ลู่โจวไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ตัวเขาได้แต่แปลกใจอยู่ข้างใน เขาไม่ได้คาดหวังว่าฮั๊วยู่จิงจะฆ่ายอดฝีมือจากสิบสำนักฝ่ายธรรมะเพื่อที่จะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแบบนี้ นอกจากนี้เขายังไม่ได้คาดหวังเหมือนกันว่านางจะเลือกยอดฝีมือที่มาจากสำนักดาบสวรรค์ “เจ้าไม่รู้สึกทุกข์ใจอย่างงั้นหรอ? “
ลู่โจวมองไปที่โจวจี้เฟิง โจวจี้เฟิงในตอนนี้สั่นไปทั้งตัว ตัวเขาคุกเข่าอย่างเร่งรีบก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าน้อยไม่กล้า! ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะฆ่าลั่วฉางเฟิงด้วยมือของข้าให้ได้ แต่ท่านปรมาจารย์ได้จัดการกับลั่วฉางเฟิงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับสำนักดาบสวรรค์อีกต่อไป”
ต้วนมู่เฉิงได้พูดขึ้น “นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว อย่าลืมไปซะว่าใครกันที่ช่วยให้เจ้ารอดมาจากความเจ็บปวดในตอนนั้นได้”
“ครับ ท่านต้วนมู่เฉิง” โจวจี้เฟิงพูดตอบกลับมา
“สำนักดาบสวรรค์ได้เงียบหายไปเป็นระยะเวลานานแล้ว นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้โจมตีภูเขาทอง การตายของลั่วฉางเฟิงถือเป็นเรื่องใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา ข้าได้ยินมาว่าลั่วซิงกงได้เก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษก็เลยมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้ผู้เป็นลูกชายอย่างลั่วฉางเฟิง ลั่วซิงกงที่สูญเสียลูกชายไปจะต้องแก้แค้นพวกเราศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่” ฮั๊ววู่เด๋าคารวะก่อนที่จะพูดออกมา
ลู่โจวหันไปมองจ้าวยู่ก่อนที่จะถามออกมา “มีข่าวคราวใหม่อะไรไหม? “
จ้าวยู่ได้ตอบกลับไป “สถานการณ์ของโลกภายนอกในตอนนี้นี้มีอยู่ว่า…” นางได้กลืนน้ำลายก่อนที่จะหยุดพูดไป ดูเหมือนว่านางจะกลัวเกินกว่าจะกล้าพูด
“พูดต่อซะ”
“พวกผู้ฝึกยุทธคุยกันว่าการที่ท่านดูดซับพลังจากม่านพลังไปเป็นเพราะท่านต้องการที่จะฟื้นฟูพลังวรยุทธของตัวเองที่กำลังถดถอยอยู่” จ้าวยู่ได้ก้มหัวลง นางไม่กล้าที่จะสบตา หลังจากนั้นนางก็ได้พูดต่อไป “ศิษย์ยินดีที่จะซ่อมแซมม่านพลังให้เอง”
ลู่โจวโบกมือตัวเอง “ม่านพลังนั้นไม่มีความหมายอะไรแล้วล่ะ” แม้ว่าม่านพลังจะสามารถป้องกันหายนะที่จะเข้ามาได้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นเพียงการป้องกัน ไม่ใช่การแก้ไขปัญหา
หลังจากนี้คนจากโลกภายนอกก็ย่อมคิดว่าพลังวรยุทธของลู่โจวกำลังถดถอยไปมากขึ้น ไม่ช้าก็เร็วไม่ว่าจะซ่อมแซมม่านพลังไปมากแค่ไหนท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
ในขณะที่พูดเรื่องนี้ สาวกหญิงทั้งสองคนก็ได้พาฮั๊วยู่จิงเข้ามา
ฮั๊วยู่จิงดูสะบักสะบอมเป็นอย่างมาก นางดูไม่เหมือนกับในตอนที่แยกจากกัน ในตอนนี้นางดูเหมือนกับคนไม่ได้นอนมาแล้วกว่าหลายวัน ดวงตาของนางแดงก่ำ ผมของนางกระเซิงดูไม่เป็นทรง นางได้ถือธนูสีเขียวเอาไว้ในมือ ดูเหมือนว่ามันจะทำมาจากวัสดุชั้นดี มันควรจะเป็นอาวุธที่มีระดับไม่ได้สูงส่งอะไร ในมืออีกข้างหนึ่งของนางถือห่อผ้าอะไรบางอย่างเอาไว้ ที่ห่อผ้าเต็มไปด้วยคราบเลือด คราบเลือดที่สัมผัสอากาศมานานได้เปลี่ยนสีกลายเป็นสีน้ำตาลแล้วนั่นเอง
ก่อนหน้านี้โจวจี้เฟิงได้แจ้งเรื่องนี้ให้รู้แล้ว เพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในห่อผ้าที่นางถือมาด้วย
ฮั๊ววู่เด๋ามองไปที่ฮั๊วยู่จิงอย่างไม่น่าเชื่อ นางกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
ฮั๊วยู่จิงคารวะก่อนที่จะพูดขึ้น “ฮั๊วยู่จิงไม่เคยทรยศต่อความคาดหวังของทุกคน ข้าได้สังหารยอดฝีมือผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 2 กลีบมาได้ เขาคนนี้ก็คือผู้อาวุโสยี่เฉิงซี เขาเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบสวรรค์”
“ยี่เฉิงซีอย่างงั้นหรอ? “
“พวกท่านจะรู้เองถ้าหากเปิดห่อผ้าดู”
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก” ลู่โจวไม่มีนิสัยเสียที่ชอบมองหัวมนุษย์ ตัวเขาได้โบกแขนขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “เอามันไปเก็บซะ”
“ค่ะ” ผู้ฝึกยุทธหญิงสองคนได้หยิบห่อผ้าออกไปอย่างระมัดระวัง
ลู่โจวมองไปที่ฮั๊วยู่จิงก่อนที่จะถามออกมา “ด้วยพลังความแข็งแกร่งที่เจ้ามี เจ้าไม่น่าที่จะสังหารยอดฝีมือผู้ที่มีพลังร่างอวตารถึงสองดอกได้แน่…”
ฮั๊วยู่จิงหน้าแดง นางกำลังรู้สึกลำบากใจอยู่ นางได้พูดออกมาอย่างเขินอาย “ข้ารู้พลังความแข็งแกร่งของตัวเองดี พลังของข้ายังมีไม่มากพอ… คนจากสำนักดาบสวรรค์เองก็มีเล่ห์เหลี่ยมมากจนเกินไป ลำพังใช้แค่กำลังที่มีก็คงจะไม่อาจโจมตีพวกเขาได้”
“ทำไมเจ้าถึงเลือกสำนักดาบสวรรค์กัน? “
เมื่อได้ยินคำถามของลู่โจว โจวจี้เฟิงก็ได้หันไปมองฮั๊วยู่จิง
ฮั๊วยู่จิงได้พูดต่อไป “ข้าได้ยินมาว่าสำนักดาบสวรรค์กำลังลงมือทำอะไรบางอย่างกัน ลั่วซิงกงกำลังคิดค้นวิธีการล้างแค้นศาลาปีศาจลอยฟ้า…ข้าคิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะเลือกโจมตีพวกเขาซะก่อน ข้าต้องการให้ทุกคนได้เห็นว่าชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นพวกที่ไม่ควรข้องเกี่ยวด้วย! “
‘จงฟังเอาไว้ซะ! คำพูดของข้าเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น! ด้วยวิธีนี้…ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะกล้าปฏิเสธข้าได้ยังไงกัน! ‘
คำพูดของฮั๊วยู่จิงฟังดูเหมือนกับศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้ามากกว่าคำพูดของศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ ซะอีก สิ่งนี้ทำให้ทุกๆ คนที่ฟังจะต้องรู้สึกอุ่นใจ ยิ่งไปกว่านั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าเองก็ยังต้องการมือธนูอีกด้วย
ในตอนนั้นเองฮั๊ววู่เด๋าก็ได้พูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์…ฮั๊วยู่จิงผ่านการทดสอบแล้ว ถ้าหากท่านอนุญาตข้า ข้าจะเป็นผู้ชี้แนะนางในการฝึกฝนนับต่อจากนี้เอง”
ฮั๊วยู่จิงรู้สึกยินดีมากที่ได้ยินแบบนั้น นางได้แต่ก้มหัวน้อมรับแต่โดยดี…
“ช้าก่อน”
ฮั๊ววู่เด๋าตกตะลึง ตัวเขาไม่รู้เลยว่าปรมาจารย์คนนี้ต้องการที่จะพูดอะไรออกมาแน่ ดูเหมือนว่าตัวเขาจะพูดเองเออเองไป ฮั๊ววู่เด๋าได้ก้าวก่ายเรื่องไม่เป็นเรื่องไปแล้วนั่นเอง “ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ข้าทำไปโดยพลการท่านปรมาจารย์”
ลู่โจวค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ตัวเขาได้เดินลงบันไดก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้าของฮั๊วยู่จิง
“เงยหน้าขึ้นมาซะ”
ฮั๊วยู่จิงรู้สึกไม่สบายใจ แต่นางก็ได้แต่ทำใจให้สงบและเยือกเย็นเข้าไว้ ตอนนี้เบื้องหน้านางคือปรมาจารย์ผู้ที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างประหม่า
สีหน้าของลู่โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เขาก็แค่เหลือบมองไปที่นางก่อนที่จะยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นมา
“เอ่อ…”
คนอื่นๆ รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงมากยิ่งขึ้น ไม่มีใครสามารถทนดูสิ่งนี้ได้ แม้แต่ฮั๊วยู่จิงเองก็ยังหลับตา ทุกคนคิดว่าลู่โจวจะซัดฝ่ามือใส่ฮั๊วยู่จิง ที่ฝ่ามือของเขามีแสงสีฟ้าส่งสว่างออกมา ลู่โจวได้ซัดพลังนั้นใส่ไปที่ร่างของนาง
“นั่นมันพลังเมตตาธรรมนิ! ” ดวงตาของฮั๊ววู่เด๋าที่ขุ่นมัวถึงกับเบิกกว้าง
แสงสีฟ้าอ่อนได้เข้าปกคลุมร่างกายของฮั๊วยู่จิง
ฮั๊วยู่จิงรู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายกำลังได้รับพลังลมปราณแห่งการรักษาเข้ามา อาการบาดเจ็บของนางที่มีเริ่มได้รับการรักษา ครู่ต่อมานางลืมตาขึ้นก่อนที่จะก้มหน้าคารวะลู่โจวอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่ช่วยเหลือข้า! “
“ติ้ง! ได้รับการคารวะอย่างจริงใจ ได้รับแต้มบุญ: 10”
‘น่าเสียดายจริงๆ ‘ คงจะดีกว่านี้ถ้าหากลู่โจวสามารถหาแต้มบุญมาจากการคารวะที่จริงใจซ้ำๆ ได้ ด้วยวิธีนี้ตัวเขาก็คงจะสามารถหาแต้มบุญได้มากกว่า 80,000 แต้มต่อวัน ถ้าหากเป็นแบบนั้นตัวเขาก็จะสามารถซื้อร่างอวตารทั้งหมดได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน
ลู่โจวถอนหายใจออกมา ยังไงซะก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ‘ฉันไม่ควรที่จะปล่อยให้ความโลภเข้าครอบนำ’
ลู่โจวได้พยักหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่มี “เนื่องจากเจ้าได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าจะต้องทำตามกฎของที่นี่”
“ข้าเข้าใจแล้ว! “
“ติ้ง! ได้รับสาวกคนใหม่ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”
“เจ้ามีพลังร่างอวตารดอกบัวกี่กลีบกัน? “
“สะ…สอง” ฮั๊วยู่จิงได้ตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจ
‘สองใบก็เป็นมือธนูระดับเทพได้อย่างงั้นหรอ? ‘
เมื่อฮั๊วยู่จิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมาทางตัวเอง นางก็ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ด้วยพลังวรยุทธที่นางมีในตอนนี้นางมักจะถูกสำนักต่างๆ ยกย่องว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมืออัจฉริยะ ในตอนที่นางรับการฝึกฝนอยู่ที่สำนักลั่ว นางก็มีฝีมือโดดเด่นมาโดยตลอด แต่ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้า เรื่องที่ผ่านๆ มาของนางไม่ได้มีผลอะไรต่อที่แห่งนี้เลย
ลู่โจวไม่ได้รู้สึกดูแคลนนางแต่อย่างใด ตัวเขาได้พูดออกมา “เจ้าน่ะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ถ้าหากเจ้าสามารถฆ่ายอดฝีมือผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัวสองกลีบอย่างยี่เฉิงซีได้ด้วยวรยุทธที่เจ้ามีในตอนนี้ นั่นก็เป็นผลงานที่น่ายกย่องมากพอแล้ว”
“ขอบคุณค่ะท่านปรมาจารย์”
“มีหนังสือมากมายหลายชนิดอยู่ที่ศาลาทางตะวันออก ทุกๆ คนจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามีสิทธิ์ที่จะศึกษาพวกมันได้อย่างอิสระ เจ้าเองก็เช่นกัน”
ฮั๊วยู่จิงเคยได้ยินมาว่าที่แห่งนี้มีทั้งคัมภีร์และอาวุธมากมายหลายอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นของที่มียังเป็นสมบัติล้ำค่าอีกด้วย นางดีใจมากเมื่อได้รับโอกาสดีๆ เช่นนี้
“ขอบคุณมากท่านปรมาจารย์ ขอบคุณจริงๆ! “
“เจ้าไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
ฮั๊ววู่เด๋าเองคารวะลู่โจวเช่นกัน ตัวเขาได้ออกไปจากห้องโถงใหญ่พร้อมกับฮั๊วยู่จิง
ลู่โจวกลับไปที่บัลลังก์ของตนก่อนที่จะนั่งลงอย่างช้าๆ ตัวเขามองไปที่โจวจี้เฟิงก่อนที่จะพูดออกมา “โจวจี้เฟิง” โจวจี้เฟิงที่ได้ยินถึงกับสั่นไปทั้งตัว
“ทะ…ท่านปรมาจารย์” โจวจี้เฟิงโค้งคำนับลู่โจวก่อนที่จะพูดต่อไป “ข้าไม่เคยนึกย้อนเสียใจเลยที่ได้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้า มีเพียงเรื่องเดียวที่ข้าเสียใจ ข้าไม่สามารถจัดการกับเจ้านั่นด้วยมือของข้าเอง”
“เจ้าควรจะปล่อยอดีตให้เป็นเรื่องของอดีตไป สิ่งที่เจ้าจะต้องทำก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง…ถ้าหากเจ้ามีเวลามาเที่ยวเล่นแล้วละก็ เจ้าควรจะใช้เวลาศึกษาและฝึกฝนตัวเองอยู่ที่ศาลาทางตะวันออกจะดีกว่า”
เมื่อโจวจี้เฟิงได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็พยักหน้าคล้อยตาม “ข้าเข้าใจแล้วท่านปรมาจารย์”
“ทุกคนแยกย้ายไปซะ” ลู่โจวได้โบกแขนขึ้น
ศิษย์สาวกคนอื่นๆ โค้งคำนับก่อนที่จะออกจากห้องโถงใหญ่ไป
ในตอนนั้นเองที่สำนักอเวจีบนหุบเขาผิงตู
ยู่เฉิงไห่ยืนหันหลังให้กับสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่อย่าง ฮั๊วจงหยาง, หยางเยียน, ดีชิง ทุกๆ คนได้คุกเข่าให้กับยู่เฉิงไห่ผู้เป็นเจ้าสำนัก
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราไม่สามารถหยุดท่านผู้อาวุโสได้ ได้โปรดลงโทษพวกเราด้วยเถอะ! “
“ลงโทษพวกเราด้วยเถอะ ท่านเจ้าสำนัก! “
“ลงโทษพวกเราด้วยเถอะ ท่านเจ้าสำนัก! “