋า หรือพลังสวรรค์ไพศาลของพวกขงจื๊อก็คงจะรับมือกับพลังแบบนี้ได้ แม้ว่าสำนักหยุนของข้าจะมีรากฐานมาจากลัทธิเต๋าก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ได้แต่ฝึกฝนพลังผนึกตราประทับทั้งหกเท่านั้น ข้าไม่เคยเรียนรู้ถึงบทสวดอะไรมาก่อนเลย ตอนนี้ข้าได้แต่เสียใจจริงๆ …”
วิถีพุทธ, ลัทธิเต๋า หรือแม้แต่ลัทธิขงจื๊อเองต่างก็มีวิชาที่แตกแยกเป็นหลายแขนง เป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนหนึ่งจะเชี่ยวชาญวิชาทุกอย่าง จ้าวยู่ได้สำรวจรอบๆ ตัวเพิ่มเติมก่อนที่จะพูดกับผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งหลายที่กำลังช่วยประคับประคองรถม้าลอยฟ้าให้ลอยได้อยู่ “อย่ากลัวไปเลย ท่านอาจารย์อยู่กับพวกเราที่นี่แล้ว พวกเราไม่จำเป็นจะต้องกลัวเวทมนตร์คาถาพวกนี้หรอก”
สีหน้าของลู่โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ตัวเขาในตอนนี้กำลังใช้ความคิดบางอย่างอยู่ภายในใจ ‘ถ้าหากผู้ใช้เวทมนตร์คาถาไม่ปรากฏตัวออกมาเราก็คงจะทำอะไรไม่ได้เลยสินะ…’
ซู่ววว!
เสียงพลังกำลังปะทุได้ดังมาจากโซ่สีดำ มันเป็นเสียงที่ดังกว่าครั้งก่อนมาก
ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นสิ่งนี้ได้เช่นกัน พวกผู้ฝึกยุทธทั้งหลายเริ่มที่จะตั้งกลุ่มกันเพื่อต่อสู้กับหุ่นเชิด
ในตอนนั้นเองโซ่สีดำก็ได้ส่องแสงสว่างออกมาอีกครั้ง ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่โซ่ แสงนั้นมันสว่างพอๆ กับแสงจากดวงอาทิตย์ มันสว่างจนทำให้ทุกคนไม่อาจที่จะจ้องมองมันได้ ในตอนนั้นเองหุ่นเชิดทั้งหมดก็หยุดที่จะเคลื่อนไหว พวกมันได้แต่ยืนนิ่งในระหว่างที่หมอกควันสีดำลอยออกมา
มีเงาของใครบางคนพุ่งผ่านพลังแสงที่ส่องสว่างออกมา หลังจากที่พุ่งมาได้ใครคนนั้นก็ได้ส่งเสียงคำรามออกมา ในตอนนั้นเองคลื่นเสียงพลังอันแข็งแกร่งก็ได้ขึ้นมา
“นี่มันวิชาพลังราชสีห์คำราม! เจ้านี่ไม่ใช่คนทรงอย่างงั้นหรอ? ” ฮั๋ววู่เด๋าได้อุทานออกมาก่อนที่จะเปิดใช้พลังอักษรผนึกทั้งเก้าในทันที
พลังตัวหนังสือทั้งเก้าได้ส่องแสงสว่างออกมาก่อนที่จะป้องกันคลื่นเสียงคำรามเอาไว้
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้ใช้วิชาป้องกันเช่นกัน พวกเขาทั้งคู่ได้ถอยกลับไปตั้งหลักใกล้ๆ กับเสาของแท่นประลอง ในทางกลับกัน หยวนเอ๋อเองดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่านางสวมเสื้อคลุมขนเมฆาอยู่ เสื้อคลุมตัวนี้ได้ส่องแสงสว่างออกมาก่อนที่จะหักล้างผลของพลังเสียงคำรามเอาไว้ได้
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่อิจฉาศิษย์น้องผู้โชคดีอย่างหยวนเอ๋อ
ถ้าหากจะประเมินตามสถานการณ์ ผู้ที่สามารถปล่อยเสียงพลังคำรามนี้ได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แม้ว่าจะยังไม่เห็นเจ้าของพลังแต่ลู่โจวก็ได้คาดเดาเอาไว้แล้ว “ไม่ใช่มนุษย์สินะ” เมื่อได้มองไปที่ร่างที่เพิ่งจะปรากฏตัว ลู่โจวไม่เห็นข้อมูลอะไรเลยที่บ่งบอกว่าสิ่งนี้จะเป็นมนุษย์
ที่โลกแห่งนี้มีสัตว์ลึกลับและแปลกประหลาดมากมายที่สามารถหาพบได้ ทั้งยุทธภพ, ป่าม่านหมอก หรือแม้แต่หรงเป่ยเอง แม้ว่าโลกใบนี้จะมีสารานุกรมสัตว์ป่าอยู่ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครกล้าอ้างตัวว่ารู้จักสัตว์ร้ายทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกใบนี้อยู่ดี
“ไม่ใช่มนุษย์อย่างงั้นหรอ? จะเป็นไปได้ยังไงกัน? ” จ้าวยู่รู้สึกงุนงงมาก ‘แม้ว่าจะไม่ใช่มนุษย์จริง แต่จะมีอะไรกันล่ะที่ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ได้กัน? ‘
ลู่โจวมองไปที่เงาอะไรบางอย่างที่อยู่ต่อหน้าแสงสว่าง “นั่นมันภาพฉายอย่างงั้นสินะ? “
“มันเป็นเวทมนตร์คาถารูปแบบหนึ่ง…ดูเหมือนว่าคนทรงคนนี้จะเป็นคนทรงที่ไม่ธรรมดาซะแล้ว” ฮั๋ววู่เด๋าพยักหน้าเห็นด้วย
การจะใช้เวทมนตร์คาถาบนแท่นประลองดอกบัว จะต้องใช้ทั้งเครื่องสังเวยล่วงหน้ารวมไปถึงใช้เสาทั้งเก้าเป็นเหมือนกับวัตถุที่ใช้ในการควบคุม เวทมนตร์ทุกอย่างถูกใช้ได้อย่างแม่นยำและยังสมบูรณ์แบบ สิ่งต่างๆ ทั้งหมดได้บอกเอาไว้เป็นอย่างดีว่าผู้ใช้เป็นอัจฉริยะยอดฝีมือ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากใต้ผิวน้ำที่อยู่บนแท่นประลอง “เจ้าเป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ? “
ลู่โจวได้ตอบกลับไป “แล้วเจ้าเป็นใครกัน”
ใครคนนั้นไม่ได้ตอบคำถาม ตัวเขาเลือกที่จะพูดตอบกลับมา “ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถทำลายพลังเวทมนตร์คาถาของข้าได้ล่ะนะ”
ถ้าหากเป็นการต่อสู้ปกติ ผู้ฝึกยุทธธรรมดาก็คงจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์คาถาได้นานถึงขนาดนี้ แม้ว่าเวทมนตร์คาถาจะเป็นสิ่งที่ทรงพลัง แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีจุดอ่อนอย่างเห็นได้ชัดอยู่ การจะใช้เวทมนตร์คาถาได้จะต้องใช้เวลาในการเตรียมพร้อมเป็นเวลานาน แต่เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว เวทมนตร์คาถาที่แสนน่ากลัวก็จะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา ในตอนนั้นเองโซ่สีดำทั้งหมดก็เริ่มสั่นเครือก่อนที่จะส่งเสียงออกมาอีกครั้ง
ใครคนนั้นได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ “ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะได้เอาชนะยอดฝีมือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพซะแล้ว” หลังจากพูดจบกลุ่มพลังสีม่วงก็ได้ลอยเข้าหารถม้าลอยฟ้า
“ป้องกันเร็วเข้า! ” ต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน และหยวนเอ๋อได้เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน ในตอนนั้นเองหุ่นเชิดทั้งหลายก็เคลื่อนไหวตามสามคนนั้นเช่นกัน ศิษย์ทั้งสามไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากต้องจัดการกับเหล่าหุ่นเชิด
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มก้อนพลัง ลู่โจวก็ได้ลอยไปหาพลังนั้น
“ท่านปรมาจารย์! “
“ท่านอาจารย์! “
“ท่านผู้อาวุโส! “
ใครคนนั้นได้อุทานออกมาอย่างตื่นตกใจ “นั่นมันอะไรกัน? “
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแห่งความเงียบ พลังที่จะปกปักรักษาสมาธิเอาไว้ได้
ทันทีลู่โจวออกมาจากรถม้า ตัวเขาก็ได้ใช้งานพลังวิเศษที่อยู่ในเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ในทันที ร่างกายของเขาเปล่งแสงสีฟ้าออกมา ในตอนนั้นเองตรงเท้าของลู่โจวก็มีดอกบัวสีฟ้าปรากฏขึ้น
“นี่มัน…”
แม้แต่ฮั๊ววู่เด๋าที่มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ‘มีคนที่สามารถแสดงดอกบัวออกมาโดยที่ไม่ใช้พลังร่างอวตารได้ด้วยอย่างงั้นหรอ? ‘ นี่เป็นครั้งที่สองที่ตัวเขาได้เห็นดอกบัวสีฟ้าแบบนี้ ครั้งแรกเป็นตอนที่ลู่โจวกำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่อย่างสันโดษภายในห้องลับนั่นเอง เมื่อพลังดอกบัวสีฟ้าปรากฏออกมา มันก็ได้ทำลายทุกอย่างไปในทันที “หรือว่านี่มันจะเป็นพลังที่มาจากม่านพลังกัน? ” นี่คงจะเป็นคำอธิบายเดียวที่ฮั๊ววู่เด๋าพอจะคิดออก
ลำแสงสีม่วงที่พุ่งตรงมาหาลู่โจวได้ถูกแสงจากดอกบัวสีฟ้าปัดป้องเอาไว้
แสงสีฟ้าของดอกบัวและแสงสีม่วงจากพลังเวทมนตร์คาถาเป็นเหมือนกับแสงและเงา มันได้ปะทะเข้าหากันไปทุกหนทุกแห่ง
ใครคนนั้นได้สั่งการออกมา “หยุดเจ้านั่นไว้ซะ! “
หุ่นเชิดทั้งหลายได้กระโดดพุ่งไปสู่ท้องฟ้า พวกมันหมายตาลู่โจวเอาไว้นั่นเอง เมื่อฮั๊ววู่เด๋าเห็นแบบนั้น ตัวเขาก็พอจะคาดเดาผลลัพธ์ได้ ตัวเขานึกไปถึงภาพในตอนที่อยู่ห้องลับในครั้งนั้น เมื่อพยายามหยุดยั้งลู่โจว ในตอนนั้นเองตัวเขาพร้อมกับศิษย์สาวกที่เหลือต่างก็ถูกคลื่นพลังจากดอกบัวสีฟ้าระเบิดใส่
หยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน, จ้าวยู่ และต้วนมู่เฉิงจ้องไปที่ดอกบัวสีฟ้าที่อยู่ใต้เท้าของผู้เป็นอาจารย์
ในตอนนี้พลังแห่งแสงสว่างและพลังแห่งความมืดสว่างไสวจนถึงจุดสุดยอดแล้ว
หุ่นเชิดกว่าหลายสิบตัวได้พุ่งเข้าหาลู่โจวในขณะที่ดอกบัวสีฟ้ากำลังเบ่งบาน กลีบดอกของมันได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นพลังอันมหาศาล พลังที่ว่าเป็นเหมือนกับคลื่นขนาดใหญ่ยักษ์ มันเป็นพลังแห่งความเงียบ! หุ่นเชิดทั้งหมดได้ล้มลงไปกับพื้น พวกมันได้ถูกทำลายลงภายในพริบตา
ใครคนนั้นได้พูดอย่างตระหนก น้ำเสียงของเขากำลังสั่นเทาอย่างไม่หยุดพัก “พะ…พลังนี่มัน…” ก่อนที่จะได้พูดจบประโยคตัวเขาก็ถูกพลังของดอกบัวสีฟ้าซัดเข้าใส่จนหายสาบสูญไป
พลังสีดำที่ดูคล้ายโซ่แตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ ในเวลาเดียวกันพลังของลู่โจวก็ได้ส่องสว่างไปทั่วทั้งแท่นประลองดอกบัว มันได้ขจัดพลังอันดำมืดของเวทมนตร์คาถาให้หายไปในความว่างเปล่า
ลู่โจวไม่ได้มองลงไปที่พื้นด้านล่าง ตัวเขาได้มองตรงไปข้างหน้าแทน ลู่โจวยังคงไม่ได้รับการแจ้งเตือนอะไรจากระบบ แสงของดอกบัวสีฟ้าค่อยๆ จางหายไป เมื่อแสงหายไปที่แทนประลองดอกบัวแห่งนี้ก็เหลือแต่ความเงียบงัน
‘เป็นไปได้ไหมว่าพลังที่ใช้ไปจะไม่พอฆ่าคนทรงคนนั้นกัน? ‘ ลู่โจวจำฮั๊ววู่เด๋าและคนอื่นๆ ในตอนที่อยู่ห้องลับได้ เมื่อถูกพลังดอกบัวสีฟ้าไปเหล่าสาวกของเขาทั้งหมดได้รับบาดเจ็บเพียงเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นพลังของลู่โจวก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับพลังในตอนนี้ ในเวลานี้ตัวเขาได้ปลดปล่อยพลังออกไปอย่างเต็มที่ ถ้าหากเป็นไปตามหลักคนทรงคนนั้นจะต้องถูกสังหารไปแล้ว
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็สัมผัสได้ พลังลมปราณที่ตัวเขามีในร่างกายได้หมดลงแล้ว ‘หืม? ไม่เหลือพลังอยู่เลย? ฉันยังอยู่กลางอากาศแท้ๆ ขอล่ะอย่าตกลงไปเลย! มีคนอยู่ที่นี้มากไป ฉันจะตกลงไปไม่ได้! ‘ ลู่โจวได้หันกลับมาอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเองตัวเขาก็สำรวจรอบตัวเอง ‘หืม? คนอื่นๆ ไปอยู่ไหนกันแล้ว? ‘
หมิงซี่หยินได้ถูกเหวี่ยงให้ไปชนกับเสาต้นหนึ่ง ต้วนมู่เฉิงเองได้ปักหอกราชันย์เอาไว้ที่พื้นก่อนที่จะพยายามพยุงตัว แม้แต่หยวนเอ๋อที่มีชุดขนเมฆาเองยังต้องหลบอยู่หลังเสาด้วยความหวาดกลัว
ที่รถม้าลอยฟ้าเองก็ได้รับผลกระทบ ดูเหมือนว่ามันจะถูกลูกหลงของพลังไปจนมีรอยแตกเล็กน้อย รถม้าลอยฟ้ายังคงสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดพัก
ฮั๋ววู่เด๋าได้คุกเข่าลงใกล้ๆ กับพังงาควบคุมรถ ตัวเขากำลังถือพังงาเอาไว้ด้วยมือข้างเดียวก่อนที่จะใช้มืออีกข้างหนึ่งใช้พลังผนึกตราประทับทั้งหกอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
ลู่โจวเองก็ทำอะไรไม่ถูก พลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เป็นพลังที่ทำร้ายทั้งพรรคพวกและศัตรูไปพร้อมๆ กัน! ในทางกลับกันเมื่อมองลงไปเหล่าผู้ฝึกยุทธที่มีพลังไม่ได้สูงอะไรมากไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่เพียงนิดเดียว แม้แต่ดอกบัวที่อยู่บนแท่นประลองเองก็ยังไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบลงอีกครั้ง เหล่าสาวกทุกคนได้เดนออกมาจากที่ซ่อนของตัวเองก่อนที่จะลอยไปบนฟ้า พวกเขาเห็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังลอยอยู่ที่กลางอากาศ
“นั่นมันปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า! เขาช่วยพวกเราเอาไว้! “
“ขอบคุณที่ช่วยพวกเราเอาไว้ท่านปรมาจารย์! “
ฝูงชนผู้ที่เคยเป็นผู้ชมมาก่อนต่างก็คุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ติ้ง! ได้รับคำชมจากคน 225 คน ได้รับแต้มบุญ 2,250 แต้ม”
แม้ว่าจะไม่ได้แต้มบุญหลังจากที่จัดการคนทรงไป แต่ถึงแบบนั้นเขากลับได้แต้มบุญจากคำชื่นชมแทน
ท้ายที่สุดฝูงชนทั้งหลายที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็ได้พูดออกอีกครั้ง “ในเมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว พวกเราแยกย้าย! “
ฝูงชนทั้งหลายแยกย้ายออกไปอย่างไม่ลังเล พวกเขารีบออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเหลือทิ้งไว้แต่คำขอบคุณ “ขอบคุณมาก! “
“ใครเคยบอกกันว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะทำแต่เรื่องชั่วช้ากัน?! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะเป็นคนที่ข้าเคารพนับถือมากที่สุด! “
เหล่าสาวกต่างก็ตกตะลึงกับคำพูดเหล่านี้ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากศาลาที่อยู่ทางด้านหลัง มันอยู่ใกล้กับแท่นประลองดอกบัว
น่าแปลก…
ลู่โจวมองกลับไปยังทิศทางนั้น “นั่นมันรถม้าลอยฟ้า? ” รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีได้แกว่งไปมาอยู่บนกลางอากาศ
“ท่านอาจารย์ รถม้าสำนักอเวจีคงจะได้รับลูกหลงจากพลังของท่าน…ข้าจะตามพวกมันไปเอง” ต้วนมู่เฉิงได้เคลื่อนไหวจากไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นเขาก็ได้หายไปจากแท่นประลอง
ลู่โจวไม่ได้ห้ามอะไรไว้ ในสภาพปัจจุบันของเขาตอนนี้การจะไปไล่ล่าใครถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ใกล้ๆ กับต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับศาลา
สีวู่หยาได้แต่ขมวดคิ้ว
ตัวเขาไม่อยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น สีวู่หยาได้กำหมัดแน่นจนมือของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีขาว “นั่นมันเป็นพลังของม่านพลังอย่างงั้นหรอ? เป็นไปตามคาด ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะดูดซับพลังจากม่านพลังมาจริงๆ ด้วยสินะ! “
“ท่านเจ้าสำนัก ดูเหมือนท่านผู้อาวุโสยังคงแข็งแกร่งเช่นเดิม การที่พวกสำนักฝ่ายธรรมะได้พ่ายแพ้ไปแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรอกหรอ? “
“ไม่…” สีวู่หยาได้ยกมือก่อนที่จะพูดต่อ “ตรงกันข้ามต่างหาก ถ้าหากม่านพลังได้หมดพลังไปจริงๆ เมื่อถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่? “
“ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะรีบส่งคนไปติดตามการเคลื่อนไหวของพวกสำนักฝ่ายธรรมะเอง”
…
บนแท่นประลองดอกบัว ลู่โจวได้กลับไปยังรถม้าล่องเมฆาอย่างช้าๆ ภายนอกร่างกายของเขายังคงดูสมบูรณ์แบบ ไม่ได้บาดเจ็บหรือดูเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ลู่โจวที่ถึงรถม้าได้พูดออกมา “รีบคุมพังงาซะ”
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบกระโดดไปควบคุมพังงารถม้าในทันที ตัวเขาได้ใส่พลังลมปราณของตัวเองลงไปก่อนที่จะควบคุมรถม้าโดยที่ไม่ยอมปล่อยให้มันสูญเสียสมดุลไป
ฮั๊ววู่เด๋าได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตัวเขาได้คลายฝ่ามือของตัวเองออกมาก่อนที่จะคารวะไปยังลู่โจว ในตอนนั้นเองสีหน้าของฮั๊วยู่จิงก็เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ นางรู้สึกตื้นตันจนไม่อาจที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะทรงพลังมากถึงขนาดนี้! พลังของเขาได้อยู่เหนือจินตนาการของนางอย่างสิ้นเชิง
“ท่านอาจารย์ เป็นเพราะพลังเวทมนตร์รถม้าลอยฟ้าก็เลยได้รับความเสียหายอะไรนิดหน่อย พวกเราอาจจะต้องพบกับความปั่นป่วนในระหว่างการเดินทาง”
ลู่โจวได้พยักหน้าก่อนจะตอบกลับไป “ไม่เป็นไร”
“ศิษย์จะพยายามควบคุมความเร็วให้ดี…พวกเราจะต้องกลับถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างปลอดภัยแน่”
หยวนเอ๋อได้พูดขึ้น “แต่ศิษย์พี่สามยังไม่กลับมา! “
“พวกเราไม่จำเป็นจะต้องรอเขาหรอก! ” แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะได้จากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว แต่หมิงซี่หยินก็รู้จักศิษย์พี่ใหญ่ของเขาดี ศิษย์พี่ใหญ่จะต้องไม่ทำร้ายศิษย์น้องอย่างต้วนมู่เฉิงแน่ เพราะเหตุนั้นจึงทำให้ตัวเขาตัดสินใจที่จะไม่รอต้วนมู่เฉิง
ฮั๊ววู่เด๋าเองก็ได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านปรมาจารย์ ข้าขอถามอะไรหน่อย…ดอกบัวสีฟ้านั่น…”
ลู่โจวยกมือออกมาก่อนที่จะพูดแทรกขึ้น “เคล็ดวิชาทั้งหมดในใต้หล้านี้มันก็มีความคล้ายคลึงด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาจากลัทธิเต๋า, วิถีพุทธ หรือแม้แต่ลัทธขงจื๊อ…ทุกสิ่งทุกอย่างก็มาจากรากฐานเดียวกัน เหล่าบรรพบุรุษจะต้องศึกษาตำรามากมายหลายเล่มกว่าที่จะค้นพบแนวทางเป็นของตัวเอง เมื่อมีผู้สืบทอดได้รับช่วงต่อพลังความรู้มา พวกเขาก็จะพัฒนาและค้นพบแนวนางเป็นของตัวเองเช่นกัน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอย่างไม่รู้จบ…”
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้โค้งคำนับให้ “วันนี้ช่างเป็นวันที่เปิดตาข้าจริงๆ ข้าไม่คิดรู้สึกเสียดายเลยที่พ่ายแพ้ให้กับท่านใน 20 ปีก่อน…ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพลังของท่านแตกต่างจากพลังของข้าอย่างชัดเจน ไม่เพียงแค่พลังวรยุทธเท่านั้น…แม้แต่ทัศนวิสัยรวมไปถึงการฝึกฝนเองก็ยังห่างชั้นกันถึงได้เพียงนี้…ข้าเสียใจกับความคิดของข้าในอดีตจริงๆ ” ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง ตัวเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ลู่โจวได้เดินไปยังหางเสือของรถม้าก่อนที่จะจ้องมองเสาที่อยู่ด้านหลัง มันมีขนาดเล็กลงไป และเล็กลงไปอีก
ดูเหมือนเสาแห่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาจากเวทมนตร์เครื่องสังเวย…การจะทำอะไรแบบนี้ได้ก็คงจะมีแต่คนทรงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะทำได้
เสาพวกนี้ได้พังทลายจนยับเยิน สุดยอดพลังของลู่โจวได้ทำลายทุกอย่างบนแท่นประลองดอกบัว โชคดีที่รถม้าล่องเมฆาอยู่ด้านหลังของลู่โจว และนอกจากนี้มันยังได้รับพลังการคุ้มครองจากพลังผนึกตราประทับทั้งหก แม้ว่ารถม้าสำนักอเวจีที่อยู่ไกลเองก็ยังได้รับผลกระทบ ที่รถม้าของสำนักอเวจียังไม่ได้รับการปกป้องเหมือนกับพลังของฮั๊ววู่เด๋า ยิ่งบินไปได้ไกลเท่าไหร่รถม้าก็ส่งเสียงแตกหักออกมามากขึ้น
แคร๊ก! แคร๊ก! แคร๊ก!
“ท่านเจ้าสำนักรถม้ากำลังจะแตกครับ! “
“อย่าได้หยุดเด็ดขาด! “
ยู่เฉิงไห่ได้สั่งออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเจ้าอย่าได้หยุดเด็ดขาด! “