ศิษย์ยอดฝีมือทั้งห้าต่างก็กระอักเลือดออกมา พวกเขาได้ทิ้งดาบของตัวเองลง พลังการโจมตีถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย แม้แต่สุดยอดพลังจากเคล็ดวิชากระจกแห่งแสงก็ยังไม่อาจที่จะทำลายการป้องกันของฮั๊ววู่เด๋าไปได้ ความห่างชั้นของพลังมันมีมากเกินไป ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าพื้นฐานพลังวรยุทธของทั้งสองฝ่ายห่านกันมากเกินไปนั่นเอง ไม่มีช่องว่างที่จะทำให้ศิษย์ของสำนักดาบสวรรค์ทั้งห้าฝ่าไปได้
“น่าทึ่งมาก! “
ภาพที่เหล่าผู้ฝึกยุทธเห็นเป็นภาพเหมือนกับผู้เป็นปู่ที่กำลังสั่งสอนหลานศิษย์ทั้งหลาย ฝีมือของทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างกันจนเกินไป
ใครบอกว่าเคล็ดวิชากระดองเต่าแบบนี้จะไม่สามารถใช้ในการโจมตีได้? ใครบอกกันว่าเคล็ดวิชาแห่งการป้องกันก็มีไว้แค่รอให้คนมาจู่โจม? เหล่าผู้ชมต่างก็เดือดดาลเมื่อได้เห็นการต่อสู้ที่ว่า “ผู้อาวุโสของสำนักหยุนแท้จริงแล้วเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า! “
“ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีสุดยอดผู้ช่วยที่ทรงพลังแบบนี้…นี่หมายความว่าสำนักดาบสวรรค์กำลังเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้วสินะ? “
พลังผนึกตราประทับทั้งหกของฮั๊ววู่เด๋าเป็นพลังที่ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ แม้ว่ามันจะเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาสุดยอดแห่งการป้องกันแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังน่าประทับใจมากอยู่ดี ยิ่งมีพลังตัวหนังสือลอยออกมามากขึ้นเท่าไหร่ แสงสีทองของเคล็ดวิชานี้ก็จะส่องสว่างมากยิ่งขึ้น มันยิ่งทำให้ฮั๊ววู่เด๋าดูน่าศรัทธามากยิ่งขึ้น เขาเป็นเหมือนกับดอกไม้ทองคำที่ได้ปรากฏตัวออกมาในช่วงเวลาสั้นๆ ลั่วซิงกงขมวดคิ้วในขณะที่มองไปยังพลังกระจกแห่งแสงที่แตกสลายอยู่บนพื้นดิน
ฮั๊ววู่เด๋ายังคงเดินหน้าต่อไป พลังผนึกตราประทับทั้งหกของเขาก็ยังคงส่องแสงสว่างไสวเช่นเคย
ศิษย์สาวกของสำนักดาบสวรรค์ทั้งห้าล้มลงไปกับพื้น สี่คนได้ล้มหมดสติแน่นิ่งไป ส่วนอีกคนหนึ่งได้กระอักเลือดเฮือกใหญ่ก่อนที่จะตายจากไป
หมิงซี่หยินส่ายหัวเมื่อได้เห็นแบบนั้น “ผู้อาวุโสฮั๊วใช้เวลาอยู่ในสำนักหยุนมากเกินไป เขายังไม่มีความโหดเหี้ยมมากพอ จากที่ข้าเห็น นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ฮั๊ววู่เด๋าไม่ยอมใจอ่อนอีกต่อไป ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะสังหารผู้อื่นแบบนี้ได้”
ในตอนนั้นเองลู่โจวกำลังหลับตาพร้อมกับใช้ความคิด ตัวเขากำลังคิดถึงกล่องที่อยู่ในห้องลับรวมไปถึงกุญแจที่จะเปิดกล่องใบนั้น ตัวเขายังคิดถึงการจับกุมตัวศิษย์ทรยศ ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนแท่นประลองดอกบัวเลย
ฮั๊ววู่เด๋ายังคงเดินหน้าต่อไป ทุกๆ ย่างก้าวของเขามีพลังตัวหนังสือปรากฏขึ้นบนร่างเสมอ มันส่องแสงประกายสีทองออกมา
ลั่วซิงกงจ้องไปที่ฮั๊ววู่เด๋าก่อนที่จะพูดขึ้น “ฮั๊ววู่เด๋า…ข้าไม่คาดหวังมาก่อนเลยว่าผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักหยุนจะอยู่เคียงข้างกับเจ้าพวกชั่วร้ายแบบนั้นได้ ข้าคงจะต้องขอคำอธิบายกับสำนักหยุนหลังจากที่เรื่องนี้จบลงซะแล้ว”
ฮั๊ววู่เด๋าได้เดินต่อไป
ในตอนนั้นเองพลังร่างอวตารที่สูงกว่า 80 ฟุตก็ได้ปรากฏขึ้น มันเป็นพลังที่มีดอกบัวทั้ง 7 กลีบด้วยกัน
ศิษย์สาวกของสำนักดาบสวรรค์ต่างก็ล้มลงไปกับพื้นเมื่อได้เห็นพลังร่างอวตาร พลังอันยิ่งใหญ่ของฮั๊ววู่เด๋าทำให้ทุกๆ คนไม่กล้าขยับไปไหน ทุกคนได้แต่เหลือบมองไปที่ลั่วซิงกง
เหล่าศิษย์สาวกต่างก็อ้าปากค้าง
‘พลังอวตารดอกบัว 7 กลีบ! ‘
‘นั่นมันพลังอวตารดอกบัว 7 กลีบ! หลายคนพยายามฝึกฝนตัวเองมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะได้มันมา แต่ถึงแบบนั้นก็มีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้’
เพียงแค่ฮั๊ววู่เด๋าแสดงฝีมืออยู่เพียงลำพัง ในตอนนี้เหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายของสำนักดาบสวรรค์ต่างก็เกรงกลัว นี่ถือเป็นความแตกต่างที่สำนักดาบสวรรค์มีต่อศาลาปีศาจลอยฟ้า
‘สำนักดาบสวรรค์จะตอบโต้กลับไปได้ยังไงกัน? ‘
‘ต่อสู้อย่างงั้นหรอ? ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย’
‘สำนักดาบสวรรค์จะต้องถูกบดขยี้แน่’
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินที่อยู่บนรถม้าลอยฟ้าก็ได้ตะโกนออกมา “ผู้อาวุโสฮั๊ว ท่านอย่าไปรังแกคนรุ่นหลังแบบนั้นเลย”
ฮั๊ววู่เด๋าพยักหน้า เพียงแค่เอาปลายเท้าเคาะไปที่พื้นเบาๆ พลังร่างอวตารของเขาก็ได้หายไป ตัวเขาได้บินกลับมาที่รถม้าลอยฟ้าอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเขาดูเบาบางราวกับนกนางแอ่น ความแตกต่างของพลังมีมากเกินไป แม้ว่าจะฝืนสู้ต่อก็คงจะไม่สามารถเปลีย่นผลลัพธ์อะไรได้
“ข้าเอง! ” หยวนเอ๋อได้กระโดดลงมาจากรถม้าลอยฟ้า เหล่าผู้ชมที่เห็นแบบนั้นต่างก็รู้สึกสับสน
‘เจ้าพวกนี้กำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่? ‘
‘ฮั๊ววู่เด๋าเพียงคนเดียวยังไม่พออีกอย่างงั้นหรอ? ทำไมพวกเขาถึงได้เปลี่ยนคนซะล่ะ? ‘
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ชมก็เฝ้ามองดูการแสดงต่อไป ท้ายที่สุดแล้วการต่อสู้ที่ไม่ได้สูสีอะไรก็คงจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อเกินไปอยู่ดี “นี่คือศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าคนที่เก้า ซีหยวนเอ๋อไม่ผิดแน่”
“ทำไมนางถึงได้เอาผ้าสีแดงมาพันรอบตัวแบบนั้นล่ะ? นางวางแผนที่จะแต่งงานอย่างงั้นหรอ? “
ทันทีที่มีผู้ชมแสดงความคิดเห็นออกมา สายสะพายนิพพานสีแดงสดของหยวนเอ๋อก็ได้พุ่งทะยานไปหาชายคนนั้นราวกับมังกรที่เกรี้ยวกราด
ผู้ชมที่เห็นแบบนั้นต่างหวาดกลัวก่อนที่จะตะเกียกตะกายถอยหลังกลับมา
ชายคนนั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบโต้อะไรได้ เขาถูกสายสะพายนิพพานยกขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นสายสะพายก็ได้คลายพันธนาการของชายคนนั้นออก
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นเพิ่งจะฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้เท่านั้น ทันทีที่ร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ เขาก็ได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว เสียงของเขาดังขึ้นมาก่อนที่ร่างกายของชายคนนั้นจะกระแทกกับพื้นดิน ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือด
“ผ้าอย่างงั้นหรอ? เก็บปากของเจ้าเอาไว้กินข้าวจะดีกว่านะ” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย
‘เด็กสาวคนนี้เกรี้ยวดกราดอะไรขนาดนั้น! ‘ ทุกๆ คนต่างก็จ้องมองหยวนเอ๋อด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“นั่นมันอาวุธระดับสรวงสวรรค์! อาวุธระดับสรวงสวรรค์ไม่ผิดแน่! “
“ว่ากันว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่ามากมาย…เรื่องนี้มันจะต้องเป็นความจริงแน่! “
“ปิดปากของเจ้าเอาไว้จะดีกว่า”
หยวนเอ๋อไม่ได้มองไปที่ผู้ที่อยู่เหนือแท่นประลอง สายสะพายนิพพานของนางเมื่อได้ทะยานไปบนฟ้าแล้วมันดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก นางได้มองไปที่ผู้คนจากสำนักดาบสวรรค์ ในตอนนั้นเองก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง หยวนเอ๋อได้กวักนิ้วให้กับลั่วซิงกง นางกำลังเชื้อชวนให้ลั่วซิงกงมาต่อสู้กับนางนั่นเอง “ตาแก่…ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเจ้าเอง”
ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งหลายได้แต่ก้าวถอยหลังไป พวกเขาส่วนมากกำลังเศร้าเสียใจให้กับศิษย์ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไป ถ้าหากไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อการต่อสู้ แล้วทำไมคนพวกนี้ถึงต้องอยากจะต่อสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยล่ะ? ‘แม้แต่มหาวายร้ายที่กำลังอ่อนแอก็ยังน่ากลัวอยู่วันยังค่ำ แล้วพวกเราจะไปสู้กับเขาได้ยังไงกัน? ‘
ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเองสาวน้อย!
ลั่วเจิงเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสทั้งห้าที่อยู่ด้านหลังของลั่วซิงกง เขาไม่สามารถทนมองภาพอันน่าอนาถใจได้อีกต่อไป ในตอนที่พูดเสร็จดาบของเขาก็ได้ลอยขึ้นไปบนฟ้า ดาบของเขามันเต็มไปด้วยพลัง ดาบเล่มนั้นได้โจมตีหยวนเอ๋อในทันทีโดยไม่ได้รอให้นางได้ทันได้ตั้งตัว หยวนเอ๋อเองไม่ได้ประมาท นางรีบก้าวถอยหลังไปเพื่อที่จะหลบการโจมตี
มีใครคนหนึ่งได้พูดขึ้น “ลั่วเจิงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าพลังร่างอวตารของเขาจะไม่มีดอกบัวผลิบาน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังเป็นยอดฝีมือระดับสูงของสำนักดาบสวรรค์อยู่ดี”
“ข้าได้ยินมาว่าพลังวรยุทธของศิษย์คนที่เก้าแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่แค่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น สำนักดาบสวรรค์คงจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของพวกเขาคืนมาได้แน่…”
เหล่าผู้ชมต่างก็พูดคุยกัน ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้ใช้สายสะพายนิพพานฟาดฟันเข้าใส่ไปทั่วทุกทิศทาง
หยวนเอ๋อลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและใช้สายสะพายนิพพานเข้าโจมตี หยวนเอ๋อในตอนนี้กำลังใช้วิชาเหยียบเมฆาดวงดาวทั้งเจ็ด
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
หยวนเอ๋อได้ใช้สายสะพายผลักลั่วเจิงให้ถอยหลังกลับไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
ลั่วเจิงไม่ได้คิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะมีพลังมากมายถึงขนาดนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ในตอนนั้นตัวเขาเลือกที่จะถอยกลับ
“กระจกแห่งแสง! ” ทันทีที่ลั่วเจิงถอยกลับมาได้เขาก็ได้ใช้พลังกระจกแห่งแสงขึ้นมา ภายใต้การใช้พลังกระจกแห่งแสงสว่างพลังอวตารของเขากำลังจะผลิกลีบขึ้น! ในตอนนั้นเองพลังดาบที่ลั่วเจิงใช้เองก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก “ศิษย์น้องเล็กระวังด้วย” หมิงซี่หยินที่มองดูการต่อสู้อยู่ได้พูดเตือนมาจากด้านบน
“รับนี้ไปซะ! ” ลั่วเจิงได้ตั้งมั่นยืนหยัดก่อนที่พื้นก่อนที่จะใช้พลังดาบโจมตีเป็นเส้นตรงไปที่หยวนเอ๋อ ดาบที่ได้ฟาดฟันออกมาได้เปลี่ยนตัวเองจนเป็นคลื่นพลังแสงสีทองไป หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้ว เขากำลังกังวลว่าควรจะช่วยหยวนเอ๋อดีไหม
ซู่ววว!
หยวนเอ๋อได้ใช้พลังร่างอวตารออกมา พลังของนางปรากฏอยู่ที่ทางด้านหลัง มันเป็นพลังที่ไม่เหมือนใคร ร่างอวตารที่นางใช้เหมือนกับเด็กที่กำลังจะเติบโต มันสูงขึ้นสิบฟุตเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่หยวนเอ๋อได้แสดงพลังออกมา ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้พลังร่างอวตารของนางเองก็กำลังจะผลิกลีบเช่นกัน “นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน? นางเองก็กำลังจะผลิกลีบ! “
“นางผลิกลีบในระหว่างการต่อสู้อย่างงั้นหรอ? นางเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ผู้ใช้พลังร่างอวตารดอกบัว 1 กลีบ! นางไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับที่เขาพูดกัน! “
พลังที่หยวนเอ๋อมีได้เปลี่ยนแปลงทัศนวิสัยของคนทั่วไปที่มองศาลาปีศาจลอยฟ้า ศิษย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นพวกที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์อันแสนน่ากลัว อย่างไรก็ตามมีเพียงหยวนเอ๋อเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังร่างอวตารดอกบัว 1 กลีบได้ในเวลาเพียงแค่ 6 ปี นี่ถือเป็นประวัติการณ์ที่ไม่อาจมีใครทำได้อีก
หยวนเอ๋อหันไปมองลั่วเจิง ลั่วเจิงในตอนนี้กำลังพุ่งเข้าหาหยวนเอ๋อ แทนที่จะถอยกลับนางเลือกที่จะพุ่งเข้าหาลั่วเจิงแทน นางบินไปเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบสวรรค์คนนี้ที่กลางอากาศ “ช้าไป! ” ลั่วเจิงพูดเย้ยหยันขึ้น ทันใดนั้นเองดาบในมือของเขาก็เพิ่มจำนวนขึ้นจนกลายเป็น 8 เล่มไป ดาบพลังงานทั้งแปดพุ่งเข้าหาหยวนเอ๋อ
ภายใต้การใช้พลังกระจกแห่งแสง พลังการโจมตีของลั่วเจิงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หวืดดดด!
“นั่นมันอะไรกัน? “
“เป็นไปไม่ได้! นั่นมันชุดขนเมฆาอย่างงั้นหรอ? “
“ช้าก่อน! นางไม่เพียงมีชุดขนเมฆา นางยังมีรองเท้าเหยียบเมฆาอีกด้วย! “
รองเท้าเหยียบเมฆาที่ใช้คู่กับวิชาเหยียบเมฆาดวงดาวทั้งเจ็ดเป็นอะไรที่ทรงพลังมาก! หยวนเอ๋อได้ใช้สายสะพายนิพพานของนางออกไปแม้ว่าลั่วเจิงจะใช้พลังดาบโจมตีมาที่ตัวนางก็ตาม พลังดาบของลั่วเจิงเมื่อสัมผัสกับชุดของหยวนเอ๋อต่างก็สิ้นพลังไปในทันที ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้ยิ้มออกมา “เจ้าน่ะมันอ่อนแอเกินไป! ” หลังจากนั้นนางก็ใช้ลูกเตะโจมตีไปที่ลั่วเจิง
ตู๊ม!
“ติ้ง! สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ได้รับแต้มบุญ 1,000 แต้มบุญ” ในเวลานั้นเองแท่นประลองดอกบัวก็ได้เงียบสงบลง
ผู้ชมการต่อสู้ต่างก็กลืนน้ำลายเมื่อมองดูลั่วเจิงที่ร่วงหล่นสู่แท่นประลอง ผู้อาวุโสของสำนักดาบสวรรค์ถูกจัดการโดยลูกเตะเพียงแค่ครั้งเดียว?
“ผู้อาวุโสลั่ว! ” ศิษย์สำนักดาบสวรรค์สองคนวิ่งไปดูอาการ “ผู้อาวุโสลั่วตายแล้ว! “
หยวนเอ๋อไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา นางกำลังลอยอยู่บนอากาศในขณะที่กวักนิ้วไปที่ลั่วซิงกง “พวกเจ้าน่ะพอได้แล้ว มีเพียงตาแก่นั่นเท่านั้นที่ควรจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
ผู้อาวุโสที่เหลือทั้งสี่ไม่กล้าที่จะยื่นมืออีกต่อไป
“ลั่วยง ฆ่าสาวน้อยคนนั้นซะ ล้างแค้นให้ลั่วเจิง! “
ลั่วยงเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสทั้งห้าได้พูดขึ้น เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้พูดออกมา “ศิษย์น้องเล็กเจ้าน่ะช้าเกินไป ปล่อยให้ข้าได้จัดการเองเถอะ” ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็จ้องไปที่หมิงซี่หยิน
“เขาคนนั้นจะต้องเป็นศิษย์คนที่สี่หมิงซี่หยินอย่างแน่นอน”
หยวนเอ๋อทำหน้ามุ่ยก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่ ข้ายังไม่หนำใจเลย”
“เจ้าเป็นเด็กดี เด็กดีจะต้องรู้จักเวลาที่เหมาะสมสิ”
“ฮึ! ” หยวนเอ๋อรีบกลับมาที่รถม้าลอยฟ้า
หมิงซี่หยินยืนอยู่บนแท่นประลองดอกบัวโดยที่เอามือไขว้หลังเอาไว้ เขามองไปที่ผู้คนของสำนักดาบสวรรค์ก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่เหมือนกับศิษย์น้องเล็ก ข้าไม่อ่อนข้อให้พวกเจ้าแน่ เข้ามา! “
ความจริงได้เปิดเผยให้กับเหล่าผู้ชมได้เห็น ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่เพียงแค่มาที่นี่ก็เพื่อกวาดล้างสำนักดาบสวรรค์ พวกเขายังมาพิสูจน์พลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงที่ยังคงมีอยู่อีกด้วย ดูเหมือนว่าศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังฟื้นคืนความรุ่งเรืองที่เคยมีในอดีต ทุกๆ คนต่างรู้ดี เมื่อศิษย์สองคนที่หนึ่ง, ศิษย์คนที่สอง และศิษย์คนที่เจ็ดแยกตัวจากไป ในตอนนั้นผู้คนทั้งหลายก็เกือบลืมศิษย์สาวกคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ เหล่าสาวกที่เหลืออยู่ดูไม่ต่างอะไรกับยู่ฉางไห่และยู่ฉางตงเลย พวกเขาต่างก็แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพรสวรรค์ที่อดีตศิษย์ทั้งสองมี
“น่าขัน! ” ลั่วยงได้ยกดาบขึ้นมา แววตาของเขาไร้ซึ่งความลังเล ตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้สนใจอีกต่อไปว่าจะอยู่หรือว่าจะตาย ตัวเขาได้หลับตาก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดเขาก็ลืมตาออกมาอีกครั้ง เหล่าผู้ชมที่ยืนมองอยู่ต่างก็พูดคุยกันอีกครั้ง “นั่นมันลั่วยง หนึ่งในห้าผู้อาวุโสของสำนักดาบสวรรค์ เขาเป็นผู้ที่มีทักษะและความรู้กว้างขวาง ว่ากันว่าผู้ฝึกยุทธที่ได้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสคนนี้มักจะรับกระบวนท่าการโจมตีได้ไม่เกิน 3 ครั้งก็แพ้ไป”
“เขาแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? “
“ผู้อาวุโสสำนักดาบสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่รักตัวกลัวตาย ในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าควรจะสงฮั๊ววู่เด๋าออกมาสู้ถึงจะสูสีได้”
สีหน้าที่ไร้ความรู้สึกจ้องไปที่หมิงซี่หยิน ดาบของเขาได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง ในตอนนั้นเองพลังลมปราณก็ได้พุ่งออกจากร่างกายของเขา เมื่อลั่วยงขยับ ตัวเขาก็ได้ทิ้งภาพติดตาเอาไว้
เหล่าผู้ชมที่เห็นแบบนั้นต่างก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “เขารวดเร็วอะไรแบบนี้! “
ด้วยความเร็วที่ลั่วยงมีทำให้การโจมตีของเขาดูเหมือนกับการโจมตีของหลายสิบคนที่กำลังโจมตีหมิงซี่หยินอย่างพร้อมเพรียงกัน
หมิงซี่หยินยิ้มก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหา
แคล๊ง!
เสียงของมีคมที่กระแทกกับอะไรบางอย่างได้ดังขึ้นมาจากแท่นประลองดอกบัว ที่การต่อสู้มันเต็มไปด้วยพลังลมปราณที่พุ่งพ่านรวมไปถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากดาบ
ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดนิ่งในเวลานั้น
ทั้งสองคนที่ได้ประมือกันได้สลับตำแหน่ง ในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่กำลังยืนหันหลังให้กัน
ดวงตาของลั่วยงเบิกกว้าง เขาพยายามที่จะหายใจ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่อาจที่จะทำได้ ริมฝีปากของเขาได้พึมพำอะไรบางอย่างออกมา “ปะ…เป็นไปไม่ได้ยังไงกัน? ” หลังจากนั้นลั่วยงผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบสวรรค์ก็ล้มลงไปกับพื้น “ติ้ง! สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ได้รับ 1,000 แต้มบุญ”
ลั่วซิงกงขมวดคิ้ว เขามองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะหันไปมองลั่วยง
เหล่าผู้ชมต่างก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ‘แค่การเคลื่อนไหวเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นก็สามารถจัดการกับผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบสวรรค์! ‘
‘เขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน? ‘
เหล่าผู้ชมทั้งหลายมองไม่ทันการเคลื่อนไหวที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ระดับพลังวรยุทธของพวกเขามันต่ำจนเกินไป เหล่าผู้ชมทั้งหลายได้ยินเพียงเสียงปะทะของอะไรบางอย่างก็เท่านั้น ไม่มีการปะทะกันระหว่างพลังลมปราณหรือแม้แต่เคล็ดวิชาใดๆ
“ใครต่อดีล่ะ? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกมาอย่างเยือกเย็น ในตอนนี้เหลือผู้อาวุโสอยู่ 3 คนด้วยกัน ดูเหมือนจะไม่มีใครดูเก่งกาจอีกต่อไป
เหล่าผู้ชมที่เห็นแบบนั้นต่างก็ส่ายหัว
“ผลลัพธ์มันออกมาแล้ว สำนักดาบสวรรค์ได้จบลงแล้วล่ะ”
“แม้ว่าจะมีวิชากระจกแห่งแสงอยู่กับตัว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังถูกจัดการอย่างง่ายดาย! โลกใบนี้ประเมินพลังของศาลาปีศาจลอยฟ้าต่ำไป! “
“ผู้อาวุโสอีกสามคนมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น พวกเขาจะสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยังไงกัน? “
หมิงซี่หยินมองไปที่เหล่าสาวกจากสำนักดาบสวรรค์ “ลั่วซิงกง ข้าขอแนะนำให้เจ้านั่นแหละขึ้นมาสู้กับข้า”
แม้ว่าลั่วซิงกงจะโกรธอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ขยับตัวไปไหน ตัวเขากำลังรอคอยโอกาสที่เหมาะสมอยู่ เขาเหลือบไปมองที่รถม้าลอยฟ้าที่ซึ่งลู่โจวยังคงอยู่ ในตอนนี้เรื่องทุกอย่างยังไม่ได้ถึงมือลู่โจวเลยแม้แต่น้อย ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“ศิษย์น้องสี่ ตาข้าแล้ว! ” ต้วนมู่เฉิงได้ควงหอกราชันย์ก่อนที่จะลงมาที่แท่นประลอง
หมิงซี่หยิน “…” ‘ข้ายังไม่ได้แสดงฝีมืออะไรออกไปเลยด้วยซ้ำ’ หมิงซี่หยินได้กลอกตาก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์พี่สาม พวกนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านหรอก ท่านควรอยู่คุ้มกันท่านอาจารย์มากกว่า ข้าจะสู้กับพวกที่เหลือเอง ท่านอย่าเสียมือเปล่าเลย”
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างก็ใช้ความคิดที่มีอยู่ภายในใจ
‘ฟังนั่นสิ’
‘นั่นเป็นคำพูดที่หวังดีแน่หรอ? ‘
‘ศิษย์คนที่สามเก่งกาจในระดับเดียวกับปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าเลยอย่างงั้นหรอ? ‘
ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ได้ดูเกินจริงไปเลย หลังจากที่ศิษย์คนแรกยู่เฉิงไห่และศิษย์คนที่สองดาบปีศาจยู่ฉางตงออกไป ทั่วทั้งโลกก็ได้รู้ว่าพลังวรยุทธของพวกเขาลึกล้ำขนาดไหน มีข่าวลือที่ว่ากันว่าทั้งสองคนมีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบมาอย่างเนิ่นนานแล้ว ศิษย์คนที่สามเองก็เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้านานแล้ว เพราะแบบนั้นพลังวรยุทธที่เขามีก็ควรที่จะลึกล้ำเช่นกัน
หมิงซี่หยินได้พูดกับเหล่าสาวกของสำนักดาบสวรรค์อีกครั้ง “มีใครต้องการที่จะสู้อีกไหม? “
ในตอนนั้นเองทุกอย่างเงียบสงบ
ลั่วซิงกงได้หันไปมองผู้อาวุโสทั้งสาม
‘นี่มันเรื่องตลกร้ายอะไรกัน? ‘ สาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าสามารถบดขยี้พวกเราได้อย่างง่ายๆ แบบนี้! การที่เอาชีวิตของพวกเราไปทิ้งแบบนี้มันไม่ใช่อะไรที่เสียเปล่าหรอกหรอ?
ในตอนนั้นเองผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ได้ชักดาบไปข้างหน้าก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเสียงดัง “ข้ายอมแล้ว! ” เหล่าผู้ชมที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็รู้สึกสับสน
ในสำนักฝ่ายธรรมะ การที่จะมีคนละทิ้งหน้าที่และหลบหนีไปได้ถือเป็นเรื่องที่แสนจะน่ารังเกียจและไม่อาจที่จะให้อภัยได้ ถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับหนึ่งในสิบสุดยอดสำนักอย่างสำนักดาบสวรรค์ เป็นไปไม่ได้เลยที่ลั่วซิงกงจะไม่รู้สึกโกรธ
“ข้าเองก็ยอมแพ้เช่นกัน! ” ผู้อาวุโสคนที่สองได้ทิ้งดาบของตัวเองเช่นกัน
สีหน้าของลั่วซิงกงเริ่มเปลี่ยนไป ในตอนนั้นเขาก็ได้ยกมือขวาออกมา พลังสีทองจากมือของเขาตรงไปที่ผู้อาวุโสทั้งสองคน
ผู้อาวุโสที่ถูกพลังตายในทันที
ลั่วซิงกงพูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึก “ผู้อาวุโสของสำนักดาบสวรรค์อย่างผู้อาวุโสลั่วเทียนซิงและผู้อาวุโสลั่วฮ่องจงต่างคิดที่จะหันหลังหนีให้กับศัตรู ข้าจะต้องจัดการพวกเขาในทันที! “
เหล่าผู้ชมที่เห็นแบบนั้นต่างก็แสดงสีหน้าแห่งความหวาดกลัวออกมา
‘โหดเหี้ยมอะไรแบบนี้! ‘
ในตอนนั้นเองผู้ชมทั้งหลายต่างก็รู้ตัวแล้วว่าการแสดงกำลังจะถึงจุดพีค พวกเขามองไปที่ลั่วซิงกงผู้ที่มีสีหน้าไร้อารมณ์และความรู้สึก ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเป็นผู้ที่ถูกความโกรธแค้น, ความเย็นชา และความแค้นเข้าครอบนำ
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากรถม้าลอยฟ้า “เจ้าสำนักลั่ว…ทำไมถึงต้องทำเช่นนั้นด้วยล่ะ? “
เหล่าผู้ชมต่างก็หันไปมอง
มันไม่ใช่เสียงของลู่โจว ไม่ใช่ทั้งเสียงของฮั๊ววู่เด๋า มันเป็นเสียงของศิษย์ยอดฝีมือโจวจี้เฟิงนั่นเอง
“เจ้าคนทรยศ! ” ลั่วซิงกงได้พูดตอบโต้กลับไปหลังจากที่ได้ยินเสียงของโจวจี้เฟิง
โจวจี้เฟิงได้คารวะลู่โจว
ลู่โจวในตอนนี้ยังคงหลับตา ตัวเขาแค่โบกแขนซ้ายตอบโต้ออกมาเบาๆ
เมื่อได้รับอนุญาตแล้วโจวจี้เฟิงก็ได้ลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะลงมาที่แท่นประลองดอกบัว เขาที่ลงมาถึงแท่นประลองได้จ้องมองไปที่รอบตัว โจวจี้เฟิงได้คารวะให้กับเหล่าผู้ชมที่ยืนมองอยู่ “ทุกๆ ท่าน ข้าต้องการชี้แจงความจริง”
ทุกๆ คนต่างก็เปิดหูก่อนที่จะจ้องมองมาที่โจวจี้เฟิง เนื่องจากชายคนนี้เป็นอดีตศิษย์ยอดฝีมือของสำนักดาบสวรรค์เพราะแบบนั้นแล้วเขาจะต้องพูดอะไรน่าเชื่อถือแน่