หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เจ้านี่มันกล้าหาญซะจริง” หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ได้ตะคอกใส่ชายวัยกลางคนที่อยู่ถัดออกไปจากฮั๊ววู่เด๋า ชายคนนั้นที่ได้ยินถึงกับตกใจกลัว
เมื่อฮั๊ววู่เด๋าเห็นแบบนั้น เขาก็มองชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยหางตาราวกับว่ากำลังตำหนิพฤติกรรมของเขาอยู่นั่นเอง “ข้าน่ะสูญเสียเกียรติยศที่สูงที่สุดในชีวิตไปต้องนานแล้ว สำหรับข้าน่ะไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป”
ชายวัยกลางคนได้เปลี่ยนสีหน้าแห่งความหวาดกลัวให้กลายเป็นสีหน้าแห่งความลำบากใจแทน
ลู่โจวที่ไดยินแบบนั้นได้ลูบเคราก่อนที่จะเริ่มพูดออกมา “ข้าขอยกย่องให้กับความกล้าหาญของเจ้าเลยก็แล้วกัน”
ฮั๊ววู่เด๋าได้ทำท่าทางคารวะลู่โจวก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง “ตลอดที่ผ่านมานี้ข้าเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนตัวเอง ความขัดแย้งที่สำนักฝ่ายธรรมะมีต่อสำนักฝ่ายอธรรมตัวข้าไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย”
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดแทรก “เยี่ยมไปเลย แต่เจ้ายังเป็นผู้อาวุโสของสำนักหยุนอยู่เลยไม่ใช่หรอ…”
ฮั๊ววู่เด๋าได้โบกมือก่อนที่จะพูดตอบกลับมา “ก่อนที่ข้าจะเดินทางมาที่นี่ ข้าได้สละตำแหน่งในฐานะผู้อาวุโสไปแล้วล่ะ”
ทุกๆ คนต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น โดยปกติทั่วไปแล้วมนุษย์ทั้งหลายจะให้ความสำคัญกับชื่อเสียและพลังอำนาจที่ตนมีอยู่เหนือสิ่งอื่นใน สำนักหยุนเป็นหนึ่งในสำนักทั้งสามทั้งสำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักหลัว โดยสำหนักหยุนเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดนั่นเอง หลายคนมักจะใฝ่ฝันที่จะอยากได้ตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักหยุนมาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นชายชราที่อยู่ตรงหน้ากลับทิ้งตำแหน่งไปอย่างง่ายๆ
หลังจากที่พูดจบไป สีหน้าของฮั๊ววู่เด๋าก็ได้เปลี่ยนไปจริงจังมากกว่าเดิมก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ข้าน่ะอายุมากแล้ว อีกในไม่ช้าร่างกายของข้าก็คงจะแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นไป ข้ามาที่นี่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพื่อที่จะสะสางปมในใจก็เท่านั้น”
“ปมในใจอะไรกัน? ” หยวนเอ๋อถามออกมาในขณะที่เล่นผมของตัวเองไปด้วย
ฮั๊ววู่เด๋าได้ตอบกลับมาอย่างช้าๆ “20 ปีที่แล้วข้าได้พ่ายแพ้ให้กับท่านจี และตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่สามารถฝึกฝนตัวเองจนพัฒนาพลังวรยุทธได้อีกเลย เรื่องนี้ทำให้ข้ากลายเป็นที่ขบขันของเหล่าผู้คน ผู้คนจากสามสำนักต่างก็เยาะเย้ยตัวข้าในเรื่องนี้ เพราะแบบนั้นเรื่องนี้ก็เลยเป็นปมในใจของข้าไปยังไงล่ะ”
“แล้วปมอะไรของเจ้าเกี่ยวอะไรกับท่านอาจารย์ข้าด้วย? ” หมิงซี่หยินถามออกมา
“เพราะปมในใจของข้าเกิดขึ้นได้ก็เพราะท่านจี เพราะแบบนั้นผู้ที่จะลบปมในใจข้าได้ก็คงจะมีแต่ท่านจีเท่านั้น ตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมานี้ข้าพยายามครุ่นคิดถึงเคล็ดวิชาที่ท่านจี้ใช้เพื่อเอาชนะข้าได้เสมอมา…”
“สามหาว! ” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกอาจารย์ของข้าว่าท่านจีกัน? นอกจากนี้วรยุทธของเจ้าก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเลยในเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา เจ้ายังจะกล้ามาขอท้าดวลอีกอย่างงั้นหรอ? “
ฮั๊ววู่เด๋าถึงกับผงะ ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้า ที่ที่เต็มไปด้วยเหล่าจอมวายร้ายทั้งหลายมารวมตัวกัน ในตอนนี้ตัวเขากำลังเผชิญหน้ากับมหาวายร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในโลก และเพราะแบบนั้นการเรียกชื่อโดยที่ไร้ซึ่งความเคารพแบบนั้นจึงไม่เหมาะอะไรกับลู่โจวนั่นเอง
“ข้าเป็นคนหยาบคาย ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ” ฮั๊ววู่เด๋ารีบพูดออกมาอย่างจริงใจ
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาเช่นกัน “ศิษย์ของข้าคนนี้เป็นคนที่วู่วาม เขาก็แค่พูดแทนตัวข้า ได้โปรดเจ้าอย่าถือสาเลย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยินก็รู้สึกถึงความสุข เขายังทำหน้าเคร่งขรึมก่อนที่จะจ้องมองฮั๊ววู่เด๋าต่อไป
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ฟังคำพูดของหมิงซี่หยินไปไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับความเห็นของเขาเลย “ข้ากลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยมีเพียงแค่เป้าหมายเดียวเท่านั้น ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะคลี่คลายปมในใจ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านเมื่อ 20 ปีก่อน และในวันนี้เองข้าก็ยอมรับแต่โดยดีว่าไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของท่าน”
“เจ้าน่ะได้พ่ายแพ้ไปแล้ว และนั่นแหละคือทั้งหมดที่เจ้ามี..วรยุทธของเจ้าหยุดที่จะพัฒนาขึ้น และปมในใจของเจ้าเองมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยล่ะ? เจ้าคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้าจะเปี่ยมไปด้วยพระพุทธองค์ที่เมตตาต่อเจ้าอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวถามออกมาอย่างเคร่งขรึมในขณะที่ลูบเคราไปด้วย
ฮั๊ววู่เด๋าไม่สามารถเถียงอะไรได้เลยแม้แต่คำเดียว
หมิงซี่หยินได้อาศัยจังหวะนั้นพูดออกมาอีกครั้ง “เจ้าน่ะไม่สามารถโทษคนอื่นได้หรอกนะที่พลังของเจ้ามันไร้พลังเอง การจะมาสู้กับพวกเราชาวศาลาปีศาจลอยฟ้ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก”
เมื่อถึงตอนนี้ชายวัยกลางคนที่มาด้วยก็ได้พูดแทรกขึ้นมา “ท่านอาจารย์ของข้ามาที่นี่ด้วยความจริงใจ แต่ถึงแบบนั้นพวกเจ้าก็ทำให้เขาอับอายอย่างไม่จบไม่สิ้น พวกเจ้าทุกคนน่ะมันเป็นวายร้ายที่ไม่อาจที่จะให้อภัยได้”
“การพูดความจริงทำให้พวกเรากลายเป็นวายร้ายไปอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“เจ้า…”
“หยุดซะ! ” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดกับชายวัยกลางคนคนนั้น “เจ้าน่ะจะทำให้ข้ามีแต่อับอายมากขึ้นก็เท่านั้น! ถอยไปซะ! “
ชายวัยกลางคนไม่เต็มใจที่จะทำตามเท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงการเชื่อฟังเท่านั้น ตัวเขาได้ล่าถอยกลับไปอย่างเชื่อฟัง
ฮั๊ววู่เด๋าได้คารวะลู่โจวอีกครั้งก่อนที่จะพูด “ศิษย์ของข้าดื้อรั้นและหยาบคายจนเกินไป ได้โปรดอภัยให้กับข้าที่เป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่องด้วย”
“หยุดพูดพล่อยๆ ไร้ความหมายได้แล้ว รีบพูดเข้าประเด็นซะ! ” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดขึ้นมา “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะคลี่คลายปมในใจ ข้าขอเพียงแค่สามกระบวนท่าเท่านั้น นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าอยากจะขอ”
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาพยักหน้าพร้อมกับลูบเคราก่อนที่จะตอบกลับไป “3 กระบวนท่าที่ข้าใช้ไปเมื่อ 20 ปีก่อนอย่างงั้นหรอ? ” เป็นเพราะจีเทียนเด๋าได้ผ่านการต่อสู้มามากมายหลายครั้ง แต่ถึงแบบนั้นชื่อของฮั๊ววู่เด๋าก็มีค่าพอที่จะให้จดจำ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าใช้กระบวนท่าอะไรไปบ้างในการต่อสู้เมื่อ 20 ปีก่อน
“ในตอนนั้นข้ามีพลังป้องกันสุดแกร่งที่ฝึกฝนมาในแบบของชาวลัทธเต๋า แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ไม่อาจที่จะต้านทานการโจมตีของท่านได้…ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมาข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชานี้อย่างพิถีพิถันในขณะที่พยายามปรับอารมณ์และปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ท่านจี ท่านเลือกที่จะใช้กระบวนท่าที่ต้องการเลย ข้าจะป้องกันกระบวนท่าของท่านโดยที่ไม่ตอบโต้กลับไป! ถ้าหากข้าสามารถต้านทานการโจมตีได้ ปมของข้าก็จะคลี่คลายไป และถ้าหากข้าไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้ ข้าจะทำลายพลังวรยุทธที่ข้ามีและใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะคนพิการต่อไป! ” ฮั๊ววู่เด๋าพูดออกมาอย่างอาจหาญ
เมื่อได้ยินแบบนี้หมิงซี่หยินก็เริ่มหัวเราะออกมายกใหญ่ ในตอนที่เขาหยุดหัวเราะหมิงซี่หยินก็เริ่มพูดออกมา “ช่างไร้ยางอายอะไรแบบนี้ เจ้าได้ฝึกฝนกระบวนท่ากระดองเต่ามานานถึง 20 ปีแล้ว แต่เจ้ากลับมาที่นี่ก็เพื่อที่จะท้าให้ท่านอาจารย์ของข้าโจมตีเจ้าอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น ปมในใจของเจ้าจะคลี่คลายได้ก็ต่อเมื่อต้านทานการโจมตีได้! อันที่จริงเจ้าน่ะเป็นชายผู้ไร้ยางอายที่สุดที่ข้าเคยเจอมาเลย! “
“…”
ชายวัยกลางคนรู้สึกโกรธแค้นเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ถึงแบบนั้นฮั๊ววู่เด๋าก็ได้ห้ามปรามเขาเอาไว้ซะก่อน
แม้แต่ฮั๊ววู่เด๋าเองก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธสิ่งที่หมิงซี่หยินพูดได้ ฮั๊ววู่เด๋ารู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำมาโดยตลอดเป็นเรื่องที่ไร้สาระขนาดไหน ไม่มีใครที่จะศึกษาเคล็ดวิชาที่ใช้ในการป้องกันมามากถึง 20 ปีแบบนี้ และหนำซ้ำเขายังปรากฏตัวต่อหน้าคู่ต่อสู้และขอให้คู่ต่อสู้คนนี้โจมตีใส่ตัวเขาอีกด้วย
“ฮั๊ววู่เด๋า เจ้าน่ะมันเป็นคนที่ไร้ยางอายซะจริง…ทำไมเจ้าไม่ให้เวลาข้า 10 ปีศึกษากระบวนท่าป้องกันของเจ้าบ้างล่ะ ถ้าหากข้าไม่สามารถแทงเจ้าให้ตายด้วยหอกเล่มนี้ ข้าจะไม่ขออยู่ในโลกนี้ให้ต้องอับอายอีกต่อไป” ด้วนมู่เฉิงพูดออกมาในระหว่างที่จับหอกราชันย์เอาไว้แน่น หอกของเขาส่งเสียงแรงสั่นสะเทือนออกมาเพราะกระแสพลังลมปราณของตัวด้วนมู่เฉิงมีเยอะเกินไปนั่นเอง สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าอาวุธที่เขาถืออยู่เป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ขมวดคิ้ว ในตอนนี้ตัวเขาไม่แม้แต่จะกล้าโต้เถียงกลับไป
ด้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดต่อไป “เจ้าน่ะใช้เวลาฝึกตัวเองมาถึง 20 ปี ข้าก็แค่ขอเวลาเจ้าเพียง 10 ปีเท่านั้น ไม่สิ 5 ปีก็พอ”
“…”
ชายวัยกลางคนที่ได้ยินแบบนั้นได้หันไปพูดกับฮั๊ววู่เด๋า “ท่านอาจารย์ไม่จำเป็นจะต้องถึงมือท่านหรอก…ไม่จำเป็นเลยที่ท่านจะต้องทำแบบนั้น ข้าบอกท่านแล้วพวกศาลาปีศาจลอยฟ้าน่ะเป็นจอมวายร้าย! “
“หุบปากซะ! ” ฮั๊ววู่เด๋าได้จ้องมองไปที่ศิษย์ของตัวเอง เขาก้าวไปข้างหน้าก่อนที่จะย่อเข่าลงหนึ่งข้าง หลังจากนั้นเขาก็คารวะลู่โจวอีกครั้ง “ข้าไม่ขออะไรอีกต่อไป…ข้ารู้ดีว่าข้าไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของท่าน แต่ถึงแบบนั้นปมที่มีในใจก็ไม่อาจที่จะคลี่คลายไปได้ ข้าจะต้องอยู่กับความเสียใจไปตลอดทั้งชีวิต ท่านจี ได้โปรดช่วยให้ข้าได้คลายปมนี่ด้วยเถอะ! ” เสียงของฮั๊ววู่เด๋าดังก้องและเปี่ยมไปด้วยพลัง
ทุกๆ คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ตกใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น
มีผู้คนมากมายที่ท้าทายภูเขาทองลูกนี้ และยังมีผู้คนมากมายที่จะพยายามลอบเข้ามาโจมตี แต่ถึงแบบนั้นนี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีคนมาที่นี่เพื่อคุกเข่าลงเพื่อขอให้ตัวเองได้ถูกโจมตี นี่เป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก
ในตอนนั้นทั่วทั้งห้องโถงก็ได้เงียบสนิท
ท้ายที่สุดแล้วการที่ผู้อาวุโสจากสำนักหยุนจะคุกเข่าขอร้องอะไรแบบนี้ก็เป็นภาพที่หาได้ยากยิ่ง ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวจะคาดคิดว่าสถานการณ์ทั้งหมดจะออกมาเป็นแบบนี้
“ได้โปรดเติมเต็มความปรารถนาให้ข้าด้วย ท่านปรมาจารย์! ” ฮั๊ววู่เด๋าพูดออกมาอย่างเสียงดัง
“ท่านอาจารย์ไม่ทำแบบนั้นหรอก เจ้าน่ะไสหัวไปซะ! ” หยวนเอ๋อพูดออกมาในระหว่างที่เดินลงบันได
ในตอนนั้นเองในที่สุดลู่โจวก็พูดออกมา “ฮั๊ววู่เด๋า เจ้าต้องการที่จะคลายปมในใจจริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
“ถูกแล้ว…ทั้งชีวิตของข้าปรารถนาแบบนั้น ข้าหวังว่าท่านจะไม่ออมแรงโจมตีเข้ามา ท่านปรมาจารย์ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ” ฮั๊ววู่เด๋าพูดออกมาอย่างจริงจัง
“แม้ว่าสำนักฝ่ายธรรมะและสำนักฝ่ายอธรรมจะไม่ถูกกัน แต่กระนั้นเจ้าก็ยังคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องข้า เจ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะเยาะเย้ยวีรกรรมของเจ้าอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจสได้ถามออกมาอย่างไม่แยแส
“ในอดีตที่ผ่านมาพวกเราสำนักฝ่ายธรรมะก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากสำนักฝ่ายอธรรมอย่างท่านเลย มันเป็นเพียงแค่เส้นทางที่แตกต่างกันเพียงเท่านั้น สิ่งนี้เป็นเพียงแค่อุดมการณ์ของทั้งสองฝ่าย” ฮั๊ววู่เด๋าตอบออกมาอย่างใจเย็น
ลู่โจวพยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็พูดตอบกลับไป “ข้าจะเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าเอง”
เมื่อฮั๊ววู่เด๋าได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี เขายกมือขึ้นมาคารวะลู่โจวอย่างเคารพอีกครั้ง “ขอบคุณมากที่ช่วยข้า”
“แต่…” จู่ๆ ลู่โจวก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “มีบางอย่างที่ข้าจะต้องบอกกับเจ้าซะก่อน”