Monarch of Time MoT.33 – ทะลวงพลังขั้น 7
ชุนหลงได้รับอาหารและน้ํามากพอแล้วจากผู้ดูแลโรงเตี้ยมก่อนที่จะเข้าสู่การบ่มเพาะพลังเป็นขั้น 7
คอขวดที่ผู้บ่มเพาะพลังอื่นจะพบในขั้น 6 ชั้นสูงมิใช่ปัญหา สําหรับชุนหลงเลย นี่คือเหตุที่เขาไม่ต้องการโอสถทลายม่านปราณกับตัวเอง
เขานั่งลงและเข้าสู่มิติในหินรูปสามเหลี่ยม
มีบอลปราณ 55 ลูกเหนือศีรษะของเขา มี 8 ลูกที่เปล่งแสงสว่างกว่าลูกอื่น
ชุนหลงหายใจเข้าลึก
“ได้เวลาเริ่มแล้ว”
เขาเริ่มชําระล้างบอลปราณลูกที่เหลือ เป้าหมายของเขาคือทําให้บอลปราณทุกลูกมีพลังปราณในระดับเดียวกับ 8 ลูกที่มีพลังมากกว่า
วันเวลาผ่านไปขณะที่ชุนหลงกําลังบ่มเพาะพลัง และไม่นานก็เข้าสู่วันที่ 21 ตั้งแต่เขามาที่เมืองเมฆาทะยาน
ชุนหลงได้มีพลังขั้น 7 ชั้นต้นแล้ว แต่เขายังไม่ออกจากการบ่มเพาะ
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ชุนหลงได้หยุดในที่สุดและลุกขึ้นจากท่านั่งสมาธิ
ร่างกายที่ควรจะปวดเมื่อยหลังจากนั่งท่าเดิมมาเกือบเดือนของเขากลับเปี่ยมไปด้วยพลังเพราะเขาได้มีพลังขัน 7 ชั้นสูงแล้ว
ภายในนาฬิกาทรายราชันย์มีบอลพลังปราณ 63 ลูก ทุกลูกมีพลังระดับเดียวกัน
เมื่อชุนหลงลุกขึ้นเหยียดตัว เขาเริ่มคิดถึงวิธีขายโอสถทลายม่านปราณ 5 เม็ดที่มี
ในตอนนั้นเอง เขาตบต้นขาและอุทานออกมา
“บัดซบ ทําไมข้าถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้กัน?”
เขาเปิดกล่องที่แบกมาตั้งแต่เมืองปาคราม เขาค้นดูเสื้อผ้าที่จัดมาและพบผ้าคลุมสีดําที่ปกปิดตัวเขาได้อย่างพอดี
ชุนหลงลองสวมชุดสีดํา หลังจากมั่นใจว่าใบหน้าและร่างกายถูกปิดบังจนหมดแล้ว เขาถอดมันและใส่ลงในกระเป๋าใบเล็กที่พาดไหล่ซ้าย
ชุนหลงยัดขวดโอสถทลายม่านปราณลงในชุดคลุมและออกจากห้อง
ผู้ดูแลโรงเตี้ยมมองขุนหลงที่เพิ่งจะออกมาจากห้องและ
เดินมา
“ท่านอยู่โรงเตี้ยมเรามาเกือบครบหนึ่งเดือนที่จ่ายแล้ว ท่านอยู่ได้อีก 3 วัน อย่าลืมว่าห้องของเรามีค่าใช้จ่าย 4 คะแนนต่อเดือน ท่านต้องจ่ายอีกครั้งหากจะอยู่เพิ่มอีกหนึ่งเดีอน”
ผู้ดูแลวัยกลางคนอาจดูอ่อนน้อม แต่สายตานั้นช่างทรยศกับความรู้สึกในคําพูด เขาเห็นศิษย์ใหม่มากมายอย่างชุนหลงที่เพิ่งจะมาจากโลกมนุษย์ และแทนที่จะหาทางรวบรวมคะแนนนิกาย พวกเขากลับมองเพียงแค่ผลประโยชน์ระยะสั้นในการบ่มเพาะจากพลังปราณในโลกบ่มเพาะที่สูงกว่าคนเหล่านี้ จะอยู่ได้จนคะแนนนิกายเหลือ 0 เท่านั้นจึงจะรู้ความผิดพลาดของตัวเอง แต่ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว
ชุนหลงได้ยินเสียงของผู้ดูแลแต่เขาไม่สนใจนัก
ในใจเขามีแต่เรื่องโอสถทลายม่านปราณ
แม้แผนของชุนหลงจะดีในทางทฤษฎี เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่
หลังจากถามทาง เขาเดินครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงหอสมบัติ
หอสมบัตินั้นมีขนาดใหญ่พอๆกับหอกลิ่นพิศวง
หอสมบัตินับว่าด้อยกว่าหอกลิ่นพิศวงเล็กน้อยในด้านของความหรูหรา แต่ความยิ่งใหญ่นั้นเหนือกว่าอย่างเห็นได้ด้วยตา
การตกแต่งภายนอกไม่ได้ด้อยไปกว่าหอกลิ่นพิศวงเลย
ความต่างที่มากที่สุดระหว่างหอกลิ่นพิศวงและ หอสมบัติก็คือคนที่ร่ํารวยอย่างลู่เหวินและเจ้าอ้วนฟูจะชอบไปหอกลิ่นพิศวงมากกว่า แต่ในหอสมบัตินั้นมีทั้งคนจนและคนรวยมารวมตัวกัน
นั่นก็เพราะว่าหอกลิ่นพิศวงเป็นสถานบันเทิงขณะที่หอสมบัติเป็นสถานที่ที่ศิษย์นิกายมาซื้อของที่ต้องการ
ชุนหลงไม่เดินเข้าไปในหอสมบัติโดยตรง เขาปลีกตัวออกไปหาที่เปลี่ยวที่ไกลออกไปไม่กี่สิบเมตร
หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครมอง ชุนหลงสวมผ้าคลุมดําทับตัว และมุ่งหน้าเข้าไปที่หอสมบัติ
บนถนนหนทางคึกคักอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีใครสนใจเขาที่สวมผ้าคลุมดําเท่าใดนัก เพราะไม่แปลกที่จะมีคนปลอมตัวเข้ามาในเมืองเมฆาทะยาน