บนต้นไม้ที่สูงตระหง่าน ณ กระท่อมหลังหนึ่งที่แสนจะเงียบสงบ
ยู่ฉางตงกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ ดวงตาของเขาปิดลง ในตอนนั้นเองรอยยิ้มจางๆ ได้เผยให้เห็นบนใบหน้าของตัวเขา ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย “ศิษย์น้องเจ็ด…ถ้าหากเจ้าทำแบบนั้นเจ้าจะต้องทิ้งความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมดลงน้ำไปฟรีๆ แน่”
สีวู่หยามองไปที่ยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าประเมินความสามารถของท่านอาจารย์ต่ำไป…”
“แต่แล้วมันยังไงล่ะ? ” สีวู่หยาได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ “ข้อปล่อยให้ศิษย์น้องแปดกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยของเขา ยิ่งไปกว่านั้นการส่งศิษย์น้องกลับไปจะทำให้ข้ารู้ข่าวการเคลื่อนไหวได้ ศิษย์น้องแปดเป็นพวกสมองกลวง เขาคงจะไม่ถูกฆ่าแน่ ถ้าหากมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้นข้าก็คงจะส่งวู่ชูไปช่วยศิษย์น้องได้”
ยู่ฉางตงส่ายหัวออกมาเบาๆ ตัวเขาได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ข้าแค่กังวลว่าวู่ชูจะตกเป็นเป้าหมายของการดูแคลนได้”
“นอกจากนี้ข้ายังยอมแพ้โดยมอบพัดขนนกยูงไปให้กับศิษย์พี่สี่แล้ว…และเพื่อที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ แต่ยังไงซะตอนนี้…” สีวู่หยาหยุดพูดกลางคันก่อนที่จะพูดต่อไป “ยังไงซะตอนนี้ดูเหมือนว่าพัดขนนกยูงกำลังจะตกอยู่ในอันตราย”
“เงื่อนไขในการขัดเกลาอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้เข้มงวดมาก เนื่องจากเป็นเพราะข้าได้ช่วยเจ้าเอาไว้…เพราะงั้นแล้วอย่าได้เศร้าใจไปเลยนะศิษย์น้อง” ยู่ฉางตงได้พูดขึ้น
“ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่รอง การที่จะขัดเกลาอาวุธได้ไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ตอนนี้ถึงคราวที่เจ้าจะต้องช่วยข้าแล้ว…” ยู่ฉางตงเปิดตาขึ้น แสงของดวงอาทิตย์ได้ส่องลงผ่านใบไม้ก่อนที่จะตกลงบนใบหน้าของตัวเขา ยู่ฉางตงได้กระโดดลงมาจากกิ่งไม้ก่อนที่จะร่อนลงข้างๆ กับสีวู่หยา
หัวใจของสีวู่หยาเริ่มเต้นถี่ขึ้น นับตั้งแต่ที่ตัวเขาก่อตั้งสำนักแห่งความมืดมา ตัวเขาก็ได้ยินข่าวคราวมากมายเกี่ยวกับผู้คนที่กำลังอยู่ในระหว่างความเป็นและความตาย ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ภายในชั่วข้ามคืน มีเหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งกว่าฟ้าถล่มดินทลายเกิดขึ้นในทุกๆ วัน ปัญหาน้อยใหญ่เป็นเหมือนกับต้นหญ้าที่ล้วนแต่เติบโตได้ทุกเวลา แต่ไม่ว่าจะยังไงตัวเขาก็ไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวเลยสักครั้งเดียว แต่ถึงกระนั้นเมื่อได้ฟังคำพูดของยู่ฉางตงเพียงไม่กี่คำ ตัวเขาก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก
สีวู่หยารู้ดีว่าศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง ทั้งสองคนล้วนแต่ขัดแย้งกันมาโดยตลอด ตัวเขาไม่แปลกใจเลยถ้าหากทั้งสองคนจะได้ต่อสู้กันในอนาคต แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามตัวเขาก็ไม่คาดหวังว่ามันจะถึงเร็วขนาดนี้ “ศิษย์พี่รอง…พวกเราคงจะไม่…”
ก่อนที่สีวู่หยาจะได้พูดจบ ยู่ฉางตงก็ได้ยกมือขึ้นและพูดแทรกออกมา “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าหวังว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสภายในเวลา 6 เดือนนี้…”
โลกของเหล่ายอดฝีมือถือเป็นโลกที่โดดเดี่ยว เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเหล่ายอดฝีมือที่ต้องการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่สามารถต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสี การจะต่อสู้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับยู่ฉางตง
“พลังวรยุทธของศิษย์ใหญ่ลึกล้ำมาก ข้าเกรงว่ามีเพียงท่านอาจารย์เท่านั้นที่จะสามารถทำร้ายเขาได้”
“นั่นคือเหตุผลที่ท่านไม่ควรยั่วยุท่านอาจารย์…” หลังจากที่ยู่ฉางตงพูดจบ ตัวเขาก็เอามือเคาะไปที่กิ่งไม้เบาๆ ก่อนที่จะหันกลับมาพูด “เจ้าดูและตัวเองด้วยก็แล้วกันศิษย์น้อง”
“ไม่ต้องห่วงศิษย์พี่…ข้าจะรักษาตัว”
“ไว้พวกเรามาพบกันใหม่”
“ข้าแน่ใจว่าพวกเราจะต้องได้พบกันแน่”
ทั้งสองคนทำความเคารพซึ่งกันและกัน
ยู่ฉางตงไม่ได้อยากที่จะเสียเวลาอีกต่อไป เขาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะบินหายไปในอากาศ
สีวู่หยาส่ายหัวออกมาก่อนที่จะถอนหายใจเบาๆ ตัวเขาได้หันกลับไปที่กระท่อมอันป่าวเปลี่ยว ตัวเขามองไปที่กองเอกสารที่วางเรียงรายอยู่บนพื้น มันเป็นเรื่องด่วนที่ตัวเขาจะต้องจัดการนั่นเอง สีวู่หยาที่ซ่อนอารมณ์ไว้โดยตลอดได้แกว่งแขนออกมาด้วยความโกรธ
พรึ๊บ!
กองกระดาษได้กระจัดกระจายไปทั่ว
“ข้าทำทั้งหมดนี้มาเพื่ออะไรกัน? ” ในตอนที่สีวู่หยาฮึดฮัดออกมา ตัวเขาก็ได้กระอักเลือดออกจากปาก สีวู่หยาไม่ได้สนใจอะไร ตัวเขาได้ใช้แขนเสื้อเช็ดคราบเลือดที่มีในทันที
ในตอนนั้นเองสาวกชุดเทาคนหนึ่งก็ได้เข้ามาใกล้ ตัวเขาได้คุกเข่าลงบนพื้นก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม? “
“ข้าไม่เป็นไร…มันเป็นผลพวงที่ข้าพยายามคายพลังผนึกมนตราก็เท่านั้น” สีวู่หยาตอบกลับมา หน้าตาของเขาดูไม่สู้ดีเท่าไหร่
“ดูแลตัวเองด้วยท่านเจ้าสำนัก”
…
ในขณะเดียวกัน
“ติ้ง! ลงโทษสีวู่หยา ได้รับแต้มบุญ 200 แต้ม”
แม้ว่าลู่โจวจะไม่แน่ใจสีวู่หยากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต้มบุญมากว่า 200 แต้ม
ลู่โจวได้ส่ายหัวก่อนที่จะมองไปยังพัดขนนกยูง “การจะคลายพลังผนึกมนตราได้ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ”
พลังผนึกมนตราเกิดขึ้นมาจากระบบที่ลู่โจวมี แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมีที่มีพลังอวตารดอกบัว 6-7 กลีบของสำนักเซียนสวรรค์ก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นการจะคลายพลังผนึกมนตราได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี
ลู่โจวคิดถึงสิ่งที่สีวู่หยาทำเมื่อเร็วๆ นี้ ตัวเขาส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าศิษย์ทรยศ…ข้าจะยึดอาวุธของเจ้าเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน” ลู่โจวได้โบกมือ สุดท้ายแล้วเครื่องรางขัดเกลาก็ได้หายไป
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นอาจารย์และผู้เป็นลูกศิษย์ต่อสู้กันจากในระยะไกล สีวู่หยาได้พ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า
ลู่โจววางพัดขนนกยูงไป ในตอนนั้นเองเสียงของจ้าวยู่ก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง…
“ท่านอาจารย์มีจดหมายมาสองฉบับค่ะ”
“สองจดหมายอย่างงั้นหรอ? “
“จดหมายแรกเป็นของเจียงอาเฉียน ส่วนอีกจดหมายหนึ่งนั้น…เป็นจดหมายที่มาจากตีนเขา”
“อ่านซะ”
จ้าวยู่ได้เปิดซองจดหมายออกก่อนที่จะเริ่มอ่านออกเสียงขึ้น “ท่านผู้อาวุโส เรื่องที่สามที่ข้าอยากจะบอกเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่สำคัญของราชวงศ์ ในตอนแรกข้าเองก็ไม่อยากที่จะเล่าให้กับท่านฟังในตอนแรก แต่เมื่อลองคิดดแล้วข้าก็เลยตัดสินใจที่จะบอกท่าน ทหารคนสนิททั้งสี่ของเหวยซู่หยานได้นำคนกว่า 50,000 คนไปยังมณฑลเหลียงเพื่อระงับการก่อจลาจล องค์ชายหลิวปิงได้กลับมาที่พระราชสำนักพร้อมกับทหารของเขาจนคว้าชัยชนะไปได้ ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้สนใจอะไรการก่อกบฏ มากนัก แต่ข้าแน่ใจเลยว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับพระราชสำนักแน่ ท่านผู้อาวุโสโปรดระวังม่อหลี่เอาไว้ให้ดี”
สีหน้าของลู่โจวยังคงนิ่งสงบ
ในท้ายที่สุดแล้วข้อความนี้ก็เป็นข้อมูลของผู้ควบคุมหุ่นเชิดอย่างม่อหลี่…ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องของพระราชสำนัก ตัวเขาได้ปล่อยให้เหวยซู่หยานใช้ความสามารถที่มีคอยจัดการเอา “อ่านต่อซะสิ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” จ้าวยู่ได้เปิดจดหมายฉบับที่สอง นางมองอ่านไปก่อนที่จะพูดออกมา “มันเป็นจดหมายท้าทายจากสำนักดาบสวรรค์ค่ะ”
เมื่อลู่โจวได้ยินแบบนั้น สีหน้าเขาก็ยังคงสงบเยือกเย็นเช่นเคยมันเป็นเหมือนกับฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า เรื่องเล็กเรื่องน้อยเริ่มเกิดขึ้นมาทีละเรื่อง
“ท่านอาจารย์ ลั่วซิงกงได้จัดเวทีการต่อสู้เพื่อต้องการที่จะท้าทายท่านสู้หนึ่งต่อหนึ่ง” จ้าวยู่ได้พูดออกมาอย่างลังเล
“ไม่ต้องไปสนใจ” ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรกับสำนักดาบสวรรค์ที่กำลังอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาในตอนนี้ก็คิดถึงแต่เรื่องกล่อง, กุญแจ และเรื่องเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ในเวลาเดียวกันตัวเขาจะต้องคิดหาวิธีเพื่อรับมือกับสีวู่หยา, ยู่ฉางตง และยู่เฉิงไห่อีกด้วย ตัวเขาไม่มีเวลาให้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
“ศิษย์เข้าใจแล้ว ศิษย์ขอลา”
ในเช้าวันรุ่งขึ้นจ้าวยู่ก็ได้กลับมายังศาลาทางตะวันออกพร้อมกับจดหมายอีกฉบับ
“ท่านอาจารย์…ในตอนนี้เจ้าสำนักลั่วซิงกงได้ส่งข้อความมาอีกครั้ง…มันเป็นจดหมายท้าทายท่าน ลั่วซิงกงอ้างว่าพลังวรยุทธที่ตัวเขามีมันลึกล้ำกว่าเดิมมาก เขาอยากที่จะต่อสู้กับท่านอาจารย์อย่างยุติธรรม”
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่มันไม่มีสมองเลยสินะ…”
โดยปกติแล้วสิบสำนักใหญ่มักจะมองศาลาปีศาจลอยฟ้าว่าเป็นศัตรูที่แสนจะน่ากลัว แต่ในตอนนี้สำนักดาบสวรรค์เพียงสำนักเดียวกลับกล้าที่จะส่งจดหมายท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่แบบนี้ ‘ลั่วซิงกงคงจะตาพร่ามัวไปจากการสูญเสียลูกชายอย่างงั้นสินะ’
“ไม่จำเป็นจะต้องเอาจดหมายจากสำนักดาบสวรรค์มาบอกข้าอีก”
“ค่ะ ท่านอาจารย์”
10 วันต่อมาจดหมายก็ยังถูกส่งมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่เคยขาด
สำนักดาบสวรรค์รู้แล้วว่าจ้าวยู่ได้ทำลายจดหมายทั้งหมดไป
สุดท้ายแล้วจดหมายฉบับที่ 13 ก็ถูกมอบให้กับจ้าวยู่โดยผู้ฝึกยุทธหญิงผู้มาจากวังจันทรา
จ้าวยู่คิดว่าจดหมายฉบับนี้จะเหมือนกับจดหมายที่แล้วๆ มา ไม่นานหลังจากที่ได้อ่านจดหมาย จ้าวยู่ก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “ผู้ส่งจดหมายอยู่ไหนกัน? “
“เขาเพิ่งจะออกจากเชิงเขาไปค่ะ”
“จับตัวเขาเอาไว้…ทรมานเจ้านั่นอย่าได้ปรานี! ” จ้าวยู่ได้สั่งการขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
ผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทราทั้งสองที่ได้รับคำสั่งตกใจเล็กน้อย
จ้าวยู่ลดเสียงของนางลงก่อนที่จะพูดออกมาด้วยความโกรธ “รีบไปซะ! “
“ค่ะ! ” ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสองคนรีบลงจากภูเขาไป
จ้าวยู่ได้นำจดหมายฉบับนั้นเดินเข้าไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า