น้ำเสียงของจองฮายอนฟังดูสดใสเหมือนเดิมก็จริง แต่กระนั้นผมก็ยังนิ่งเฉย ไม่ไหวติง ผมเฝ้ารอประโยคที่หล่อนจะพูดในลำดับถัดมา พลางรู้สึกแปลกใจนิดๆ
“บทสนทนาที่ได้คุยๆ กันไว้ ฉันสรุปไว้ให้หมดแล้วค่ะ”
บทสนทนาเหรอ
ในช่วงเวลาวุ่นวายเช่นนี้ จองฮายอนก็ยังคงใส่ใจทุกรายละเอียดจนหยดสุดท้ายจริงๆ ผมรู้สึกทึ่งกับความละเอียดรอบคอบของหล่อน แต่แล้วก็ได้พยักหน้าตอบรับไปให้ หล่อนเห็นดังนั้น ก็พยักหน้ากลับมา แล้วจึงถอยหลังออกไป จะบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็เห็นทีจะไม่ใช่ แต่อย่างน้อยคงต้องเป็นเรื่องน่ากังวลใจอะไรสักอย่าง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเราเอาแต่ตั้งหน้า ตั้งตาเดินอยู่ท่าเดียวหรือไม่ จึงทำให้เราเดินมาถึงแคลนเฮาส์ได้โดยใช้เวลาไม่นานเลย ในช่วงที่เรากำลังเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นตัวบ้านอยู่ในสายตาชัดเจนนั้นเอง ผมก็เห็นว่าประตูหน้าของเราได้เปิดรออยู่จริงๆ เหมือนอย่างที่จองฮายอนได้ว่าไว้ไม่มีผิด โดยภายในนั้น มีเหล่าผู้เล่นที่คุ้นหน้าค่าตากันดี ได้ออกมายืนรอต้อนรับพวกเรา
เหล่าลูกจ้างที่ยืนเลียบอยู่ด้านซ้ายและขวาของประตูใหญ่ และท่านผู้เฒ่ากับแพคฮันกยอล ที่ถูกยกเว้นจากการคัดเลือกบุคคลเข้ารบในสงครามหนนี้ แน่นอนว่ามีเจ้ายูนิคอร์นน้อยรออยู่ด้วย
ฮี้!
เจ้ายูนิคอร์นน้อยวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นผม หางของมันสะบัดไปมานับครั้งไม่ถ้วน ดูท่าว่าจะดีใจมากจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ในจังหวะที่ผมกำลังจะยื่นมือออกไปอุ้มตัวมันขึ้นมาอย่างไม่คิดอะไรนั้นเอง จู่ ผมก็ได้หยุดการกระทำเช่นนั้นไป
ฝ่ามือที่เห็นอยู่นี้ มีแต่เลือดแดงๆ เปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมด เลือดที่ว่านั้นไม่ได้หยดไหลเหมือนคราวที่อยู่บาร์บาร่า แต่มันกลับแห้งกรัง จับตัวแข็งกันอยู่ที่ฝ่ามือ
ผมถึงกับลำบากใจไปพักหนึ่งเลยทีเดียว และในที่สุดจึงได้เก็บมือเข้ามาหาตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะนำมาถูๆ บริเวณขา พลางเปิดปากพูดออกไปว่า
“ไม่ได้”
ฮี้ ฮี้?
เจ้ายูนิคอร์นน้อยวิ่งเข้ามาหาอย่างไว โดยไม่ได้สนใจว่าจะเปื้อนเลือดหรือไม่อย่างไรเลย แต่แล้วพอมันเห็นผมห้ามปรามเช่นนั้น มันจึงหยุดการเคลื่อนไหวไปในทันที หลังจากนั้นมันจึงเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกะพริบตาปริบๆ ให้ สายตาของมันกำลังสื่อว่าอยากได้คำอธิบายเรื่องนี้ ผมเห็นดังนั้น จึงพูดออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา
“อย่าเข้ามา เดี๋ยวเปื้อนเลือด”
ฮี้…?
เกิดความเงียบงันขึ้น ไม่มีใครพูดจากันขึ้นมาชั่วขณะ
ในตอนนั้นเอง
ฮี้…
ดวงตาใสแจ๋วที่มองผมนั้น จู่ๆ ก็เริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยออกมาให้เห็น ในเวลาเดียวนั้น ผมเห็นว่าหางที่สะบัดไปมาอยู่เมื่อครู่ บัดนี้กลับได้ห้อยลงไปแล้ว ผมจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
แล้วจึงเดินผ่านเจ้ายูนิคอร์นน้อยไปทั้งอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจนะ แต่เมนไม่จำเป็นที่จะต้องมาเปื้อนเลือดจากผมเช่นนี้
และในที่สุด ผมก็ได้เดินเข้าสู่แคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่อย่างจริงๆ จังๆ เสียที
“กลับมาแล้วครับ”
“ยะ…ยินดีต้อนรับค่ะ”
“ฮะ…ฮึก!”
“งะ…เงียบสิ!”
หลังจากที่ผมเข้ามายังประตูใหญ่ได้สำเร็จ เหล่าลูกจ้างจึงได้พร้อมใจกันโค้งตัวทักทายผม แต่แล้วก็มีบางกลุ่มที่ส่งเสียงเบาๆ ขึ้นมาหลังจากเห็นผมตัวเป็นๆ ไม่รู้ว่าใช่ผู้เล่นที่ไม่ได้เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้หรือไม่
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมผงกหัวตอบกลับไป หลังจากนั้นจึงมีคนสองคนที่เดินเข้ามาสบตากับผม
“ทะ…ท่านพี่ อะ…เอ่อ ทะ…ท่านแคลนลอร์ด ยะ ยินดี…ต้อนรับกลับครับ”
“ขอแสดงความยินดีที่คุณยังมีชีวิตอยู่รอดกลับมาได้ แคลนลอร์ด”
ปฏิกิริยาของแพคฮันกยอล ดูแล้วแทบไม่ต่างอะไรไปจากพวกลูกจ้างเลย เขาพูดออกมา พร้อมปรายตามองน้อยๆ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกได้ว่าสภาพของผมในตอนนี้ดูแปลกหูแปลกตาไปมาก
แต่ไม่ใช่กับท่านผู้เฒ่า เพระเขาเดินเข้ามาหาผม ด้วยท่าทีที่ดูใจเย็น
“โฮะๆ ดูเหมือนเราไม่ได้เจอกันนานเลยจริงๆ”
“ก็เราขาดการติดต่อกันไปเลยนี่ครับ”
“นั่นน่ะซี อืม… ผมพอได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ จากจองฮายอนแล้วล่ะครับ ผู้เล่นชินซังยงเขา…”
“…ครับ โชคไม่ดีเลยต้องเจอเรื่องร้ายเช่นนั้น”
“แคลนลอร์ด คุณเหนื่อยมามากแล้วครับ แล้วผมต้องขอโทษด้วย ที่ตาแก่คนนี้ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย”
ผมมองท่านผู้เฒ่าที่กำลังจิ๊ปากไม่ชอบใจกับตัวเอง พลางพยักหน้าขึ้นลงไปให้ แต่แล้วก็จึงรีบส่ายหน้าไปมา
“ไม่ครับ ท่านผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกครับ เพราะผมเองก็ล้างแค้นไปแล้ว”
“จิ๊ ผมไม่สบายใจเลยแม้แต่วันเดียว ในระหว่างที่ตัวเองนั่งรออยู่ที่นี่ อ้อ เรื่องข่าวคราวน่ะ ผมพอได้ยินแว่วๆ มาบ้าง…ตอนนี้สงครามจบสิ้นหมดทุกอย่างแล้วใช่ไหมครับ”
“ครับ ทวีปตะวันตกกับทหารพันธมิตรของพวกเร่ร่อน ได้พ่ายแพ้ต่อตะวันออกครับ แม้จะมีบางส่วนที่มีชีวิตรอด แล้วหนีออกไปได้ แต่ก็มีวงล้อมที่สร้างกันพวกมันไว้อยู่ครับ อย่างไรก็ตาม จะบอกว่านี่เป็นชัยชนะแห่งทวีปเหนือก็ได้นะครับ”
“โฮะๆ ถ้างั้นก็ข่าวดีเลยสิเนี่ย อย่างน้อยก็โชคดีแล้วนะครับ”
สีหน้าของคนรอบข้างพลันดูสดใสมากขึ้น หลังจากที่ได้ยินคำว่าชัยชนะออกมาจากปากผม ผมเห็นดังนั้นแล้วรู้สึกช้ำใจอยู่ในอก มันเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรเช่นกัน เพระเหล่าผู้เล่นที่ไม่ได้เข้าร่วมสงครามน่ะ เขาไม่รู้หรอกว่าเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมสงครามนั้น จะต้องเผชิญกับ ‘เหตุการณ์’ อะไรมาบ้าง ถึงได้กอบกุมชัยชนะเอาไว้ได้
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ผมจึงได้หันกลับไปมองข้างหลัง แล้วจึงเห็นสมาชิกเผ่าที่กำลังเดินเข้ามาทีละคน ทีละคน พวกเขามีสีหน้าอมทุกข์อย่างมาก
วินาทีนั้น คำพูดต่างๆ ที่ผมตั้งใจจะพูดต่อหน้าสมาชิกเผ่าทุกคน ก่อนที่จะเดินทางมาถึง ณ ที่แห่งนี้ จึงได้แล่นเข้ามาอยู่ในหัวสมองทันทีทันใด
“ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าสงครามจะยืดเยื้อไปถึงเมื่อไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะสามารถยุติลงได้ภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น ซึ่งถ้าเราไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านั้น ก็อาจมองว่ามันใช้ระยะเวลานานพอสมควรก็ได้ใช่ไหมล่ะครับ แต่ในช่วงที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะกินเวลาไปกี่เดือนก็แล้วแต่ สิ่งที่ผมปรารถนาไว้ก็มีอยู่เพียงแค่สิ่งเดียวครับ เมื่อสงครามจบลง เราจะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง ผมหวังแค่ว่าจะได้เห็นทุกคนสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีใครต้องเจ็บ ต้องป่วยแม้แต่คนเดียว แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับผมแล้วครับ”
บังเกิดความเงียบ ณ จุดที่ผมได้หันกลับไปมอง
“เฮ้อ…”
แม้จะเป็นเสียงที่เบามากๆ แต่แล้วสมาชิกเผ่าก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองในชั่วพริบตา
สายตาที่พุ่งเข้ามาหาผมในชั่วเวลาสั้นๆ นั้น ทำเอาผมเผลอเปิดปากพูดต่อไปอย่างไม่รู้ตัว
“สงครามจบแล้วครับ”
“…”
คำพูดที่เปล่งออกไปโดยอัตโนมัติ
“และพวกเรา…ได้กลับมาถึงแคลนเฮาส์อย่างปลอดภัยแล้ว”
“…”
สมาชิกเผ่าใช้ความนิ่งเงียบตอบกลับมา
ผมได้เผลอพูดอะไรออกไปโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว จึงทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องสรรหาคำพูดใดอีกออกมาพูดในสถานการณ์เช่นนี้
ผมแอบกังวลไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ผมก็ได้พูดอะไรออกไปบ้างแล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าตัวเองได้ทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นลงไปด้วยดีแล้ว
“และ…ถึงแม้ว่าจะมีหนึ่งคนที่ไม่สามารถเดินทางกลับมากับพวกเราได้ แต่…”
“ฮึก!”
ในตอนนั้นเอง
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังร้องสะอึกสะอื้น
ผมได้ยินเช่นนั้น จึงหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมาเบาๆ อีกครั้งว่า
“ทุกคนที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย ทุกคนสุดยอดแล้วล่ะครับ
“ฮึก!”
“ฮือ…”
“แงงง…”
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผมก็ได้เห็นภาพที่อันฮยอน อียูจองและอันซลกำลังร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก
ผมจ้องมองพวกเขาที่กำลังค่อยๆ ทรุดตัวลงกับพื้น
แม้จะรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เข้าใจหัวอกของพวกเขาเป็นอย่างดี
พวกเขายังเป็นเพียงแค่ผู้เล่นปีที่ศูนย์เท่านั้น แม้ว่าที่ผ่านๆ มา เขาจะได้เผชิญหน้าต่อเหตุการณ์น้อยใหญ่มาบ้างแล้ว แต่หากเปรียบฮอลล์เพลนเป็นเสมือนโลกหนึ่งใบ พวกเขาก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากกระดาษขาวบริสุทธิ์ ไร้การแต่งแต้มจากสิ่งใด
พวกเด็กๆ เหล่านี้ได้พบเจอกับเรื่องราวต่างๆ มากมายจากการเข้าร่วมสงครามหนนี้ เรียกได้ว่าเจอแทบทุกเรื่องในช่วงเวลาเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
สงครามที่ได้ชิมลางเป็นครั้งแรกในช่วงที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ สงครามที่มีการสังหารกันอย่างโหดเหี้ยม
ความเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียคนรู้จักไปอย่างไม่มีวันกลับ
และสุดท้าย ความหวั่นวิตกต่างๆ นานา ที่ได้มลายหายไปพริบตา เพียงเพราะคำพูดที่พูดว่าสงครามได้ยุติลงแล้วเท่านั้น
ผมรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในคำพูด เพื่อเติมเต็มภายในใจของเด็กๆ
“เอ้อ อันฮยอน แคลนลอร์ดกำลังพูดอยู่นะ ลุกขึ้นมาเสียเถอะ”
“ยูจองเอ๊ย ลุกขึ้นมาเถอะ เอ๋? ทำไมเธอเป็นแบบนี้ไปล่ะ”
“ซลด้วย ลุกขึ้นมาเร็ว แคลนลอร์ดก็เสียใจเป็นเหมือนกันนะ”
สมาชิกเผ่าค่อยๆ พากันพยุงร่างของพวกเด็กๆ เหล่านั้นให้ลุกขึ้นมา ผมเห็นเช่นนั้น จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที ก่อนที่จะหันไปมองโกยอนจู พอมาคิดๆ ดูแล้ว หล่อนก็หอบหิ้วร่างไร้วิญญาณของชินซังยงมาตลอดจนถึงเดี๋ยวนี้
“ผู้เล่นโกยอนจู”
“รับทราบค่ะ”
โกยอนจูตอบกลับทันทีที่ผมเรียกชื่อหล่อน คงเดาเอาไว้แล้วว่าผมจะออกคำสั่งให้จัดการศพของชินซังยง
ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเช่นนั้นอย่างไม่รู้ว่าทำไม จึงรู้สึกขอโทษอยู่ในใจเงียบๆ พลางมองไปที่หล่อน
“งั้น…เดี๋ยวมานะคะ จะรีบมาให้เร็วที่สุด”
“รบกวนด้วยครับ”
หล่อนส่งรอยยิ้มน้อยๆ พลางทำสีหน้าว่าไม่เป็นไรมาให้ผม ก่อนที่จะค่อยๆ วางร่างชินซังยงลงอย่างระมัดระวัง หมุนกาย แล้วเริ่มวิ่งออกไปจากประตูใหญ่ทันที ทิศทางที่หล่อนกำลังวิ่งออกไปนั้น แน่นอนว่ากำลังมุ่งตรงไปทางร้านค้าสำหรับผู้เล่น
“ทะ…ท่านพี่ เอ่อ ไม่สิ แคลนลอร์ด”
ในตอนนั้น จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมากะทันหัน จึงได้ปรายตามองข้างตัว พบว่าแพคฮันกยอลกำลังยืนกะพริบตาปริบๆ โดยมีสีหน้าอ้ำอึ้งอะไรบางอย่างอยู่ด้วย
“นะ…เหนื่อยมากเลยใช่ไหมครับ เราได้เตรียมอาหารไว้แล้ว…มะ…ไม่สิ ก่อนอื่นท่านพี่ต้องไปล้างเนื้อล้างตัวเสียก่อน…”
“เรื่องอาหารน่ะ…ฉันไม่เป็นไร”
“ถึงจะว่าแบบนั้นก็เถอะ…”
“ตอนนี้จิตใจทุกคนกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่ วันนี้เลยไม่อยากจะบีบบังคับอะไรพวกเขามาก คงจะดีเสียกว่านะ แต่ถ้าสมาชิกเผ่าคนไหนที่หิวอะไร ก็เชิญไปทานได้ตามอัธยาศัย ส่วนคนอื่นที่เหลือจะเข้าไปอาบน้ำอาบท่า หรือจะเข้าหอไปพักผ่อนก็เชิญตามสบายได้เลยครับ”
แพคฮันกยอลคงเข้าใจความหมายในคำพูดของผมดีแล้ว จึงได้พยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าเสียดายน้อยๆ