แคลนเฮาส์ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่, ห้องประชุมเล็กชั้นสาม
โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้าขนาดยาวถูกวางในแนวตั้ง ด้านซ้ายและขวาของโต๊ะมีผู้เล่นฝั่งละห้าคนนั่งเรียงกันเป็นระเบียบ
ปกติแล้วจะมีที่ว่างหนึ่งที่ในฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่เสมอ แต่ตอนนี้มันถูกเติมเต็มด้วยสมาชิกใหม่ซึ่งเพิ่มเข้ามาหนึ่งคน และการประชุมในวันนี้ก็เป็นการประชุมแรกที่สมาชิกเผ่าคนใหม่เข้าร่วม
ผมรู้สึกพึงพอใจในขณะที่ฟังเสียงของอันฮยอนซึ่งกำลังรายงานด้วยความประหม่า
“…ดังนั้นเมื่อวานนี้ผมจึงสามารถติดตั้งวงแหวนเวทควบคุมการเข้าออกโดยใช้คลื่นพลังเวทในคลังสินค้าได้เสร็จสมบูรณ์ครับ”
“เมื่อวานนี้ฉันได้ตรวจสอบแล้ว สถานะของผู้ที่สามารถเข้าออกคลังสินค้าได้ในตอนนี้มีใครบ้าง”
“ก็มีพี่…อ๊ะ ขอโทษครับ มีท่านแคลนลอร์ด ผู้เล่นโกยอนจูและผู้เล่นจองฮายอนครับ”
“อืม เข้าใจแล้ว ทำได้ดีมาก ผู้เล่นชินซังยงก็ทำได้ดีมากเช่นกันครับ”
อันฮยอนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหันมามองผมอย่างประหลาดใจ ผู้เล่นชินซังยงที่ยิ้มอยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน ทั้งสองมองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะเขินๆ ใส่กัน ผมมองพวกเขาพลางยิ้มบาง
‘งานที่อันฮยอนจัดการก็ดำเนินไปได้เรียบร้อยดี’
ผมรู้อยู่แล้ว อันฮยอนขอความช่วยเหลือจากชินซังยง เพราะเขาไม่สามารถจัดการคนเดียวได้ แต่ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหา เพราะผมคิดว่าการขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องแย่อะไร และมันดีที่ได้แลกเปลี่ยนกันระหว่างสมาชิกเผ่า ผมหันไปหาจองฮายอนเป็นคนต่อไป
“คราวนี้มีเรื่องขอร้องอย่างหนึ่งมาที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ”
ผมตีหน้าซื่อ จองฮายอนพูดขึ้นเมื่อได้รับสัญญาณจากผม
“โอ้ เรื่องขอร้องงั้นเหรอ สงสัยจัง คำขอร้องจากเผ่าไหนเหรอครับ”
“ไม่ใช่เผ่าหรอกค่ะ แต่เป็นคำขอร้องส่วนตัว และถึงจะบอกว่าเป็นการขอร้องแต่ก็มีบางอย่าง…”
“คำขอร้องส่วนตัวเหรอ น่าแปลกใจจัง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ บอกมาเถอะ”
“เรื่องนั้น…อืม…”
สายตาที่คาดหวังของผมคงจะทำให้ลำบากใจ หางเสียงของจองฮายอนจึงสั่นแปลกๆ หล่อนมองลงมายังต้นขาของผม เมื่อผมก้มมองตามหล่อนก็เห็นลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังหาวหวอดใหญ่ราวกับเบื่อการประชุม มันวางขาอย่างเรียบร้อยอยู่เหนือต้นขาของผมพลางแกว่งหางไปมาเบาๆ
เมื่อมองลูกยูนิคอร์นที่หมู่นี้อวดดีเสียเหลือเกิน ผมก็ได้ยินเสียงพูดอย่างระมัดระวังของจองฮายอน
“ถามมาว่าขอเลือดของยูนิคอร์นได้ไหมคะ จะให้ในราคาสูง…”
กยูกยูน่ะเหรอ
เฮือก!
เมื่อได้ยินแบบนั้นลูกยูนิคอร์นก็สะดุ้งเฮือกและโผล่ขึ้นมาเหนือโต๊ะ มันส่งเสียงร้องด้วยเสียงที่แสดงออกว่าไม่พอใจ จองฮายอนหันซ้ายหันขวาอย่างไม่สบายใจ ผมลูบหลังของเจ้ายูนิคอร์นที่เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาพลางตอบไปนิ่งๆ
“บ้าไปแล้วสินะ”
“จะให้ตอบกลับแบบนั้นไหมคะ”
“ไม่ครับ ตอบกลับไปอย่างสุภาพดีกว่า บอกเขาว่าผมไม่สามารถยอมรับคำขอร้องได้ เพราะมันยังเป็นแค่ลูกยูนิคอร์น”
“เข้าใจแล้วค่ะแคลนลอร์ด”
เมื่อผมตอบไปอย่างชัดเจน ลูกยูนิคอร์นก็เริ่มถูแก้มเข้ากับหน้าท้องของผมด้วยความโล่งใจ ตอนนั้นเอง ในขณะที่เขาแหลมของมันทิ่มมาที่ท้อง เสียงเคาะประตูห้องประชุมเล็กก็ดังขึ้น มันจึงหันไปตามเสียงนั้นแทน
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาได้”
และเมื่อโกยอนจูพูดอย่างนุ่มนวลประตูก็ค่อยๆ เปิดออก
แอ๊ด
คนที่เปิดประตูเข้ามาคือหญิงสาวในชุดเมดที่เปิดเผยเรือนร่างพอสมควร หล่อนคือผู้เล่นจากดอกไม้กลางคืนที่เข้ามาทำงานในแคลนเฮาส์ ผมคิดว่าใครที่สวมชุดนี้คงจะดูดีมาก แต่สิ่งที่ผมชอบใจมากที่สุดก็คือเข็มขัดหนังบนต้นขาเปล่าเปลือย
“สะ สะ สะ สะ สวัสดีค่ะ ฉะ ฉันเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟค่ะ”
“อืม ขอบใจนะ ถ้างั้นช่วยวางบนโต๊ะได้ไหม”
โกยอนจูพยักหน้ารับด้วยเสียงที่อ่อนโยน พนักงานคนนั้นกลืนน้ำลายราวกับรู้ว่าหล่อนคือราชินีแห่งเงามืด
“เฮ้อ…”
ในตอนนั้นก็มีเสียงหอบหายใจด้วยความอึดอัดดังมาจากที่ไหนสักที่
‘เจ้าหมอนั่น’
พนักงานที่เสิร์ฟเครื่องดื่มเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก หล่อนตัวสั่นเหมือนลูกนกด้วยสีหน้าประหม่าราวกับกลัวอะไรบางอย่าง และอันฮยอนผู้มีรสนิยมชื่นชอบสาวชุดเมดก็กำลังมองพนักงาน เขาส่งเสียงไม่น่าฟังพลางพ่นลมหายใจออกจากจมูก
กึกๆ! กึกๆ!
มันไม่ใช่เสียงแปลกปลอมอะไร แต่เป็นเสียงถ้วยชากระทบกัน เพราะหล่อนตัวสั่นมากเกินไปในขณะที่เดินมาทางผม อียูจองจับจ้องด้วยแววตาที่เหมือนกับสัตว์ป่า ส่วนอันฮยอนแค่โต้แย้งด้วยสายตาที่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ถะ ถ้าอย่างนั้น ฉะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ไม่นานนักหลังจากวางถ้วยชาให้ทุกคนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วพนักงานก็รีบออกไปทันที
“การรายงานเกือบจะเสร็จแล้ว เราพักกันสักหน่อยดีไหม”
สมาชิกเผ่าพยักหน้าอย่างยินดี ผมเกือบจะทำหน้าตาบิดเบี้ยวออกมาเมื่อยกถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดมกลิ่น อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้อยากจะพูด แต่ถ้าเทียบกับชาที่โกยอนจูชงแล้วมันต่างราวฟ้ากับเหว แต่ถ้าแสดงสีหน้าออกไปอิมฮันนาก็คงจะสังเกตเห็น ผมจึงดื่มน้ำชาไปเงียบๆ
“แหวะ! ไม่อร่อยเลย! นี่มันรสอะไรเนี่ย!”
“ถุย! โอ๊ย ทำไมมันต่างกับชาที่พี่ยอนจูชงขนาดนี้!”
“…”
การแสดงสีหน้าของอันฮยอนและอียูจองยิ่งใหญ่มาก อิมฮันนาอมยิ้มเล็กน้อยแต่ก็แฝงไปด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย
ผมถอนหายใจสั้นๆ และตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องทันที มีหัวข้อสนทนาที่ดี เช่น การขอร้องให้จองฮายอนช่วยสอนแพคฮันกยอลเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้
“ผู้เล่นจองฮายอน”
“ซู้ด คะ?”
“การสอนแพคฮันกยอลเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“อ๋อ คืบหน้าไปเร็วทีเดียวค่ะ เขาฉลาด มีความสามารถและมีความพยายามมากด้วย”
จองฮายอนชื่นชมแพคฮันกยอลยกใหญ่ นามแท้ของเด็กคนนั้นคือผู้มากพรสวรรค์ ดูท่าว่าจะเป็นไปตามชื่ออย่างแน่นอน เมื่อเหลือบมองแพคฮันกยอลด้วยความชื่นชมก็เห็นเขาก้มหน้าก้มตาด้วยใบหน้าแดงก่ำราวกับเขินอาย แน่นอนว่าผมเห็นอันซลทำสีหน้าบูดบึ้งด้วย
ในขณะที่กำลังมองทั้งคู่แหย่กันอย่างน่ารักพลางแอบยิ้มในใจ จู่ๆ ผมก็ฉุกคิดเรื่องอิมฮันนาขึ้นมาได้
ผมคาดหวังว่าอิมฮันนาจะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศแบบนี้ได้เพราะต้องผ่านความยากลำบากทุกครั้งที่ผมรับสมาชิกใหม่เข้าร่วมเผ่า
ผมเอียงถ้วยชาและจ้องมองหล่อนเงียบๆ อิมฮันนาเข้าร่วมเผ่าเมอร์เซนต์นารี่อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้และนี่เป็นการประชุมครั้งแรกในฐานะสมาชิกเผ่า ผมสงสัยว่าตอนนี้หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่
‘ตอนประชุมก็นั่งเงียบ ดูเหมือนจะยังไม่อยากเปิดเผยตัวตนสักเท่าไหร่…หือ’
ตอนนั้นเอง อิมฮันนาที่มีประสาทสัมผัสไวเพราะเป็นนักธนูก็เงยหน้าขึ้นสบตากับผม
ซู้ด
ซู้ด
แววตาของอิมฮันนาที่จ้องมองผมเต็มไปด้วยความปรารถนาแปลกๆ บางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายได้
ผมนั่งอ่านบันทึกเงียบเชียบบนเก้าอี้ในห้องทำงาน บันทึกที่ถืออยู่ในมือขวาบอกไว้ว่า ทีมปัจจุบันของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ถูกจัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว การซ่อมบำรุงพื้นฐานของแคลนเฮาส์ก็ใกล้จะเสร็จสิ้น สิ่งที่เหลือตอนนี้ก็คือการเพิ่มสมาชิกเผ่า
เมอร์เซนต์นารี่มีนักเวทหลายคนอย่างที่โกยอนจูว่า แต่ถ้ามองในระยะยาวก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าถ้ามีนักสู้ระยะประชิดหรือนักบวชเพิ่มมาในตอนนี้ก็คงจะดี มีนักธนูเพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้าย สุดท้ายแล้วจะรับคลาสอะไรเข้ามาก็ไม่สำคัญนักหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุด…
ก๊อก ก๊อก
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดเสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้น
“เชิญครับ”
แอ๊ด
คนที่เปิดประตูเข้ามาคืออียูจอง หล่อนเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่แปลกไปจากปกติ จากนั้นก็คงคำนับผมเก้าสิบองศาและพูดอย่างเรียบร้อย
“เลดี้อียูจองมาพบท่านแคนลอร์ดค่ะ”
“อืม มาพบผมด้วยเรื่องอะไรเหรอครับ ผมไม่ได้เรียกหาสักหน่อย”
“เลดี้มีเรื่องที่ต้องรายงานในฐานะผู้ติดตามของท่านลอร์ดจึงมาที่นี่ค่ะ”
“เลิกล้อเล่นแล้วมาใกล้ๆ สิ”
อียูจองกุมท้องพลางระเบิดหัวเราะออกมา แม้ว่าหล่อนจะเล่นเองก็ตามที
ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเลือกให้อียูจองเป็นผู้ติดตามแคลนลอร์ด เจ้าตัวคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่มันมีอะไรยอดเยี่ยมสำหรับเผ่าที่มีจำนวนคนแค่สิบคนงั้นเหรอ มีเหตุผลเดียวที่ผมเลือกหล่อนมาเป็นผู้ติดตามก็เพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ส่งดาบเวทสคูเรพฟ์คืนให้ไปแล้ว
‘รู้สึกไม่สบายใจเรื่องที่คาดผมอันบริสุทธิ์ยังไงก็ไม่รู้สิ’
ผมมองอียูจองที่ขยับมาอยู่ตรงหน้าผมพลางถามเบาๆ
“วันหลังทำแบบนี้กับสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ด้วยดีไหม อันฮยอนน่าจะชอบเป็นพิเศษเลย อาจจะขอเธอคบก็ได้นะ”
“ล้อเล่นใช่ไหมคะพี่ ถ้าให้คบกับอันฮยอน ฉันคบกับคิมฮันบยอลดีกว่า”
หนึ่งในประโยชน์จากการเป็นผู้ติดตามคือ อียูจองมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก่อนแค่ได้ยินชื่อของคิมฮันบยอล สีหน้าของหล่อนก็จะแข็งกร้าวทันที แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากแล้ว แน่นอนว่าถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าทั้งคู่จะสนิทสนมกัน ยังคงมีกำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นระหว่างพวกเด็กๆ กับคิมฮันบยอลอยู่
“เอาล่ะ มีเรื่องจะรายงานใช่ไหม”
“อืม พี่คะ พี่รู้เรื่องที่องค์กรตรวจสอบของเผ่าอีสตันเทลลอว์กลับมาเมื่อวานนี้แล้วใช่ไหม”
“รู้แล้ว”
“เมื่อกี้พนักงานที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ส่งข่าวมามั้ง ดูเหมือนเขาจะบอกว่าถ้าได้เจอพี่ที่แท่นบูชาก็คงจะดีนะ”
‘แท่นบูชางั้นเหรอ’
จู่ๆ ความทรงจำที่พาแพคฮันกยอลไปที่แท่นบูชาเมื่อวันก่อนก็แวบเข้ามาในหัว
ผมส่ายหน้าเบาๆ องค์กรตรวจสอบของเผ่าอีสตันเทลลอว์กลับมาเมื่อวานนี้ แล้วแท่นบูชาต้องการเจอผม เมื่อโยงสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันก็มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น
“วันนี้มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ฉันค่อยไปแล้วกัน”
“ไม่ๆ”
“…?”
“พวกเขาบอกว่าจะมาเอง ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร พรุ่งนี้ช่วงสายๆ เขาอยากจะมาเยี่ยมที่แคลนเฮาส์ อืม…อะไรต่อนะ เออ ใช่แล้ว จะมาพร้อมแคลนลอร์ดของเผ่าอีสตันเทลลอว์”
‘ว่าไงนะ’
น่าจะเป็นเรื่องของพวกเร่ร่อนที่ได้ยินมาคราวก่อนผมจึงพยักหน้ารับ แต่ก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะเนื้อหาสำคัญในท้ายประโยค สิ่งที่อียูจองพูดหมายความว่า ชาวเมืองผู้มีอำนาจจะมาเยี่ยมเราด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเป็นพวกนักบวชของแท่นบูชาซึ่งมีอำนาจมากที่สุด
คนพวกนั้นไม่ค่อยมาเยี่ยมถึงแคลนเฮาส์เองหรอก นอกจากนี้แคนลอร์ดของเผ่าอีสตันเทลลอว์ ฮันโซยองบอกว่าจะมาด้วยจึงเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่
“ทำยังไงดีคะ ให้พวกเขามาไหมคะ”
“อืม ไปบอกจองฮายอน…ไม่สิ ฉันจะเรียกมาคุยเอง เธอไปตอบรับได้เลย”
ในตอนที่ตอบไปแบบนั้น
หัวใจที่เคยนิ่งสงบของผมก็เริ่มเต้นระรัวอีกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล
* * *