ผู้คนต่างพากันวิ่งวุ่นไปทั่ว เสียงกรีดร้องดังไปทั่วหัวระแหง ฉากเหล่านี้เกือบที่จะเรียกได้ว่าโกลาหลอย่างแท้จริง
ฮาโรลด์มองดูภาพเหล่านั้นจากเนินเขาอันเงียบสงัด ซึ่งมีเหตุผล 2 ประการที่ทำให้เมืองบาร์สตั้นตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ประการแรกคือข่าวลือเรื่องความเข้มข้นของก๊าซติดไฟที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเกิดการระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทำให้เหล่าอัศวินต้องสั่งอพยพอย่างเร่งด่วน เป็นดั่งคาดแม้หลายๆคนจะยังลังเลอยู่บ้าง แต่ด้วยชื่อเสียงของเหล่าอัศวินทำให้ทุกๆคนยอมทำตาม
ซึ่งทุกอย่างดำเนินไปได้ดีดั่งที่วางแผนเอาไว้
ประการที่ 2 มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าฮาโรลด์เบื่อหน่ายเต็มทนกับเหล่าชาวเมืองที่ปฎิเสธการอพยพไปจากเมือง ทำให้เขาพยายามที่จะลงมือสังหารชาวเมืองเหล่านั้นทิ้ง หรือถ้าพูดให้ชัดๆคือ ฮาโรลด์จงใจที่จะปล่อยข่าวลือเหล่านี้ด้วยตนเอง
แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อปลุกปั่นให้เกิดการอพยพ เมื่อหลายวันก่อนมีหลายๆคนที่เห็นเหตุการที่ฮาโรลด์พยายามสังหารผู้นำกลุ่มคัดค้านการอพยพ แน่นอนว่าข่าวเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว ทำให้ข่าวลือที่ฮาโรลด์กำลังจะไล่สังหารชาวเมืองค่อนข้างน่าเชื่อถือ
ด้วยเหตุนี้ ฮาโรลด์จึงมายืนดูภาพรวมในจุดที่เขาสามารถติดตามสถานการณ์ภายในเมืองได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งหากเขาอยู่ในเมืองหรืออยู่ในตำแหน่งที่ผู้คนสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย อาจทำให้สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำเพียงยืนกอดอกดูภาพเหล่านั้นและรอรายงานมาถึง หลังจากนั้นเพียงไม่นาน คีธก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับรายงานภาพรวมให้เขาฟัง
[ ดูเหมือนว่า “ปฎิบัติการ เส้นสีขาว” จะล้มเหลว ฝูงมอนเตอร์เหล่านั้นไม่ได้ถูกหยุดเลยซักนิด ] – คีธ
สิ่งเหล่านั้นเป็นดั่งที่ฮาโรลด์คาดเอาไว้จริงๆ ในเกมส์นั้น [[ขวดยาสีขาว]] เป็นไอเท็มที่มีความสามารถในการลดโอกาสที่จะพบเจอกับเหล่ามอนเตอร์ มันเป็นของเหลวสีขาวที่ส่งกลิ่นที่เหล่ามอนเตอร์ไม่เกลียด ซึ่งพวกเขาได้เทมันไว้ภายในเหมืองโดยมีจุดประสงค์เพื่อหยุดมอนเตอร์เหล่านั้นไว้ภายใต้ดิน หรือลดจำนวนของมอนเตอร์ได้บางส่วนก็ยังดี
ซึ่งถ้าหากแผนการเป็นไปได้ด้วยดี มันจะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยและไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก แต่ทว่าแผนนั้นกลับล้มเหลว
ดูเหมือนว่าพวกมอนเตอร์เหล่านั้นน่าจะถูกควบคุม อีกทั้งฮาโรลด์ก็รู้มาจากเกมส์แล้ว ถ้ามอนเตอร์เหล่านั้นอยู่ในสถานะคลุ้มคลั่งเหมือนดั่งในเกมส์ ขวดยาสีขาวจะใช้ไม่ได้ผล และสุดท้ายมอนเตอร์เหล่านั้นก็จะบุกล้นเมืองในครึ่งวัน
[ อืม ทำตามแผนเดิม อพยพชาวเมืองต่อไป ] – ฮาโรลด์
[ …. นี่บอส…. บอสจะ— บอสมีแผนจะอยู่ที่นี่จริงๆหรือ ? ] – คีธ
[ แน่นอน ชั้นจะอยู่รอดูเจ้าพวกสัตว์หน้าโง่พวกนั้นวิ่งเล่นซักหน่อย ] – ฮาโรลด์
คิวที่ฮาโรลด์ต้องออกโรงคือตอนที่เหล่ามอนเตอร์ขึ้นมาถึงพื้นดิน นั้นคือเหตุผลที่เขาต้องการให้การอพยพเสร็จสิ้นให้เร็วที่สุด
[ การเตรียมการขั้นต่อไปก็เสร็จสิ้นแล้วครับ แต่ว่า … บอสจะทำแบบนี้จริงๆหรือ ? คู่ต่อสู้รอบนี้เป็นมอนเตอร์หลายพันตัวเลยนะ ? ] – คีธ
[ แล้วไง ? ] – ฮาโรลด์
[ ข้าไม่คิดว่ามันถือเป็นหน้าที่ของขุนนางนิสัยเสียที่จะต้องไปสู้กับมอนเตอร์เหล่านั้น แม้ว่าบอสยืนกรานที่จะทำ แต่มันก็เหมือนกับการเอาชีวิตไปทิ้งปล่าวๆ ไม่จำเป็นที่บอสจะต้องเสี่ยงแบบนี้ด้วยซ้ำ ] – คีธ
[ หึ อย่าเดามั่วซั่ว ที่ชั้นจะไปสู้กับพวกมอนเตอร์ไม่ใช่เพราะชั้นเป็นขุนนาง แค่ไอ้พวกนั้นมันเกะกะขวางทางชั้น ] – ฮาโรลด์
[ ….เป็นงั้นหรอกหรอ ถ้าแบบนั้นก็ดีสิ แบบนี้พวกเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ “แผนสุดท้าย” ใช่มั้ย ] – คีธ
[ ถ้านายไม่อยากให้ถึงขั้นต้องใช้มัน ต่อให้ต้องฉุดกระชากลากพวกชาวเมือง ก็รีบจบงานอพยพนี้ให้เร็วที่สุดซะ ] – ฮาโรลด์
[ เข้าใจแล้ว ขอบอสโชคดีนะ ] – คีธ
แม้ว่าคีธจะดูไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็กลับไปที่เมืองตามคำสั่ง สิ่งที่คีธโต้แย้งนั้นมีเหตุผล และฮาโรลด์ก็รู้ดีว่าคีธเป็นห่วงตน ดังนั้น ถ้าหากเหล่าชาวเมืองสามารถอพยพกันออกไปจากเมืองได้ทั้งหมดอย่างปลอดภัย ฮาโรลด์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงใดๆเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ฮาโรลด์ไม่เชื่อว่าอนาคตที่สะดวกสบายแบบนั้นจะเกิดขึ้นกับเขาได้หรอก
ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะทำมันเท่านั้น และเพื่อยืนยันว่าความตั้งใจของตนจะไม่มีวันสั่นคลอน เขาจึงใช้คำพูดเกทับในความเป็นห่วงของคีธ โดยต้องการที่จะสื่อว่าสิ่งที่คีธกังวลนั้นมันไร้ความหมาย แม้ว่านั้นจะเป็นเพียงแค่การแสดงก็ตาม
ตอนนี้ เวลาได้ล่วงเลยช่วงเที่ยงไปแล้ว เวลาที่พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าใกล้เข้ามาทุกที
จากรายงานเกี่ยวกับปฎิบัติการเส้นสีขาวไม่เป็นผล ในอีกไม่กี่ชม.พวกมอนเตอร์ก็จะขึ้นมาสู่พื้นดินได้
[ …. ชั้นจะต้องทำมัน ] – ฮาโรลด์
มันคือเสียงของฮาโรลด์ที่พึมพัมออกมาโดยไม่รู้ว่าเขาพูดกับใครหรือพูดออกมาทำไมกันแน่
———————————-
ฮาโรลด์ สโตร์ก เป็นเด็กหนุ่มที่แปลกประหลาด มันเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วตั้งแต่คีธได้พบกับเขา
คีธนั้นใช้ชีวิตในฐานะทหารรับจ้างมาอย่างยาวนานโดยไม่มีแม้กระทั้งเป้าหมายหรืออนาคตที่ชัดเจน ไม่มีแม้กระทั้งแรงผลักดันที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น แม้ว่าลึกๆแล้วเขาจะรู้ดีว่า เขาไม่อาจจะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ได้ตลอดไปก็ตาม
งานของทหารรับจ้างเป็นอาชีพที่นำไปสู่ทางตันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะถูกว่าจ้างโดยคนที่ร่ำรวยหรือชนชั้นสูงเท่านั้น ซึ่งคีธก็รู้ดีว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในฐานะของทหารรับจ้าง
ดังนั้น คีธจึงคิดว่าสักวันหนึ่งเขาคงตายในสนามรบที่ไหนซักแห่ง หรือไม่ก็แก่ชรางั่มเหงือกจนไม่สามารถกวัดแกว่งดาบต่อไปได้ เขาจมอยู่กับการหาความสุขให้ตัวเองในปัจจุบันและพยายามมองข้ามอนาคตเหล่านั้นที่เขารู้ดีว่ามันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
แต่แล้ววันหนึ่ง บางอย่างก็เกิดขึ้น
[ ใครคนไหนชื่อว่า คีธ วินเกต? ]
ภายในบาร์แห่งหนึ่งที่ดูทรุดโทรมที่ซึ่งเหล่าทหารรับจ้างและพวกอันธพาลต่างพามารวมตัวกัน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งตัวไม่เหมาะสมกับสภาพโดยรอบปรากฎตัวขึ้น
ด้วยน้ำเสียงและบุคคลิคที่แสดงออกมาของเขาให้ความรู้สึกราวกับว่ามาจากชนชั้นที่สูงส่ง ซึ่งเป็นประเภทที่คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้เกลียดขี้หน้า
อย่างไรก็ตาม คีธเองก็มีความเป็นผู้ใหญ่และผ่านโลกมามาก ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว เขาเองก็รู้ถึงความแตกต่างของจุดยืนของตัวเองและผู้อื่นดี แม้ว่าเขาเองจะไม่ชอบคนแบบนี้เหมือนกัน แต่เขาก็ผู้ใหญ่มากพอที่จะเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ภายใน
พูดตามตรง คีธต้องการที่จะทำเป็นเมินเฉยและปล่อยมันไป แต่การที่เด็กหนุ่มคนนั้นรู้แม้กระทั้งชื่อ บางทีใบหน้าของเขาเด็กนั้นก็อาจจะรู้จักด้วย หากเป็นเช่นนั้น มันก็คงยากที่จะปลีกตัวหนีไปได้ และยิ่งถ้าถูกจับได้ว่าทำเป็นเมินอีก มันอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเด็กนั้นต้องการอะไร แต่คีธก็ตัดสินใจที่จะเล่นตามน้ำไปด้วยโดยอธิฐานว่าขอให้ไม่ใช่เรื่องที่ก่อปัญหาทีเถอะ
[ ข้าเอง คีธ นายต้องการอะไร ? ] – คีธ
เด็กหนุ่มที่ดูท่าจะเป็นขุนนางหลี่ตามองมาที่คีธผู้ที่กำลังเดินเข้ามาหา
คีธรู้สึกถึงแรงกดดันแปลกๆ ราวกับว่าเขากำลังถูกประเมิน หลังจากถูกจ้องมองซักพักเด็กหนุ่มคนนั้นก็พูดขึ้นว่า
[ นายดูใช้ได้ ผ่าน ชั้นมีงานให้ทำ ]
หยิ่ง คำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้สรุปออกมาได้เป็นคำๆเดียว
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะรู้สึกหงุดหงิด แต่คีธกับรู้สึกแปลกๆบางอย่าง และนั่นเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างคีธและฮาโรลด์
พอได้ฟังข้อเสนอของฮาโรลด์ เขาก็ยิ่งรู้สึกหนักใจขึ้นเรื่อยๆ มันฟังดูคล้ายๆกับการถูกเชิญชวนให้ไปเข้าร่วมองค์กรที่ฮาโรลด์เป็นผู้จัดตั้งขึ้นเองและต้องไปทำงานแปลกๆ
ในตอนแรก คีธคิดว่ามันคงเป็นการเล่นสนุกของเหล่าขุนนางที่ต้องการหาประสบการณ์ทางโลก ดังนั้นเขาจึงตั้งใจฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจกลับจำนวนเงินที่เสนอให้ ขนาดทหารรับจ้างที่เก่งๆขยันๆยังไม่ได้รับค่าตอบแทนขนาดนี้ มันสูงเกินมาตรฐานไปเยอะ
แถม คีธยังได้รับเงินเดือนที่คงที่โดยไม่คำนึงถึงลักษณะงาน มีค่าคอมมิสชั่นให้ต่างหากอีกด้วย
[ นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน ? ถ้าตั้งใจจะมาหลอกหลวงกันก็ใช้มุขที่มันดีกว่านี้หน่อยสิวะ ] – คีธ
คีธอดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค่าตอบแทนที่มันฟังดูดีเกินจริง ซึ่งคำตอบที่ได้จากฮาโรลด์ก็คือ
[ ชั้นก็บอกนายไปแล้วว่างานที่จะให้ทำนายอาจที่จะต้องเสี่ยงชีวิต เงินพวกนี้ก็คือค่าที่นายจะต้องเสี่ยงชีวิต ]
มันเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมา ซึ่งพอคีธได้ฟังถึงกับหัวเราะออกมา
การเป็นทหารรับจ้างเป็นอาชีพที่ชีวิตของตนแขวนอยู่บนเส้นด้าย มันไม่แปลกอะไรที่จะถือได้ว่าเขามีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสนามรบและตายในสนามรบ อย่างไรก็ตาม ฮาโรลด์กับพูดว่าสิ่งที่คีธทำหรือการเอาชีวิตมาเสี่ยงในทุกๆเดือนนั้น เงิน 10 เหรียนทองที่ฮาโรลด์จ่ายให้มันเป็นมูลค่าเพียงน้อยนิดจนเทียบกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
และในระหว่างการพูดคุยกัน คีธก็ตระหนักได้ว่าถึงแม้ฮาโรลด์จะยังดูเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มแต่เขากลับมาความเป็นผู้ใหญ่และฉลาดเป็นพิเศษ แต่ช่องว่างระหว่างความฉลาดกับความอ่อนต่อโลกของเด็กคนนี้ช่างตลกเสียจริง
[ ฮ่าๆๆ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว นายจริงจังสินะ ] – คีธ
[ แต่ที่สำคัญที่สุด อย่าตายไปอันเด็ดขาด ว่าแต่ นายมีภรรยาหรือลูกๆมั้ย ? ] – ฮาโรลด์
[ น่าเสียดาย ข้ายังโสดอยู่ ] – คีธ
[ โอเค ถ้างั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินช่วยเหลือครอบครัว แล้วในส่วนของค่าทำงานล่วงเวลาและค่าชดเชยคนงาน—-… ] – ฮาโรลด์
[ ค่าทำงานล่วงเวลา ? ค่าชดเชยคนงาน ? ] – คีธ
คีธตกตะลึงจนเผลอพูดถวนซ้ำๆกับศัพใหม่ๆที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ฮาโรลด์กับตั้งหน้าตั้งตาอธิบายสัญญาต่อไปโดยไม่สนใจเขาเลยซักนิด
นี่ถือเป็นเรื่องที่แปลกมากที่มีการใช้ระบบทำสัญญากับการจ้างงานทหารรับจ้าง ซึ่งเนื้อหาของมันยิ่งห่างไกลสามัญสำนึกคีธไปเรื่อยๆจนในที่สุดเขาก็ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ ฟังไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นไปจนจบ
เมื่อมองย้อนกลับไป เหตุการณ์ในเวลานั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนๆมันก็ดูน่าสงสัยทั้งนั้น แต่แปลกมากที่เขาเลือกที่จะเชื่อสิ่งเหล่านั้น และท้ายที่สุด มันก็พิสูน์แล้วว่าสิ่งที่เขาเลือกนั้นถูกต้อง
จะมีที่ไหนอีกที่จะสามารถหานายจ้างเป็นขุนนางผู้ซึ่งจ่ายเงินค่าจ้างคงที่เป็นเดือนๆแถมถ้างานที่ทำต้องใช้เวลาหรือยากก็จะมีค่าคอมให้พิเศษอีกด้วย จะมีขุนนางที่ไหนยอมจ่ายชดเชยให้กับภรรยาและลูกๆถ้าหากคุณได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตในการทำงาน แถมยังมีวันลาไปใช้ชีวิตบโดยไม่หักเงินเดือนให้อีกด้วย จะหาเจ้านายแบบนี้ได้ที่ไหนในอีกในโลกใบนี้
[ แต่ว่า บอสกลับไม่เคยปล่อยให้พวกเราต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเลยซักครั้ง เป็นบอสเองทุกครั้งที่อยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดอยู่เสมอ … ] – คีธพึมพัม
และนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คีธรู้สึกไม่ชอบใจเลยตลอดการเป็นสมาชิกของฟรีรี่
[ ตะกี้คุณพูดอะไรรึปล่าว หัวหน้าคีธ ? ]
[ ปล่าว ไม่มีอะไร ] – คีธ
[ เป็นเช่นนั้นหรอ ? ]
[ ใช่ เออนี่ นายคิดยังไงก็บอส ? ] – คีธ
[ ท่านฮาโรลด์น่ะหรอ ? ตอนแรก ผมค่อนข้างกลัวบอสเอามากๆ แต่บอสกับใจดีกับผมจนน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงรู้สึกขอบคุณในตัวของบอสจริงๆ ]
[ งั้นรึ ? อืม ข้าเองก็คิดแบบนั้น ] – คีธ
แน่นอนว่าทุกๆคนในฟรีรี่คงจะพูดแบบนั้น และนั้นเองเป็นเหตุผลว่าทำไม …
[ ไงก็ตาม ผมเองก็อยากให้บอสพึ่งพาพวกเราให้มากกว่านี้ซักหน่อย … ผมรู้ดีจากมุมมองของบอส ความแข็งแกร่งของผมมัน… ถึงผมจะไร้ประโยชน์ แต่ว่า!! ]
[ ถึงจะไร้ประโยชน์ แต่นายก็ไม่อยากให้มีเพียงแค่บอสเท่านั้น ที่ต้องรับบทอันตรายอยู่คนเดียวใช่รึปล่าว ? ] – คีธ
[ … ครับ โดยเฉพาะไอ้ “แผนการที่3” นั้น มันภารกิจฆ่าตัวตายชัดๆ … ]
ทุกๆคนที่ได้ฟังแผนการสุดท้ายของฮาโรลด์คงอยากจะพูดแบบนั้นเหมือนกันทั้งหมด
[ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแบบนั้น นายก็ต้องรีบพาชาวเมืองลี้ภัยไปที่ตีนเขาให้เร็วที่สุด ] – คีธ
[ อึก.. แล้วหัวหน้าล่ะ จะทำอะไรต่อ ? ]
[ ถ้าพวกนายและพวกอัศวินอยู่ที่นี่คอยจัดการ การอพยพก็ไม่น่าจะมีห่วงอะไร ดังนั้น ข้าจะกลับไปอยู่ใกล้ๆตัวบอสที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ] – คีธ
หาก “แผนสุดท้าย” ถูกนำมาใช้จริง พวกเขาจำเป็นที่จะต้องทำสิ่งนั้น
สำหรับทุกๆคนในฟรีรี่ มันคืองานที่เจ็บปวด แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น อย่างน้อย คีธก็จะขอเป็นคนรับบทบาทนั้นเอาไว้เอง
ราวกับเข้าใจความรู้สึกของคีธ แม้ว่าจะดูเศร้าๆ แต่ชายคนที่พูดคุยกับคีธก็ยิ้มออกมาเล็กๆและกล่าวออกมา
[ ได้โปรดรอดกลับมาได้ให้นะครับ รอดกลับมาพร้อมกันกับบอส ]
[ แน่นอน ] – คีธ
และในขณะที่คีธกำลังจะออกเดิน พื้นดินก็เกิดการสั่นไหว เสียงของอะไรบางอย่างคำรามกู่ร้องดังขึ้นเรื่อยๆ
[ หรือว่า มันจ-จะเป็น ]
[ บ้าเอ้ย พวกมันขึ้นมาถึงแล้ว !!!! ] – คีธ
คีธรีบวิ่งกลับไปยังทางที่เขามา ขณะนี้พระอาทิตย์ใกล้ที่จะลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมเส้นทางที่เชื่อมระหว่างเมืองกับตีนเขา ทำให้เขาก้าวพลาดจนเกือบจะล้มลง แต่เขาก็วิ่งต่อราวกับว่ามันไม่สำคัญอะไร
เสียงคำรามกู่ร้องของเหล่ามอนเตอร์ดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามอัสดงที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงตะวันที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้า