สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เขารู้สึกว่าพวกเด็กๆ กำลังวิ่งเข้ามาหา แต่มันสายไปเสียแล้ว ทั้งร่างกายและสติของชินซังยงกำลังหมุนวนไปเวียนมาไม่รู้จักจบจักสิ้น ความเจ็บปวดทรมานที่จู่โจมเข้ามากะทันหันนั้น ทำให้เขาได้แต่ส่งเสียงลมหายใจฟึดฟัดออกมา แทบจะไม่สามารถผ่อนปรนลมหายใจออกมาได้เลย
ในสถานการณ์เช่นนั้น ชินซังยงพยายามอดทนอดกลั้นจนสามารถลืมตาขึ้นมาได้สำเร็จ พอเงยหน้าขึ้นมาได้ เขาจึงได้เห็นว่าพวกเด็กๆ กำลังวิ่งเข้ามาหาตัวเอง แต่เขาก็รีบเงยหน้าไปมองอีกฝั่งหนึ่งอัตโนมัติ ทันใดนั้นจึงได้พบเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชี้มาทางเด็กๆ ในมือของหล่อนกำลังถือแส้เส้นหนึ่ง แส้เส้นนั้นมีเลือดและเนื้อหนังติดอยู่เป็นดวงๆ มันคือแส้ที่ใช้ฟาดเข้าที่หน้าท้องของเขาอย่างแน่นอน
เฟี้ยว!
แส้เส้นนั้นกวัดแกว่งไปมา ไม่มีเวลาให้พูดสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย และวินาทีนั้นดวงตาของชินซังยงจึงได้เบิกกว้างมากยิ่งขึ้น แม้เขาจะไม่มีแรงหลงเหลืออยู่แล้ว แต่เขาก็สามารถยันผืนดินด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วลุกขึ้นมาได้ในที่สุด
ชินซังยงกางแขนทั้งสองข้างออก พลางใช้สายตาจับจ้องไปที่เบื้องหน้า
เขาเห็นอันฮยอน อันซล อียูจอง และ…
เพียะ!
“เอ๊ะ?”
แส้เส้นนั้นตวัดมาที่หลังอีกครั้งจนรู้สึกแสบๆ ร้อนๆ พร้อมกันนั้นเลือดสีแดงฉานก็กระฉูดขึ้นไปแต่งแต้มบนท้องฟ้าสีคราม
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เบื้องหน้าของชินซังยงจึงได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความมืดมิด
พวกเด็กๆ ต่างร้องเรียกเขา แต่เขากลับไม่ได้ยินอะไรเลย เขาได้ยินแต่เสียงกร็อบแกร็บเบาๆ ดังแว่วเข้ามาในหูเท่านั้น
“…”
ในเวลาต่อมา ชินซังยงลืมตาขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงเห็นท้องฟ้าปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า เขาเริ่มโลดแล่น ผจญภัยไปในท้องฟ้าผืนนั้น ระดับความเร็วในการเดินทาง เรียกได้ว่าช้ามากๆ ช้าจนสามารถนับก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าแห่งนี้ได้เลย เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังจะหยุดนิ่งลง
ท้องฟ้าที่เขากำลังโลดแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ นี้ ค่อยๆ เริ่มปรากฏให้เห็นถึงแสงสว่างอยู่รำไร จนทำให้ทัศนวิสัยของชินซังยงขาวโพลน
ก่อนที่สติของเขาจะหลุดลอยไป ชินซังยงคิดขึ้นมาว่า
บางทีสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นภาพในอดีตที่ฉายให้มนุษย์เห็น ก่อนที่มนุษย์คนนั้นจะสิ้นลมหายใจ โบกมือลาลับจากโลกนี้ก็เป็นได้
ความทรงจำมากมายไหลเวียนมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ราวกับเป็นภาพพาโนรามา ชินซังยงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
ฤดูหนาวเมื่อปีนั้นช่างหนาวจับใจ หนาวมากเป็นพิเศษ จนผิดวิสัย
วี้หว่อ วี้หว่อ วี้หว่อ วี้หว่อ
กองเพลิงร้อนแรงลุกโชนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ณ ที่แห่งนั้น ที่ที่เต็มไปด้วยรอยเลือดกับเปลวไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ
ต้นตอของกองเพลิงในครั้งนี้คือ รถยนต์สภาพพังยับเยินที่จอดแน่นิ่งอยู่กลางทาง รถคันดังกล่าวถูกโอบล้อมไปด้วยเปลวเพลิง เปลวไฟที่ว่าค่อยๆ สุมขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีลดละ ลุกโชนอยู่ท่ามกลางยามราตรีนี้
ภายในรถยนต์คันนั้นมีผู้ใหญ่สองคนกำลังคู้ตัว โอบกอดปกป้องเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ เด็กคนนั้นมองดูผู้ใหญ่ที่กำลังปกป้องตัวเองด้วยดวงตาอันสั่นไหว ทั้งสองคนจึงได้สบตากันในเวลาต่อมา ผู้ใหญ่คนหนึ่งค่อยๆ ยกมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ลูบหัวของเด็กคนนั้นอย่างอ่อนโยน หลังจากนั้นจึงพูดออกมาว่า
‘ซังยง มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้นะ ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ลูกต้องอยู่ต่อไปให้ได้นะ’
เด็กชายตัวน้อยน้ำตาคลอหน่วย พลางพยักหน้าตอบรับ
ในเวลาต่อมา รอบกายของเด็กชายคนนั้นก็ได้เปลี่ยนไป
“อินอังองไอ้อนอิดอ่าง ติดอ่าง! ไอ้คนติดอ่าง”
เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังรุมล้อมแกล้งเด็กชายตัวน้อยคนนั้น เด็กชายที่ยืนอยู่ตรงกลางทำหน้างงงวย ได้แต่มองสลับไปสลับมา
คุณปู่ที่นั่งมองเด็กชายคนนั้นมาสักพักหนึ่ง จึงได้พูดประโยคหนึ่งออกมาว่า
“สงบปากสงบคำซะ”
เด็กชายจำประโยคของคุณปู่เรื่อยมา เขาคิดว่าคงไม่มีวิธีอื่นใด นอกจากวิธีนี้แล้ว เพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ พยายามมากเพียงใด นิสัยของตัวเองก็ยังแก้ไม่หายอยู่ดี
เด็กชายคนนั้นคือ ชินซังยง
ความทรงจำที่อยู่ในหัวสมองของชินซังยง ค่อยๆ เริ่มผ่านไปทีละเหตุการณ์ ทีละเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาจำความได้
เวลาผ่านไปอีกครั้ง
ชินซังยงสงบปากสงบคำมาโดยตลอด ทว่าด้วยนิสัยที่ขี้กลัวมาแต่ไหนแต่ไรของเขากับความเงียบขรึมเช่นนี้ จึงทำให้เขาว้าเหว่ เขาดำเนินชีวิตเช่นนี้มาตลอด เหมือนมีตัวตนบ้าง เหมือนไม่มีตัวตนบ้าง ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ไม่มีใครสนใจเขาเลยสักคนเดียว อย่างร้ายแรงมากที่สุดก็คือ เคยโดนแกล้งให้อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีคนยอมรับเข้ากลุ่มด้วย
แต่ก็ไม่เป็นไร เขาชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้เสียแล้ว เขาไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่
จนในสุดท้าย เขาคิดว่าตัวเอง…จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
แต่ชินซังยงก็มีสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำใจอดทนต่อมันได้ นั่นก็คือ ความว้าเหว่และเดียวดายที่ก่อตัวขึ้นมา หลังจากที่คุณปู่เสียชีวิตจากโลกใบนี้ไป เขาไม่มีที่พึ่งเลยแม้แต่ที่เดียว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รอบกายเขาทั้งมืดหม่นและเยือกเย็นเสมอมา เหมือนกับฤดูหนาว
ฤดูที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ทว่าฤดูของชินซังยงกลับหยุดสนิทอยู่ที่ปีนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังคงเป็นเหมือนฤดูหนาวเสมอมา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดิ้นรน ต่อสู้กับมัน
อายุเพิ่มขึ้น เรียนจบมหาวิทยาลัย ออกไปใช้ชีวิตในสังคมใหม่ จึงทำให้อะไรหลายๆ อย่างดีขึ้น ทั้งประสบความสำเร็จตามที่ตัวเองหวังไว้ แต่นิสัยเดิมๆ ก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปเสียที เขายังคงเป็นชินซังยงที่พูดตะกุกตะกักเหมือนเดิม แม้จะไม่ได้เป็นหนักเท่าตอนเด็ก แต่เพราะสาเหตุนี้จึงทำให้เขาโดนดูถูกดูแคลนบ้างเช่นกัน และด้วยนิสัยขี้กลัวของเขา ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่ต้องมาเผชิญหน้าต่อหายนะต่างๆ
แต่เขาก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะตัวเองก็อยู่แบบนั้นคนเดียวมาตลอดแต่ไหนแต่ไรแล้ว
และหลังจากที่ได้เข้ามายังฮอลล์เพลน
พอชินซังยงผ่านพิธีการเปลี่ยนสภาวะมาได้สำเร็จ เขาก็ไม่สบายไปเกือบอาทิตย์หนึ่ง ในช่วงแรกๆ เขาแค้นใจกับโลกใบใหม่นี้มาก ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกพาตัวมาที่แห่งนี้
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาหลังจากลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง คือ ฮอลล์เพลนไม่ใช่โลกที่เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวได้แน่ๆ ชินซังยง ผู้ซึ่งเคยยึดติดกับการใช้ชีวิตอันแสนพิสดารเช่นนั้นมาตลอด คิดได้ว่าวิธีที่จะอยู่รอด ณ ที่แห่งนี้คือ การปรับตัวเข้าหา เพราะฉะนั้นหากต้องการที่จะปรับตัวให้กับโลกใบนี้แล้วล่ะก็ ประเด็นแรกที่จะต้องลงมือทำก่อนใครเพื่อน คือ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองเสียก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของชินซังยงก็ยังคงเหมือนเดิม แม้จะเข้ามาอยู่ในฮอลล์เพลนแล้วก็ตาม
เขาลองมาหมดแล้ว ทั้งตั้งใจทำงานราษฎร์ งานหลวงอย่างเต็มที่ ทั้งยังยอมขจัดความหวาดกลัว จนได้ออกไปสำรวจสถานที่ต่างๆ
แต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
‘หมอนั่นไม่ทำเกินไปหรอกเหรอ ถึงจะเป็นนักเวทก็เถอะ แต่มันมากเกินไปแล้วนะ ไม่สิ เขาจะเข้าร่วมคาราวานทำไม ถ้าจะยังทำตัวแบบนั้นอยู่’
‘ถึงจะพูดอึกอักยังไง ก็ต้องร่ายเวทให้ได้ด้วยสิ เกือบตายแล้วไหมล่ะ’
‘พวกเราไม่รับนักเวทเล่นแร่แปรธาตุครับ’
‘วิเคราะห์ภาษาโบราณงั้นเหรอ พอดีฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก ยังไงก็…ถ้าขุดเจอโบราณวัตถุอะไร จะลองติดต่อไปอีกทีแล้วกัน’
หนึ่งปีผ่านไป
เมื่อถึงคราวเขาควบคุมจิตใจได้แล้ว รอบกายชินซังยงก็ไม่มีผู้ใดยืนเคียงข้างเลยแม้แต่คนเดียว เขาคิดว่าจะพยายามต่อไปเรื่อยๆ ในแบบของตัวเอง และยังคิดอีกว่าหากอดทนและเฝ้ารอต่อไป บางทีฤดูใบไม้ผลิอาจจะมาหาในเร็ววันก็ได้ ทว่าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ผลลัพธ์ที่ได้แทบไม่ต่างอะไรกับในโลกปัจจุบันเลย
จนในที่สุด ชินซังยงก็ยังอยู่ตัวคนเดียวเหมือนเดิม ไม่ว่าจะในโลกปัจจุบันหรือในฮอลล์เพลน ฤดูของชินซังยงก็ยังเป็นฤดูหนาวอยู่วันยังค่ำ
จึงทำให้เขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า
ถ้าเป็นแบบนี้ หมายความว่าเขาเอาแต่เฝ้ารอการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิอยู่เฉยๆ เช่นนี้อย่างเดียวเหรอ
สิ่งที่เขาเคยคิด เคยคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก มันกลายเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ฤดูหนาวนั่นเลือนหายไปจากใจหรือเปล่า…เขาคิดเช่นนั้น
แต่เมื่อครั้งที่เขาเข้าใจถึงสิ่งเหล่านั้นได้สำเร็จ ทุกอย่างมันกลับสายไปหมดเสียแล้ว ณ ฮอลล์เพลนแห่งนี้ เขาได้กลายมาเป็นกลุ่มผู้คัดค้านกระแสหลักและอยู่ตัวคนเดียวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้รับการต้อนรับจากโลกที่คำนึงถึง ‘ข้อมูลผู้เล่น’ เป็นอันดับแรก
เขากังวลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนในที่สุดก็ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้ายที่เขาจะลองก้าวออกไปเผชิญโลกภายนอก
ในการออกสำรวจที่เกือบจะเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้นั้น เขาได้เจอผู้เล่นคนหนึ่ง
ผู้เล่นคนนั้น เป็นมนุษย์ที่ต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว ไม่ว่าเขาจะลงมือทำอะไรก็จะมีความเป็นผู้นำติดตัวไปด้วยเสมอ อีกทั้งยังได้รับความเชื่อถือ ศรัทธาจากคนรอบข้างอีกด้วย
นั่นสินะ ผู้เล่นคนนั้นเหมือนดวงอาทิตย์ไม่มีผิดเลยล่ะ
ชินซังยงคิดว่า หากเขาอยู่เคียงข้างดวงอาทิตย์ดวงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฤดูหนาวของตัวเองจะละลายไปได้หรือไม่นะ
ชินซังยงเสี่ยงทุกสิ่งอย่าง และยอมติดสอยห้อยตามไปด้วยเป็นครั้งแรก ชินซังยง ผู้เคยพยายามปรับตัวครั้งแล้ว ครั้งเล่า เคยแต่ถอยหลังไม่ยอมเสี่ยง บัดนี้เขาได้ลองเสี่ยงกับตัวเองเป็นครั้งแรกแล้ว
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้น
‘ดีครับ’
‘ค…ครับ?’
‘ยินดีต้อนรับครับ คุณผู้เล่นชินซังยง’