My Disciples Are All Villains 200

ตอนที่ 200

เหวยซู่หยานได้ทำตามคำแนะนำของหลี่จิงยี่ก่อนที่จะเริ่มล่าถอยกลับไป เจ้าหน้าที่ทั้งสี่เองก็ถอยกลับไปเช่นกัน เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาในระหว่างที่มองแผ่นหลังของหลี่จิงยี่ ‘ใครจะรู้ว่าเหวยซู่หยานจะพึ่งพาหลี่จิงยี่มาโดยตลอด แม้ว่าในตอนที่เหวยซู่หยานตัวจริงยังอยู่ก็ตาม’ ตัวเขาในตอนนี้รู้สึกอ่อนล้า ตัวเขาไม่ได้ต้องการที่จะมาเป็นแม่ทัพหลวงแบบนี้เลย แต่ถึงแบบนั้นเหวยซู่เหลนก็ไม่มีทางเลือก

 

หลี่จิงยี่ได้จ้องมองไปที่ท้องฟ้าก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า เจ้าสำนักอเวจี การที่พวกเราได้พบกับเขาถือว่าเป็นวาสนาแล้ว…ข้าต้องขออภัยด้วยกับความหยาบคายแบบนี้”

 

เสียงที่ดังขึ้นมาจากรถม้ามันฟังดูนุ่มลึกและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “สิ่งที่ข้าต้องการก็คือชีวิตของเหวยซู่หยาน! ” ชายคนที่อยู่ในรถม้าพูดออกมาตรงๆ

 

“ข้าไม่เข้าใจ เพราะอะไรกันสำนักอเวจีถึงได้เข้าไปพัวพันกับพวกกองทัพกบฏเพื่อสร้างความวุ่นวายแบบนี้? ท่านพยายามที่จะเป็นศัตรูกับองค์จักรพรรดิอย่างงั้นหรอ? “

 

“แล้วเจ้าล่ะมีความปรารถนาที่จะตายแต่โดยดีไหม? ” น้ำเสียงของยอดฝีมือที่อยู่บนรถม้าเปี่ยมไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง

 

แม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนแต่ทุกๆ คนต่างก็ได้ยินเสียงนี้

 

ดาบขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันดูแข็งแกร่งและดูเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม

 

ทั้งสองฝ่ายต่างล่าถอยกลับไปคนละฝั่ง

 

แม้แต่ผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากเองยังต้องหวั่นเกรงให้กับการโจมตี

 

ตู๊ม!

 

ช่องว่างของคมดาบได้ขวางปิดกั้นทหารทั้งสองฝ่ายเอาไว้

 

บ้านเรือนที่อยู่ภายในเมืองได้ถูกทำลายเป็นวงกว้าง

 

“แม่ทัพเหวย ถอยเร็วเข้า! ” หลี่จิงยี่ได้เตือนเหวนซู่เหวินเป็นครั้งที่สอง

 

เหวยซู่หยานที่เห็นสถานการณ์ทั้งหมดเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตราย ตัวเขาได้หันหลังก่อนที่จะจากไป เจ้าหน้าที่ทั้งสี่ยังคงตามติดเหวยซู่หยานเอาไว้ พวกเขาได้คุ้มกันปกป้องให้เหวยซู่หยานได้ถอยไปอย่างปลอดภัยจากประตูทางตอนเหนือ

 

“ข้าจะทำให้ความปรารถนาเจ้าสมหวังเอง” คลื่นแห่งจิตสังหารได้พุ่งออกมาจากรถม้าขนาดใหญ่

 

หลี่จิงยี่ขมวดคิ้ว “ข้ารู้ตัวดีว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ท่านเจ้าสำนัก…แต่ว่าข้าจะไม่ถอยกลับไปแน่”

 

ความผันผวนของพลังอันแข็งแกร่งได้ปรากฏขึ้นที่รถม้าขนาดใหญ่

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น หมิงซี่หยินก็ได้แต่ส่ายหัว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวในชุดปักคนนั้นจะกล้าหาญได้มากขนาดนี้ แม้ว่าคนที่อยู่ในรถม้าลอยฟ้าจะเป็นตัวปลอมก็ตามที แต่ถึงแบบนั้นเขาก็มีพลังวรยุทธที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย หรือว่าหญิงสาวคนนี้จะปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้กันแน่? เป็นไปได้ไหมว่านางจะทิ้งตัวเองเอาไว้เป็นเหยื่อล่อศัตรู?

 

 

ในตอนนั้นเองแสงสีฟ้าจางๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นจากบ้านสกุลซี

 

กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์นี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันมามอง

 

ทหารธรรมดาต่างก็ไม่เห็นพลังนี้ มีแต่ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนฟ้าเท่านั้นถึงจะสังเกตเห็นมันได้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นแบบนั้น

 

ในตอนนั้นเองหญิงสาวตัวเล็กที่แสนจะดูสง่างามก็ได้บินออกมาจากบ้านสกุลซี ที่ร่างกายของนางเต็มไปด้วยแสงสีฟ้า เด็กสาวคนนั้นได้ร่อนลงบนดาดฟ้า

 

“ศิษย์น้องเล็ก? ” หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่กลืนน้ำลาย “นี่มันไม่ใช่ผลของชุดขนเมฆาหรอกหรอ? “

 

ต้วนมู่เฉิงตกใจที่เห็นชุดขนเมฆาที่หยวนเอ๋อใส่อยู่ “ข้าว่ามันคือชุดขนเมฆาของแท้เลยล่ะ”

 

หยวนเอ๋อได้ลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างคล่องแคล่วราวกับเด็กที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน…

 

แม้แต่คนที่อยู่บนรถม้าลอยฟ้าต่างก็จับจ้องไปที่หยวนเอ๋อเช่นกัน

 

หมิงซี่หยินได้พึมพำออกมา “ท่านอาจารย์ช่างลำเอียงเกินไปแล้ว…ไม่เพียงแต่สายสะพายนิพพาน ท่านอาจารย์ยังจะมอบชุดคลุมเมฆาให้อีก นี่มันไม่มากไปหน่อยหรอ? “

 

เมื่อหยวนเอ๋อเห็นหมิงซี่หยิน นางก็ได้พูดออกมา “ท่านอาจารย์ได้บอกเอาไว้ว่าอย่าให้หลี่จิงยี่และเหวยซู่หยานต้องตาย”

 

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง “พวกเราจะต้องทำอะไรสักอย่างสินะ? “

 

“เจียงอาเฉียนเพิ่งจะเขียนจดหมายมาให้กับท่านอาจารย์ เจ้านั่นขอให้ท่านอาจารย์เคลื่อนไหวแบบนี้” หยวนเอ๋อได้พูดออกมา

 

“ท่านอาจารย์ช่างจิตใจงดงามจริงๆ …คงเป็นเพราะว่าเจียงอาเฉียนทำงานหนักมาโดยตลอดเพราะแบบนั้นท่านอาจารย์จึงทำเพื่อเจ้านั่นสินะ” หมิงซี่หยินพยักหน้า

 

แต่ถึงแบบนั้นทำไมเจียงอาเฉียนถึงต้องการที่จะช่วยหลี่จิงยี่ด้วยล่ะ?

 

หยวนเอ๋อได้จ้องมองไปที่หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะบินขึ้นไปอีกครั้ง ในครั้งนี้นางกำลังจ้องมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม

 

ทหารกว่าหลายพันคนรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธกว่าหลายร้อยคนต่างก็สบสายตากัน

 

หลี่จิงยี่ได้เห็นหญิงสาวที่อยู่ในชุดขนเมฆา คนที่มีสมบัติล้ำค่าอย่างชุดขนเมฆาได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แม้ว่าหยวนเอ๋อจะเพิ่งฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เมื่อไม่นานมานี้และนางยังไม่มีพลังร่างอวตารดอกบัวที่ผลิกลีบได้ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครที่จะกล้าดูถูกหยวนเอ๋อ

 

เสียงอันนุ่มลึกได้ดังก้องขึ้นมาจากรถม้า “สาวน้อย เจ้าเป็นใครกัน? “

 

หยวนเอ๋อได้เหลือบมองไปที่รถม้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ของข้าได้บอกเอาไว้ว่าไม่ให้ใครแตะต้องหลี่จิงยี่กับเหวยซู่หยาน”

 

รถม้าลอยฟ้าที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้นิ่งเงียบไป ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ในนั้นกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่

 

หลี่จิงยี่ได้คารวะเมื่อได้ยินแบบนั้น “ขอบคุณมากที่ยืนหยัดเพื่อข้าสาวน้อย แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ไม่ควรที่จะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย…เจ้าควรจะอยู่อย่างปลอดภัยจะดีกว่านะ”

 

หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หันไปมองหลี่จิงยี่ก่อนที่จะถามออกมา “เจ้าคือหลี่จิงยี่สินะ? “

 

“ใช่ ข้าเอง” หลี่จิงยี่ได้โค้งคำนับให้อย่างสง่างาม “สาวน้อย บนรถม้าลอยฟ้านั่นมี…ยู่เฉิงไห่ เจ้าสำนักอเวจีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า! เจ้าอย่าเอาชีวิตมาทิ้งอย่างเสียเปล่าจะดีกว่า…”

 

หยวนเอ๋อได้จ้องไปที่รถม้าลอยฟ้า นางได้แต่ขมวดคิ้ว ‘ศิษย์พี่ใหญ่อยู่บนรถม้าลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? ‘ และเนื่องจากการปรากฏตัวของศิษย์พี่รองยู่ฉางตง ทำให้หยวนเอ๋อที่ไม่เคยพบกับผู้ที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่จึงได้เชื่อเรื่องนี้ในทันที

 

หมิงซี่หยินไม่ได้บอกกับหยวนเอ๋อว่าผู้ที่อยู่บนรถม้าคือตัวปลอม ในตอนนี้ตัวเขาได้แต่จ้องไปที่หลี่จิงยี่อย่างสนใจมากกว่า

 

หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังรถม้าลอยฟ้าก่อนที่จะถามออกมาอย่างสับสน “นั่นคือเจ้าสำนักอเวจีจริงๆ อย่างงั้นหรอ? “

 

“ถูกต้องแล้ว”

 

หลี่จิงยี่ยังเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ายังเด็กมาก เพราะแบบนั้นนางจึงได้อธิบายออกมาอย่างใจดี “ที่โลกใบนี้มีสำนักแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าศาลาปีศาจลอยฟ้า ปรมาจารย์เจ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้ามีศิษย์จอมวายร้ายทั้งหมดอยู่ 9 คนด้วยกัน พวกเขาล้วนแต่เป็นเป็นพวกสำนักฝ่ายอธรรม สำนักที่ไม่ยึดถือในเรื่องของคุณธรรม บัดนี้เจ้าสำนักอเวจีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว มีข่าวลือมาว่าเขาเป็นผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบ ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาคนนี้ไม่เคยพบกับคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมแม้แต่คนเดียว”

 

หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นตกตะลึงเล็กน้อย

 

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงที่ดังมาจากรถม้าลอยฟ้าคันเดิมอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร เจ้ายังจะยืนกรานต่อสู้อยู่อีกอย่างงั้นหรอ? “

 

หลี่จิงยี่ได้ตอบกลับมา “ท่านก็รู้คำตอบของข้าไปแล้วท่านเจ้าสำนัก…ข้าไม่มีทางเลือกที่จะถอยได้อีก”

 

ความปลอดภัยของเมืองอันยางถือเป็นสิ่งสำคัญ บางทีโลกของยุทธภพแห่งนี้คงจะผูกพันกับหญิงสาวนางนี้ก็เป็นได้

 

หมิงซี่หยินรู้ดีว่าตัวเขาไม่ใช่วีรบุรุษหรือผู้ที่ยึดถือในคุณธรรม แต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับคิดว่าหญิงสาวนางนี้กลับดูน่าเคารพนับถือ

 

“ถ้าอย่างงั้นเห็นทีเจ้าก็คงจะต้องตายแล้วล่ะ…”

 

ดาบขนาดใหญ่ได้ลอยลงมาจากรถม้าลอยฟ้าอีกครั้ง

 

มันได้หมุนตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปยังเมืองอันยางอีกครั้ง

 

หลี่จิงยี่ได้กระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า นางได้ยกแขนขวาขึ้นมาอย่างหนักแน่น ในตอนนั้นเองม่านพลังป้องกันที่ดูคล้ายกับร่มก็ได้ปรากฏขึ้นเหนือร่างของนาง พลังงานที่เปล่งประกายออกมาดูสดใสราวกับสิ่งมีชีวิต

 

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากทั้งสี่ก็ได้กระโดดลงมาจากรถม้าลอยฟ้า

 

แม้แต่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่เองก็ยังเป็นตัวปลอม เห็นได้ชัดว่าไม่มีสี่ผู้พิทักษ์คนไหนที่มีวรยุทธลึกล้ำสักคน

 

หมิงซี่หยินในตอนนี้ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ท่านอาจารย์ได้พูดเอาไว้ว่าอย่าปล่อยให้หลี่จิงยี่ต้องตาย! “

 

ตู๊ม!

 

หมิงซี่หยินพุ่งไปที่ด้านหน้าของผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากทั้งสี่ ในตอนนั้นเองเคียวแห่งพื้นพิภพก็ได้ปรากฏขึ้น

 

เมื่อต้วนมู่เฉิงเห็นแบบนั้นเขาก็ได้ปล่อยพลังอย่างต่อเนื่องราวกับฝนลูกธนู คลื่นพลังทั้งหมดได้ถาโถมเข้าใส่เหล่าผู้ฝึกยุทธผู้สวมหน้ากาก หลังจากที่ปล่อยพลังออกไปหอกราชันย์ที่อยู่ในมือข้างขวาของต้วนมู่เฉิงก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา

 

“พาสาวน้อยนั่นหนีไปซะ! “

 

“รับทราบ! “

 

ตู้ม!

 

พลังจากแสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดได้เข้าปะทะกับม่านพลังของหลี่จิงยี่

 

พลังของทั้งสองฝ่ายได้มาบรรจบกัน คลื่นพลังได้กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ได้แผ่ออกไปทั่วสนามการต่อสู้ในระยะกว่า 100 เมตร

 

หลี่จิงยี่ยังคงยืนหยัดอยู่บนท้องฟ้า นางได้เหลือบมองไปที่ด้านล่าง “สาวน้อย หนีไปเร็วเข้า…” หยวนเอ๋อไม่ฟัง นางได้ยกมือขึ้นก่อนที่จะปล่อยพลังโจมตีเข้าใส่เหล่าผู้ฝึกยุทธผู้สวมหน้ากาก หลี่จิงยี่ตั้งใจที่จะป้องกันการโจมตีก็เพื่อที่จะซื้อเวลาให้หยวนเอ๋อหนีไป

 

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกสับสน ‘ข้าดูเหมือนคนที่ขี้ขลาดขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? ‘

 

ชุดขนเมฆาได้กระพือไปตามสายลม คลื่นพลังทั้งหมดที่หลุดรอดมาจากม่านพลังป้องกันได้หายไปเมื่อเข้าไปใกล้หยวนเอ๋อ

 

ทันใดนั้นเองสายสะพายนิพพานก็ได้ปรากฏขึ้น “เจ็ดดวงดาวล่องเมฆาบดขยี้! “

 

สายสะพายสีแดงได้พันรอบตัวของผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากเอาไว้

 

ทุกๆ คนต่างก็อ้าปากค้างอย่างเจ็บปวด นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นตกใจอย่างแท้จริงสำหรับผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์

 

‘สาวน้อยคนนี้จะต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดาแน่ นางมีสมบัติล้ำค่ามากมายหลายอย่างเลยทีเดียว’

 

แม้ว่าชุดขนเมฆาจะไม่ใช่อาวุธ แต่ถึงแบบนั้นถ้าหากจะวัดคุณภาพของมันก็คงจะไม่แพ้อาวุธระดับสรวงสวรรค์เลย

 

“นี่คือทั้งหมดที่พวกเจ้ามีแล้วสินะ? ” หยวนเอ๋อได้ใช้สายสะพายเข้าโจมตีศัตรูได้สำเร็จ

 

หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงในตอนนี้นำหน้าหยวนเอ๋อไปแล้ว

 

หลี่จิงยี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของหยวนเอ๋อ “สาวน้อยคนนี้…” ในตอนนั้นเองนางก็ได้กวาดตาไปดูหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิง

 

แต่ไม่ทันที่จะทำอะไรลำแสงสีม่วงอันแปลกประหลาดก็ได้พุ่งออกมาจากรถม้าลอยฟ้า มันดูคล้ายกับระเบิดพลังงานแต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ระเบิดพลังงานซะทีเดียว

 

หลี่จิงยี่ได้ยกมือขึ้นก่อนที่จะปล่อยพลังลมปราณของตัวเองใส่คลื่นพลังนั้น “ไม่ได้ผลอย่างงั้นหรอ? ” ในพริบตาเดียวหลี่จิงยี่ก็รู้ได้ทันทีว่าพลังที่แปลกประหลาดนี้คือเวทมนตร์คาถา ยิ่งไปกว่านั้นพลังนี้เองกำลังพุ่งตรงไปหาหยวนเอ๋อ…

 

ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นเร็วจนเกินไป มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หยวนเอ๋อกำลังบุกโจมตีเข้าไป

 

“สาวน้อย อภัยให้ข้าด้วย ข้าทำดีที่สุดแล้ว! ” หลี่จิงยี่ได้เหลือบมองไปที่รถม้าลอยฟ้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง

 

ถ้าอยากจะปราบพวกโจรได้ก็ต้องจับหัวโจกของมันก่อน!

 

เหวยซู่หยานได้ทำตามคำแนะนำของหลี่จิงยี่ก่อนที่จะเริ่มล่าถอยกลับไป เจ้าหน้าที่ทั้งสี่เองก็ถอยกลับไปเช่นกัน เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาในระหว่างที่มองแผ่นหลังของหลี่จิงยี่ ‘ใครจะรู้ว่าเหวยซู่หยานจะพึ่งพาหลี่จิงยี่มาโดยตลอด แม้ว่าในตอนที่เหวยซู่หยานตัวจริงยังอยู่ก็ตาม’ ตัวเขาในตอนนี้รู้สึกอ่อนล้า ตัวเขาไม่ได้ต้องการที่จะมาเป็นแม่ทัพหลวงแบบนี้เลย แต่ถึงแบบนั้นเหวยซู่เหลนก็ไม่มีทางเลือก

 

หลี่จิงยี่ได้จ้องมองไปที่ท้องฟ้าก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า เจ้าสำนักอเวจี การที่พวกเราได้พบกับเขาถือว่าเป็นวาสนาแล้ว…ข้าต้องขออภัยด้วยกับความหยาบคายแบบนี้”

 

เสียงที่ดังขึ้นมาจากรถม้ามันฟังดูนุ่มลึกและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “สิ่งที่ข้าต้องการก็คือชีวิตของเหวยซู่หยาน! ” ชายคนที่อยู่ในรถม้าพูดออกมาตรงๆ

 

“ข้าไม่เข้าใจ เพราะอะไรกันสำนักอเวจีถึงได้เข้าไปพัวพันกับพวกกองทัพกบฏเพื่อสร้างความวุ่นวายแบบนี้? ท่านพยายามที่จะเป็นศัตรูกับองค์จักรพรรดิอย่างงั้นหรอ? “

 

“แล้วเจ้าล่ะมีความปรารถนาที่จะตายแต่โดยดีไหม? ” น้ำเสียงของยอดฝีมือที่อยู่บนรถม้าเปี่ยมไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง

 

แม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนแต่ทุกๆ คนต่างก็ได้ยินเสียงนี้

 

ดาบขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันดูแข็งแกร่งและดูเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม

 

ทั้งสองฝ่ายต่างล่าถอยกลับไปคนละฝั่ง

 

แม้แต่ผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากเองยังต้องหวั่นเกรงให้กับการโจมตี

 

ตู๊ม!

 

ช่องว่างของคมดาบได้ขวางปิดกั้นทหารทั้งสองฝ่ายเอาไว้

 

บ้านเรือนที่อยู่ภายในเมืองได้ถูกทำลายเป็นวงกว้าง

 

“แม่ทัพเหวย ถอยเร็วเข้า! ” หลี่จิงยี่ได้เตือนเหวนซู่เหวินเป็นครั้งที่สอง

 

เหวยซู่หยานที่เห็นสถานการณ์ทั้งหมดเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตราย ตัวเขาได้หันหลังก่อนที่จะจากไป เจ้าหน้าที่ทั้งสี่ยังคงตามติดเหวยซู่หยานเอาไว้ พวกเขาได้คุ้มกันปกป้องให้เหวยซู่หยานได้ถอยไปอย่างปลอดภัยจากประตูทางตอนเหนือ

 

“ข้าจะทำให้ความปรารถนาเจ้าสมหวังเอง” คลื่นแห่งจิตสังหารได้พุ่งออกมาจากรถม้าขนาดใหญ่

 

หลี่จิงยี่ขมวดคิ้ว “ข้ารู้ตัวดีว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ท่านเจ้าสำนัก…แต่ว่าข้าจะไม่ถอยกลับไปแน่”

 

ความผันผวนของพลังอันแข็งแกร่งได้ปรากฏขึ้นที่รถม้าขนาดใหญ่

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น หมิงซี่หยินก็ได้แต่ส่ายหัว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวในชุดปักคนนั้นจะกล้าหาญได้มากขนาดนี้ แม้ว่าคนที่อยู่ในรถม้าลอยฟ้าจะเป็นตัวปลอมก็ตามที แต่ถึงแบบนั้นเขาก็มีพลังวรยุทธที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย หรือว่าหญิงสาวคนนี้จะปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้กันแน่? เป็นไปได้ไหมว่านางจะทิ้งตัวเองเอาไว้เป็นเหยื่อล่อศัตรู?

 

 

ในตอนนั้นเองแสงสีฟ้าจางๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นจากบ้านสกุลซี

 

กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์นี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันมามอง

 

ทหารธรรมดาต่างก็ไม่เห็นพลังนี้ มีแต่ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนฟ้าเท่านั้นถึงจะสังเกตเห็นมันได้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นแบบนั้น

 

ในตอนนั้นเองหญิงสาวตัวเล็กที่แสนจะดูสง่างามก็ได้บินออกมาจากบ้านสกุลซี ที่ร่างกายของนางเต็มไปด้วยแสงสีฟ้า เด็กสาวคนนั้นได้ร่อนลงบนดาดฟ้า

 

“ศิษย์น้องเล็ก? ” หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่กลืนน้ำลาย “นี่มันไม่ใช่ผลของชุดขนเมฆาหรอกหรอ? “

 

ต้วนมู่เฉิงตกใจที่เห็นชุดขนเมฆาที่หยวนเอ๋อใส่อยู่ “ข้าว่ามันคือชุดขนเมฆาของแท้เลยล่ะ”

 

หยวนเอ๋อได้ลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างคล่องแคล่วราวกับเด็กที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน…

 

แม้แต่คนที่อยู่บนรถม้าลอยฟ้าต่างก็จับจ้องไปที่หยวนเอ๋อเช่นกัน

 

หมิงซี่หยินได้พึมพำออกมา “ท่านอาจารย์ช่างลำเอียงเกินไปแล้ว…ไม่เพียงแต่สายสะพายนิพพาน ท่านอาจารย์ยังจะมอบชุดคลุมเมฆาให้อีก นี่มันไม่มากไปหน่อยหรอ? “

 

เมื่อหยวนเอ๋อเห็นหมิงซี่หยิน นางก็ได้พูดออกมา “ท่านอาจารย์ได้บอกเอาไว้ว่าอย่าให้หลี่จิงยี่และเหวยซู่หยานต้องตาย”

 

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง “พวกเราจะต้องทำอะไรสักอย่างสินะ? “

 

“เจียงอาเฉียนเพิ่งจะเขียนจดหมายมาให้กับท่านอาจารย์ เจ้านั่นขอให้ท่านอาจารย์เคลื่อนไหวแบบนี้” หยวนเอ๋อได้พูดออกมา

 

“ท่านอาจารย์ช่างจิตใจงดงามจริงๆ …คงเป็นเพราะว่าเจียงอาเฉียนทำงานหนักมาโดยตลอดเพราะแบบนั้นท่านอาจารย์จึงทำเพื่อเจ้านั่นสินะ” หมิงซี่หยินพยักหน้า

 

แต่ถึงแบบนั้นทำไมเจียงอาเฉียนถึงต้องการที่จะช่วยหลี่จิงยี่ด้วยล่ะ?

 

หยวนเอ๋อได้จ้องมองไปที่หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะบินขึ้นไปอีกครั้ง ในครั้งนี้นางกำลังจ้องมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม

 

ทหารกว่าหลายพันคนรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธกว่าหลายร้อยคนต่างก็สบสายตากัน

 

หลี่จิงยี่ได้เห็นหญิงสาวที่อยู่ในชุดขนเมฆา คนที่มีสมบัติล้ำค่าอย่างชุดขนเมฆาได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แม้ว่าหยวนเอ๋อจะเพิ่งฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เมื่อไม่นานมานี้และนางยังไม่มีพลังร่างอวตารดอกบัวที่ผลิกลีบได้ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครที่จะกล้าดูถูกหยวนเอ๋อ

 

เสียงอันนุ่มลึกได้ดังก้องขึ้นมาจากรถม้า “สาวน้อย เจ้าเป็นใครกัน? “

 

หยวนเอ๋อได้เหลือบมองไปที่รถม้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ของข้าได้บอกเอาไว้ว่าไม่ให้ใครแตะต้องหลี่จิงยี่กับเหวยซู่หยาน”

 

รถม้าลอยฟ้าที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้นิ่งเงียบไป ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ในนั้นกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่

 

หลี่จิงยี่ได้คารวะเมื่อได้ยินแบบนั้น “ขอบคุณมากที่ยืนหยัดเพื่อข้าสาวน้อย แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ไม่ควรที่จะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย…เจ้าควรจะอยู่อย่างปลอดภัยจะดีกว่านะ”

 

หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หันไปมองหลี่จิงยี่ก่อนที่จะถามออกมา “เจ้าคือหลี่จิงยี่สินะ? “

 

“ใช่ ข้าเอง” หลี่จิงยี่ได้โค้งคำนับให้อย่างสง่างาม “สาวน้อย บนรถม้าลอยฟ้านั่นมี…ยู่เฉิงไห่ เจ้าสำนักอเวจีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า! เจ้าอย่าเอาชีวิตมาทิ้งอย่างเสียเปล่าจะดีกว่า…”

 

หยวนเอ๋อได้จ้องไปที่รถม้าลอยฟ้า นางได้แต่ขมวดคิ้ว ‘ศิษย์พี่ใหญ่อยู่บนรถม้าลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? ‘ และเนื่องจากการปรากฏตัวของศิษย์พี่รองยู่ฉางตง ทำให้หยวนเอ๋อที่ไม่เคยพบกับผู้ที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่จึงได้เชื่อเรื่องนี้ในทันที

 

หมิงซี่หยินไม่ได้บอกกับหยวนเอ๋อว่าผู้ที่อยู่บนรถม้าคือตัวปลอม ในตอนนี้ตัวเขาได้แต่จ้องไปที่หลี่จิงยี่อย่างสนใจมากกว่า

 

หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังรถม้าลอยฟ้าก่อนที่จะถามออกมาอย่างสับสน “นั่นคือเจ้าสำนักอเวจีจริงๆ อย่างงั้นหรอ? “

 

“ถูกต้องแล้ว”

 

หลี่จิงยี่ยังเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ายังเด็กมาก เพราะแบบนั้นนางจึงได้อธิบายออกมาอย่างใจดี “ที่โลกใบนี้มีสำนักแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าศาลาปีศาจลอยฟ้า ปรมาจารย์เจ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้ามีศิษย์จอมวายร้ายทั้งหมดอยู่ 9 คนด้วยกัน พวกเขาล้วนแต่เป็นเป็นพวกสำนักฝ่ายอธรรม สำนักที่ไม่ยึดถือในเรื่องของคุณธรรม บัดนี้เจ้าสำนักอเวจีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว มีข่าวลือมาว่าเขาเป็นผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบ ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาคนนี้ไม่เคยพบกับคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมแม้แต่คนเดียว”

 

หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นตกตะลึงเล็กน้อย

 

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงที่ดังมาจากรถม้าลอยฟ้าคันเดิมอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร เจ้ายังจะยืนกรานต่อสู้อยู่อีกอย่างงั้นหรอ? “

 

หลี่จิงยี่ได้ตอบกลับมา “ท่านก็รู้คำตอบของข้าไปแล้วท่านเจ้าสำนัก…ข้าไม่มีทางเลือกที่จะถอยได้อีก”

 

ความปลอดภัยของเมืองอันยางถือเป็นสิ่งสำคัญ บางทีโลกของยุทธภพแห่งนี้คงจะผูกพันกับหญิงสาวนางนี้ก็เป็นได้

 

หมิงซี่หยินรู้ดีว่าตัวเขาไม่ใช่วีรบุรุษหรือผู้ที่ยึดถือในคุณธรรม แต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับคิดว่าหญิงสาวนางนี้กลับดูน่าเคารพนับถือ

 

“ถ้าอย่างงั้นเห็นทีเจ้าก็คงจะต้องตายแล้วล่ะ…”

 

ดาบขนาดใหญ่ได้ลอยลงมาจากรถม้าลอยฟ้าอีกครั้ง

 

มันได้หมุนตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปยังเมืองอันยางอีกครั้ง

 

หลี่จิงยี่ได้กระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า นางได้ยกแขนขวาขึ้นมาอย่างหนักแน่น ในตอนนั้นเองม่านพลังป้องกันที่ดูคล้ายกับร่มก็ได้ปรากฏขึ้นเหนือร่างของนาง พลังงานที่เปล่งประกายออกมาดูสดใสราวกับสิ่งมีชีวิต

 

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากทั้งสี่ก็ได้กระโดดลงมาจากรถม้าลอยฟ้า

 

แม้แต่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่เองก็ยังเป็นตัวปลอม เห็นได้ชัดว่าไม่มีสี่ผู้พิทักษ์คนไหนที่มีวรยุทธลึกล้ำสักคน

 

หมิงซี่หยินในตอนนี้ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ท่านอาจารย์ได้พูดเอาไว้ว่าอย่าปล่อยให้หลี่จิงยี่ต้องตาย! “

 

ตู๊ม!

 

หมิงซี่หยินพุ่งไปที่ด้านหน้าของผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากทั้งสี่ ในตอนนั้นเองเคียวแห่งพื้นพิภพก็ได้ปรากฏขึ้น

 

เมื่อต้วนมู่เฉิงเห็นแบบนั้นเขาก็ได้ปล่อยพลังอย่างต่อเนื่องราวกับฝนลูกธนู คลื่นพลังทั้งหมดได้ถาโถมเข้าใส่เหล่าผู้ฝึกยุทธผู้สวมหน้ากาก หลังจากที่ปล่อยพลังออกไปหอกราชันย์ที่อยู่ในมือข้างขวาของต้วนมู่เฉิงก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา

 

“พาสาวน้อยนั่นหนีไปซะ! “

 

“รับทราบ! “

 

ตู้ม!

 

พลังจากแสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดได้เข้าปะทะกับม่านพลังของหลี่จิงยี่

 

พลังของทั้งสองฝ่ายได้มาบรรจบกัน คลื่นพลังได้กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ได้แผ่ออกไปทั่วสนามการต่อสู้ในระยะกว่า 100 เมตร

 

หลี่จิงยี่ยังคงยืนหยัดอยู่บนท้องฟ้า นางได้เหลือบมองไปที่ด้านล่าง “สาวน้อย หนีไปเร็วเข้า…” หยวนเอ๋อไม่ฟัง นางได้ยกมือขึ้นก่อนที่จะปล่อยพลังโจมตีเข้าใส่เหล่าผู้ฝึกยุทธผู้สวมหน้ากาก หลี่จิงยี่ตั้งใจที่จะป้องกันการโจมตีก็เพื่อที่จะซื้อเวลาให้หยวนเอ๋อหนีไป

 

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกสับสน ‘ข้าดูเหมือนคนที่ขี้ขลาดขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ? ‘

 

ชุดขนเมฆาได้กระพือไปตามสายลม คลื่นพลังทั้งหมดที่หลุดรอดมาจากม่านพลังป้องกันได้หายไปเมื่อเข้าไปใกล้หยวนเอ๋อ

 

ทันใดนั้นเองสายสะพายนิพพานก็ได้ปรากฏขึ้น “เจ็ดดวงดาวล่องเมฆาบดขยี้! “

 

สายสะพายสีแดงได้พันรอบตัวของผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากเอาไว้

 

ทุกๆ คนต่างก็อ้าปากค้างอย่างเจ็บปวด นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นตกใจอย่างแท้จริงสำหรับผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์

 

‘สาวน้อยคนนี้จะต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดาแน่ นางมีสมบัติล้ำค่ามากมายหลายอย่างเลยทีเดียว’

 

แม้ว่าชุดขนเมฆาจะไม่ใช่อาวุธ แต่ถึงแบบนั้นถ้าหากจะวัดคุณภาพของมันก็คงจะไม่แพ้อาวุธระดับสรวงสวรรค์เลย

 

“นี่คือทั้งหมดที่พวกเจ้ามีแล้วสินะ? ” หยวนเอ๋อได้ใช้สายสะพายเข้าโจมตีศัตรูได้สำเร็จ

 

หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงในตอนนี้นำหน้าหยวนเอ๋อไปแล้ว

 

หลี่จิงยี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของหยวนเอ๋อ “สาวน้อยคนนี้…” ในตอนนั้นเองนางก็ได้กวาดตาไปดูหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิง

 

แต่ไม่ทันที่จะทำอะไรลำแสงสีม่วงอันแปลกประหลาดก็ได้พุ่งออกมาจากรถม้าลอยฟ้า มันดูคล้ายกับระเบิดพลังงานแต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ระเบิดพลังงานซะทีเดียว

 

หลี่จิงยี่ได้ยกมือขึ้นก่อนที่จะปล่อยพลังลมปราณของตัวเองใส่คลื่นพลังนั้น “ไม่ได้ผลอย่างงั้นหรอ? ” ในพริบตาเดียวหลี่จิงยี่ก็รู้ได้ทันทีว่าพลังที่แปลกประหลาดนี้คือเวทมนตร์คาถา ยิ่งไปกว่านั้นพลังนี้เองกำลังพุ่งตรงไปหาหยวนเอ๋อ…

 

ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นเร็วจนเกินไป มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หยวนเอ๋อกำลังบุกโจมตีเข้าไป

 

“สาวน้อย อภัยให้ข้าด้วย ข้าทำดีที่สุดแล้ว! ” หลี่จิงยี่ได้เหลือบมองไปที่รถม้าลอยฟ้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง

 

ถ้าอยากจะปราบพวกโจรได้ก็ต้องจับหัวโจกของมันก่อน!

 

My Disciples Are All Villains

My Disciples Are All Villains

Score 10
Status: Completed
ลู่โจว ชายคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลและพบว่าตัวเขานั้นกำลังอยู่ในร่างกายของใครบางคนอยู่ เขาคนนี้กำลังอยู่ในร่างกายของปรมาจารย์ผู้ชั่วร้ายนามว่าจีเทียนเด๋า ชายคนนี้เป็นผู้ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกใบใหม่นั่นเอง! แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น ร่างกายของจีเทียนเด๋าผู้นี้นั้นแก่ชราเกินไป พลังวรยุทธ์ทั้งหมดที่เคยมีเองยังสูญหายไปอีกด้วย นี่ฉันจะต้องกลายเป็นคนแก่ไร้ค่าไปแล้วอย่างงั้นหรอ? นอกจากตัวเขาแล้วยังมีลูกศิษย์ที่โหดเหี้ยมและเป็นจอมมหาวายร้ายอีก 9 คน ลูกศิษย์ทั้ง 9 ต่างก็จ้องที่จะโค่นอาจารย์คนนี้อยู่ตลอดเวลา

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options

not work with dark mode
Reset