My Death Flags Show No Sign of Ending 121 ปฎิบัติการ “เส้นสีแดง”

ตอนที่ 121 ปฎิบัติการ "เส้นสีแดง"

แรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินและเสียงคำรามกึกก้องค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในไม่ช้าเหล่ามอนเตอร์คงจะขึ้นมาถึงบนพื้นดิน

ถึงแม้ว่าฮาโรลด์จะได้รับแจ้งว่าการอพยพออกไปจากเมืองนั้นเสร็จสิ้นแล้ว แต่พวกเขายังคงต้องการเวลาอีกสักพักกว่าชาวเมืองทั้งหมดจะไปยังจุดปลอดภัยที่บริเวณเชิงเขา หากปล่อยให้พวกมอนเตอร์เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ มันก็ยังคงมีความเสี่ยงที่พวกชาวเมืองจะถูกไล่ตามทันที่ภูเขา

นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมฮาโรลด์ถึงอยู่ที่นี่ตามแผนที่วางเอาไว้ เพื่อที่จะชะลอการบุกคืบของฝูงมอนเตอร์

ณ จัตรัสใจกลางเมือง มีถังบรรจุสารบางอย่างหลายถังถูกตั้งเอาไว้อยู่ และฮาโรลด์ก็ยืนอยู่ต่อหน้าถังเหล่านั้น เขาค่อยๆใช้ดาบในมือทั้ง 2 เล่มฟันไปที่ถังเหล่านั้นจนแตกกระจาย

ซึ่งนั้น ทำให้ของเหลวแดงสดแกมม่วงไหลออกมาเปรอะพื้นไปทั่วบริเวณ

ของเหลวเหล่านั้นถูกเรียกว่า “ขวดยาสีแดง” มันเป็นไอเทมที่ให้ผลตรงกันข้ามกับ “ขวดยาสีขาว”ที่ซึ่งจะลดอัตรการพบเจอมอนเตอร์ หรือก็คือช่วยในการดึงดูดมอนเตอร์ให้เข้ามาหาแทน ซึ่งภายในเกมส์นั้น มันเป็นไอเทมที่มีไว้เพื่อฟาร์มEXPจากเหล่ามอนเตอร์หรือใช้หาไอเทมหายากที่ดอปจากเหล่ามอนเตอร์นั้นเอง

มอนเตอร์เหล่านั้นจะถูกล่อลวงด้วยกลิ่น กลิ่นนั้นมาจากน้ำยาสีแดง ที่ซึ่งฮาโรลด์เตรียมถังบรรจุน้ำยาสีแดงไว้เป็นจำนวนมาก และตอนนี้เขาก็ทำลายถังเหล่านั้นทั้งหมด

หรือก็คือ มอนเตอร์ทั้งฝูงจะแห่กันเข้ามา ณ ที่จัตุรัสแห่งนี้

 พูดง่ายๆก็คือ ฮาโรลด์จะต้องจัดการพวกมันให้ได้มากที่สุดและซื้อเวลาให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจะพูดว่าง่ายๆ แต่มันก็ใช่ว่าจะทำได้

ฮาโรลด์สูดลมหายใจเข้าปอดเล็กน้อย พลางเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่เกือบจะตกดินไปแล้ว หากเวลาล่วงเลยถึงตอนกลางคืน ความเร็วของชาวเมืองที่กำลังอพยพผ่านเส้นทางบนภูเขาคงจะต้องช้าลงอีกเพราะความมืด ดังนั้นเขาจะต้องยื้อเวลาพวกมอนเตอร์ให้นานยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ขณะวิเคราะห์สถานการณ์ไม่ว่าจะมองทางไหนมันก็สิ้นหวังทั้งนั้น และนั้นคือสาเหตุที่ว่าทำไมฮาโรลด์ถึงหัวเราะออกมา

รอยยิ้มที่เย็นชาและดูเหมือนจะดูถูกทุกๆสิ่งที่เขามักจะแสดงออกมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เขาได้มาอยู่ในร่างของฮาโรลด์ได้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง

รอยยิ้มนั้นกลายเป็นดั่งสัญญาณให้เริ่มการต่อสู้

แรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงแห่งการทำลายล้างและฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วจากทิศที่อุโมงค์ถูกตั้งอยู่

คงเดาได้ว่าพวกมอนเตอร์คงขึ้นมาถึงบนพื้นดินแล้วและกำลังรุกคืบพังบ้านเรือนตรงมาทางนี้เรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ออกมาจากอุโมงค์ใช่ว่าจะมีเพียงมอนเตอร์ที่ขนาดใหญ่โตจนสามารถทำลายอาคารบ้านเรือนได้ง่ายเพียงแค่เดินผ่าน มอนเตอร์ชุดแรกที่ปรากฎในสายตาของฮาโรลด์เป็นมอนเตอร์ประเภท 4 ขา

ด้วยรูปร่างที่ยืดหยุ่นชวนให้นึกถึงเสือดาว ขนาดความยาวของมันเกือบ 3 เมตร มาพร้อมกับเขี๊ยวและกรงเล็บขนาดใหญ่

< Black Saber > มันคือมอนเตอร์ที่จะปรากฎขึ้นในเกมส์ตั้งแต่ช่วงกลางเนื้อเรื่องของเกมส์เป็นต้นไป มันเป็นที่รู้จักในเรื่องความรวดเร็วและพลังโจมตีที่สูง

 

[ แต่ว่า มันก็แค่นั้น ] – ฮาโรลด์

 

ฮาโรลด์กล่าวออกมาอย่างเย็นชาและหลบการโจมตีของ < Black Saber > ทั้ง 3 ตัวได้อย่างง่ายดายด้วยการขยับเล็กน้อยทั้งเขี๊ยวและกรงเล็บเหล่านั้นก็พลาดเป้า พร้อมกับหัวของพวกมันทั้ง 3 ตัวก็ถูกตัดจนขาดอย่างรวดเร็ว

หากใครก็ตามได้เห็นฉากนี้ พวกเขาคงจะคิดว่าหัวของพวกมันถูกตัดจนขาดพร้อมกันในทันที เลือดสดๆพุ่งกระฉุดกระจายไปทั่วจากคอที่ไร้หัวของพวก <Black Saber > พร้อมกับร่างของพวกมันที่ล้มลง กลิ่นเลือดเหล่านี้ยิ่งล่อลวงให้เหล่ามอนเตอร์มายังตำแหน่งของฮาโรลด์มากยิ่งขึ้น

ตามที่คาดเอาไว้ หลังจากจัดการ < Black Saber > ทั้ง 3 ลง เหล่ามอนเตอร์หลากชนิดก็กรูกันเข้ามาโจมตี

ที่รอบๆยังมีพวก < Black Saber > อีกหลาย 10 ตัว ที่กำลังตามมา ยังมีมอนเตอร์ประเภทคล้ายมนุษย์อาทิเช่นก็อบลินและโทรลอีกหลายร้อยตัว นอกจากมียังมีพวก < HornHead > อีกหลายตัวเช่นกัน ซึ่งเป็นมอนเตอร์ที่ฮาโรลด์เคยต่อสู้มาแล้วสมัยยังอยู่ในหน่วยกวาดล้างมอนเตอร์

ฝูงมอนเตอร์กรูกันเข้ามาเต็มพื้นถนน มันดูราวกับคลื่นยักที่พร้อมจะกลืนกินฮาโรลด์

 

[ << Bolt Lance >> ] – ฮาโรลด์

 

ฮาโรลด์เปิดฉากโจมตีด้วยเวทมนตร์ไปที่มอนเตอร์เหล่านั้นก่อน แม้ว่าจะห่างเกือบ 10 เมตร แต่เพราะเหล่ามอนเตอร์เรียงรายกันอย่างหนาแน่นตรงมาที่เขา ทำให้พวกมันจึงเป็นเป้าที่ยอดเยี่ยม

เวทมนตร์ [ << Bolt Lance >> ] ทะลุเจาะร่างพวกมันจนล่วงไปหลายตัว อีกทั้งใช้เวทมนตร์ [ << Grand Punisher >> ] เพื่อขัดการเคลื่อนไหวจนไม่สามารถทรงตัวได้ และปิดฉากด้วย [ << Flame Column >> ] เพื่อเผาพวกมันที่ล้มลงไปพร้อมกันทั้งหมด

เนื่องจากเป็นการต่อสู้ระยะยาว เขาจึงถนอมแรงโดยเว้นที่จะใช้เวทมนตร์ระดับสูงตั้งแต่เริ่ม แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสามารถลดจำนวนของพวกมันได้ลงเรื่อยๆ

เพียงแค่เริ่มการต่อสู้ มอนเตอร์หลายสิบตัวก็ถูกจัดการเรียบ แต่ถึงกระนั้น นั้นยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าชัยชนะแต่อย่างใด และหลังจากที่เขาทำซ้ำแบบนี้อีกหลายต่อหลายรอบ ในที่สุดเหล่ามอนเตอร์ก็บุกเข้ามาถึงตัวของเขา

 

( ถ้าหากผมหยุดเคลื่อนไหว แบบนั้นคงเสร็จพวกมันแน่ มีแต่จะต้องหลบและโจมตีไปเรื่อยๆ และต้องสังหารพวกมันทีละตัวด้วยการโจมตีจุดตายเพียงครั้งเดียวห้ามยืดเยี้อ ) – ฮาโรลด์

 

แม้จะหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ฮาโรลด์ก็ยังสามารถที่จะวิเคราะห์อย่างใจเย็นอยู่ได้

ถ้าหากเขาหยุดเคลื่อนไหว เขาคงโดนพวกมันล้อมกรอบเข้ามารุมสะกำและถึงจุดจบเป็นแน่ และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้น เขาจึงเน้นที่จะหลบหลีกเป็นหลักมากกว่าที่จะเผชิญหน้าโดยตรง และเพื่อที่จะสามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งแผน เขาจึงเลือกพื้นที่เปิดโล่งอย่างจัตุรัสกลางเมืองเป็นจุดที่ใช้ต่อสู้เพื่อให้พวกมอนเตอร์กระจายตัวออก และยังถยอยใช้เวทมนตร์โจมตีอยู่เรื่อยๆ หากจำนวนของพวกมันเริ่มที่จะหนาแน่นกันจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม หากมัวแต่หลบอยู่อย่างเดียว มันก็พาไปสู่จุดจบเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องหลบและโจมตีไปยังจุดตายของศัตรูเพื่อจบการต่อสู้ให้รวดเร็วที่สุด แม้ว่ามันจะทำได้ยาก เพราะนอกจากจะต้องคอยหลบหลีกมอนเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เขายังต้องคอยประเมิณสถานการณ์และตำแหน่งของมอนเตอร์ตัวอื่นๆที่อยู่รอบๆอีกด้วย

เขาหลบคมเขี้ยมและกรงเล็บของ < Black Saber > โดยการเคลื่อนที่ไปทางซ้าย พร้อมกับตัดหัวของก๊อบบินตัวหนึ่งอย่างรวดเร็วที่กำลังง้างกระบองของมันเตรียมทุบมาที่เขา จากนั้นเขาก็ดีดตัวกลับหลังเพื่อหลบการโจมตีของ < HornHead > ที่พุ่งมาจากทางด้านหลัง โดนใช้ค้อนหินที่ถูกหวดมาจากทางด้านหลังเป็นจุดหยั่งเท้าเพื่อดีดตัวขึ้นไปบนฟ้า

เมื่อลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้าเขาก็เสียบดาบของเขาเข้าไปยังปากของกริฟฟอนตัวหนึ่งที่กำลังเตรียมจะร่ายเวทมนตร์อะไรบางอย่างใส่เขา

จากนั้นเขาก็ใช้เท้าของตนยันร่างของกริฟฟอนเพื่อดึงดาบของตนออกจากปากของมันและดีดตัวออกไป

ขณะที่กำลังล่วงหล่นลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง ฮาโรลด์ก็สังเกตเหล่ามอนเตอร์ข้างล่างไปพร้อมกันด้วย หากเขาสามารถพุ่งตัวเพื่อเปลี่ยนทิศทาง ขณะ อยู่กลางอากาศได้ เขาคงสามารถหลบพวกที่รออยู่ข้างล่างได้ แต่ไอ้เทคนิค<< Air Dash >>นั้นมันยังไม่สามารถใช้ตอนนี้ได้เพราะความเร็วในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม นอกจากใบหน้าอันแสนเย็นชาที่กำลังจ้องมองไปยังเหล่ามอนเตอร์พวกนั้น ก็ไม่มีร่องรอยของความตื่นตนกแต่อย่างใดปรากฎขึ้นบนใบหน้าของฮาโรลด์

ฮาโรลด์กระชับกำมือขวาของตน ดาบในมือขวาของเขาเริ่มส่องแสงและมีเสียงปริแตกของอากาศเนื่องมาจากเวทมนตร์สายฟ้ากำลังถูกชาตเข้าไปยังใบดาบ

โดยไม่มีความลังเลใดๆ ฮาโรลด์ขว้างดาบเล่มนั้นออกไป เอาจริงๆความเร็วของมันควรจะเรียกว่าถูกยิงออกไปเสียมากกว่า ดาบเล่มนั้นพุ่งทะลุหัวของ < HornHead > ตัวหนึ่ง

และในจังหวะนั้นเอง ฮาโรลด์ก็ตะโกนออกมาเสียงดัง

 

[ << Raijin >> ] – ฮาโรลด์

 

แสงแฟลสว๊าบถูกฉาบลงท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี และเพียงชั่วอึดใจหลังจากนั้นก็เกิดเสียงท้องฟ้าร้องคำรามดังสนั่น

เมื่อเสียงฟ้าผ่าเริ่มเงียบซาลง ท่ามกลางกลุ่มควันและเปลวไฟ มีเพียงฮาโรลด์ที่ยืนอยู่เพียงผู้เดียว มอนเตอร์จำนวนมากถูกการโจมตีที่รุนแรงเกินจะเรียกว่าฟ้าผ่าสังหารในคราเดียว และหลงเหลือเพียงซากที่ถูกเผาจนดำสนิท

เลือดจำนวนมากที่เคยเจิงนองไปทั่วจัตุรัสแทบจะระเหยไปจนหมด จากกลิ่นเลือดที่เคยคละคลุ้งจนแทบหายใจไม่ออก ตอนนี้กลับเหลือเพียงกลิ่นควันของซากที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม

ในตอนที่เขาสามารถใช้เวทมนตร์ <<Raijin>> ครั้งแรกได้สำเร็จ ตอนนั้นมันเป็นการโจมตีด้วยสายฟ้าเป็นวงกว้างด้วยระยะเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น และจำนวนแฉกของสายฟ้าที่ถูกแยกกระจายออกไปก็มีเพียงแค่ 4 สาย 

8 ปีผ่านไปตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้ฮาโรลด์ ผู้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์และฝึกร่างกายมาอย่างดีเยี่ยม เขาสามารถใช้เวทมนตร์เริ่มต้นอย่าง << Raijin >> ให้สามารถรุนแรงเทียบเท่าได้กับเวทมนตร์ระดับกลาง ด้วยการโจมตีนี้เพียงครั้งเดียว มอนเตอร์จำนวนมากถูกสังหารไปพร้อมๆกัน

แรงระเบิดที่เกิดจากฟ้าผ่าทำให้เศษหินแตกกระจายไปทั่วบริเวณ ฮาโรลด์ดึงดาบของตนออกมาจากซากหัวที่เหลืออยู่ของเจ้า< HornHead >จากนั้นก็พุ่งเป้าไปที่ศัตรูตัวต่อไปทันที

 

แม้ว่ามอนเตอร์ในลานกว้างจะถูกเคลียร์จนเกือบหมดแล้ว แต่ก็ยังมีพวกลูกกระจ๊อกประปรายที่กระจายตัวอยู่รอบๆค่อยๆกรูกันเข้ามา แต่ทว่า สิ่งที่สะท้อนอยู่ภายในดวงตาสีแดงเข้มของฮาโรลด์คือร่างของมอนเตอร์ที่ขนาดตัวของมันใหญ่เกิน 5 เมตรได้ มันกำลังมุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับมอนเตอร์เล็กใหญ่ตัวอื่นๆประปนกันไป

หากเจ้าพวกก่อนหน้านี้เป็นเพียงแนวหน้าของศัตรู ไอ้เจ้าตัวใหญ่นั้นคงเป็นกำลังหลักแน่ๆ ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นแตกต่างจากมอนเตอร์ตัวอื่นๆที่อยู่รอบๆอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของฮาโรลด์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขาจะต้องฆ่าพวกมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

[ ชั้นจะทำให้เมืองนี้กลายเป็นหลุมศพของพวกแก จงยินดีและเรียงหน้ากันเข้ามารับความตายซะ ] – ฮาโรลด์

 

 

———————————————–

 

 

 

[ เหลือเชื่อมาก … ]

 

1 ใน สมาชิกของฟรีรี่ที่ซุ่มดูเหตุการณ์การต่อสู้ที่หอคอยแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่โดยรอบเมืองบาร์สตันถึงกับพึมพัมออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นฉากเหล่านั้น

แม้ว่าจะเห็นฉากการต่อสู้เหล่านั้นไม่ชัดเหตุเพราะระยะห่างจากจัตุรัสกลางเมืองกับหอคอยนั้นค่อนข้างไกล อย่างไรก็ตาม ทั้งเสียงฟ้าร้องคำรามอยู่เรื่อยๆ แสงที่เกิดจากฟ้าผ่าและเสาเพลิงลุกท่วมโชน ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้านายของพวกเขาหรือฮาโรลด์กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดขนาดไหน

การที่ต้องเผชิญหน้ากับมอนเตอร์นับพันด้วยตัวคนเดียว มันจะน่ากลัวขนาดไหน? จะต้องใช้ความกล้าขนาดไหน ?

แต่เจ้านายของพวกเขา ฮาโรลด์ สโตร์ก ชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี กำลังต่อสู้กับความกลัวเหล่านั้นและเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตของผู้คนภายในเมืองแห่งนี้

 

[ เฮ้ มีใครอยู่รึปล่าว ? ] – คีธ

[ หะ-หัวหน้าคีธ ? ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? ]

 

เมื่อหันไปตามเสียงเรียกที่ดังมาจากทางขึ้นบันไดหอคอย เขาก็พบกับคีธผู้ที่ควรจะเป็นผู้นำการคุ้มกันขบวนผู้อพยพไปยังเชิงเขา อาจเพราะเขามัวแต่สนใจฉากการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า จึงทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าคีธอยู่ที่ข้างหลังเขาแล้ว

 

[ ข้ามอบอำนาจให้คนที่เหลือและพวกอัศวินดูแลจัดการแทนแล้ว ช่างเรื่องนั้นเถอะ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ? ] – คีธ

[ ตอนนี้การต่อสู้ได้เกิดขึ้นบริเวณจัตุรัสใจกลางเมืองตามแผนที่วางเอาไว้ครับ ]

 

ในตอนที่คีธได้ฟังแผนนี้ครั้งแรก เขาเองยังคิดว่าแผนนี้มันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความสามารถในการต่อสู้ของฮาโรลด์จะอยู่เหนือสามัญสำนึกของคนธรรมดาไปไกลโข นั้นเพราะตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เขาได้ยื้อเหล่ามอนเตอร์ทั้งฝูงไว้ที่จัตรัสได้กว่า 15 นาทีแล้ว

 

[ ดูเหมือนว่ามันจะไม่กลายเป็น “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” ที่บอสเคยคาดการณ์เอาไว้สินะ ] – คีธ

 

คีธกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูโล่งใจเล็กน้อย

สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่ฮาโรลด์ได้แจ้งกับกลุ่มฟรีรี่เอาไว้นั้นคือ ขวดยาสีแดงไม่สามารถดึงดูดเหล่ามอนเตอร์เอาไว้ได้

จากการสัญนิษฐาน เหล่ามอนเตอร์หลากสายพันธุ์ถูกควบคุมด้วยวิธีการอะไรบางอย่างและรวบรวมเก็บเงียบเอาไว้ที่ใต้ดินมาเป็นเวลานาน ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่การตอบสนองต่อสิ่งอื่นๆอาจจะแตกต่างจากมอนเตอร์ทั่วๆไป

และถ้าหากเป็นเช่นนั้น พวกมอนเตอร์อาจจะไม่สนใจฮาโรลด์ พวกมันอาจกระจายกันไปคนละทิศละทางและไล่ตามขบวนผู้อพยพไป นั้นคือกรณีที่เลวร้ายที่สุด

  

[ ใช่ครับ สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ใกล้เคียงกับกรณีที่เลวร้ายที่สุด ยังไม่มีรายงานว่าตรวจพบมอนเตอร์หลุดจากฝูงเลยแม้แต่ตัวเดียว ]

[ …. เดี่ยวนะ ไม่มีหลุดมาจากฝูงแม้แต่ตัวเดียวเลยหรอ ? ] – คีธ

[ อะ-อ่า -… ใช่ครับ ]

[ ……นายไม่คิดว่ามันแปลกๆบ้างหรอ ? ] – คีธ

[  มันอาจจะจริงอย่างที่หัวหน้าพูดมาก็ได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันก็แปลกมากเกินพอแล้วครับ ใครกันที่คิดจะไปสู้กับฝูงมอนเตอร์ที่มีจำนวนขนาดนั้นด้วยตัวคนเดียว…. แต่ ผมก็เห็นด้วยกับคำพูดของหัวหน้านะ ]

 

ใครกันจะสามารถเอาชนะมอนเตอร์ทั้งฝูงที่มีนับหลายพันตัวด้วยตัวคนเดียว ต่อให้ทำได้จริง มันเป็นไปได้ด้วยหรอที่จะไม่มีตัวไหนหลุดออกมาจากฝูงเลย

อย่างไรก็ตาม หน่วยสอดแนมคนอื่นๆที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองยังไม่มีหน่วยไหนรายงานเรื่องนี้เข้ามาเลยซักหน่วย ซึ่งพวกเขาใช้วิธีสือสารกันด้วยสัญญาณไฟที่มีเฉพาะคนในกลุ่มของฟรีรี่เท่านั้นที่เข้าใจความหมาย ดังนั้นจึงไม่น่าผิดพลาดได้

 

[ มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ] – คีธ

 

คีธบ่นพึมพัมออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ชายคนนั้นก็เช่นกัน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้

เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขามองข้ามอะไรบางสิ่งไป ?

อย่างไรก็ตาม แม้จะใช้ความคิดขนาดไหนก็ไม่อาจระบุถึงสาเหตุของความไม่สบายใจเหล่านี้ได้

 

[ ชิ ช่างเถอะ สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าโอเคอยู่ก็ดีแล้วล่ะ แล้ว ? พวกนายพร้อมกันรึยัง ? ] – คีธ

[ พร้อมครับ พวกเราสามารถถอนตัวออกมาได้ทันทีเมื่อจำเป็น ]

 

ถ้าหากฮาโรลด์เกิดตายหรือผิดพลาดไม่สามารถยื้อฝูงมอนเตอร์เอาไว้ได้ พวกเขาได้เตรียมการระเบิดหอคอยทางทิศใต้ที่ซึ่งทำหน้าที่เป็นทางเข้า-ออกหลักของเมือง เพื่อปิดตายเมือง

ด้วยเหตุนี้ จึงมีหน่วยสอดแหนมหลายหน่วยกระจายตัวอยู่ทั่วเมืองเพื่อคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหนทางสุดท้ายจริงๆ ไม่มีอะไรรับประกันว่าหอคอนที่ถูกถล่มลงมาจะสามารถปิดกั้นทางเข้าออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเสี่ยงที่ว่าเหล่ามอนเตอร์อาจจะคลุ้มคลั่งมากยิ่งขึ้นและอาจสามารถทำลายกำแพงหินออกไปได้ และเพื่อป้องกันสิ่งนั้น จึงมีการวางแนวป้องกันใกล้ประตูทางออก พร้อมกับระเบิดจำนวนมากและวัสดุที่สามารถติดไฟง่ายที่ถูกติดตั้งดักรอเอาไว้เพื่อจัดการกับพวกมอนเตอร์และยื้อเวลาให้ได้มากที่สุด

 

[ ถ้าหากเป็นไปได้ ข้าก็หวังว่าพวกเราจะไม่ต้องใช้ ”วิธีนี้” ] – คีธ

[ ใช่ครับ ถ้าวิธีนั้นถูกใช้ นั้นก็หมายความว่าพวกเราจะไม่สามารถรับประกันได้ว่าท่านฮาโรลด์จะกลับมาอย่างปลอดภัย … ]

 

แค่การเอาตัวเองไปต่อสู้กับมอนเตอร์หลายพันก็เรียกได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตายแล้ว นี่ยังระเบิดปิดตายทางหนีตัวเองพร้อมกับจุดไฟเผาเมืองไปพร้อมกันทั้งตัวเองและมอนเตอร์ ความคิดเหล่านี้เรียกว่าปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะมีการนัดแนะล่วงหน้าว่าให้ใช้หอคอยทางทิศตะวันตกเป็นทางหนีไว้สำหรับหากเกิดกรณีฉุกเฉิน และที่ด้านบนขอหอคอยทางทิศเหนือได้ติดตั้งทางหนีเอาไว้อีกทางเช่นกัน แต่ว่าหอคอยทั้ง 2 ที่ว่ามานั้นอยู่ใกล้กับอุโมงค์ที่เหล่ามอนเตอร์กรูกันออกมา จึงได้แต่สงสัยว่าใครมันหนีไปถึงทางออกพวกนั้นจริงๆหรอ

 

[ ทำไมท่านฮาโรลด์ต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยครับ ? ]

[ ใครจะไปรู้ แต่สำหรับบอส มันคงคุ้มค่ามากพอที่บอสถึงกับยอมเสียงชีวิตของเขานั้นแหละ ] – คีธ

[ หรือว่านี่จะเกี่ยวกับอะไรที่เรียกว่า “เกียรติของขุนนาง” รึปล่าวครับ ? ]

[ ข้าเคยเห็นเหล่าขุนนางที่ใช้ชีวิตตามแบบที่ว่านั้น แต่ข้าไม่เคยเห็นขุนนางหน้าไหนซักคนที่ยอมทำเพื่อประชาชนขนาดนี้ ไม่ใช่แม้กระทั้งประชาชนของดินแดนของตัวเองด้วยซ้ำ ] – คีธ

 

คำพูดของคีธนั้นถูกต้องเป็นที่สุด แน่นอนว่าสิ่งที่ฮาโรลด์ทำลงไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตผู้คน สิ่งที่เขาทำคู่ควรแก่การยกย่อง อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ช่างแตกต่างจากขุนนางที่คีธเคยพบเจอมาอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการต่อสู้ของฮาโรลด์ยิ่งห่างไกลจากสามัญสำนึก

ฮาโรลด์นั้นเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงราวกับมันไม่มีอะไร ในตอนแรก คีธคิดว่านั้นเป็นวิธีแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง แต่ตอนนี้ความคิดของเขานั้นเปลี่ยนไป

ไม่ว่าฮาโรลด์จะเผชิญอันตรายขนาดไหน เขาก็จะไม่มีวันลังเลหรือถอยหนี และพุ่งเข้าใส่มันด้วยความเต็มใจ จากพฤติกรรมของเขาควรจะเรียกว่าแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับตายแทนที่จะเรียกว่าช่วยเหลือผู้อื่นเสียมากกว่า

 

[ เฮ้ย นั้น! นั้นมันสัญญาณ !! ] – คีธ

 

ท่ามกลางความคิดอันขมขื่น เสียงร้องของคีธทำให้ชายคนนั้นรู้สึกตัว

เพื่อให้แน่ใจว่าสัญญาณนั้นหมายถึงอะไรเขาจึงใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อตรวจสอบ และเมื่อเห็นสัญญาณเหล่านั้น เขาถึงกับพูดไม่ออก

 

[ ไม่จริง .. เป็นไปไม่ได้ .. ]

[ อะไร ! เกิดอะไรขึ้น !!? ] – ตีธ

 

แม้ชายคนนั้นจะยังตะลึง แต่เขาก็ตอบกลับคำถามของคีธ

 

[ “มีคน” “เด็ก” “คนเดียว” … ] 

[ เป็นไปไม่ได้…. ! ] – คีธ

[ บางทีอาจเป็นคนที่พลัดหลงหรือไม่ก็ผู้บุกรุก หรืออะไรก็ช่าง …  แต่ว่าสัญญาณเหล่านั้นบอกว่ายังมีเด็กคนหนึ่งติดอยู่ภายในเมืองนี้ ! ]

 

 มันคือช่วงเวลาที่สถานการณ์ที่ “เลวร้ายที่สุด” ที่ฮาโรลด์เคยจินตนาการเอาไว้ได้ถูกทำลายลง

My Death Flags Show No Sign of Ending

My Death Flags Show No Sign of Ending

Score 10
Status: Completed
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มมหาลัยธรรมดาๆอย่าง ฮิราซาวะ คาซุกิ ก็ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครในเกมส์ ยิ่งกว่านั้น เขาดันมาอยู่ในร่างของ " ฮาโรลด์ สโตร์ก" สุดยอดตัวร้ายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในเกมส์ เจ้าของฉายา [ ราชาสวะ ] สำหรับเขาตอนนี้ มองไปทางไหนก็เจอแต่ธงตายอยู่รายล้อมเต็มไปหมด! คาซูกิจะหาทางหลบเลี่ยงธงตายเหล่านั้นได้หรือไม่

Options

not work with dark mode
Reset