เมื่อเร็นบู้ผิงแห่งวิหารปีศาจเห็นแบบนั้น เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “ลั่วฉีซานสามารถโจมตีโดยที่สิบคนทรงยังใช้เวทมนตร์คาถาโจมตีอยู่ได้อย่างงั้นหรอ? ” ในตอนนั้นเองยอดฝีมือลำดับที่สามของวิหารปีศาจก็มาถึงเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ทันได้สังเกตมองอะไร
“ท่านเจ้าสำนัก”
“ต้วนชิง? เจ้ามาทันได้ทันเวลาพอดี! ” เร็นบู้ผิงได้พูดออกมาอย่างร่าเริง
“ข้าได้เดินทางไปทั่วเพื่อหานักบุญแห่งดาบลั่วฉีซาน โชคดีจริงๆ ที่ข้ามาได้ทันเวลา…ข้าเคยได้ร่วมมือกับวู่เฉิงมาก่อน รอบนี้พวกเราจะไม่เสียใครไปแน่นอนท่านเจ้าสำนัก” ต้วนชิงพูดขึ้น
“วิเศษจริงๆ! ” เร็นบู้ผิงรู้สึกสบายใจมากขึ้นมาก เขาได้จ้องมองไปที่ดาบของลั่วฉีซานอย่างตื่นตกใจ มันเป็นการใช้ดาบที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติจริงๆ
ลั่วฉีซานเป็นพี่น้องกับลั่วฉางชิง เขาเป็นหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้ดาบผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถึงแบบนั้นลั่วฉีซานก็ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองจนได้รับฉายานักบุญแห่งดาบไป ตัวเขาได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนวรยุทธมาโดยตลอด แม้ว่าชื่อเสียงของลั่วฉางชิงจะดังจนเข้ามาแทนที่ตัวเขาไป แต่ถึงแบบนั้นพลังวรยุทธของชายคนนี้ก็ยังคงแข็งแกร่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ทุกคนตื่นตกตะลึงในทันที
หมิงซี่หยินเป็นคนที่กำลังควบคุมรถม้าลอยฟ้าอยู่ เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่สามารถไปไหนได้…ถ้าหากตัวเขาเคลื่อนไหวในตอนนี้ รถม้าล่องเมฆาจะต้องร่วงหล่นลงสู่พื้นแน่ หยวนเอ๋อก็เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เธอไม่สามารถที่จะต่อกรกับผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แน่ ฝานซงและโจวจี้เฟิงเองก็เป็นเช่นกัน และแน่นอนไม่ต้องพูดถึงพวกผู้ฝึกยุทธหยิงคนอื่นๆ เลย ต้วนมู่เฉิงเองก็เพิ่งจะไปสู้กับสิบคนทรงมา ในตอนนี้ไม่มีใครสามารถช่วยฮั๊ววู่เด๋าได้อีกต่อไป
“ผู้อาวุโสฮั๊ว”
มีเพียงคนเดียวที่ช่วยฮั๊ววู่เด๋าได้ นั่นก็คือลู่โจวนั่นเอง
“ท่านอาจารย์! ” แม้ว่าหมิงซี่หยินจะไม่ได้ชอบหน้าอะไรฮั๊ววู่เด๋ามากนัก แต่ถึงแบบนั้นฮั๊ววู่เด๋าก็ได้กลายเป็นสมาชิกของศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาจริง มันก็เท่ากับว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ถูกลบหลู่ต่อหน้าต่อตา!
มือของลู่โจวในตอนนี้ยังคงไขว้อยู่ด้านหลัง ในตอนนั้นเองมือของเขาก็ได้กำอะไรไว้บางอย่าง ของที่อยู่ในมือของลู่โจวก็คือการ์ดนั่นเอง ในตอนนี้ลู่โจวกำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว…
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “ได้โปรดหนีไปเถอะท่านปรมาจารย์! “
‘ฮั๊ววู่เด๋ายังคงทนได้อย่างงั้นหรอ? ‘
ตัวหนังสือรอบตัวของฮั๊ววู่เด๋าได้ขยายตัวขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง…
ตู๊ม!
ดาบเล่มหนึ่งก็ได้แทงไปที่ผนึกตราประทับทั้งหก
ฮั๊ววู่เด๋าจำเจ้าของดาบเล่มนั้นได้ดี “ลั่วฉีซาน! “
“เจ้าคนทรยศ! ” ดวงตาของลั่วฉีซานในตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
สายตาของทั้งคู่ได้ผสานกัน ในตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็มองเห็นอีกฝ่ายหนึ่งกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจไปซะแล้ว
คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตกตะลึง
ผนึกตราประทับทั้งหกเป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้ว่าจะต้องรับการโจมตีจากสิบคนทรงอย่างฝนดาวตกไป แต่ถึงแบบนั้นฮั๊ววู่เด๋าก็ยังสามารถต้านทานการโจมตีกะทันหันของนักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานได้ พลังของฮั๊ววู่เด๋าแท้จริงแล้วแข็งแกร่งมากถึงแค่ไหนกัน?
ผมสีเงินของลั่วฉีซานได้ปลิวไสวไปตามลม ในตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกพลังผนึกตราประทับทั้งหก
การ์ดบนมือของลู่โจวได้หายไป ในตอนนี้เขาได้เหลือบมองไปที่ลั่วฉีซานอย่างไม่แยแส ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรีบเคลื่อนไหวในตอนนี้ ลู่โจวในตอนนี้กำลังรอคอยโอกาสที่เหมาะสมมากที่สุดอยู่ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตสามารถจัดการลั่วฉีซานได้ในทันที แต่ถึงแบบนั้นการใช้การ์ดอย่างไม่ยั้งคิดคงจะเป็นอะไรที่เสียมากกว่าได้ และถ้าหากต้องใช้การ์ดระเบิดจุดสุดยอดไปนั่นคงจะเป็นอะไรที่แย่ที่สุดแล้ว
ในตอนนี้มีทั้งสิบคนทรง, เร็นบู้ผิง, ลั่วฉีซาน, ต้วนชิง และม่อหลี่ ทุกคนในตอนนี้จับตามองการต่อสู้นี้อยู่ รอบตัวของลู่โจวมีศัตรูมากเกินไป หากเขาใช้การ์ดวิเศษไปโดไม่คิดให้ดี ลู่โจวในอนาคตจะต้องลำบากมากกว่านี้แน่
โชคดีที่ฮั๊ววู่เด๋าในตอนนี้ยังคงมีพลังเหลือมากพอ ฮั๊ววู่เด๋าได้ตะโกนออกมาอย่างชัดเจน “ลั่วฉีซาน ข้าน่ะออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสมานานแล้ว เจ้ายังจะกล้าเรียกข้าว่าคนทรยศอีกอย่างงั้นหรอ? “
“ทันทีที่เจ้าออกจากสำนักหยุนเจ้าก็เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าเลย ฮั๊ววู่เด๋า…แบบนี้น่ะเจ้ามันต่างอะไรจากคนทรยศกัน? ” ลั่วฉีซานมองไปที่รถม้าลอยฟ้าที่กำลังถูกพลังผนึกตราประทับทั้งหกป้องกันเอาไว้ ความโกรธได้อัดแน่นอยู่ในอ้อมอกของชายผู้ใช้ดาบคนนี้ “ไม่ต้องพูดอะไรให้เปลืองน้ำลายแล้วล่ะ ที่ข้ามาที่นี่เพราะคำสั่งของเจ้าสำนัก ข้าจะสะสางเรื่องทั้งหมดเอง! “
ซู่ววว!
ดาบของลั่วฉีซานได้ห่อหุ้มไปด้วยพลัง
ผู้นำของสิบคนทรงวู่เซียนได้จ้องมองไปที่ลั่วฉีซานเช่นกัน และเพราะว่าตอนนี้เขากำลังครอบครองร่างของวู่เฉิงอยู่ เพราะแบบนั้นเขาจึงรู้โดยสัญชาตญาณว่าลั่วฉีซานไม่ใช่ศัตรูของตัวเขา
วู่เซียนเหลือบมองไปที่ม่านพลังป้องกันที่ยังคงอยู่ ในตอนนี้มันยังคงดูดซับพลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ พลังของสิบคนทรงใกล้ที่จะถึงขีดจำกัดเข้าไปทุกที
ในตอนนี้ถึงเวลาของช่วงชี้ชะตาแล้ว!
วู่เซียนได้ยกมือขึ้นมาอีกครั้ง เสื้อคลุมสีแดงที่อยู่ด้านหลังของเขาปลิวไสวไปกับสายลม ผมของตัวเขาเองก็ปลิวไปด้วยเช่นกัน “ชะตาแห่งความมืด! “
อธิษฐาน, สรรเสริญ, เสียสละ และชะตาแห่งความมืด เมื่อพูดเสร็จบริเวณโดยรอบก็ยิ่งมืดมิดมากยิ่งขึ้น มันมืดจนราวกับโลกทั้งใบได้จมดิ่งสู่ความมืดมิดไป
“พวกเจ้ารีบถอยไปซะ! ” ฮั๊ววู่เด๋าในตอนนี้รู้สึกกดดันมากขึ้น ในตอนนั้นเองลมแรงก็ได้พัดผ่านไปที่ผนึกตราประทับทั้งหก
ลู่โจวในตอนนี้ยังคงไม่เคลื่อนไหวไปไหน ยิ่งสถานการณ์วุ่นวายมากแค่ไหนตัวเขาก็จะต้องยิ่งสงบเสงี่ยมให้ได้มากกว่านี้
เสียงของลั่วฉีซานได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ดาบสิบสามหน้า! ” ในตอนนั้นเองดาบของเขาก็ได้แยกออกมาจนมีจำนวนมากถึง 13 เล่มด้วยกัน นี่ถือว่าเป็นกระบวนท่าอันสมบูรณ์แบบที่ทำให้ลั่วฉีซานได้รีบฉายานักบุญแห่งดาบมาได้
ดาบพลังลมปราณทั้งหมดได้ถูกสร้างขึ้นก่อนที่จะพุ่งไปหาฮั๊ววู่เด๋า
ผนึกตราประทับทั้งหกทรงพลังมาก แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาที่ใช้สำหรับการป้องกันเท่านั้น ถ้าหากยังป้องกันต่อไปแบบนี้ยังไงซะการป้องกันก็คงจะต้องถูกเจาะทะลวงมาได้แน่
ตู๊ม!
ตัวอักษร ‘ไฟ’ ตัวอักษรตัวแรกได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
สีหน้าของฮั๊ววู่เด๋าเปลี่ยนไปในทันที
พลังทำลายล้างของสิบคนทรงเป็นพลังที่แข็งแกร่งจนเกินไป โชคดีที่พวกสิบคนทรงไม่มีทักษะการต่อสู้ระยะประชิดเหมือนกับต้วนมู่เฉิง นอกเหนือจากนี้ครึ่งหนึ่งของสิบคนทรงกำลังใช้เวทมนตร์คาถาสนับสนุนอยู่ ถ้าหากไม่เป็นแบบนั้นฮั๊ววู่เด๋าก็คงจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีจนมาถึงตอนนี้ได้ แต่เมื่อเห็นดาบ 13 เล่มที่กำลังใกล้เข้ามา ฮั๊ววู่เด๋าเองก็ได้แต่สิ้นหวังเท่านั้น
ลู่โจวโบกแขนขึ้นก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “รวมหัวกันเพื่อโจมตีคนเพียงคนเดียว ข้าน่ะรับไม่ได้จริงๆ! ” ในตอนนั้นเองที่มือของลู่โจวก็ได้มีแสงสว่างสีฟ้าส่องออกมา
สายตาของทุกคนได้จับจ้องไปที่ลู่โจวแทนในทันที เหล่าผู้ฝึกยุทธทุกคนที่มารวมตัวกันตรงนี้มาก็เพื่อจัดการกับศาลาปีศาจลอยฟ้า เพราะแบบนั้นจะห้ามไม่ให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดจับตามองปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้ได้ยังไงกัน?
ลั่วฉีซานรู้ได้ทันทีว่าตัวเองได้ทำพลาดไปแล้ว ด้วยการช่วยเหลือของสิบคนทรงทำให้ตัวเขารู้สึกมั่นใจมากว่าจะเอาชนะฮั๊ววู่เด๋าได้แน่ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็มัวแต่สนใจฮั๊ววู่เด๋าจนมองข้ามชายชราคนหนึ่งที่อยู่ด้วยไปซะสนิท ชายชราผู้ที่มีผมขาวโพลนคนนี้ก็คือจีเทียนเด๋า ปรมาจารย์มหาวายร้ายแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้านั่นเอง
แสงสีฟ้าได้พุ่งเข้าใส่ตัวของลู่ฉินซานโดยตรง
“คลื่นพลังสายฟ้าอย่างงั้นหรอ? “
เร็นบู้ผิงเองก็เห็นแบบนั้นเช่นกัน ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงได้พูดออกมาด้วยความตกใจ “ศิษย์คนที่แปดของศาลาปีศาจลอยฟ้าเองก็เชี่ยวชาญการใช้เคล็ดวิชาสายฟ้าหายนะทั้งเก้า แต่ถึงแบบนั้นเจ้านั่นก็ยังไม่สามารถปล่อยคลื่นสายฟ้าออกมาตรงๆ ได้แบบนี้ จีเทียนเด๋าฝึกฝนตัวเองอย่างเชี่ยวชาญจนถึงกับปล่อยคลื่นสายฟ้าอันบริสุทธิ์แบบนี้ได้ยังไงกัน? “
ต้วนชิงเองที่เห็นลู่โจวก็ได้ขมวดคิ้ว ‘คนคนนั้นแอบอ้างว่าเป็นนักบวชผู้อาวุโสจริงๆ สินะ? ‘ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แท่นบูชาหยกเขียว ในตอนนั้นสำนักเที่ยงธรรมก็ได้ตำหนิวิหารปีศาจเกี่ยวกับเรื่องในครั้งนั้น และนั่นเองเป็นเหตุให้ชาววิหารปีศาจถูกพวกสำนักเที่ยงธรรมตัดขาดความสัมพันธ์ไป ในตอนแรกที่ต้วนชิงรู้เรื่องตัวเขาแทบที่จะไม่เชื่อ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาที่เห็นความจริงด้วยตาของตัวเองก็ยังรู้สึกตกใจมากอยู่ดี
คลื่นพลังสายฟ้าของลู่โจวได้ระเบิดพลังออกมาจนกลายเป็นสายฟ้าฟาดที๋โกรธเกรี้ยว ปรากฏการณ์ที่ดูเหนือธรรมชาตินี้ดูราวกับสายฟ้าที่มาจากสรวงสวรรค์
ตู๊ม!
คลื่นพลังสายฟ้าสามารถหยุดลั่วฉีซานเอาไว้ได้ ดาบพลังลมปราณทั้ง 13 เล่มในตอนนี้ได้หายไปแล้ว ลั่วฉีซานที่ถูกการโจมตีไปได้หมุนตัวก่อนที่จะกระเด็นถอยกลับ
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว ‘โชคร้ายจริง! ดูเหมือนว่าการโจมตีจากคลื่นสายฟ้าจะไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากนัก 100 แต้มบุญได้เสียเปล่าไปแล้ว ฉันควรจะใช้การ์ดอีกใบโจมตีต่อเลยดีไหม? ‘ ในท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ตัดสินใจโจมตีออกไป การโจมตีของเขาเป็นการเปิดช่องว่างนั่นเอง
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในตอนนี้ตัวเขาดูมั่นใจมากขึ้นแล้ว “ขอบคุณมากท่านปรมาจารย์”
“ไม่เป็นไร”
ต้วนมู่เฉิงในตอนนี้ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป พลังลมปราณรอบๆ หอกราชันย์ของเขากำลังเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ต้วนมู่เฉิงได้ใช้หอกราชันย์โจมตีใส่สิบคนทรงเป็นครั้งที่สอง ในครั้งนี้ตัวเขาได้หมุนตัวเองกลับมากว่า 180 องศาด้วยกัน ในตอนนั้นเองภาพเงาของหอกมากมายหลายเล่มก็ได้ถาโถมเข้าใส่สิบคนทรงอีกครั้ง
วู่เซียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “ไปให้พ้น! “
พลังของสิบคนทรงได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง มันปะทุขึ้นมาพร้อมกับพลังสีม่วงอันแปลกประหลาด พลังสีม่วงได้ล้อมรอบพลังของต้วนมู่เฉิงทั้งหมดเอาไว้ก่อนที่จะปัดป้องการโจมตีของหอกราชันย์จนต้วนมู่เฉิงกระเด็นกลับไป
ตู๊ม!
ต้วนมู่เฉิงไม่สามารถต้านทานอะไรได้! ตัวเขาไม่ใช่คู่มือของสิบคนทรง
สิบคนทรงแข็งแกร่งจนเกินไป
วงเวทมนตร์คาถาทั้ง 10 ยังคงส่องสว่างอยู่บนพื้น และเพราะแบบนั้นเองสิบคนทรงจึงยังเปี่ยมไปด้วยพลังแบบนี้ได้…อันที่จริงแล้วพลังความแข็งแกร่งของสิบคนทรงกำลังเพิ่มขึ้นไปอีก!
เมื่อเร็นบู้ผิงเห็นลู่โจว ตัวเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนั้นเองเขาจึงพูดตักเตือนไป “ท่านวู่เซียน อย่าได้ปรานีอีกต่อไปเลย! ในตอนนี้ถึงเวลาแล้ว จัดการพวกมันซะเถอะ! “
สิบคนทรงเองก็รู้ดีเช่นกัน การใช้สุดยอดเวทมนตร์คาถาเพื่ออัญเชิญพวกเขามาสามารถอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
พลังฝนดาวตกเป็นพลังที่จะต้องใช้เวลาในการเตรียมการ
พลังผนึกตราประทับทั้งหกในตอนนี้ก็ยังคงต้านทานพลังฝนดาวตกสีม่วงต่อไป
เมื่อเวทมนตร์คาถาที่สิบคนทรงใช้ถูกเตรียมการจนสำเร็จ เมื่อนั้นพลังผนึกตราประทับทั้งหกก็คงไม่อาจที่จะต้านทานการโจมตีได้
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็รีบวิ่งไปหาหมิงซี่หยิน “ศิษย์พี่สี่ ให้ข้าขับเคลื่อนรถม้านี้แทนท่านเถอะ ศิษย์พี่ควรจะ…”
“ได้เลย! ” หมิงซี่หยินตอบรับก่อนที่จะกระโจนออกไปในทันที
แม้ว่าหยวนเอ๋อจะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ เมื่อหมิงซี่หยินจากไป หยวนเอ๋อก็ได้ใช้พลังลมปราณของตัวเองควบคุมรถม้าคันนี้จนลอยฟ้าได้เหมือนเก่า ในตอนนี้หน้าที่การควบคุมรถม้าไม่ใช่หน้าที่จะต้องมาเกี่ยงกันอีกต่อไป ถ้าหากมีความจำเป็นจริงๆ หยวนเอ๋อจะต้องเป็นคนควบคุมรถม้าคันนี้ก่อนที่จะพาทุกคนหนีจากสุดยอดเวทมนตร์คาถาที่กำลังจะถูกใช้ออกมาให้ได้
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!
เสียงของฝนดาวตกในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
“เวทมนตร์ที่พวกเขากำลังจะใช้ใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว! “
หลังจากที่ลู่ฉีซานถูกซัดจนกระเด็นไป ในตอนนั้นเองเร็นบู้ผิงก็ได้มองไปที่ลู่โจวที่อยู่บนรภม้าอย่างตื่นตกใจ หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองวู่เซียนอีกครั้ง “ท่านวู่เซียนได้โปรดให้พวกเราได้ยืมพลังด้วย! “
วู่เซียนโบกมือขึ้นโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
ฝนดาวตกสีม่วงบนท้องฟ้าทั้งหมดได้รวมตัวกันก่อนที่จะพุ่งไปยังผนึกตราประทับทั้งหก
“ระวัง! ข้าจะช่วยทุกคนให้ได้เอง! ” หมิงซี่หยินได้เคลื่อนที่จนเร็วดุจดั่งสายฟ้า