“มี 4 วิธีการในการเก็บคะแนนในนิกาย”
“วิธีแรกและ ‘ปลอดภัย’ ที่สุดคือการเป็นคนขุดเหมืองให้นิกาย มีศิษย์นอกหลายคนที่เลือกทำงานในเหมืองศิลาจิตของนิกายเรา นิกายจะจ่าย 50 คะแนนให้ในแต่ละเดือนที่ช่วยงานในเหมืองศิลาจิต แน่นอนว่ามีจำนวนจำกัดในการทำเหมือง คนที่ทำงานหนักกว่าคนอื่นก็จะได้คะแนนที่มากกว่าคนอื่นในเวลาสิ้นเดือน”
ชุนหลงคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าหินรูปสามเหลี่ยมของเขานั้นเป็นประเภทเดียวกับศิลาจิตหรือไม่ แต่เขาก็ลืมมันไปในไม่นาน
“หินนั่นมีมิติพิเศษที่เราเข้าไปบ่มเพาะพลังใน ‘นาฬิกาทรายราชันย์’ ได้ มันยังเรียกตัวเองว่าเป็นมิติจิต มันจะเกี่ยวกับศิลาจิตไหมนะ”
ชุนหลงคิด
“ท่านเจ้าตำหนักเฟิง พวกข้าไม่เคยได้ยินเรื่องศิลาจิตมาก่อนเลย”
ศิษย์หัวโล้นเปล่งประกายคนหนึ่งพูด
“โอ้ ข้าลืมไป บนเกาะที่เจ้าจากมาแทบจะไม่มีศิลาจิตอยู่เลยนี่นะ”
เจ้าตำหนักเฟิงกล่าว เขาหยิบเอาหินสีขาวมีความแวววาวรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนมาแสดงให้ทุกคนดู
“ศิลาจิตคือหินที่มีพลังปราณบริสุทธิ์สำหรับผู้บ่มเพาะพลังระดับสวรรค์ขึ้นไป มันช่วยให้พวกเขาบ่มเพาะพลังได้ดีขึ้น”
“คิดว่าไงล่ะเด็ก ๆ? เจ้าอยากจะทำงานในเหมืองศิลาจิตหรือไม่? ถ้าเจ้าทำงานหนักจริง ๆ เจ้าอาจจะได้ 100 คะแนนนิกายในแต่ละเดือน”
เมื่อเจ้าตำหนักเฟิงพูดจบ เขาดูเหมือนกับชายแก่ที่พยายามจะหลอกเด็กด้วยลูกอม แต่ใบหน้าเขาให้เพียงแต่ความน่ากลัวกับเหล่าศิษย์นิกายเท่านั้น
หญิงสาวผมหางม้าคนหนึ่งถามด้วยความกังวล
“ทะ..ท่า…ท่านเจ้าตำหนัก มะ…ไม่มีวิธีอื่นให้เราหาคะแนนนิกายแล้วหรือ?”
ถึงตอนนี้เจ้าตำหนักเฟิงจึงรู้ตัวว่าศิษย์หน้าใหม่กำลังกลัวเขา
“ชิ พวกตาขาว…”
เขาเดาะลิ้นเหยียดหยาม
“มีอีก 3 วิธีในการได้รับคะแนนนิกาย แต่มันไม่ได้กำไรกับพวกเจ้าเท่ากับเหมืองศิลาจิต”
เจ้าตำหนักเฟิงพยายามจะวางเหยื่อล่อก่อนจะพูด
“วิธีที่สองคือการช่วยนักปรุงยาหรือเป็นนักปรุงยา แต่นั่นอาจจะไม่เหมาะสำหรับพวกเจ้าสักคน”
“นักปรุงยาร่ำรวยและต้องการผู้ช่วยในการหลอมโอสถให้รวดเร็วขึ้นอยู่เสมอ มีนักปรุงยาระดับทองแดงขั้น 3 บางคนที่มองหาผู้ช่วยในวันก่อน แต่คุณแน่นอนว่าผู้ช่วยจะต้องเป็นนักปรุงยาอยู่แล้ว”
“นักปรุงยาระดับ 1 จะจ่าย 20 คะแนนให้ทุกเดือน ระดับ 2 จะให้ 50 คะแนนและการช่วยระดับ 3 นั้นอาจจะให้ราคาสูงถึง 200 คะแนนต่อเดือน”
เมื่อชุนหลงได้ฟังเขาก็ตาเป็นประกาย ไม่ใช่เพราะเขาอยากจะช่วยนักปรุงยา แต่เพราะเขาวางแผนที่จะเป็นนักปรุงยาตั้งแต่ก่อนจะมาที่นิกายเมฆาทะยานอยู่แล้ว มิเช่นนั้นทุกสิ่งที่เขาได้มาจากตำราสีทองด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสคงสูญเปล่า
ชุนหลงคิด
‘นักปรุงยาอาจเป็นเส้นทางที่ได้กำไรมากที่สุดในการเก็บคะแนนนิกาย แต่ข้าควรจะฟังวิธีที่เหลือให้จบก่อน’
เจ้าตำหนักเฟิงพูดต่อ
“นอกจากการปรุงยาและเหมืองศิลาจิตแล้วเจ้ายังรับภารกิจได้อีกทาง”
“บางภารกิจนั้นอยู่นอกนิกาย เจ้าต้องไปล่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งหรือหาสมุนไพรหายากที่นักปรุงยาต้องการ ส่วนภารกิจที่ทำในนิกายมักจะเป็นภารกิจที่ให้นักปรุงยาหลอมโอสถบางชนิดที่ ‘หอสมบัติ’ ไม่มีขาย”
“จะมีใครในนิกายก็ได้ที่ออกภารกิจ แต่กฎคือต้องฝากคะแนนนิกายที่เป็นรางวัลให้กับตำหนักบริหารก่อนที่ภารกิจจะถูกประกาศออกไป”
“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเพิ่งไปดูส่วนภารกิจจะดีกว่า ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่แข็งแกร่งพอจะทำภารกิจในตอนนี้”
“สุดท้าย เจ้ามาขอทำงานในที่อย่าง ‘ตำหนักบริหาร’ ของข้า หรือที่ ‘หอสมบัติ’ หรือที่อื่นได้”
“เอาล่ะ ใครสนใจจะทำงานในเหมืองศิลาจิตให้อยู่ที่นี่ คนที่เหลือไปได้”
มีอยู่ 11 คนจาก 24 คนที่เข้าทำงานในเหมืองนิกาย
ชุนหลงตัดสินใจไปตรวจสอบส่วนภารกิจที่ชั้นแรก สิ่งที่เจ้าตำหนักเฟิงพูดนั้นถูกต้อง ภารกิจส่วนใหญ่นั้นเกี่ยวข้องกับการหลอมโอสถ
หลังจากมองรายการภารกิจแล้ว ชุนหลงไปเช่าห้องในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลจาก ‘ตำหนักบริหาร’ ไม่มากนักก่อนที่จะสำรวจรอบเมืองเมฆาทะยาน
ระหว่างทาง เขาได้เห็นร้านข้างถนนเต็มไปหมด แต่แทนที่จะขายอาหารเหมือนอย่างใน ‘โลกมนุษย์’ มันกลายเป็นร้านของศิษย์นอกนิกายที่ขายทุกสิ่งทุกอย่างที่จะจินตนาการได้
ชุนหลงเห็นดาบ กระบี่ และหอกวางขายอยู่ และแทบทั้งหมดนั้นสลักอักขระโบราณจากปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูงเอาไว้ ส่วนใหญ่มีพลังอย่างน้อยในระดับทองแดงขั้น 3
เขาถึงกับเป็นกระบี่จากปรมาจารย์ค่ายกลระดับเงินขั้น 1 มาวางขาย ผู้ชายเป็นชายวัยกลางคนที่อายุราว 45 ปี แขนของเขาใหญ่พอ ๆ กับต้นขา ราคาขายกระบี่นั้นมากกว่า 1,000 คะแนนนิกาย
ร้านอื่นขายวัตถุดิบทำโอสถขณะที่บางร้านขายโอสถที่หลอมมาแล้ว
แต่ของราคาถูกสุดที่ชุนหลงเห็นในวันนี้นั้นก็ยังมากกว่า 50 คะแนนนิกาย
เขาจึงได้เข้าใจว่า 30 คะแนนนิกายที่นิกายให้กับเขานั้นเป็นจำนวนเล็กน้อยมาก
ไม่รู้ว่าเดินสำรวจมานานเท่าใดแล้ว ชุนหลงเห็นว่าเขาได้มาถึงตำหนักใหญ่ที่เทียบได้กับ ‘ตำหนักบริหาร’
มีประตู 2 บานยักษ์ที่รถม้าผ่านได้และมีหม้อใบใหญ่ 2 ใบที่แต่ละด้านของประตู มีข้อความเตะตาเคลือบด้วยทองที่ยอดตำหนักที่ทุกคนในนิกายเมฆาทะยานให้ความนับถือ
‘สำนักปรุงยา’
ชุนหลงลังเลไม่นานก่อนจะเดินไปทางประตูบานยักษ์