หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างขุ่นเคืองใจ “ท่านอาจารย์ พวกเรายังไม่รู้เลยระหว่างเราใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”
ต้วนมู่เฉิงได้พูดขึ้น “เจ้าน่ะเปลี่ยนไปแล้วศิษย์น้องสี่ ในระหว่างที่พวกเราประลองฝีมือกันครั้งล่าสุด ดูเหมือนว่าเจ้าจะอดทนได้มากกว่าแต่ก่อนแล้ว”
“…” หมิงซี่หยินได้หันไปมองต้วนมู่เฉิง ‘ทำไมถึงได้ฟังดูแปลกๆ กัน’
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรทั้งสองคนนั้น ตัวเขาได้เหลือบมองกลับไปที่เหล่าสาวกจากสำนักแห่งความมืด “ไปบอกเจ้าสำนักของพวกเจ้าซะ ถ้าหากเจ้านั่นรู้ว่าตัวเองทำผิด ให้มาหาข้าเป็นการส่วนตัว” หลังจากที่พูดจบลู่โจวก็กระโดดขึ้นไปบนหลังของวิซซาร์ด
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นรู้สึกแปลก ตัวเขาได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์”
“เจ้ามีแผนอะไรดีๆ อย่างงั้นหรอ? “
“ศิษย์จะจับพวกมันมัดไว้ที่ภูเขา จะสังหารพวกมันไปทีละคน เมื่อศิษย์น้องเจ็ดเห็นแบบนั้นเขาจะต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน” หมิงซี่หยินได้พูดออกมา
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไร มันเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย ตัวเขาเองนั่นแหละที่สั่งสอนวิธีนี้ให้กับศิษย์สาวกทั้งหลาย
เหล่าสาวกสำนักแห่งความมืดต่างก็คุกเข่าด้วยความหวาดกลัวก่อนที่จะร้องไห้ออกมา
หมิงซี่หยินรู้สึกรำคาญเสียงพวกนั้นมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก
“ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย! พวกเราก็แค่ทำตามท่านเจ้าสำนักเท่านั้น…พวกเรายังไม่เคยเห็นใบหน้าของผู้ที่เป็นเจ้าสำนักเลยด้วยซ้ำไป…ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยท่านผู้อาวุโส”
“แล้วพวกเจ้าได้ค่าตอบแทนไหม? ” ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมาอย่างงุนงง
หมิงซี่หยินพยักหน้าก่อนที่จะพูดตาม “สำนักแห่งความมืดมักจะไม่อาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พวกเขามักจะกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก บางทีบางคนอาจจะเป็นแค่ชาวประมง, พ่อครัวทำอาหาร หรือแม้แต่อาจจะเป็นได้ถึงหนึ่งในเจ้าหน้าที่จากทางพระราชสำนัก…สำนักแห่งความมืดได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับทุกคนจำนวนมากนับตั้งแต่ก่อตั้งมา การที่มีฐานที่มั่นเพียงแค่ที่เดียวเท่านั้นคงจะตกเป็นเป้าหมายของศัตรูได้ง่าย ศิษย์น้องเจ็ดนี้ช่างรอบคอบจริงๆ “
“ศิษย์พี่เจ็ดช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ …เอ่อข้าหมายถึงเจ้าเล่ห์น่ะ! ” หยวนเอ๋อเองก็พูดตาม
ลู่โจวได้กระโดดไปที่หลังของวิซซาร์ดต่อไป
เมื่อหยวนเอ๋อเห็นแบบนั้น นางก็รีบเรียกสายสะพายนิพพานกลับมาก่อนที่จะกระโดดขึ้นหลังของวิซซาร์ดเช่นกัน
“ถ้าหากเป็นแบบนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน” ลู่โจวมองไปที่หมิงซี่หยิน หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ขี่วิซซาร์ดก่อนที่จะออกจากป่าไปยังทิศทางที่เมืองอันยางตั้งอยู่
“ฮะ? “
ต้วนมู่เฉิงได้เดินมาตบบ่าหมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์น้องสี่ เรื่องทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ข้าเชื่อใจเจ้านะ” หลังจากพูดจบต้วนมู่เฉิงเองก็บินจากไป
วินาทีที่ต้วนมู่เฉิงบินจากไป หมิงซี่หยินก็ได้ตบปากตัวเอง “ข้าไม่น่าปากเสียเลยจริงๆ! “
หมิงซี่หยินมองไปที่สาวกของสำนักแห่งความมืด “วันนี้ข้ายิ่งอารมณ์เสียอยู่ด้วย…เห็นทีพวกเจ้าจะต้องรองรับความโกรธของข้าซะแล้วล่ะ”
ทันทีที่พูดจบ พลังของเคล็ดวิชาเวหาพงพนาก็ได้ล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ มีเพียงเสียงร้องโหยหวนเท่านั้นที่ดังขึ้น
ฮั๊วยู่จิงสังเกตเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากที่ไกลแสนไกล นางได้แต่ขมวดคิ้วก่อนที่จะพึมพำออกมา “องค์ชายองค์ที่สามพูดโกหกข้าอย่างงั้นหรอ? ทำไมองค์ชายถึงได้บอกเอาไว้ว่ามหาวายร้ายแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้ไม่ได้น่ากลัวกัน? ” ฮั๊วยู่จิงไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ไปมากกว่านี้ หลังจากที่ถูกหมิงซี่หยินโจมตีที่เจดีย์ลอยฟ้า นางก็ไม่กล้าที่จะยุ่งเกี่ยวกับเขา นอกจากชายคนนี้จะมีอารมณ์ที่แปรปรวนแล้ว เขายังเป็นพวกหัวร้อนไม่ฟังเหตุผลอีกด้วย
หลังจากที่ลองคิดดูให้ดีฮั๊วยู่จิงก็มองไปที่ด้านหลังของต้วนมู่เฉิง “คงจะมีแต่ศิษย์คนที่สามเท่านั้นที่เป็นคนธรรมดา…” เมื่อคิดได้แบบนั้นนางก็รีบตามต้วนมู่เฉิงไปอย่างรวดเร็ว
…
ในขณะเดียวกัน ณ ฐานที่มั่นของสำนักอเวจีบนหุบเขาผิงตู
“ศิษย์น้องเจ็ด…เจ้าไม่กลัวท่านอาจารย์จะโกรธที่ทำแบบนี้อย่างงั้นหรอ? ” ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมา
สีวู่หยาได้คารวะยู่เฉิงไห่ที่อยู่บนบัลลังก์ก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุโกลาหลที่เมืองอันยางไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย สิ่งที่ข้าทำมีเพียงการส่งข้อความเท่านั้น ถ้าหากท่านอาจารย์จะโกรธข้า ข้าก้คงจะได้แต่ปล่อยมันไป”
ยู่เฉิงไห่ลุกขึ้นจากบัลลังก์ก่อนที่จะเอามือไขว้หลัง “ข้าน่ะอยากรู้ซะจริง…มันมีเคล็ดวิชาไหนที่เกี่ยวข้องกับคลื่นเสียงอันทรงพลังที่แม้แต่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ยังไม่สามารถที่จะต้านทานได้? “
“ข้าเองก็อยากที่จะรู้เช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นข้าเองก็ไม่อาจที่จะทราบได้ ศิษย์พี่ใหญ่” สีวู่หยาได้หยุดพูดได้พักหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไป “แต่ไม่ว่าจะยังไงท่านอาจารย์ก็มีชีวิตอยู่ยืนยาวมาจนถึงพันปีแล้ว การที่ท่านอาจารย์จะมีไพ่ตายเก็บเอาไว้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่สิบยอดฝีมือเองก็ยังไม่อาจที่จะทำอะไรกับท่านอาจารย์ได้”
“เจ้าพูดถูก” ยู่เฉิงไห่ได้เดินก้าวต่อไป “ข้าได้ยินมาว่ารถม้าล่องเมฆาได้ออกบินอีกครั้ง แผนการอัญเชิญสิบสุดยอดคนทรงที่เมืองถังซีเองก็ถูกทลายลงอย่างราบคาบ…ในสายตาของเจ้า เจ้าคิดว่าท่านอาจารย์ทำแบบนั้นทำไมกัน? “
ในความคิดของยู่เฉิงไห่ ผู้ที่อายุมากอย่างท่านอาจารย์ของเขาควรที่จะพักอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงจะถูก มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะต้องออกมาลำบากแบบนี้
สีวู่หยาได้ลูบคางของตัวเองก่อนที่จะใช้ความคิด สำนักแห่งความมืดที่ตัวเขาปกครองอยู่กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีเพียงศาลาปีศาจลอยฟ้าเท่านั้นที่ตัวเขาไม่อาจที่จะเข้าถึงได้ และในตอนนั้นเองเขาก็ได้นึกถึงศิษย์คนที่แปดอย่างซู่ฮ่องกง “ข้าไม่มีข้อมูลของทางศาลาปีศาจลอยฟ้าเลยยากที่จะแสดงความคิดเห็นได้…แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปศิษย์พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าท่านอาจารย์ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปยุ่งเรื่องของเมืองอันยางหรอก บางทีเป้าหมายที่แท้จริงของเขาอาจจะเป็นเยี่ยนซานก็เป็นได้”
ยู่เฉิงไห่รู้สึกสับสนกับคำพูดของสีวู่หยา “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าคิดยังไงถ้าหากข้าจัดการกับเหวยซู่หยานไป? “
สีวู่หยาได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์พี่อยากฟังความเห็นข้าสินะ…ถ้าหากท่านจัดการเหวยซู่หยานไป แน่นอนว่าภายในราชวงศ์จะต้องเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่แน่ แต่เมื่อมีองค์จักรพรรดิอยู่ข้าไม่คิดว่าองค์ชายทั้งห้าจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ ศิษย์พี่ ท่านน่ะระวังตัวและรอบคอบมาโดยตลอด ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำพลาดเพราะเรื่องแค่นี้ได้”
เมื่อยู่เฉิงไห่ได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้ยิ้มออกมา “ข้าน่ะชอบคำพูดของเจ้าซะจริง…”
“ศิษย์พี่เยินยอข้าเกินไปแล้ว”
“ศิษย์น้องเจ็ด ท่านอาจารย์ได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปก็เพื่อที่จะหาเศษเสี้ยวฟากฟ้า…เจ้ารู้ไหมว่าของพวกนั้นมันมีดีอะไร” ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมา
“เศษเสี้ยวฟากฟ้าสามารถตัดผ่านม่านพลังป้องกันได้อย่างง่ายดาย พวกมันยังเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างอาวุธระดับสรวงสวรรค์อีกด้วย…นอกเหนือจากนั้นข้าไม่คิดว่ามันจะมีอะไรพิเศษมากกว่านี้” สีวู่หยาได้พูดออกมา ตัวเขาเองก็คิดว่ามันไม่ได้สมเหตุสมผลเท่าไหร่ ถ้าหากเศษเสี้ยวฟากฟ้าไม่ได้สำคัญอะไรจริง เหตุใดศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงจะต้องพยายามอย่างยกใหญ่เพื่อตามหามันด้วย? ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ตัวเขาก็ไม่มีวันรู้เรื่องนี้ได้ สิ่งที่สีวู่หยาทำได้มีเพียงคาดเดาต่อไป
ยู่เฉิงไห่จ้องมองไปยังทิศทางที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งอยู่ ตัวเขาได้แต่ถอนใจออกมาเบาๆ ‘สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือทำเรื่องของตัวเองให้ดีที่สุดสินะ’ ในตอนนั้นเองยู่เฉิงไห่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“เด็กๆ “
“ครับ ท่านเจ้าสำนัก”
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ใครก็ตามที่กล้าบุกบ้านสกุลซีในเหตุก่อกบฏที่เมืองอันยาง คนคนนั้นจะต้องรับโทษตามกฏของสำนักอเวจี”
“ครับ ท่านเจ้าสำนัก”
สีวู่หยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเล็กนี้ช่างมีวาสนาจริงๆ ที่ได้รับการดูแลจากศิษย์พี่ใหญ่แบบนี้”
ยู่เฉิงไห่ยิ้มให้ “แม้ว่าพลังวรยุทธของศิษย์น้องเล็กจะไม่ได้ลึกล้ำอะไร แต่นางก็กล้าหาญมากพอที่จะสู้กับศิษย์น้องรองได้ นางสมควรแล้วที่จะได้รับคำชมเชยแบบนี้ ข้ารู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของนางจริงๆ “
“ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่ใหญ่! “
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก “เจ้าแห่งโถงมังกรฟ้าขอเข้าพบครับ”
“ให้เขาเข้ามา”
หลังจากนั้นไม่นานฮั๊วจงหยาง เจ้าแห่งโถงมังกรฟ้าก็เดินเข้าห้องโถงใหญ่มา เมื่อเห็นสีวู่หยาตัวเขาก็ได้คารวะให้ก่อนที่จะหันหน้าไปหายู่เฉิงไห่ “ท่านเจ้าสำนัก ข้ามีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องในเมืองอันยาง”
“ว่ามา”
“ผู้่ที่แอบอ้างเป็นท่านก็คือม่อหลี่จากสำนักแห่งความบริสุทธิ์”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีวู่หยาก็รีบลุกขึ้นยืนในทันที ตัวเขาไม่ได้ดูแปลกใจอะไร มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ยู่เฉิงไห่เองก็ตอบสนองแบบเดียวกัน
สีวู่หยาคารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ขอแสดงความยินดีด้วยศิษย์พี่ใหญ่…นี่ถือเป็นโอกาสอันดีจากสรวงสวรรค์จริงๆ “
ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ถ่ายทอดคำสั่งข้า กวาดล้างสำนักแห่งความบริสุทธิ์ให้ได้ภายในหนึ่งเดือน”
เมื่อฮั๊วจงหยางได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “รับทราบ! พวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่ ท่านเจ้าสำนัก พวกเราจะกวาดล้างสำนักแห่งความบริสุทธิ์ภายในหนึ่งเดือน! “
สีวู่หยาได้พูดขึ้น “ตอนนี้ม่อหลี่ได้รับบาดเจ็บแล้ว ยอดฝีมือจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ฝานลี่เทียนเองก็หายสาบสูญ ในตอนนี้มีเพียงยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ คนคนนั้นก็คือยู่ฮงยี่ ด้วยพลังที่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่มีจะต้องจัดการกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้แน่”
ยู่เฉิงไห่รอโอกาสนี้มานาน สำนักอเวจีสามารถจัดการกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้อยู่แล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาจะต้องพบกับความสูญเสียที่มากเกินไป ยู่เฉิงไห่ที่ไม่อยากเสียกำลังคนไปอย่างเปล่าประโยชน์จึงเลือกที่จะยังไม่ลงมือมาถึงตอนนี้ “ฝานลี่เทียน…ข้าหวังว่าให้มันปรากฏตัวจริงๆ “
ไม่มีใครรู้ว่าฝานลี่เทียนหายไปไหน มีข่าวลือมาว่าฝานลี่เทียนคนนี้เป็นคนรุ่นเดียวกับผู้นำของอัศวินดำอย่างฝานซุยเหวิน ว่ากันว่าเขาได้ออกจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ไปด้วยเหตุผลบางอย่างก่อนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในโลกอันกว้างใหญ่ มีผู้พบเห็นเขาอยู่ที่ทะเลหมอกและหรงเป่ย ไม่มีใครสงสัยเลยว่าฝานลี่เทียนจะเป็นยอดฝีมือที่อายุมากที่สุดของสำนักแห่งความบริสุทธิ์
นับตั้งแต่ที่ยู่เฉิงไห่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้ ตัวเขาก็โหยหาคู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับตัวเขาเหมือนกับศิษย์คนที่สองอย่างยู่ฉางตงมาโดยตลอด…ยู่เฉิงไห่ได้แต่หวังว่าฝานลี่เทียนจะเป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ที่คู่ควรเช่นกัน แม้ว่าจะโหยหาคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจสักแค่ไหนแต่ยู่เฉิงไห่ก็ไม่เคยคิดถึงผู้เป็นอาจารย์ของเขาเลย
…
ลู่โจวไม่ได้คิดจะพักอยู่ที่เมืองอันยาง เขาต้องการจะให้หยวนเอ๋อบอกลาครอบครัวสกุลซีของนางก่อนที่จะกลับศาลาปีศาจลอยฟ้า
การก่อกบฏในเมืองอันยางได้จบลงไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าบ้านสกุลซีจะย้ายไปอยู่ที่ไหนได้
ลู่โจวได้กลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าในช่วงบ่าย
ลู่โจวไม่มีเวลาจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในศาลาปีศาจลอยฟ้า เขาตรงไปที่ห้องลับก่อนที่จะศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ในทันที เมื่อตัวเขาอยู่ในเมืองอันยาง ในตอนนั้นลู่โจวสามารถใช้พลังพิเศษที่มาจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ได้ ดังนั้นลู่โจวจึงตัดสินใจที่จะเก็บตัวเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อไป
เมื่อเหลือบมองไปที่เมนูระบบ ตัวเขาก็เห็นแต้มบุญกว่า 14,170 ที่เหลืออยู่
หากหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงไม่ได้สังหารสุดยอดผู้พิทักษ์ตัวปลอมทั้งสี่ไปตัวเขาก็คงจะต้องสูญเสียแต้มบุญไปมากกว่านี้แน่ หลังจากคิดถึงการ์ดที่ใช้ไป ลู่โจวก็รู้สึกขาดทุนเกินกว่าที่จะยอมรับได้
‘ต้องรีบตุนการ์ดเอาไว้ซะแล้ว! ‘ หลังจากที่พบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อย่างการเพิ่มราคาของการ์ดวิเศษไป ลู่โจวก็คิดถึงสิ่งนี้ขึ้นมา
ลู่โจวได้เรียกร้านค้าของเมนูระบบขึ้น ตัวเขาได้ซื้อการ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตไป 3 ใบด้วยกัน คิดเป็นแต้มบุญถึง 2,400 แต้มบุญ เป็นไปตามที่ลู่โจวคาดคิดเอาไว้ การ์ดการโจมตีของเพรชฆาตราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 แต้มบุญแล้ว เท่ากับว่าหลังจากนี้ลู่โจวจะไม่ได้รับแต้มบุญถ้าหากจัดการกับผู้ฝึกยุทธที่อ่อนแอกว่าผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 4 กลีบ
ลู่โจวได้ซื้อการ์ดป้องกันไร้ที่ติไปอีก 3 ใบ ตัวเขาได้ใช้แต้มบุญ 1,800 แต้มบุญ ตัวเขาไม่ได้ใช้การ์ดป้องกันไร้ที่ติดบ่อยครั้ง ดังนั้นราคามันจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นในตอนนี้
หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้ซื่อการ์ดกรงผนึกกักขังอีก 3 ใบ ตัวเขาได้เสียแต้มบุญไป 1,500 แต้มบุญ การ์ดกรงผนึกกักขังได้ขึ้นราคาเป็น 600 แต้มบุญหลังจากการซื้อในครั้งนี้
สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือการขึ้นราคาของการ์ดวิเศษไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนนั่นเอง
การ์ดกรงผนึกกักขังเพิ่งจะเพิ่มราคาขึ้นมา ถ้าหากซื้อการ์ดกรงผนึกกักขังอีก 3 ใบมันคงจะไม่ขึ้นราคาในตอนนี้
ลู่โจวได้มองไปที่การ์ดคลื่นพลังส่ายฟ้าก่อนที่จะส่ายหัว ตัวเขาไม่ได้คิดที่จะซื้อการ์ดชนิดนี้
ตัวเขาได้ซื้อการ์ดรักษาฉุกเฉินอีก 3 ใบด้วยกัน ลู่โจวได้เสียแต้มบุญทั้งหมด 1,500 แต้ม ครั้งนี้การ์ดรักษาฉุกเฉินไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
หลังจากที่ซื้อของทั้งหมดไป ลู่โจวก็เหลือบดูแต้มบุญที่มีอีกครั้ง ในตอนนี้เขาเหลือแต้มบุญ 6,970 แต้ม การที่จะซื้อพลังร่างอวตารในขั้นถัดไปจะต้องใช้แต้มบุญถึง 20,000 แต้ม การที่จะเก็บแต้มบุญไปถึงตอนนั้นได้คงจะเป็นอะไรที่ยากลำบากมากแน่
ของที่มี: การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาต x4, การ์ดการป้องกันไร้ที่ติ x4, การ์ดประกันชีวิต x7, การ์ดกรงผนึกกักขัง x4, เครื่องรางขัดเกลา x2, การ์ดระเบิดจุดสุดยอด x1, วิซซาร์ด, บี่เอี๊ยน, เศษเสี้ยวฟากฟ้า x7, การ์ดรักษาฉุกเฉิน x3
เมื่อเห็นของที่มีตัวเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา ลู่โจวไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาบุกรุกศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไปด้วยจำนวนการ์ดที่มีทั้งหมด นอกจากนี้ตัวเขายังไม่ต้องกังวลถึงเรื่องราคาที่จะเพิ่มมากขึ้นในตอนนี้ด้วย
ลู่โจวปิดระบบเมนูไปก่อนที่จะเริ่มทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
…
สองวันผ่านไปภายในพริบตา
ที่เชิงเขาของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ชายชราคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนกับขอทานได้ถือน้ำเต้าเข้ามาใกล้ เขาได้โยกตัวไปในขณะที่เดินมาใกล้กับม่านพลังภูเขาทอง ชายคนนั้นได้แต่มองไปที่ม่านพลังก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ชายคนนี้ดูเหมือนกับคนเมาไม่มีผิด “นี่มัน…ช่างสดใสจริงๆ …”
ชายชราคนนั้นได้ต่อไปจนอยู่ใกล้กับม่านพลังไม่ถึงสิบเมตร เขาได้หัวเราะออกมาอย่างโง่เขลาก่อนที่จะหยิบขวดน้ำเต้าออกมา “เอ๊ะ แม่นาง…เหตุใดกันเจ้าถึงต้อง…คุกเข่าอยู่ที่นี่ด้วย? “
หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือฮั๊วยู่จิงนั่นเอง นางเป็นหนึ่งในเทพแห่งมือธนูทั้งสามของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ฮั๊วยู่จิงมองไปที่เขาก่อนที่จะพูดขึ้น “นี่ไม่ใช่ที่สำหรับขอทาน…ที่แห่งนี้คือศาลาปีศาจลอยฟ้า ถ้าหากเจ้ายังรักชีวิตอยู่ข้าคิดว่าเจ้าควรจะรีบหนีไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะ”
เมื่อขอทานชราได้ยินแบบนั้น เขาก็ได้หัวเราะออกมา “ที่นี่…คือศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เกรงกลัวมันเลยล่ะ? “