เช้าของวันใหม่ได้มาถึง เมื่อเงยหน้ามองขึ้นบนฟ้าก็จะพบกับท้องฟ้าสีครามสดใส ลมที่กำลังพัดเบาๆ ช่างเป็นวันที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเดินทางบนฟากฟ้า
แม้จะยังเช้าอยู่ แต่เอริกะ ยูโนะ เวนโตส ลิเลี่ยม วินเซนต์และอัศวินอีกจำนวนหนึ่งก็เตรียมตัวพร้อมที่จะออกเดินทางกันแล้ว
สิ่งที่ยังเหลืออยู่มีเพียงก้าวขึ้นไปยังบนเรือเหาะ
“ขอบพระคุณสำหรับการรอคอย โปรดตามกระผมขึ้นมาบนเรือตามลำดับได้เลยขอรับ” หลังจากเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง ลูกเรือของกลุ่มการค้าสันติยาคนหนึ่งกล่าวออกมาก่อนที่จะเปิดประตูทางเข้าเรือ และเหล่าอัศวินก็เริ่มที่จะขึ้นไปบนเรือเป็นอันดับแรก
เอริกะและคนอื่นๆกำลังกล่าวคำอำลากับเพื่อนๆในกลุ่มของเธอที่ต้องอยู่ทราวิสต่อ แต่ทว่า พวกเธอกลับไม่เห็นไลเนอร์
ตามที่ฟรานซิสและฮิวโก้บอก ดูเหมือนว่าไลเนอร์จะตื่นตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเสียอีก
[ ไลเนอร์ไม่อยู่ที่นี่เหรอคะ ? ] – เอริกะ
[ ค่ะ .. ฉันเองก็สงสัยอยู่ว่าไลเนอร์หายไปไหน …] – คลอเล็ต
คลอเล็ตตอบกลับเอริกะด้วยสีหน้าเป็นกังวลมากกว่าที่จะรู้สึกโกรธที่ไลเนอร์ไม่ยอมมากล่าวคำอำลาเพื่อนๆในกลุ่มของเขา ซึ่งคลอเล็ตก็อยากที่จะไปหาตัวของไลเนอร์ทันทีถ้าตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่พวกของเอริกะกำลังจะขึ้นเรือ
นั้นเพราะบรรยากาศของไลเนอร์แตกต่างไปจากปกติอย่างเห็นได้ชัด และมันเป็นไปไม่ได้ที่คลอเล็ตจะไม่รู้สึกกังวล
[ ไอ้หมอนั้นหายหัวไปตั้งแต่หลังอาหารเย็น และไม่กลับมาจนกระทั้งดึกดื่น ] – ฮิวโก้
ฮิวโก้กล่าวออกมาอย่างบึ้งๆพลางกอดอกไปด้วย
ในฐานะพี่ใหญ่ของกลุ่ม ฮิวโก้มักจะคอยสังเกตพฤติกรรมของคนอื่นๆภายในกลุ่ม ซึ่งเขาก็สังเกตเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติไปของไลเนอร์ อันที่จริง ไลเนอร์นั้นกลับคิดว่าตัวเองเป็นเพียงคนเดียวที่ทำตัวเป็นปกติ
[ พวกเราขึ้นเรือกันเสร็จแล้ว … ว่าแต่ มีปัญหาอะไรรึปล่าว ? ] – วินเซนต์
วินเซนต์กล่าวออกมาเมื่อสังเกตเห็นว่าเอริกะและคนอื่นๆยังไม่ตามขึ้นเรือไป
[ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรค่ะ แต่ว่า ไลเนอร์ … 1 ในกลุ่มของพวกเรายังไม่มีใครเห็นตัวของเขาเลยค่ะตั้งแต่เช้านี้ ] – เอริกะ
[ อ้อ ถ้าหมายถึงเด็กผมแดง ข้าพบกับเขาเมื่อคืนและได้คุยกันสั้นๆ ดูเหมือนเขาจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง ] – วินเซนต์
[ คุณได้คุยกับไลเนอร์ ? เกี่ยวกับอะไรคะ ? ] – เอริกะ
[ มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ ข้าคงบอกรายละเอียดอะไรไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพื่อนของเขา ดังนั้นจากประสบการณ์ของข้า ข้าจึงแนะนำเขาไป ] – วินเซนต์
แม้วินเซนต์จะพยายามพูดโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของไลเนอร์ แต่ก็เดาๆได้ว่าพวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของฮาโรลด์ ถึงแม้จะไม่เอ่ยชื่อออกมาตรงๆก็ตาม
[ หากอิงจากเรื่องที่พวกคุณคุยกัน พอเดาได้รึปล่าวคะว่าทำไมเขาถึงหายตัวไป ? ] – เอริกะ
[ ข้าก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าทำไม … แต่ข้าก็ไม่ปฎิเสธหรอกนะว่า บางทีคำแนะนำของข้าอาจจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขา ] – วินเซนต์
อาจเพราะไม่เข้าใจถึงความรู้สึกจริงๆของไลเนอร์ จึงทำให้วินเซนต์ไม่สามารถพูดอะไรได้
สรุปเหตุการณ์ทั้งหมด ไลเนอร์ออกไปหลังมื้อเย็นและพบกับวินเซนต์ ซึ่งเขาน่าจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮาโรลด์
จากนั้นเขาก็กลับมาที่โรงแรมในตอนกลางดึกและหายตัวไปอีกครั้งก่อนที่ทุกคนจะตื่น
อะไรคือสิ่งที่วินเซนต์บอกกับไลเนอร์ ? และไลเนอร์กำลังคิดอะไรอยู่ ?
ไม่มีทั้งเวลาและข้อมูลที่มากพอจะสรุปสถานการณ์ปัจจุบันได้
หรือวินเซนต์อยู่ฝ่ายเดียวกับ ดร.ยูสทัส และปั่นความคิดอะไรบางอย่างใส่ไลเนอร์?
อย่างไรก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นจริง มีเหตุผลอะไรที่ต้องใช้วิธีการอ้อมค้อมอย่างการปลุกปั่นความคิดของไลเนอร์ขณะที่เขาอยู่เพียงลำพัง?
หากสมมุติเป็นเช่นนั้นจริงและวินเซนต์เป็นศัตรู ทันทีที่เธอก้าวเท้าขึ้นไปบนเรือ เขาอาจจะหันคมดาบใส่พวกเธอเลยรึปล่าว ?
แล้วทำไมวินเซนต์ต้องเข้าไปคุยกับไลเนอร์เมื่อคืนและทำให้ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย ?
( จะมาคิดหาคำตอบของมันในตอนนี้คงจะไม่ทันแล้ว ) – เอริกะ
ด้วยข้อมูลที่มีจำกัด เอริกะตัดสินใจว่าเธอจะไม่เปลี่ยนแปลงแผนของเธอแต่อย่างใด ในสถานการณ์ที่มีชีวิตของหลายๆคนเป็นเดิมพัน เราจะต้องหลีกเลี่ยงการทำอะไรที่มันหุนหันพลันแล่น
[ … ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องออกเดินทางแล้วค่ะ ] – เอริกะ
[ ไม่ต้องกังวลไป เดี่ยวเรื่องทางนี้พวกเราเป็ฺนคนจัดการเอง ] – ฮิวโก้
[ ขอบคุณค่ะ ] – เอริกะ
หลังมองเข้าไปในดวงตาของเพื่อนๆทั้ง 4 เอริกะก็ก้มหัวของเธอลง
ขณะที่เธอกำลังหันหลังก้าวขึ้นไปยังบนเรือ
[ รอเดี่ยว !! ]
จู่ๆก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง และเท้าของเอริกะก็หยุดลง
เสียงนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไลเนอร์ และเมื่อเธอหันกลับไป เธอก็เห็นไลเนอร์ที่กำลังวิ่งตรงมายังพวกเธอ ด้วยเส้นผมสีแดงสดที่ปลิวไสวท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า
ตอนแรก เธอคิดว่าเขาคงแค่มาส่งพวกเธอ แต่ทว่า ไลเนอร์กลับผ่านคลอเล็ตและคนอื่นๆและขึ้นมาบนเรือด้วย
[ ล-ไลเนอร์ เกิดอะไรขึ้นคะ ? ] – เอริกะ
ไลเนอร์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงและระยะทางไกลพอสมควร เขาวางมือทั้งสองข้างลงที่เข่าและหายใจเข้าหายใจออกซ้ำไปซ้ำมา
หลังจากขอเวลาพักหายใจอยู่สักครู่ ไลเนอร์ก็เงยหน้าขึ้นและมองตรงเข้าไปในดวงตาของเอริกะ
[ ผมจะไปกับเธอด้วย! ผมจะไปช่วยฮาโรลด์! ] – ไลเนอร์
นั้นเป็นคำพูดที่คาดไม่ถึง
“ไม่ใช่ว่าไลเนอร์รู้สึกไม่ดีกับฮาโรลด์และอยากจะหลีกเลี่ยงการพบเจอกับเขาไม่ใช่หรอ?” นั้นคือสิ่งที่เอริกะคิด
[ ทำไมล่ะคะ? ทำไมจู่ๆคุณถึงพูดเช่นนั้น ? ] – เอริกะ
[ …. ผมมาคิดๆดูแล้ว มันไม่ถูกนักที่จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ และผมก็ไม่รู้ว่าฮาโรลด์กำลังคิดอะไรอยู่ ] – ไลเนอร์
[ ดิฉันเห็นด้วยค่ะ แต่… ] – เอริกะ
ไม่ใช่แค่ไลเนอร์เท่านั้น ไม่มีใครซักคนในที่นี้รู้ว่าฮาโรลด์คิดอะไรอยู่ รวมถึงเอริกะด้วย
ซึ่งเอริกะเองก็อยากที่จะเป็นคนๆนั้น คนที่รู้และเข้าใจความรู้สึกของฮาโรลด์ แต่การที่เธอทำไมได้เลยกลับทำให้เธอเสียใจและได้แต่หงุดหงิดตัวเอง
[ แต่เพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งที่ฮาโรลด์กำลังคิดและปรับความเข้าใจกันได้ ผมจะต้องคุยกับฮาโรลด์อย่างเหมาะสม ] – ไลเนอร์
ซึ่งคำตอบนั้นก็คล้ายๆกับสิ่งที่เอริกะกำลังจะทำ
เผชิญกับฮาโรลด์ซึ่งๆหน้าโดยไม่เกรงกลัวว่าความสัมพันธ์ของเธอและเขาจะถูกทำลายลงไป นั้นคือคำตอบของเอริกะที่คิดขึ้นได้หลังจากคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ซึ่งกว่าเธอจะมาถึงจุดๆนี้ ต้องขอบคุณกำลังใจที่เธอได้รับจากลีฟา แต่สำหรับไลเนอร์เขาก็สามารถมาถึงจุดๆนี้ได้ด้วยการต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง
[ นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องไปพบฮาโรลด์ เพราะผมยังอยากที่จะเป็นคู่แข่ง —- และเป็นเพื่อนกับเขา ! ] – ไลเนอร์
[ ไลเนอร์ … ] – เอริกะ
ไลเนอร์ประกาศความต้องการของตนออกมาอย่างมุ่งมั่น ความตรงไปตรงมาและความเข็มแข็งภายในจิตใจบ่งบอกความเป็นตัวของไลเนอร์ได้เป็นอย่างดี แต่นั้นก็เกิดขึ้นหลังจากที่เขาเอาชนะความสับสนภายในจิตใจของเขาได้ สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของเขาเช่นกัน
[ ก็ไปสิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ? ] – ลีฟา
[ ใช่ ถูกแล้ว แบบนี้ค่อยสมกับเป็นนายหน่อย ไลเนอร์ ] – ฟรานซิส
[ ขณะอยู่กับพวกเอริกะ อย่าสร้างปัญหาให้มากล่ะ! ] – ฮิวโก้
[ ชะ-โชคดีนะ ไลเนอร์! ] – คลอเล็ต
ลีฟาและคนอื่นๆต่างบอกลาและให้กำลังใจกับไลเนอร์
แม้ว่าจะมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการในทราวิส และอย่างที่พวกเธอคุยกันเมื่อวันก่อนว่า การเดินทางไปเมืองบาร์สตันในครั้งนี้มันเต็มไปด้วยอันตราย
แม้ทุกๆคนจะรู้ดีถึงความเสี่ยงที่จะต้องแบกรับ แต่ทุกๆคงยังให้กำลังใจและบอกลาไลเนอร์ เมื่อเห็นเช่นนั้น เอริกะจึงไม่มีเหตุผลอื่นที่จะปฎิเสธไลเนอร์ได้
[ ได้ค่ะ ถ้าเช่นนั้น พวกเราไปกันเถอะค่ะ ไลเนอร์ ] – เอริกะ
[ เยส! ] – ไลเนอร์
ด้วยท่าทีที่แตกต่างไปจากเมื่อวันก่อนอย่างสิ้นเชิง ไลเนอร์ก้าวขึ้นสู่เรือเหาะโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
ข้างหน้าของพวกเขา คือวินเซนต์ที่กำลังเฝ้ามองฉากการอำลาของกลุ่มเพื่อน ไลเนอร์ก็ได้เดินตรงไปที่ด้านหน้าของวินเซนต์และโค้งคำนับ
[ ขอบคุณมากครับ! ] – ไลเนอร์
[ ข้าไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าคำแนะนำของข้าช่วยคลายความสงสัยของนายได้ ข้าก็ยินดี ] – วินเซนต์
นี่คงเกี่ยวกับการพูดคุยกันช่วงสั้นๆของพวกเขาทั้ง 2 เมื่อคืนก่อน
เมื่อเห็นฉากที่พวกเขาทั้ง 2 คนคุยกัน มันคงเดาได้ไม่ยากว่าคำแนะนำของวินเซนต์มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงให้ไลเนอร์ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับฮาโรลด์
[ นั้นไม่จริงเลยครับ ถ้าหากผมคิดเกี่ยวกับมันด้วยตัวเอง .. ผมคง — … ผมคงไม่มีวันที่จะตัดสินใจแบบนี้ได้ ] – ไลเนอร์
[ ฮ่าๆ ข้าเองก็เคยมีประสบการณ์คล้ายๆกับนายตอนที่สมัยยังเป็นเด็ก ] – วินเซนต์
[ ประสบการณ์คล้ายๆ ? ] – ไลเนอร์
[ ใช่ ] – วินเซนต์
วินเซนค์กล่าวออกมาพลางหลับตาลงนึกย้อนถึงวัยเด็กของตน
[ ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมานานมากแล้ว หมอนั้นถูกใครๆมองว่าเป็นคนเหลาะแหละไม่เอาไหน ไม่จริงใจ ขี้เมา….แต่ถ้าไม่ใช่เพราะหมอนั้น – ถ้าไม่ใช่เพราะโคดี้ในตอนนั้น ข้าเองก็คงไม่ได้กลายมาเป็นอัศวินเหมือนทุกวันนี้ ] – วินเซนต์
โคดี้ ชื่อนี้เอริกะเคยได้ยินมาก่อน
5 ปีก่อน หลังจากเหตุการณ์การต่อสู้ในป่าเบลติส เอริกะที่กำลังจะหันหลังกลับออกไปที่ประตูจากสำนักงานใหญ่อัศวินในเมืองหลวง ตอนนั้น โคดี้ร้องเรียกเธอและพาเธอเข้าไปด้านในเพื่อพบกับฮาโรลด์
หลังจากนั้น ในตอนนี้ฮาโรลด์ถูกตัดสินประหารชีวิต โคดี้เป็นคนที่คัดค้านผลการตัดสิน และร่วมมือกับเธอในการพยายามแก้ไขผลคำตัดสินเหล่านั้น ตั้งแต่ตอนนั้น เธอก็ไม่ได้พบกับโคดี้อีกเลย
[ เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของคุณเหรอคะ หัวหน้าวินเซนต์ ? ] – เอริกะ
[ มาคิดๆดูแล้ว เธอก็เคยพบกับเขามาก่อนใช่ไหมนะ ? เอริกะ ] – วินเซนต์
[ ค่ะ เขาเคยช่วยดิฉันเอาไว้มากเมื่อตอนนั้น ] – เอริกะ
เมื่อคิดๆย้อนกลับไปในตอนนั้น โคดี้เองก็เคยบอกกับเธอว่า วินเซนต์ที่ในเวลานั้นเป็นรองกัปตันเป็นคนที่สามารถเชื่อถือได้ พวกเขาทั้งคู่คงต้องมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระดับหนึ่งถึงกล้าพูดอะไรเช่นนั้น
[ อืม … ตอนนี้หมอนั้นก็อยู่ที่บาร์สตันเหมือนกัน แต่ว่า หมอนั้นเป็นคนประเภทที่ต่อให้จะพยายามแค่ไหนก็ฆ่าหมอนั้นให้ตายไม่ได้ ดังนั้น ข้าแน่ใจว่าเขาคงยังมีชีวิตอยู่ ] – วินเซนต์
ถึงแม้วินเซนต์จะกล่าวออกมาชิวๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เอริกะก็สัมผัสได้ถึงความกังวลที่แอบแฝงมาในคำพูดเหล่านั้น คำพูดที่คอยบอกกับตัวเองมากกว่าใครๆ บอกกับตัวเองว่าทุกๆอย่างจะไม่เป็นไร บอกว่าคนๆนั้นยังปลอดภัย
ต่อให้คนๆนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน ขึ้นไปสูงถึงขนาดกลายเป็นผู้นำแห่งภาคีอัศวิน แต่คนๆนั้นก็ยังเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง พวกเขาล้วนมีความอ่อนแออยู่ภายในตัว เช่นเดียวกับฮาโรลด์
[ ค่ะ ดิฉันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ] – เอริกะ
เธอกล่าวออกมาด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยกำลังใจ
ซึ่งวินเซนต์เองก็ตอบรับคำพูดเหล่านั้นด้วยการยิ้มออกมาเล็กๆ
———————————–
สิ่งแรกที่ฮาโรลด์รู้สึกตั้งแต่รู้สึกตัวนั้นคือความเหนื่อยล้าที่เกาะไปทั่วร่างกายของเขา และความเจ็บปวดที่ถูกจับล่ามด้วยโซ่ที่มือทั้ง 2 ขณะนั่งคุกเข่า
( เหมือนตอนที่ผมถูกจับขังคุกเลย …. ) – ฮาโรลด์
เขาเองก็ไม่อยากจะนึกถึงหรอก แต่ความทรงจำเหล่านั้นแว้บเข้ามาภายในหัวเอง
เมื่อเทียบกับคุกตอนนั้น ที่นี่ดูสะอาดกว่าเยอะ ซึ่งถือว่าดีกว่าเล็กน้อย แต่… ไม่ว่าสภาพความเป็นอยู่ของเขาจะน่าพึงพอใจซักเพียงใด แต่อารมณ์ของเขาก็ดิ่งลงเหวลงทันทีเนื่องมาจากชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา—– ไม่สิรูปลักษณ์ไม่เหมือนแต่ก่อน
[ ในที่สุดก็ตื่นซักที ฮาโรลด์ ] – ยูสทัส
[ แต่แกก็ยังนิสัยเสียอยู่เหมือนเคยนะ ยูสทัส ] – ฮาโรลด์
[ เฮ้ นั้นคือคำพูดแรกที่นายพูดงั้นเรอะ ? ชั้นดีใจนะที่เห็นสมองนายยังคงทำงานได้อย่างปกติ ] – ยูสทัส
ทั้งคำพูดและกิริยาท่าทางที่แสดงออกมานั้น ไม่ผิดตัวแน่ เขาคือ ยูสทัส ฟรอยด์ คนที่ฮาโรลด์รู้จักเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ของเขากับเป็นเด็กสาวอายุราวๆ 10 ขวบ บอกตรงๆ เขาเหมือนซาร่าเป็นอย่างมาก
ฮาโรลด์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในเกมส์มาก่อน
แต่หากอ้างอิงจากความรู้ภายในเกมส์ และ สถานการณ์ปัจจุบัน เขาก็พอเดาอะไรบางอย่างได้
( แผนของยูสทัสคือการฟื้นคืนชีพให้เอสเทล และวิธีการก็คือการดึงร่างวิญญาณของเธอที่หลับใหลอยู่ภายในแกนกลางของดวงดาวและผสานมันเข้ากับร่างกายของบุตรแห่งดวงดาว ) – ฮาโรลด์
ใช่แล้ว มันคือการซิงโครไนซ์ การที่จะดึงวิญญาณของเอสเทลออกมาจากแกนกลางของดวงดาวได้ยูสทัสจำเป็นที่จะต้องซิงโครไนซ์ร่างวิญญาณของตัวเองเข้ากับแกนกลางของดวงดาว
หรือในอีกความหมายก็คือ มันคือการถ่ายโอนความรู้สึกนึกคิดของตัวเองไปยังภาชนะอื่นที่ไม่ใช่ร่างกายของตนเอง
พูดตามตรง สิ่งนี้มันเป็นเรื่องไร้สาระที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะต่อให้อัจฉริยะแค่ไหน ยูสทัสก็คงไม่มีวันใช้ร่างกายของตัวเองทดลองถ่ายโอนอัตตาของตัวเองกับเป้าหมายอื่นที่ไม่สำคัญ นั้นเพราะถ้าหากมันเกิดผิดพลาด สิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งหมดก็จะสูญปล่าวทันที
( แล้วทำไมเขาถึงต้องถ่ายโอนอัตตาของตัวเองด้วย …. ) – ฮาโรลด์
ใช้อัตตาของตัวเอง—- ไม่สิก่อนหน้านั้น เขาคงต้องเคยทดลองกับร่างอื่นๆ
และผลที่ได้ทำให้ยูสทัสในรูปลักษณ์ของซาร่า
[ หึ รู้สึกยังไงที่ได้มีร่างกายเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ? ] – ฮาโรลด์
[ ตอนแรกมันก็รู้สึกแปลกๆ แต่ตอนนี้ชั้นเริ่มชินแล้วล่ะ ] – ยูสทัส
( เดี่ยวนะ เขาพูดว่า ชินแล้ว? งั้นรึ… ) – ฮาโรลด์
จากคำพูดของเขาบอกได้ว่าเขาได้ถ่ายโอนอัตตามาอยู่ในร่างของซาร่าได้ระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม ยูสทัสเองก็ยังคงมีตัวตนอยู่จริงๆจนถึงเมื่อไม่นานมานี้
หากเป็นเช่นนั้น นี่เขาพลาดอะไรไป ? เมื่อมาถึงทางตัน ฮาโรลด์พยายามเรียบเรียงข้อมูลที่มีเพื่อจัดระบบความคิดเสียใหม่
พอมานึกๆดู ก่อนที่เขาจะหมดสติ มีอีกคนหนึ่งที่ยูสทัสกำลังซิงโครไนซ์อยู่เช่นกัน
ซึ่งชายคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ โคดี้ รูเซียล
ฮาโรลด์ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นไปได้ และต่อให้มันเป็นไปได้ในทางเทคนิคจริง เขาก็รู้สึกกลัวจนหนาวสั่นเพียงแค่นึกว่าร่างของตัวเองถูกคนอื่นเข้ามาควบคุมและทำนู่นทำนี่
[ แบ่ง ….. จิตสำนึก—– และอัตตาของตัวเอง งั้นเหรอ? ] – ฮาโรลด์
จากมุมมองของฮาโรลด์ นี่ไม่ใช่การกระทำของคนที่เรียกว่ามีสติสัมปชัญยะสมบูรณ์ดีได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าฮาโรลด์ คือนักวิทยาศาสตร์คลั่งที่ทิ้งสติสัมปชัญยะไปนานแล้ว
รอยยิ้มอันดำมืดและบ้าคลั่งค่อยๆปรากฎขึ้นบนใบหน้ายูสทัส—ของเด็กสาว
[ ถูกต้อง ! เอา 100 คะแนนเต็มไปเลย ฮาโรลด์ ! ] – ยูสทัส