ทันทีที่สีวู่หยาได้ยินแบบนั้น เขาก็ได้แต่ส่ายหัว ตัวเขารู้ดีว่าเสียที่ได้ยินเป็นเสียงของใคร
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าออกไปได้แล้ว”
“ครับท่านเจ้าสำนัก…”
“เขาเป็นสหายของข้าเอง”
“ถ้าเป็นแบบนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
ในเวลาเดียวกันชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าแปลกประหลาดก็ได้เดินเข้ามา ชายคนนี้ไว้เครายาว เสื้อคลุมยาวของเขาทำให้ชายคนนี้ดูเหมือนพ่อค้าที่มาจากภูมิภาคอื่น
เมื่อเขาเดินเข้ามา สีวู่หยาถึงกับผงะเล็กน้อย ตัวเขารีบพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะศิษย์พี่สี่”
‘สหายแซ่หลี่อย่างงั้นหรอ นั่นมันก็แค่ชื่อสุ่มๆ เท่านั้นสินะ! ‘
หมิงซี่หยินถอดเสื้อคลุมรวมไปถึงหนวดเคราปลอมๆ ออกมา ในตอนนี้ตัวเขามีรูปลักษณ์ที่คุ้นเคยดังเดิมแล้ว “เจ้าไม่แปลกใจเลยอย่างงั้นหรอ? “
แม้ว่าสีวู่หยาจะยังคงสงบเยือกเย็น แต่ถึงแบบนั้นเขากลับรู้สึกประหลาดใจอยู่ข้างใน
“คำสั่งของท่านอาจารย์อย่างงั้นสินะ? “
“ท่านอาจารย์บอกให้ข้าพาเจ้ากลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
สีวู่หยาจับได้ว่าคำพูดของหมิงซี่หยินดูแปลกไป ตัวเขากำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สำนักแห่งความบริสุทธิ์ สีวู่หยาในตอนนี้รู้สึกสับสน อาจารย์ของเขาไปที่สำนักนั่นด้วยรถม้าลอยฟ้าและยังใช้เคล็ดวิชาผนึกมนตราออกมา แล้วเหตุใดกันทำไมถึงต้องส่งศิษย์พี่สี่มาเพียงลำพังแบบนี้ด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์พี่คนนี้ยังรอตัวเขาอยู่ที่หุบเขาราชพฤกษ์กว่า 2 วันแล้ว แม้ว่าสีวู่หยาจะมีปัญญาที่เหนือกว่าคนธรรมดาแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่อาจที่จะเข้าใจได้ ‘หนีเสือปะจระเข้อย่างงั้นสินะ? ‘
สีวู่หยาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา ตัวเขาได้ถามออกไปอย่างใจเย็น “ท่านรู้ได้ยังไงกันว่าข้าอยู่ที่นี่ศิษย์พี่สี่? “
หมิงซี่หยินได้เดินไปโดยที่ไม่ได้รู้สึกเกรงใจอะไร ตัวเขาได้เดินไปอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ ตัวเขาได้รินชาให้กับตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “เรื่องง่ายๆ น่ะ ข้าก็แค่สืบข่าวคราวของเจ้าก็แค่นั้น ในโลกใบนี้มันมักจะมีหน้าต่างมีรู ประตูมีช่อง เจ้ายังจำรถม้าลอยฟ้าที่ใช้เดินทางไปยังเจดีย์ลอยฟ้าได้ไหม? ศิษย์น้อง เจ้าน่ะประมาทเกินไป…ไม่ว่าเจ้าจะจ้างคนมาอีกมากมายขนาดไหน แต่คนธรรมดาน่ะไม่อาจที่จะเป็นเจ้าของรถม้าลอยฟ้าได้หรอกนะ”
สีวู่หยาพยักหน้าก่อนที่จะปรบมือชมเชยขึ้นมา “แล้วท่านรู้รหัสผ่านได้ยังไงกัน? “
“ข้าอาศัยอยู่ที่หุบเขามังกรหมอบเป็นเวลา 2 วัน ข้าต้องขอโทษจริงๆ …ที่ไม่สามารถรอคอยเจ้าอยู่เฉยๆ ได้ ข้าก็เลยตรวจสอบหุบเขามังกรหมอบทั้งหมดไป” หมิงซี่หยินได้พูดต่อ “ข้าได้เดินเล่นไปทั่วจนมาเจอหุบเขาลูกนี้”
“…” สีวู่หยาถึงกับพูดไม่ออก ตัวเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป เขาไม่คาดคิดว่าหมิงซี่หยินจะใช้ทั้งเวลาและความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะตามหาตัวเขาแบบนี้
สีวู่หยาได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “ถ้าหากศิษย์พี่มีความสุขข้าก็ดีใจ ศิษย์พี่สี่”
หมิงซี่หยินได้กลืนชาหมดถ้วย หลังจากนั้นตัวเขาก็จ้องมองไปที่สีวู่หยา “เอ๊ะ? เจ้าน่ะดูไม่ดีเท่าไหร่เลยนะ”
สีวู่หยายังคงเงียบ
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “อย่ามัวแต่ทำหน้าแบบนั้นเลยศิษย์น้อง ข้าไม่ได้มีมันสมองที่ฉลาดปราดเปรื่องเหมือนกับเจ้าหรอกนะ”
หมิงซี่หยินรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นสีวู่หยาไม่ได้ตอบโต้อะไร ความรู้สึกนี้คงจะเป็นความรู้สึกที่มาจากการที่ตัวเขามีอำนาจเหนือกว่าผู้เป็นศิษย์น้องแล้วนั่นเอง
“ศิษย์พี่สี่ ข้าไม่มีเรื่องที่อยากจะถามท่าน” สีวู่หยาได้พูดขึ้น
“…อะไรกันล่ะ? ” ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ตัวเขาก็ไม่รู้ได้ หมิงซี่หยินรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ ถ้าหากเขาจะพูดตามตรง หมิงซี่หยินไม่เคยเห็นสีวู่หยาตกต่ำขนาดนี้มาก่อน สีวู่หยาเป็นเหมือนกับแมวที่ตาบอด แม้ว่าเรื่องนี้โชคจะมีส่วนสำคัญ แต่ถึงแบบนั้นโชคก็ถือเป็นพลังรูปแบบหนึ่งอยู่ดี การที่หมิงซี่หยินสามารถตามจับคนที่ทั้งฉลาดและเจ้าเล่ห์อย่างสีวู่หยาจนมาถึงตรงนี้ได้ยังไงซะนี่ก็ถือเป็นเรื่องจริง
“ม่านพลังของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้อ่อนแรงลงเป็นอย่างมาก ข้าได้ยินมาว่าท่านอาจารย์ได้ดูดซับพลังจากม่านพลังเอาไว้ก็เพื่อที่จะรักษาพลังวรยุทธของตัวเอง นั่นเป็นเรื่องจริงอย่างงั้นหรอ? ” สีวู่หยาได้ถามขึ้น
แม้ว่าหมิงซี่หยินจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง แต่ตัวเขาก็ยังไม่ได้กลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่อง และเพราะเขาไม่ได้เห็นเรื่องนี้กับตาตัวเองหมิงซี่หยินจึงไม่กล้าที่จะยืนยันมัน “ข้าขอโทษด้วยศิษย์น้อง ถ้าหากเจ้าอยากที่จะรู้เจ้าจะต้องกลับไปพิสูจน์ด้วยตัวเองซะแล้วล่ะ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อพาเจ้ากลับศาลาปีศาจลอยฟ้า”
สีวู่หยายิ้มพลางพยักหน้าให้ “ข้าต้องบอกท่านเลยศิษย์พี่ ท่านน่ะเปลี่ยนไปมาก…”
“หืม? “
“ข้ายังจำได้ดีในอดีตท่านมักจะมีความคิดที่สวนทางกับท่านอาจารย์เสมอ”
“อดีตก็เป็นเรื่องของอดีต พวกเราน่ะอยู่ในปัจจุบัน…”
“ถ้าหากเป็นแบบนั้น…ทำไมท่านไม่ใช้กำลังข้าพากลับไปตั้งแต่ตอนนั้นกันล่ะ? ” สีวู่าหยาได้ถามออกมาด้วยความสับสน “มันจะต่างอะไรกับในตอนนี้กันถ้าหากท่านต้องการจะพาข้ากลับไปด้วย? ” ที่เป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่าหมิงซี่หยินในอดีตยอมรับว่าตัวเขาอ่อนแอกว่าที่จะทำเช่นนั้นได้
สีวู่หยาได้หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเราทั้งคู่ต่างก็เป็นศิษย์จากสำนักเดียวกัน เหตุใดท่านจะต้องทำเรื่องยุ่งยากกับข้าแบบนี้ด้วยศิษย์พี่? “
“คนทรยศก็คือคนทรยศอยู่วันยังค่ำ…เจ้าควรจะขอบคุณที่ข้ามาเพื่อเจ้าในวันนี้ ถ้าหากท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ เจ้าก็คงจะต้องกลายเป็นร่างอันไร้วิญญาณหลังจากที่ถูกฝ่ามือไปแล้ว ข้าน่ะจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากท่านอาจารย์จะทำแบบนั้นกับเจ้า”
“พลังวรยุทธที่ท่านอาจารย์มีลึกล้ำเกินกว่าที่จะหยั่งถึง ข้าไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องสงสัยในพลังของท่านอาจารย์…แต่ในตอนนี้ข้ายังมีหลายอย่างที่จะต้องสะสางให้เสร็จสิ้น ข้ารู้สึกลังเลเหลือเกินที่จะกลับในตอนนี้”
“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องแผนการของเจ้าหรอกนะ…วันนี้เจ้าจะต้องกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ากับข้า” หมิงซี่หยินลุกขึ้นยืน ในตอนนั้นเองพลังลมปราณก็ได้ไหลพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา
สีวู่หยาไม่ได้รู้สึกตื่นกลัวแต่อย่างใด ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “ท่านคิดจริงๆ น่ะหรอกว่าข้ากลับไปแล้วอะไรๆ จะเปลี่ยนไป? ถ้าหากเป็นอีก 5 ปีข้างหน้าล่ะ? ” สีวู่หยาได้ประเมินเวลาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะล่มสลายให้รวดเร็วขึ้นเพราะม่านพลังในตอนนี้อ่อนแรงลงแล้ว
อีก 5 ปีข้างหน้าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องพบกับศึกรอบด้าน สีวู่หยาพยายามบอกหมิงซี่หยินมาแล้วหลายครั้งด้วยกัน
“ปัญหาของวันพรุ่งนี้ก็คือปัญหาของวันพรุ่งนี้” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
สีวู่หยาได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “อนาคตที่ข้าบอกเป็นชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นท่าน หรือแม้แต่ท่านอาจารย์เองก็ไม่อาจที่จะขัดขืนต่อชะตาได้”
หมิงซี่หยินกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะ “เจ้าคนทรยศ! ข้าจะจัดการเจ้าในนามของท่านอาจารย์ตั้งแต่วันนี้เอง”
โต๊ะที่ถูกพลังฝ่ามือได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้วยชาทั้งหลายเองก็เละไม่มีชิ้นดี
หมิงซี่หยินที่เห็นสีวู่หยายังคงสงบเยือกเย็นรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม “สามหาว! เจ้าคิดว่าข้ายังคงเป็นเหมือนเดิมอย่างงั้นสินะ? ” หมิงซี่หยินได้ซัดฝ่ามือเข้าใส่สีวู่หยา ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นตัวหนังสืออะไรบางอย่างอยู่บนหน้าอก
ตู๊ม!
สีวู่หยาได้กระเด็นลอยไปก่อนที่จะกระแทกกับเสาไม้
“หืม? ” หมิงซี่หยินรู้สึกสับสน ตัวเขาคาดคิดเอาไว้ว่าจะต้องได้ประมือกับสีวู่หยาผู้เป็นศิษย์น้อง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าสีวู่หยาจะยืนนิ่งและยอมโดนฝ่ามือของเขาแบบนี้
ไกลออกไป ณ ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวในตอนนี้กำลังยุ่งอยู่กับการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ตัวเขากำลังอยู่ในศาลาทางตะวันออก ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ
“ลงโทษสีวู่หยา ได้รับรางวัล: 200 แต้มบุญ”
หลังจากที่เห็นการแจ้งเตือน ลู่โจวก็คิดว่าหมิงซี่หยินจะต้องเป็นผู้ลงมืออย่างแน่นอน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกสับสน หมิงซี่หยินเพิ่งจะผลิกลีบดอกบัวในร่างอวตารได้แท้ๆ แล้วทำไมเขาถึงสู้กับสีวู่หยาได้กัน?
หมิงซี่หยินได้เดินไปหาสีวู่หยา ในตอนนี้สีวู่หยาได้กระอักเลือดออกมา ตัวเขาพยายามพยุงตัวเองจนนั่งขึ้นมาอีกครั้งได้
หลังจากที่ประเมินสีวู่หยาได้ครู่หนึ่ง หมิงซี่หยินก็ได้พบกับความจริง สีวู่หยาไม่ได้ตั้งใจที่จะปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้ พลังวรยุทธของสีวู่หยาถูกผนึกอยู่ ตัวเขาได้ย่อตัวลงก่อนที่จะพูดกับสีวู่หยา “วรยุทธของเจ้าถูกผนึกเอาไว้…ข้าไม่คิดเลยว่าจะอยู่จนถึงวันที่เห็นเจ้าตกต่ำแบบนี้ศิษย์น้องเจ็ด”
สีวู่หยาไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร “ท่านมีพลังมากกว่าเมื่อก่อนอีกนะศิษย์พี่…แต่ถ้าหากพลังของข้าไม่ได้ถูกผนึกเอาไว้ล่ะก็ ข้าขอบอกตามตรงท่านก็คงจะไม่ใช่คู่มือของข้า”
“น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ตอนนี้เจ้าน่ะแพ้แล้ว” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
“ลืมมันไปซะเถอะ…” สีวู่หยาได้ส่ายหัวอย่างเยือกเย็น “แพ้ก็คือแพ้ ทำสิ่งที่ท่านอยากจะทำเถอะศิษย์พี่”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินคว้าคอเสื้อของสีวู่หยาเอาไว้ก่อนที่จะยกฝ่ามือขึ้นมาอีกครั้ง
“ลงมือเลย” สีวู่หยาไม่ได้เกรงกลัวอะไร ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หมิงซี่หยินอย่างไม่ละสายตา