“ท่านแน่ใจรึว่าลูกชายท่านบ่มเพาะพลังไม่ได้?”
“…แน่ใจรึว่าลูกชายท่านบ่มเพาะพลังไม่ได้?”
“..ลูกชายท่านบ่มเพาะพลังไม่ได้?”
“..บ่มเพาะไม่ได้?”
คำพูดดังสะท้อนก้องอยู่ในหัวชุนฟาง รังสีพลังของเขาปะทุออกมาราวกับระเบิด คลื่นพลังถาโถมเข้าใส่อาจารย์ลู่
แม้กระทั่งชุนอันที่เงียบขรึมก็มองลู่เหวินด้วยดวงตาเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง
ชุนฟางชิงชังเมื่อผู้คนเรียกลูกชายเขาว่าพวกพิการบ่มเพาะพลังไม่ได้
เคยมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนในเมืองหลวง เมื่อปรมาจารย์ค่ายกลทองแดงระดับสามเรียกชุนหลงว่าพวกพิการไร้ประโยชน์ต่อหน้าชุนฟาง ผลที่ได้ก็คือชุนฟางหักขาทั้งสองข้างของเขาและเกือบจะทำให้เขาบ่มเพาะพลังไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นเพราะคนมากมายขอร้องแทนปรมาจารย์ค่ายกลคนนั้นให้ไว้ชีวิตเขา ชุนฟางจึงปล่อยเขาให้รอดชีวิตก่อนที่จะระบายความโกรธเสร็จสิ้น
สุดท้ายแล้วปรมาจารย์ค่ายกลคนัน้นก็เกือบจะพิการ กระดูกแขนของเขาแหลกละเอียดไปถึงดัชนี ขาทั้งสองข้างหักเดินไม่ได้ แต่โชคดีที่ชุนฟางไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะถ้าหากเขาไม่ได้ เขาจะต้องลงท้ายด้วยความพิการเป็นแน่
นักปรุงยาลู่รู้ว่าเขาพูดพล่อยและชุนฟางจะไม่ยอมให้ใครดูหมิ่นบุตรชายตัวเอง นั่นคือเหตุผลที่ชุนฟางระเบิดพลังออกมาเช่นนั้น
ถ้าหากลู่เหวินมิได้ถูกเชิญมาเพื่อตรวจร่างกายลูกชายของเขา ลู่เหวินคงจะกระเด็นขึ้นฟ้าไปแล้วด้วยการตบเพียงครั้งเดียว แต่ถึงตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่ลู่เหวินจะระงับความโกรธของอีกฝ่าย ชุนฟางถึงกับรู้สึกว่าลู่เหวินนั้นจงใจยั่วให้เขาโกรธโดยพูดเรื่องลูกชายเช่นนั้น และไม่เพียงแค่ต่อหน้าเขา แต่ยังเป็นต่อหน้าลูกชายและภรรยาอีกด้วย
นักปรุงยาลู่รู้ว่าเรื่องกำลังเลวร้าย เขาต้องรีบโค้งศีรษะเพื่อขอโทษชุนฟางขณะที่ประสานมือให้กับชุนอันผู้เยือกเย็นที่อยู่ด้านหลังชุนฟาง
“เจ้าตระกูลชุนระงับโกรธลงก่อน ฟังข้าพูดก่อนเถอะ
ข้าได้ยินว่านายน้อยชุนถูกขวางเส้นปราณและแทบจะไร้พลัง เขามิอาจบ่มเพาะพลังได้จนกว่าจะรับประทานโอสถเปิดปราณหรือโอสถสวรรค์ถ้าอยากจะเปิดเส้นปราณ ใช่หรือไม่?”
ดูเหมือนลู่เหวินกำลังพูดอยู่กับชุนฟาง แต่เขาเองก็พูดกับตัวเองด้วยเพื่อยืนยันว่าเขากำลังพูดถูกหรือไม่ เขาพูดต่อ
“แต่ข้าได้ยินว่าในอดีต แม้แต่อาจารย์ฟูนักปรุงยาทองแดงขั้น 3 ก็เคยมาตรวจร่างกายนายน้อยชุนมาก่อนและบอกว่าเงื่อนไขนี้มิอาจรักษาได้แม้กระทั่งด้วยโอสถพิเศษอย่างโอสถเปิดปราณ เพราะเส้นปราณทั้งหมดในร่างกายของเขาที่พลังปราณควรจะไหลนั้นเต็มไปด้วยโลหิตและถูกขัดขวางการไหลเวียนและการดูดซับปราณเอาไว้”
ชุนฟางไม่ตอบ เขาเพียงแต่พยักหน้า ความโกรธของเขาลดลงไปมาก แต่ในใจนั้นกำลังเจ็บปวดเพราะสภาพร่างกายของลูกชายตัวเอง
“อาจารย์ลู่ต้องการจะพูดอะไร?”
ชุนอันไม่พอใจเท่าใดนัก เห็นได้ชักว่านางยังไม่ให้อภัยลู่เหวินที่พูดจาสามหาว
ลู่เหวินนิ่งไป เขาเหมือนกับอยู่ในโลกของตัวเอง ดวงตาของเขามองสามีภรรยาตระกูลชุนด้วยสายตาว่างเปล่า เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในความเงียบก่อนจะพูดต่อ
“มีอยู่สองเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ”
ลู่เหวินหันไปมองชุนหลงอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มา
เขามองลึกลงไปในชวงตาของชุนหลง สมองลู่เหวินพยายามคิดถึงความเป็นไปได้และมองดูเสื้อผ้าที่ขาดกระจุยของชุนหลง โดยเฉพาะด้านซ้ายของอกที่แทบจะไม่มีส่วนที่เป็นผ้าเหลืออยู่เลย
ลู่เหวินสูดหายใจเข้า เขากำลังเรียบเรียงความคิดของตัวเองและกล่าวออกมา
“นายน้อยชุนถูกทำร้ายในบางจุดวันนี้อย่างแน่นอน ตามปกติแล้วข้าจะไม่ถามถึงสาเหตุที่คนใช้บริการข้าบาดเจ็บ…แต่…มันไม่มีบาดแผลในร่างกายบุตรชายท่านทั้งภายนอกและภายใน นั่นคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าหากเรื่องมีแบบเท่านั้น แต่เรื่องที่น่าตกใจที่สุดก็คือปราณของเขา
ลูกชายท่านไม่เคยบ่มเพาะพลังมาเลยในชีวิตนี้ แต่ปราณของเขาในตอนนี้ไม่ถูกขัดขวางและไม่มีสิ่งใดขวางกั้นแล้ว ไร้ซึ่งโลหิตที่ขัดขวางไม่ให้ปราณไหลเวียนได้
ท่านเข้าใจสิ่งที่ข้าจะพูดหรือยัง? ไม่มีทางที่ลูกท่านจะพิการอีกแล้ว”
เมื่อชุนฟางได้ยินคำพูดของลู่เหวิน ไม่เพียงแต่เขาจะไม่โกรธเมื่อได้ยินคำว่า ‘พิการ’ แต่ดวงตาของเขายังมีน้ำตาไหลล้นออกมาพร้อมกับหันไปกอดชุนอันที่อยู้ข้างหลัง ชุนอันเองก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น มันคือน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ
ลู่เหวินที่มองชุนฟางอยู่เหลียวกลับมามองชุนหลงและก็ต้องตกใจที่พบสีหน้าเดิมราวกับว่าชุนหลงไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เขาพูดเลย หรืออาจเป็นเพราะชุนหลงรู้อยู่แล้วจึงได้ไม่ตกใจแม้เพียงเล็กน้อยจากคำพูดของเขา แต่ชุนหลงกลับไปมองบิดามารดาพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก
ลู่เหวินกำลังต่อสู้อยู่ในใจตัวเอง แต่สุดท้ายเขาก็อดกลั้นไม่ได้อีกต่อไปและถามชุนหลงไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
“นายน้อยชุน บอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเส้นปราณของนายน้อย?”