หอกราชันย์เป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ใช้ที่มีความสามารถมากพอจะสามารถใช้มันทะลวงผ่านม่านพลังป้องกันไปได้
ด้วยพลังที่ต้วนมู่เฉิงเพิ่งจะแสดงไปทำให้หมิงซี่หยินมีความมั่นใจมากขึ้น ตัวเขาได้พุ่งตัวไปราวกับลูกศร กงชีและกงจางที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “ข้าจะจัดการพวกงี่เง่านี่เอง! “
ต้วนมู่เฉิงรู้ดีว่าจะต้องทำยังไง นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จะต้องร่วมมือกันถึงจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ สิ่งที่ตัวเขาต้องทำนั้นง่ายมาก ตัวเขาจะต้องแยกนักบวชออกจากกัน ต้วนมู่เฉิงที่คิดได้แบบนั้นก็ได้ใช้หอกราชันย์ผลักกงเหวินและกงจือให้ถอยกลับไป
ในตอนนั้นเองก็มีพลังฝ่ามือปรากฏขึ้น กงเหวินและกงจือได้ปล่อยพลังฝ่ามือกว่าหลายสิบฝ่ามือลอยสวนกลับมากลางอากาศ
การต่อสู้ที่ดุเดือดได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
กงชีและกงจางเองก็ต้องถอยห่างเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือแต่การจะต้านทานพลังจากอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เสียงสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์ได้ดังและชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในตอนนี้การต่อสู้ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดเต็มที
เหล่าสาวกนักบวชของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ได้ลงไปนอนกองกับพื้นเกือบหมดแล้ว นักบวชผู้ที่มีพลังวรยุทธต่ำต้อยในตอนนี้ได้แต่นอนน้ำลายฟูมปาก
บทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์ไม่ต่างอะไรจากการโจมตีทางกายภาพ
กระถางธูปอันใหญ่ยักษ์ถูกพลังฝ่ามือกว่าหลายสิบฝ่ามือด้วยกันจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สถานที่ที่เป็นที่ต่อสู้เสียหายหนักเกินกว่าที่ใครจะจำมันได้ ในตอนนี้ไม่มีพื้นที่ที่มีสภาพดีเหลือเอาไว้แม้แต่ตารางเดียว
สำหรับต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยิน การที่จะพรากเหล่านักบวชทั้งสี่ออกจากกันได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้แต่ต่อสู้กับคู่ต่อสู้สองคนไปพร้อมๆ กัน
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่แตกต่างกับอัศวินดำทั้งสี่ อัศวินดำทั้งสี่ถนัดที่จะต่อสู้คนเดียว แม้ว่าจะทำงานร่วมกันแต่ท้ายที่สุดแล้วพลังวรยุทธหรือกระบวนท่าการโจมตีที่พวกเขามีก็ไม่อาจที่จะใช้ร่วมกันได้
แม้ว่านักบวชศักดิ์สิทธิ์จะถูกแยกโดยต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยิน แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังปล่อยพลังฝ่ามืออันทรงพลังเพื่อผลักดันต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินให้ถอยกลับมาได้อยู่ดี
นิสัยอันเกรี้ยวกราดของต้วนมู่เฉิงได้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ในระหว่างการต่อสู้ ยิ่งคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ตัวเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าจะต้องถูกพลังฝ่ามือซัดใส่สักกี่ครั้ง สำหรับต้วนมู่เฉิงแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกฮึดมากขึ้นก่อนที่จะโจมตีต่อไป ในตอนนี้ต้วนมู่เฉิงได้โจมตีอย่างต่อเนื่องจนไม่มีจังหวะให้คู่ต่อสู้ได้พักแล้ว
ส่วนนิสัยของหมิงซี่หยินนั้นไม่เหมือนกับผู้เป็นศิษย์พี่ ตัวเขามีนิสัยที่เจ้าเล่ห์มากกว่า หมิงซี่หยินได้หลบการโจมตีอย่างว่องไวก่อนที่จะหาช่องว่างของคู่ต่อสู้และโจมตีสวนกลับ
ส่วนคู่ต่อสู้ทั้งสี่เองก็ได้แต่หลบหลีกการโจมตีก่อนที่จะซัดพลังฝ่ามือเข้าใส่ และเพราะแบบนั้นเองใกล้ๆ กับโถงแห่งพลังจึงเต็มไปด้วยพลังฝ่ามือสีทองระยิบระยับ
ในขณะที่การต่อสู้กำลังดำเนินต่อไป นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ได้แต่ประหลาดใจกับความแข็งแกร่งที่ต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินมี พวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าทั้งต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ อีกทั้งพวกเขาทั้งสองยังมีอาวุธระดับสรวงสวรรค์สุดแข็งแกร่งอยู่ในครอบครองอีกด้วย
โดยปกติแล้วการที่นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จะจัดการกับผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 2-3 กลีบได้ไม่เคยใช้เวลานานขนาดนี้มาก่อน
กงเหวินไม่ต้องการต่อสู้นานไปกว่านี้ ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง “เขตมุทรา! “
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้ถอยกลับมาอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้หมุนฝ่ามือขึ้น ตอนนั้นเองพลังมุทราก็ได้ปรากฏขึ้น
พลังมุทราที่ปรากฏขึ้นเป็นพลังป้องกันที่ดูโปร่งใสคล้ายกับรังไหม พลังนี้เองเป็นเหมือนกับพลังป้องกันที่ทรงพลังของเหล่านักบวชศักดิ์สิทธิ์
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ตะโกนขึ้นมา “ข้ารอกระบวนท่าป้องกันแบบนี้อยู่นานแล้ว! ” หลังพูดจบต้วนมู่เฉิงก็ใช้หอกของเขาพุ่งไปด้านหน้าอีกครั้ง ต้วนมู่เฉิงในตอนนี้ไม่ได้สนใจการป้องกันอะไรอีกต่อไป ตัวเขาได้ใช้แขนทั้งสองข้างที่ถือหอกราชันย์แทงไปที่เหล่านักบวขศักดิ์สิทธิ์
ตู๊ม!
กงจือที่ที่รับการโจมตีเข้าไปเหยียบพื้นอย่างหนักหน่วง พื้นที่กงจือเหยียบได้แตกละเอียดเป็นผุยผง
เขตมุทราได้ส่งเสียงดังลั่น เป็นที่รู้กันดีว่าถ้าหากมีผู้ใช้กระบวนท่าพลังป้องกันขึ้นมา คนคนนั้นจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
กงจือคิดไว้เสมอว่าเขตมุทราจะทำให้การต่อสู้สิ้นสุดลงได้ ตัวเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้วนมู่เฉิงจะแทงไปที่เขตมุทราตรงๆ แบบนี้
แทงครั้งที่ 1, 2 และแทงครั้งที่ 3…
หอกราชันย์ได้เคลื่อนไหวรวดเร็วจนแทบที่จะมองตามไม่ทัน มันได้กระหน่ำโจมตีอย่างไม่หยุดพัก
ตู๊ม!
และเมื่อภาพซ้อนของหอกราชันย์มาบรรจบกันมันก็ได้แทงไปที่เขตมุทราอีกครั้ง
กงจือได้กระเด็นถอยกลับไป ที่ปากของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด ร่างของกงจือกำลังลอยอยู่บนอากาศ
‘ต้วนมู่เฉิงโจมตีทะลุเขตมุทราได้อย่างงั้นหรอ? ‘ ถ้าหากไม่เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเองการที่จะเชื่อว่ามันเป็นความจริงก็คงจะเป็นไปได้ยาก ท้ายที่สุดแล้วเขตมุทราเป็นเหมือนกับเคล็ดวิชาป้องกันสุดแข็งแกร่งของวิถีเซน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่อาจที่จะเทียบเท่าได้กับพลังผนึกตราประทับทั้งหกของฮั๊ววู่เด๋าได้เลย
ต้วนมู่เฉิงได้หัวเราะเยาะเย้ยออกมา ถ้าหากตัวเขาไม่เสียเวลาประลองฝีมือกับฮั๊ววู่เด๋าอยู่นานตัวเขาก็คงจะไม่สามารถทำลายการป้องกันนี้ได้
หมิงซี่หยินได้หันไปมองก่อนที่จะกระโดดกลับไป
แม้ว่าซู่จิ้งจะอ่อนแรงมากแล้วแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังจะพอมีแรงลืมตาตื่นขึ้น ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ระวังด้วย…”
‘ระวัง? ‘ ลู่โจวเป็นคนที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับบทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์ เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วทุกอย่างในตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของศาลาปีศาจลอยฟ้า ด้วยฝีมือของสาวกของทั้งสองคน ลู่โจวก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียการ์ดวิเศษแต่อย่างใด
กงเหวิน, กงชี และกงฟางเองต่างขมวดคิ้ว
กงจือได้ร่วงลงสู่พื้น ตัวเขาได้แต่เอามือข้างหนึ่งทาบลงไปบนอก กงจือได้โบกมือซ้ายเพื่อเดินพลังลมปราณตัวเอง หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้เช็ดคราบเลือดออกจากริมฝีปากไป กงจือได้จ้องมองไปที่นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก่อนที่จะพูดขึ้น “พวกเรามาเริ่มกันเถอะ…”
“เข้าใจได้แล้ว” กงเหวินตอบกลับมา
กงชีและกงจางเองก็พยักหน้า
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกสับสน ‘เจ้าพวกนี้จะทำอะไรกัน? ‘
ทันใดนั้นเองเหล่าสาวกนักบวชจากวิหารแห่งความว่างเปล่าทั้ง 20 คนก็ได้นั่งลงกับพื้น
ทันทีที่นั่งลงคลื่นพลังก็ได้กระจายไปทั่วทุกทิศทาง
“บทสวดไทเอ็นอย่างงั้นหรอ? “
บทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์ได้เงียบหายไป ในตอนนั้นเองเสียงบทสวดไทเอ็นได้ดังขึ้นมาแทน
ในตอนนี้พวกเขาตั้งใจที่จะสังหารทุกคน!
ลู่โจวไม่ได้คาดหวังว่านักบวชจากวิหารแห่งความว่างเปล่าจะเชี่ยวชาญในการท่องบทสวดไทเอ็นแบบนี้ได้ ในการใช้เสียงโจมตีของชาวพุทธมีหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบทสวดแห่งสมาธิหรือแม้แต่จะเป็นบทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์ก็ตาม ทั้งสองล้วนแต่เป็นเทคนิคการใช้เสียงโจมตีอย่างหนึ่งที่สามารถใช้ได้ผลกับศัตรูเป็นวงกว้างได้
แต่ในบรรดาบทสวดทั้งหมดบทสวดไทเอ็นแตกต่างออกไป มันเป็นบทสวดที่อันตรายถึงชีวิตได้!
“ขจัดความชั่วร้ายให้หมดไป ละทิ้งทุกข้อสงสัย ไร้ซึ่งความลังเล”
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ดูเหมือนจะเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองด้วยบทสวดไทเอ็น!
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงเองอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ไม่มีสาวกของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์คนใดยืนอยู่ได้ ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาทั้งหมดจะต้องตายแน่
ในขณะนั้นเองที่ฝ่ามือของลู่โจวก็ได้ส่องแสงริบหรี่ออกมา
บทสวดไทเอ็น เป็นเหมือนกับบทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์ที่ร้ายแรงยิ่งกว่า มันสามารถใช้คร่าชีวิตโดยตรงได้
ลู่โจวรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกภายในจิตใจของตัวเองได้ ตอนนี้ตัวเขารู้แล้วว่าทำไมซู่จิ้งถึงได้บอกให้ตัวเขาระวังตัวเองเอาไว้
ถ้าหากนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ร่วมมือกันจริงๆ ต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้วอย่างแน่นอน ลู่โจวจะไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด!
ลู่โจวที่ยืนอยู่ได้หันไปมองนักบวชทั้ง 20 คนที่มาจากวิหารแห่งความว่างเปล่า เหล่านักบวชกำลังสวดไทเอ็นโดยที่ไม่ได้สนใจอะไร ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้พูดขึ้น “คลื่นสายฟ้าฟาด! “
การ์ดคลื่นสายฟ้าฟาดได้หายไปจากมือของลู่โจว ในตอนนั้นเองกระแสคลื่นพลังก็ได้ไหลเวียนอยู่บนชั้นบรรยากาศ ในตอนนี้มันเริ่มขยายขนาดกำลังเพิ่มขึ้น
“ท่านอาจารย์เคลื่อนไหวแล้ว! ” หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ล่าถอยกลับไป
สายฟ้าฟาดทั้งห้าสายได้ฟาดลงมาจากสรวงสวรรค์
ตู๊ม!
ในตอนนั้นเองเสียงจากการโจมตีก็ได้ดังขึ้นมากะทันหัน
การโจมตีของลู่โจวได้ถาโถมเข้าใส่นักบวชทั้งห้า นักบวชสองคนถูกระเบิดไปในทันที ส่วนนักบวชที่เหลือต่างก็กระเด็นถอยกลับไป นักบวชอีก 15 คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตกใจ พวกเขาที่ตกใจจึงหยุดสวดไทเอ็นอย่างกะทันหัน
ลู่โจวส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ‘โชคไม่ดีจริงๆ ดูเหมือนจะฆ่าใครไม่ได้เลยสินะ’ ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้เหลือบมองไปที่การ์ดคลื่นพลังสายฟ้าฟาด ราคาของมันยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ต่างก็สบตากัน ถ้าหากปราศจากบทสวดไทเอ็น นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็จะต้องสูญเสียพลังความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก
ลู่โจวเดินตามไปอย่างช้าๆ ในขณะที่เอามือไขว้หลังเอาไว้
ในตอนนี้การต่อสู้ทุกอย่างได้เงียบลง ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของใครคนไหน
กงเหวินในตอนนี้รู้สึกผิดคาดอย่างรุนแรง ชายชราที่ดูอ่อนแอไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเขาคิด “จัดการหัวหน้าของพวกมันซะ พวกลูกลิ่วล้อไม่ต้องไปสนใจ! “
“เขตมุทราทั้งสี่! “
หวื้ดดด!
พลังรอบตัวของนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่พุ่งสูงขึ้น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยประกายสีน้ำเงินเข้า มันดูลึกลับเกินกว่าที่จะอธิบายได้
พลังลมปราณรอบตัวของพวกเขาควบแน่นจนกลายเป็นพลังไป
เขตมุทรามีขนาดที่ขยายใหญ่มากกว่าเดิม!
สีของมันดูแตกต่างกับเขตมุทราของคราวที่แล้วมาก สีของมันดูเข้มราวกับสีหมึก
“เจ้าพวกวิถีพุทธด้านมืด! ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างตื่นตกใจ “เก็บซ่อนจนมาถึงนี่ได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ! “
“เจ้าพวกตกต่ำ…”
ในตอนนี้มีเพียงคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฝึกฝนตัวเองในวิถีนี้ได้ คนคนนั้นก็คือซูจินฉานนั่นเอง เขาเป็นผู้ฝึกยุทธเพียงคนเดียวที่ลู่โจวเห็นว่าสามาถรฝึกฝนในวิถีพุทธด้านมืดได้ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ฝึกฝนตัวเองด้วยเคล็ดวิชานี้ไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าในโลกใบนี้จะมีปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่จริงๆ
ในตอนนั้นเองร่างที่ถูกหุ้มไปด้วยเขตมุทราก็ได้พุ่งเข้าใส่ต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยิน
สี่นักบวชศักดิ์สิทธิ์ได้เดินมายังด้านหน้า
“สี่อรหันต์กายาทองคำ! “
“ระวัง! ” ซู่จิ้งได้ตะโกนออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่ตัวเขามี
เมื่ออรหันต์กายาทองคำปรากฏขึ้น ต้วนมู่เฉิงก็ยกหอกราชันย์ขึ้นมาบังหน้าตัวเองเอาไว้
ในเวลาเดียวกันเถาวัลย์จำนวนมากก็ได้เติบโตมากขึ้น หมิงซี่หยินได้ใช้มันป้องกันตัวเองราวกับรังไหม
เมื่ออรหันกายาทองคำทั้งสี่ปรากฏขึ้น มันก็ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในตอนนั้นเองดอกบัวสีทองก็ได้เบ่งบานขึ้นทีละกลีบ มันค่อยๆ บานจาก 1 กลีบ, 2 กลีบ, 3 กลีบ, 4 กลีบ…