Monster Factory ตอนที่ 29 พลังของขอบคันหิน
ตอนที่ 29 พลังของขอบคันหิน
การจัดการเอกสารเรื่องการถ่ายโอนและลงทะเบียนโรงงานทําให้เย่ชิงยุ่งไปจนถึง 11 โมง เขากระตือรือร้นอย่างมากที่จะดิ้นรนเพื่อธุรกิจของตัวเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อเขากําลังจะขับรถไปตลาดวัสดุก่อสร้างเพื่อซื้อของสําหรับการปรับปรุงอู่ต่อเรือ ไอโฟน 6S เครื่องใหม่ของเขาก็ดังขึ้นด้วยสายเรียกเข้าจากจางจื่อตง เธอบอกว่าจองโต๊ะไว้ที่ร้านเฉินจี่บนถนนไฉอี อีกประมาณ 10 นาทีเธอน่าจะไปถึงที่นั่น
ถนนไล่อีเป็นถนนสายพิเศษสายหนึ่งแล้วก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สําคัญของจงหยุนด้วย ร้านของว่างที่โดดเด่นของจงหยุนและร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมายาวนานหลายร้านเริ่มต้นมาจากที่นี่
เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอเมื่อมีสิ่งที่ต้องทําในขณะที่เย่ชิงกําลังยุ่งอยู่กับเรื่องโรงงานแห่งใหม่ เขาก็ลืมนัดทานอาหารก ลางวันจากจางจื่อตงไปเสียสนิท โชคดีที่เย่ชิงยังอยู่ในตัว เมืองจึงสามารถไปถึงได้ภายใน 20 นาที บอกตรงๆเลยว่าหากไม่ใช่เพราะจางจื่อตงให้ยืมเงิน 3,000 ในตอนที่เขากําลังขัดสนจริงๆ เย่ชิงก็คงไม่อยากจะพบกับเธออีกเลย
ช่วงมัธยมต้นคือจุดเริ่มต้นของวัยรุ่นและชีวิตโรแมนติกของหนุ่มสาว และช่วงเวลานั้นก็เป็นเวลาที่บุคลิกลักษณะถูกหล่อหลอมขึ้นเช่นกัน ประโยคเดียวจากจางจื่อตงทําให้เย่ชิงกลายเป็นคนแปลกแยกจากเพื่อนๆในห้องตลอดทั้งเดือน แล้วก็ยังมีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นอีก ในตอนนั้นเขาอยากจะฆ่าเธอเสียด้วยซ้ํา 5 ปีหลังจากนั้นเย่ชิงไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลยแม้แต่ประโยคเดียว ตอนนี้ทุกคนก็เติบโตเข้าสู่สังคมกันหมดแล้ว เขาไม่สามารถจะเกลียดเธอได้นานนักแต่การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันหรืออะไรแบบนั้น เย่ชิงก็ยังรู้สึกต่อต้านอยู่ลึกๆ
“ไม่รู้ว่าฉันจะยังจําเธอได้หรือเปล่านะ” เย่ชิงคิดในขณะที่มุ่งหน้าไปยังถนนไฉ่อี
หลังจบม.ต้น แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ในโรงเรียนเดียวกันตอนม.ปลายแต่ก็แยกห้องเรียนกัน พวกเขาจึงพบกันบ้าง แต่เย่ชิงก็ยังคงเป็นเธอเหมือนเดิม ในช่วงมหาวิทยาลัย เธอไปเรียนโรงเรียนตํารวจที่มีเกียรติในมณฑลเหลียวหนิง พวกเขาจึงไม่มีโอกาสได้พบกันจางจื่อตงในความคิดของเย่ชิงมีรูปร่างที่น่าดึงดูดและเป็นแหล่งที่มาของความหายนะ เขาจึงน่าจะจําเธอได้ไม่ยาก
เย่ชิงขับรถตู้ไปตามสะพานไฉอีแต่ขณะที่เขากําลังจะเลี้ยวซ้ายและเข้าไปในลานจอดรถส่วนบุคคล คนงานที่อยู่ข้างถนนก็ดึงดูดความสนใจของเขาทั้งหมดไปทันที แต่จริงๆแล้วมันดึงดูดความสนใจของทุกคนเพราะรอบๆคนงานก่อสร้างรายล้อมไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายและคนที่สัญจรไปมาก ถ่ายรูปจํานวนนับไม่ถ้วน
ถ้าไม่ใช่เพราะมีรถก่อสร้างอยู่ข้างๆเย่ชิงคงคิดว่านี่เป็นงานแจกลายเซ็นของสวีหนิงกง เขารีบจอดรถอย่างรวดเร็วแล้วเข้าไปร่วมในความสับสนวุ่นวายนี้ ทีมก่อสร้างสองทีมกําลังเปลี่ยนขอบคันหินเดิมเป็นขอบคันหินแกะสลักที่ผลิตโดยเย่ชิง
มีใครเคยเห็นขอบคันหินที่มีภาพแกะสลักหญิงสาวในราชสํานักบ้างล่ะ? และมันก็มีหลายพันชิ้นอยู่รวมกันด้วย เหล่านักท่องเที่ยวรีบถ่ายเซลฟี่และแชร์ไปให้เพื่อนๆก่อนที่กองหินนี้จะหายไป
มือสมัครเล่นจะเห็นเพียงรูปที่ปรากฏเท่านั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมองเห็นรายละเอียดลึกลงไป คนสัญจรบางคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจการค้าหรือช่าง เมื่อเห็นหินพวกนี้สิ่งแรกที่พวกเขาทําก็คือทําตัวเหมือนตังเม เกาะติดอยู่รอบๆคนงานอย่างเหนียวแน่น พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหินเหล่านี้ คนงานพวกนี้จะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ เมื่อถูกรบกวนด้วยสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากความรู้ของพวกเขา คนงานก็บอกให้ไปถามผู้อํานวยการสํานักงานการการก่อสร้างเมืองเองเสียเลย
“อะไรของคุณเนี่ย ผมแค่ถามคุณว่าหินแกะสลักพวกนี้ทําขี้นมายังไง ทําไมคุณต้องดุขนาดนี้ด้วยล่ะ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวปอนๆพร้อมคาบบุหรี่ในปากถามอย่างโกรธเกรี้ยว
“ถ้าฉันดุแล้วยังไงล่ะ จะกัดฉันเหรอ?” คนงานที่กล้ามเป็นมัดๆและแบกหินก้อนใหญ่ไว้ทั้งสองแขนพูดตัดบท “ไปซะไอ้หนุ่ม อย่ามาทําให้ฉันเสียเวลา”
บังเอิญจริงๆ!
ชายหนุ่มที่ทําตัวเป็นนักเลงคนนี้คือคนที่มีเรื่องกับฉันทั้งที่โรงพยาบาลและที่เจียงชานการก่อสร้าง เขาคือเฉียนเสี่ยวเมิงนั่นเอง มันบังเอิญเกินไปจริงๆที่เจอนายคนนี้บนถนนไฉอี ถ้าไม่ใช่เพราะมีนัดทานอาหารกลางวันกับจางจื่อตง เย่ชิงอาจจะวิ่งเข้าไปเตะเขาสักสองสามครั้งแล้ว
ผู้ชายคนนี้ทํางานเกี่ยวกับการแกะสลักหิน เขาจึงเข้าใจในธุรกิจนี้มากกว่าคนทั่วไป และเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าของสิ่งนี้ที่มีต้นทุนแต่ใช้อุปกรณ์การผลิตความเร็วสูงจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไรเมื่อออกไปสู่ตลาด
“รอให้ฉันสร้างเครื่องจักรพวกนี้ให้ได้ก่อนเถอะ เมื่อถึงตอนนั้นสิ่งแรกที่ฉันจะทําก็คือทําให้เจียงชานการก่อสร้างล้มละลาย” เย่ชิงที่ซ่อนตัวอยู่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
ดูเหมือนว่าขอบคันหินจะก่อให้เกิดความปั่นป่วน เพิ่งจะเริ่มเอาออกมาแต่มันก็ดึงดูดสายตาคนไปมากมายแล้ว ถ้าหากถนนสายหลักทั้งหมดในเมืองถูกปูด้วยขอบคันหินแกะสลักที่มีรูปแตกต่างกัน ถ้าอย่างนั้นแล้วเครื่องแกะสลักโลหะความเร็วสูงของฉันจะไม่ขายดีเป็นเทน้ําเทท่าเลยเหรอ?
มีพิมพ์เขียวอยู่ในมือแล้ว ทั้งหมดที่ฉันต้องทําตอนนี้ก็คือซื้อเครื่องประมวลผลมาหลายๆเครื่อง จากนั้นฉันก็จะสร้างเครื่องจักรพวกนี้ได้และมีเงินเป็นกอบเป็นกํา
จากการประเมินราคาของเย่ชิงแล้ว การสร้างขึ้นมาหนึ่งเครื่องใช้ค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 หยวน พอจะขายก็ขายเครื่องละ 500,000 เอาเลยสิ ซื้อมันไปเลยหนี้
ในขณะที่ฝันกลางวันอยู่เย่ชิงก็รู้สึกว่ามีแรงแตะเบาๆบนไหล่ของเขา เมื่อหันกลับไปก็ตกตะลึง สาวสวยผมสั้น สูง 1.7 เมตรมองมาที่เขาอย่างมีความสุข เย่ชิงที่กําลังตกใจก็เงียบไปหนึ่งวินาทีก่อนที่จะเอามือปิดหน้า “จางจื่อตง?”
“นายจําฉันไม่ได้จริงๆ!” สาวผมสั้นกรอกตาใส่เย่ชิง “เราไม่ได้เจอกันมา 4 ปีแล้ว แต่ฉันก็ยังจํานายได้ทันทีเลยนะ!”
“ฉันจําได้ว่าเธอเคยผมยาว” เย่ชิงพูดไม่ออก ตอนอยู่ที่โรงเรียนเขามักจะมองว่าเธอเป็นศัตรูมาตลอดนับแต่นั้นมา
“นายไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังเป็นเหมือนเดิมแบบฉันจําได้” จางจื่อตงยื่นมือขาวเรียวราวกับหยกออกมา “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเพื่อนเก่า”
“อืม ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
ในเมื่อจางจื่อตงแสดงความเอื้อเฟื้อเช่นนี้ เย่ชิงจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้และเชคแฮนด์กับเธออย่างจริงใจ จางจื่อตงที่ผมสั้นดูมีชีวิตชีวามากกว่าสมัยมัธยม แล้วแจ็คเก็ตหนังสีน้ําตาลที่เธอสวมก็ทําให้เย่ชิงแทบลืมหายใจ เธอสวยกว่าเมื่อก่อนแล้ว ก็เปิดเผยนิสัยใจคอมากกว่าเดิมอีกด้วย เย่ชิงไม่ได้พูดอะไรมาก แต่จางจื่อตงก็ยังมีความสุข บางที่ความจริงที่ว่าเย่ชิงเต็มใจมาที่นี่อาจเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอก็ได้
หลังจากนั้นมา เหตุการณ์เรื่องจักรยานทําร้ายความรู้สึกของเย่ชิงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกันความรู้สึกผิดที่กล่าวหาเขาอย่างผิดๆก็ยังอยู่กับเธอมาจนถึงตอนนี้ ผู้ชายทุกคนมีความหยิ่งยโส ผู้หญิงโดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆก็มีความหยิ่งยโสเช่นกัน เมื่อจางจื่อตงขอโทษต่อหน้าเพื่อนทั้งห้อง ความมุ่งมั่นของเธอที่ต้องการจะแก้ต่างให้เย่ชิงนั้นชัดเจน ตอนนี้ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว การเชคแฮนด์เมื่อกี้ของทั้งคู่ทําให้พวกเขาเผยรอยยิ้มที่เอาชนะความรู้สึกไม่ดีที่ผ่านมาได้ทั้งหมด
“ขอบคันหินพวกนี้สวยจริงๆ แทบจะเหมือนกับความงาม ของรูปปั้นพวกนั้นเลย มันสวยจนฉันถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยห ลายรูปเลยล่ะ” จางจื่อตงหมุนตัวไปรอบๆ เธอไม่เพียงแต่ทํา ให้แจ็คเก็ตขยับไปมาเท่านั้น แต่ยังสร้างความสั่นไหวให้หัว ใจของผู้ชายรอบๆไปด้วย
“นั่นสิ ฉันได้ยินว่าสํานักงานการก่อสร้างเมืองกําลังจะเปลี่ยนขอบคันหินบนถนนทุกสายให้เป็นขอบคันหินพวกนี้” เย่ชิงตอบด้วยความยากลําบาก “เอาล่ะ ไปกันเถอะ เธอจองโต๊ะที่ร้านเฉินจีเอาไว้ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่แล้ว ไปดื่มกันเถอะ!” จางจื่อตงทําไม้ทํามืออย่างมั่นใจ
“ถามจริง? ถ้าเธอบอกก่อนหน้านี้ฉันจะได้ไม่ขับรถมาที่นี่”
“ว้าว ไม่เลวเลย ตอนนี้นายมีรถแล้ว” จางจื่อตงหัวเราะ “ชุดเท่ดีนี่ Calvin Klein เป็นแบรนด์ที่ดีนะ”
“แล้วทําไมนายต้องรีบมายืมเงินฉันเมื่อวันก่อน ฉันคิดว่านายมีปัญหาก็เลยโอนค่าจ้างที่ฉันเพิ่งได้ไปให้ทั้งหมดเลย”
“รถตู้ส่งของนับเป็นรถตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ทั้งสองพูดคุยกันขณะเดิน “เมื่อสองสามวันก่อนฉันมีปัญหาจริงๆ แต่ตอนนี้มันจบลงแล้ว และฉันก็หาเงินได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องฉลองด้วยเหล้าแล้วล่ะ!” จางจื่อตงที่อยู่ข้างหน้าหมุนตัวไปรอบๆเบาๆและมองเย่ชิงพร้อมกับยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ “ไปดื่มไป๋จิวเพื่อแสดงความยินดีให้กับที่นายผ่านพ้นความยากลําบากมาได้อย่างกล้าหาญและก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของชีวิตกัน ทิ้งรถไว้นี่เถอะ ค่อยมาเอากลับไปคืนนี้ก็ได้”
“ได้เลย!” เย่ชิงขยับคอเสื้อไปมาและทําท่าทางว่าเอาสิ ในเมื่อเขาตัดสินใจจะให้อภัยเธอแล้วก็ต้องเอาจิตวิญญาณ ความใจกว้างของผู้ชายออกมาหน่อย การจู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็กๆน้อยๆนั้นมีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นแหละที่ทํา