แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวกลับไม่ได้รับคำแนะนำอะไรเกี่ยวกับอาวุธชิ้นนี้เลย อาวุธที่ได้รับก่อนหน้านี้ล้วนแต่มีเจ้าของแนะนำทั้งหมด
‘ไม่ใช่อาวุธของจ้าวยู่อย่างงั้นหรอ? ‘ ลู่โจวพยายามจินตนาการภาพจ้าวยู่สวมใส่ถุงมือนักสู้ที่ดูหนักแน่นราวกับค้อนปอนด์ดู ‘เอ่อ…มันก็คงดูไม่เหมาะจริงๆ นั่นแหละ อาวุธชิ้นนี้จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าและไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่ตัดชีวาแน่’
ลู่โจวได้เก็บอาวุธทั้งหมดก่อนที่จะออกจากห้องลับไป และเมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ได้ ลู่โจวก็ได้สังเกตเห็นหยวนเอ๋อและจ้าวยู่รอตัวเขาอยู่ก่อนแล้ว
‘จ้าวยู่ไม่ได้กลับไปฝึกฝนตัวเองหรอกหรอ? ‘
เมื่อเห็นอาจารย์ปรากฏตัว จ้าวยู่ก็ได้พูดทักทายเขาอีกครั้ง “สวัสดีค่ะท่านอาจารย์”
“มีอะไรกัน? “
“ศิษย์น้องเจ็ดส่งข่าวมาบอกว่าเจ้าสำนักวิหารปีศาจ เร็นบู้ผิงในตอนนี้เองก็อยู่ในเมืองถังซี ยิ่งไปกว่านั้น…
“พูดมาซะ”
“ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าทายาทของสิบคนทรงในตอนนี้เตรียมเวทมนตร์คาถาเอาไว้พร้อมแล้ว เจ้าพวกนั้นตั้งใจที่จะทำลายม่านพลังป้องกันของภูเขาทอง! ” จ้าวยู่ได้พูดขึ้น
ลู่โจวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ฟังแบบนั้น แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้เริ่มพูดขึ้น “ข้อมูลของเจ้าเจ็ดเชื่อถือได้สินะ? “
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ศิษย์พี่เจ็ดไม่ใช่คนเดียวที่ส่งข่าวมา เจียงอาเฉียนเองก็ส่งจดหมายยืนยันมาเหมือนกันค่ะ ท่านอาจารย์ดูเจ้าพวกนี้สิ…เจ้าพวกนี้ไม่ได้ต้องการที่จะสร้างสันติภาพกับพวกเราจริงๆ พวกมันวางแผนที่จะสู้กับเราชัดๆ พวกเราน่าจะสับมันเป็นแปดส่วนในวันนั้น” หยวนเอ๋อได้พูดสาปแช่งขึ้นในระหว่างที่หยิบจดหมายของเจียงอาเฉียนออกมา
สีวู่หยาและเจียงอาเฉียนได้แจ้งข่าวเดียวกันในเวลาเดียวกันแบบนี้…ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะใช้ความคิดต่อไป ทุกคนรู้ดีว่าม่านพลังของภูเขาทองทรงพลังขนาดไหน ศัตรูทั้งหลายที่ต้องเผชิญหน้ากับม่านพลังล้วนแต่ต้องพ่ายแพ้ไป แต่ในตอนนี้ศัตรูของภูเขาทองกลับเล็งที่จะทำลายม่านพลังเป็นอย่างแรก ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านเวทมนตร์คาถาแล้ว การที่ม่านพลังจะถูกทำลายได้คงจะไม่ใช่เรื่องยากแน่
ลู่โจวจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้รอบคอบมากที่สุด แล้วจะต้องทำยังไงกันล่ะถึงจะสู้กับเจ้าพวกนั้นได้? ลู่โจวในตอนนี้ไม่สามารถรอจนกว่าม่านพลังถูกทำลายได้ ‘ไม่ พวกเราคือศาลาปีศาจลอยฟ้า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงจะต้องคิดหาวิธีนี้แบบนี้! ‘
ลู่โจวได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “บอกให้หมิงซี่หยินให้เร่งมือซะ และพาฝานซุยเหวินหัวหน้าอัศวินดำมาด้วย”
‘ถ้าหากเป็นแบบนี้เห็นทีพวกจะต้องสู้กับพวกมันแน่! ‘
“ค่ะ ท่านอาจารย์”
…
ณ ทิศเหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า
หมิงซี่หยินได้นำเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงไปทำความสะอาดรถม้าลอยฟ้า
นี่คือรถม้าลอยฟ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาลาปีศาจลอยฟ้า รถม้าที่สามารถแหวกว่ายข้ามผ่านท้องนภาได้ รถม้าล่องเมฆานั่นเอง รถม้าคันนี้มีรูปทรงเป็นรูปวงรี เพราะรูปทรงของมันที่ลดแรงต้านลมได้อย่างดีทำให้มันสามารถเดินทางไปบนท้องฟ้าได้อย่างคล่องตัว วัสดุที่ใช้สร้างรถม้าเองก็ยังเป็นวัสดุหายาก รถม้าคันนี้กว้างกว่า 100 ฟุตและมีขนาดยาวกว่า 300 ฟุตด้วยกัน ที่ด้านข้างของรถม้าเองถูกตกแต่งไปด้วยลวดลายสีแดงอันสลับซับซ้อน และเพราะแบบนั้นเองรถม้าคันนี้จึงดูสง่างามมากขึ้น
แม้ว่ารถม้าคันนี้จะดูมืดมนกว่ารถม้าธรรมดาเมื่อมองแบบผิวเผิน แต่ถึงแบบนั้นถ้าหากมองมันอย่างละเอียด ลวดลายสีแดงอันสลับซับซ้อนทั้งหลายพวกนี้จะเห็นได้ว่าพวกมันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เมื่อใส่พลังลมปราณไปที่ลวดลายพวกนั้น ในตอนนั้นเองรถม้าคันนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไป ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะดูเหมือนกับดาวตกในยามราตรี
รถม้าลอยฟ้าคันนี้คันนี้แม้ว่าจะถูกลากโดยสัตว์ร้าย แต่ถึงแบบนั้นมันก็สามารถรองรับได้ผู้โดยสารได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และรถม้าที่ขนาดใหญ่แบบนี้เองก็ยังเสียเปรียบถ้าหากจะต้องใช้เคลื่อนที่จริง
หมิงซี่หยินที่ทำความสะอาดรถม้าเสร็จแล้วได้ยืนขึ้นก่อนที่จะเอามือเกาหัวตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ได้พึมพำออกมา “แล้วจะใช้รถม้าลอยฟ้ายังไงกันในเมื่อพวกเราไม่มีคนมากพอ? “
ในการขับเคลื่อนรถม้าขนาดใหญ่แบบนี้ได้ จะต้องใช้เหล่าผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูอย่างน้อย 30 คนและต้องใช้ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อย 5 คนในการขับเคลื่อน
ในตอนที่ทั้งสามสำนักใหญ่อย่างสำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักลั่วรวมพลังกัน พวกเขาได้คัดสรรผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์มาทั้งหมด 10 คนจากเหล่าสาวกนับหมื่นเพื่อที่จะร่วมมือกับยี่เทียนซินในการจัดการลู่โจว แต่ถึงแบบนั้นผู้ฝึกยุทธทุกคนที่รวมตัวกันมาต่างก็ถูกสังหารไปในกระบวนท่าเพียงท่าเดียวเท่านั้น และเพราะแบบนั้นทั้งสามสำนักใหญ่จึงสูญเสียกำลังพลไป เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าในเร็วๆ นี้
“เจ้ามานี้สิ! ” หมิงซี่หยินได้ชี้ไปที่ผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่ง
“ท่านหมิงซี่หยิน มีอะไรอย่างงั้นหรอคะ? “
“มีผู้ฝึกยุทธจากวังจันทรากี่คน? และในหมู่ของพวกเจ้ามีระดับพลังวรยุทธสูงที่สุดอยู่ที่ขั้นไหนกัน? “
“พวกเรามีผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ 20 คน และมีผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูอีก 20 คน”
“พวกเจ้าไม่มีใครที่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เลยอย่างงั้นหรอ? “
เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับ “พวกเราเคยมีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด 3 คนด้วยกัน หนึ่งในนั้นแปรพักตร์ไป ส่วนอีกสองคนถูกสาวกวิหารปีศาจสังหารหลังจากที่ท่านหัวหน้าถูกลักพาตัวไป”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกกระอักกระอ่วน “ถึงแม้ว่าผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งหลายจะเป็นคนที่ศิษย์น้องยี่เลือกมากับมือ แต่ถึงแบบนั้นกลับมีคนทรยศอยู่ได้ ช่างน่าสงสารจริงๆ “
“นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้วังจันทราของพวกเราตั้งกฎเอาไว้ว่าผู้ที่เข้าร่วมวังจันทราจะต้องรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้”
“ช่างเข้มงวดอะไรเช่นนี้! ” หมิงซี่หยินได้พูดขึ้นก่อนที่จะจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธหญิงคนอื่นๆ
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงคนเดิมก็ได้โค้งคำนับให้ ก่อนที่จะกลับไปทำงานเดิม
หมิงซี่หยินได้เกาหัวอีกครั้ง ในตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูอยู่เพียง 20 คนเท่านั้น ถ้าหากจะขับเคลื่อนรถม้าคันนี้ได้คงจะเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับพวกนาง
รถม้าบางคันอาจจะต้องใช้ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านนอกเป็นผู้ขับเคลื่อน การที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นจะสามารถขับเคลื่อนรถม้าได้ คนคนนั้นจะต้องสามารถบินให้ได้ซะก่อน แต่รถม้าล่องเมฆาคันนี้เป็นรถม้าที่ขับเคลื่อนจากด้านใน ปัญหาเดียวในตอนนี้ที่หมิงซี่หยินมีนั่นก็คือจำนวนคนในการขับเคลื่อนยังไม่พอนั่นเอง
“ท่านหมิงซี่หยิน เรียกพวกเราอย่างงั้นหรอ? ” ฝานซงและโจวจี้เฟิงต่างก็โค้งคำนับให้กับหมิงซี่หยิน
“พวกเจ้าทั้งสองคน…ลองมาดูรถม้านี่สิ พวกเจ้าคิดว่ายังไงกัน? “
“รถม้าล่องเมฆา! รถม้าที่ท่านปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ใช้เดินทางไปทั่วทั้งยุทธภพและหรงเป่ยมาแล้ว แค่ได้ยินเพียงชื่อของมันเท่านั้นทั่วทั้งดินแดนจะต้องสั่นไปด้วยความกลัว”
“งั้นดีเลย พวกเจ้าอยากที่จะลองนั่งดูไหมล่ะ? ข้าบอกได้เลยว่ามันจะต้องเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายแน่ แต่พวกเจ้าคงจะต้องช่วยอะไรข้าบางอย่าง แม้ว่ามันจะเป็นสุดยอดรถม้าขนาดไหน แต่ถึงแบบนั้นการปล่อยมันเอาไว้กับพื้นแบบนี้ก็น่าเสียดายแย่ สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำนั่นก็คือช่วยขับเคลื่อนรถม้านี้เพียงเท่านั้น…” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“เอ่อ…”
“พวกเจ้ามีอะไรจะพูดอย่างงั้นหรอ? “
“ไม่ ไม่มีหรอก พวกเราเต็มใจที่จะทำอยู่แล้วศิษย์พี่” โจวจี้เฟิงและฝานซงต่างพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว
โจวจี้เฟิงถือว่าเป็นศิษย์ของสำนักดาบสวรรค์ลำดับต้นๆ เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง ส่วนฝานซงเองก็เป็นศิษย์จากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ แต่ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีพลังวรยุทธที่มากกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาทั่วไปอยู่เล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นการจะขับเคลื่อนรถม้าคันนี้ไปได้ยังต้องใช้กำลังคนมากกว่านั้น
‘แล้วศิษย์น้องเล็กล่ะ? ดูเหมือนศิษย์น้องเล็กในวันนี้จะอารมณ์ไม่ดีอยู่สินะ เพราะงั้นข้าคงจะรบกวนนางไม่ได้แน่’
‘ฮั๊ววู่เด๋าเอง…ในตอนนี้เจ้านั่นได้กลายเป็นผู้อาวุโสไปแล้ว นอกจากนี้เจ้านั่นยังมีพลังร่างอวตารดอกบัว 6 กลีบด้วยกัน การที่จะให้คนที่มีพลังวรยุทธลึกล้ำแบบนั้นมาขับเคลื่อนรถม้าแบบนี้คงจะเป็นการดูหมิ่นพลังของเขาเกินไปหน่อย’
“ศิษย์พี่สี่…” จ้าวยู่ในตอนนี้เดินมาหาหมิงซี่หยินอย่างเร่งรีบ
“เกิดอะไรขึ้น? “
“ท่านอาจารย์ให้ท่านรีบเตรียมพร้อมให้เสร็จ”
“ศิษย์น้องห้า ในตอนนี้ข้ากำลังขาดคนอยู่พอดี ถ้าหากนับรวมเจ้าอีกคนในตอนนี้พวกเรามีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ถึง 3 คนแล้ว…แต่ข้าคิดว่ามันยังขาดคนอยู่ดี” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้เดินทางมาถึงศาลาทางเหนือ
นอกเหนือจากลู่โจว, ฝานซุยเหวิน อัศวินดำยู่จงและด้วนฉานฮงก็อยู่ด้วย พวกเขาทั้งสามคนได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา หยวนเอ๋อ ต้วนมู่เฉิง และฮั๊ววู่เด๋าในตอนนี้กำลังเดินขนาบข้างของพวกเขาเอาไว้ ผู้คนทั้งหมดต่างก็เดินตามลู่โจวมาติดๆ
“ท่านอาจารย์! “
“ท่านปรมาจารย์! “
ลู่โจวมองไปที่รถม้าล่องเมฆา หลังจากนั้นเขาก็ได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจออกมา “พวกเราไปได้แล้ว”
หมิงซี่หยินได้พูดตอบกลับมาในทันที “ท่านอาจารย์ เมืองถังซีอยู่ไม่ห่างจากภูเขาทองมากนัก…ทำไมพวกเราไม่เดินไปที่นั่นกัน? การใช้รถม้าลอยฟ้าจะดึงดูดความสนใจของเหล่าศัตรูจนเกินไป”
หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หัวเราะคิกคักก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์พี่สี่ ท่านกำลังบอกให้ท่านอาจารย์เดินไปแทนอย่างงั้นหรอ? “
ฮั๊ววู่เด๋าเองก็ได้พูดออกมาเช่นกัน “รถม้าล่องเมฆาสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ข้าได้ยินมาว่าทายาทของสิบคนทรงในตอนนี้อยู่ที่เมืองถังซีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าพวกนั้นเป็นผู้ใช้เวทมนตร์คาถาระดับสูง แต่ด้วยพลังของรถม้าคันนี้มันจะต้องทำให้พวกเราฝ่าเวทมนตร์คาถาของพวกศัตรูไปได้แน่ การจะเดินทางไปที่นั่นโดยใช้สุดยอดเคล็ดวิชาคงจะเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองพลังลมปราณเกินความจำเป็น พวกเราที่มีรถม้าลอยฟ้าควรจะใช้มันให้เป็นประโยชน์จะดีกว่า”
“เอ่อ…” หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก
ในตอนนั้นเองทุกคนก็รีบขึ้นรถม้าในทันที
ผู้ฝึกยุทธหญิงเองก็พาฝานซุยเหวินและคนอื่นๆ ขึ้นรถม้าเช่นกัน
ฝานซุยเหวินที่ถูกพาตัวไปก็ได้พูดออกมาอย่างกล้าหาญ “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพาข้าไปด้วยหรอก แม้ว่าข้าจะเป็นถึงผู้นำของเหล่าอัศวินดำ ยังไงซะนางนั่นก็คงจะจัดการพวกเจ้าอยู่ดี ชีวิตและความตายก็ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับข้าอีกต่อไป! “
“หุบปากซะ! นักโทษต่ำต้อยแบบเจ้าไม่มีสิทธิ์จะพล่ามอะไรหรอกนะ! ” หยวนเอ๋อได้ตะคอกใส่
หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ได้ขึ้นมาอยู่บนรถม้าลอยฟ้า
“ทำไมรถม้าถึงยังไม่ขยับ? ” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาอย่างเร่งเร้า
หมิงซี่หยินในตอนนั้นได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลงและยอมพูดความจริง “พวกเรายังขาดผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์อยู่อีกสองคนด้วยกัน ถ้าหากไม่ทำแบบนั้นรถม้าคันนี้คงจะบินขึ้นไม่ได้แน่”
ลู่โจวโบกมือตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้น “หมิงซี่หยิน”
“ครับท่านอาจารย์”
“เจ้าน่ะก็ขับเคลื่อนรถม้าซะ ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้าสามารถแทนผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงสิบคน ทำซะ” ลู่โจวได้พูดขึ้น
“เอ่อ…” หมิงซี่หยินได้แต่บ่นอยู่ภายในใจเท่านั้น ‘ไม่มีทาง! ทำไมเป็นข้าอีกแล้ว? ‘ หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็ได้พูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้าถือว่าเป็นหนึ่งในกำลังรบของศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้ การที่จะให้ข้าใช้พลังไปกับการขับเคลื่อนรถม้าลอยฟ้า…ข้าคิดว่ามันออกจะ…”
ลู่โจวมองไปที่หมิงซี่หยิน
“ยู่เฉิงไห่ได้ทำหน้าที่นั้นมานานกว่า 10 ปี เจ้านั่นน่ะไม่เคยบ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว…หรือว่าเจ้าเก่งกาจกว่าเจ้านั่นหรือยังไงกัน? ” ลู่โจวพูดออกมาอย่างไม่แยแส
“ศิษย์ไม่กล้า! ศิษย์จะรับหน้าที่นี้เอาไว้เอง! ศิษย์เหมาะที่จะควบคุมทิศทางมากที่สุดแล้ว” หมิงซี่หยินรีบเปลี่ยนท่าทีของเขาในทันที ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้เดินไปจับพังงารถม้าเอาไว้
ต้วนมู่เฉิงเองได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเอามือตบไหล่หมิงซี่หยินเอาไว้ “อย่ามองข้าเลยศิษย์น้อง ท่านอาจารย์สั่งให้ข้าจับตาดูพวกนักโทษเอาไว้ เจ้าน่ะอย่าทำพลาดก็แล้วกัน บังคับรถม้าให้มั่นคงซะล่ะ”
“…”
‘ศิษย์พี่สาม ท่านอาจจะทำเป็นเหมือนคนซื่อตรง แต่ถึงแบบนั้นในจิตใจของท่านไม่ต่างอะไรกับจิตใจคนอื่นอันมืดมนหรอก! ‘ หมิงซี่หยินรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม เขาได้แต่วางมือเอาไว้บนพังงาก่อนที่จะบังคับรถม้าล่องเมฆาต่อไป
เมื่อทุกคนเข้าที่แล้วพลังลมปราณก็ได้ถูกฉีดไปยังรถม้า
หวื้ดดดดด!
หลังจากที่ไม่ได้ใช้นานมาเป็นเวลานาน ในตอนนี้เสียงการออกตัวของมันกลับฟังดูน่าประทับใจกว่าเดิมมาก พลังลมปราณได้ไหลผ่านลวดลายบนรถม้าไป และเพราะแบบนั้นเองรถม้าคันนี้จึงส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
พลังลมปราณอันมหาศาลจากลวดลายบนรถม้าได้ควบแน่นอากาศที่อยู่ภายนอก จนท้ายที่สุดแล้วรถม้าคันนี้ก็ลอยตัวขึ้นมาได้
แม้ว่าท้องฟ้าเหนือศาลาปีศาจลอยฟ้าดูปั่นป่วนเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นรถม้าลอยฟ้าคันนี้ก็สามารถลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะออกเดินทางได้อีกครั้ง!