จากคำพูดที่คาดไม่ถึง สีหน้าของพวกเร่ร่อนที่เคร่งขรึมจึงเปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก ไซม่อนพูดพลางเกาศีรษะเล็กน้อยอย่างเขินอาย
“ไม่รู้ว่าคุณจะคิดยังไง แต่นี่คือความจริงครับ ที่นี่มีผู้เล่นหลากหลายทวีปจำนวนไม่น้อยเลยที่เข้ามายังทวีปตะวันตก ที่จริงแล้วมันคือทาสโง่เง่าที่ไร้ประโยชน์จากทวีปตะวันออกและทวีปตะวันตกที่พอใช้ได้ แต่ถ้าเจอผู้เล่นทวีปเหนือ อืม~ อยากจะฆ่าให้ตายจริงๆ แต่เพราะคิดว่าคนพวกนั้นพ่ายแพ้และถูกขับไล่จากทวีปเหนือจึงสามารถเดาระดับของผู้เล่นในทวีปนั้นได้ ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดจริงหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีทาง นายดูเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แต่กลับกลัวการแก้แค้นงั้นเหรอ”
“ถึงตอนแรกจะบอกไปว่าน่าสนุกดี แต่เราตอบรับข้อเสนอเพราะเราก็มีเป้าหมายเหมือนกัน ดังนั้นถึงได้ใช้พวกคุณ อ๊ะ ขอโทษครับ ผมทำให้รู้สึกไม่ดีหรือเปล่า”
“ไม่หรอก ฉันต้องขอบคุณที่นายออกมาหาสิ ใช้ได้ตามใจเลยนะ เพราะพวกเราเองก็เหมือนกัน”
ทั้งสองยิ้มออกมาพร้อมกัน พวกเร่ร่อนที่หัวเราะอยู่ครู่หนึ่งถอนหายใจยาวพลางพูดขึ้น
“เอาเป็นว่าเรื่องราวในวันนี้มีประโยชน์มาก ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องฆ่าแม่ทูนหัว”
“มันก็แค่ความเป็นไปได้ครับ อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แม้ว่ามันจะถูกต้องก็ไม่มีทางทำให้ทวีปเหนือเป็นเหมือนกับทวีปตะวันตก เพราะสิ่งสำคัญที่นำพาฮอลล์เพลนก็คือผู้เล่น”
“มีข้อจำกัดอยู่ ที่จริงแล้วผู้นำคนใหม่อาจจะปรากฏตัวก็ได้ มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เรื่องที่เกิดขึ้นมันลงตัวเกินไปเกินกว่าจะเรียกว่าบังเอิญ”
“ผมเองก็คิดแบบนั้น ความล้มเหลวในการเดินทางไปเทือกเขาเหล็กกล้า, การกลับมาของแม่ทูนหัวที่ปลีกตัวออกจากสังคม, ความตายของแม่ทูนหัวและเรื่องราวในปัจจุบัน แม้ผมจะชอบถือปลีกวิเวกอยู่นิดหน่อย แต่พอลองคิดถึงช่วงที่ทวีปเหนือเจริญรุ่งเรืองที่สุดก็มีหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจ อาจจะเพราะไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
ไซม่อนปัดกางเกงพลางลุกขึ้นจากน้ำพุ เขากางแขนออกกว้างแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“คุณนั่งมานานแล้วคงจะเจ็บก้นนะครับ ลุกขึ้นดีไหม ย้ายที่กันดีกว่า”
“หือ ยังมีเรื่องที่จะพูดอีกเหรอ”
“ฮ่าๆ เยอะแยะเลยครับ ไปที่ปราสาทของผม ผมจะเสิร์ฟชารสเลิศให้คุณ โปรดอย่าปฏิเสธเลยครับ”
“อืม ฉันต้องตอบรับคำเชิญอยู่แล้ว”
พวกเร่ร่อนลุกขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ จากที่นั่งแล้วยืนโซเซบนพื้นอีกครั้ง จากนั้นชายทั้งสองก็เริ่มออกเดิน พวกเร่ร่อนมองแผ่นหลังของไซม่อนและออกเดิน เมื่อเดินไปได้ประมาณสิบก้าว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของไซม่อนที่เดินอยู่ด้านหน้า
“แต่ว่าผมเองก็มีเรื่องที่สงสัยอยู่อย่างหนึ่งนะครับ พวกพเนจร”
“อะไรเหรอ”
“จู่ๆ ผมก็นึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณสังหารแม่ทูนหัว ใช้วิธีแบบไหนเหรอครับ”
“เป็นวิธีที่ไม่ง่ายนักหรอก”
พวกเร่ร่อนฉีกยิ้มพลางตอบเสียงเบา
* * *
“ฉันขอรบกวนอีกครั้งนะคะ แล้วจะรีบติดต่อคุณโดยเร็วที่สุดค่ะ”
“ผมเองก็ขอรบกวนเช่นกันครับ ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ เพราะฉะนั้นค่อยๆ เตรียมตัว แล้วติดต่อผมมาก็ได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นฉันไปก่อนนะคะ ฉันรู้ทางแล้ว ไม่ต้องไปส่งก็ได้ค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ”
อิมฮันนาโค้งตัว ไม่สิ โค้งศีรษะอย่างนอบน้อมและบอกลา ผมมองแผ่นหลังของหล่อนซึ่งค่อยๆ เดินออกไปตามทางเดิน จากนั้นก็ค่อยๆ ปิดประตูแล้วนั่งลงบนโซฟา
โกยอนจูวิ่งมาทันทีและนั่งลงบนตักของผม ผมลังเลว่าจะยกต้นขาหนีดีไหม แต่ก็อดทนเอาไว้เพราะหล่อนสร้างผลงานด้วยการพาตัวอิมฮันนามา
“ซูฮยอน ฉันมีเรื่องสงสัยค่ะ ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะคะ”
“เอ๊ะ”
“อิมฮันนาเป็นนักธนู เมอร์เซนต์นารี่มีคลาสหายากของนักธนู แล้วก็มีอุปกรณ์ยิงธนูเกือบครบชุดด้วยนี่นา”
“…”
ก่อนที่จะตอบคำถาม ผมก็คว้าเอวของโกยอนจูแล้วออกแรงยกขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าให้หล่อนลุกขึ้น แต่หญิงสาวกลับกดตัวลงมาและขยับร่างมาแนบชิดกับผมมากขึ้น ผมรู้สึกถึงสะโพกของโกยอนจูที่บดเบียดอยู่บนต้นขาพลางถอนหายใจเบาๆ
“ถ้าอิมฮันนาเข้ามาก็สามารถให้ยืมได้ หากอุปกรณ์มีคุณสมบัติของสมาชิกเผ่า หากหล่อนออกจากเผ่าในภายหลังก็เรียกคืนได้ แตกต่างกับคลาสหายาก ถ้าสืบทอดหญิงร่างทรงยามอัสดงไปแล้วก็จะไม่สามารถเอาคืนมาได้ครับ”
“อืม~ งั้นเหรอคะ”
“ถึงจะได้รับประกันจากราชินีแห่งเงามืด แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวข้องกัน อันฮยอนหรืออียูจองติดตามผมมาตั้งแต่พิธีเปลี่ยนสภาวะ จองฮายอนและชินซังยงก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนที่แบ่งเป็นกองคาราวาน แต่อิมฮันนาไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้นะแต่ต้องจับตาดูไปก่อน”
“ดูเหมือนว่าซูฮยอนจะเข้าใจผิดนะคะ ฉันไม่ได้ซักไซ้ว่าทำไมคุณถึงไม่บอก ถ้าจู่ๆ ซูฮยอนเปิดเผยเรื่องนั้นออกมา ฉันก็คงจะแอบบอกฮันนาไปแล้ว คุณทำถูกแล้วค่ะ”
จุ๊บ จุ๊บ
โกยอนจูพูดแบบนั้นและเริ่มประทับริมฝีปากบนแก้มของผม ผมแอบบ่นพึมพำเมื่อรู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มที่สัมผัสแก้ม ผมรู้ว่ามันคือการที่แสดงความรักในแบบของหล่อน แต่บางครั้งทั้งโกยอนจูและจองฮายอนก็ทำเหมือนผมเป็นเด็ก
โกยอนจูระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นผมกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ตายแล้ว ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ เห็นแบบเนี่ยฉันก็ฮอตอยู่นะ คุณน่าจะดีใจสิคะที่ได้รับจุมพิตจากราชินีแห่งเงามืดที่ผู้ชายมากมายฝันถึงไม่หยุดหย่อน”
“ผมไม่ค่อยชอบหรอกนะ”
“โกหกน่า”
โกยอนจูหัวเราะคิกคักอีกครั้งพลางคว้าคอของผมไปให้ฝังใบหน้าลงในอ้อมกอดของหล่อนและพูดอย่างชอบใจว่าผมน่ารักมากๆ บ้าง จะแอบมาหาที่ห้องตอนฟ้าสางบ้าง หลังจากเปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นและตรวจสอบคะแนนความแข็งแกร่งแล้ว ผมก็ค่อยๆ หลับตาลงพลางตั้งเป้าไว้ในใจ
สวนของแคลนเฮาส์ที่มองเห็นจากระเบียงนั้นงดงามและเงียบสงบ ดวงอาทิตย์ลอยเหนือท้องฟ้าสาดแสงอันอบอุ่นครอบคลุมทั่วทั้งสวน ผมดื่มด่ำกับความรู้สึกผ่อนคลายที่สัมผัสได้ในขณะนั้นพลางครุ่นคิดอย่างใจเย็น
หลังจากการซ่อมแซมและการจัดการแคลนเฮาส์เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประโยชน์ของการเร่งในที่ประชุมทำให้ท่าทีของสมาชิกเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ มีการแย่งกันร้องขอสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายสัปดาห์นี้ก็ใช้จ่ายไปมากกว่า เจ็ดพันโกลด์
เรื่องของอิมฮันนาและดอกไม้กลางคืนก็สามารถจัดการได้อย่างราบรื่น ในที่สุดหล่อนก็ลาออกจากตำแหน่งมาดามแห่งเลิฟเฮาส์และนำดอกไม้กลางคืนมาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมใกล้เคียง
มีดอกไม้กลางคืนที่ได้รับเลือกเป็นพนักงานทั้งหมดสิบสองคน เหตุผลที่ผมบอกจะเลือกพนักงานด้วยตัวเองก็เพราะผมคิดจะตรวจสอบข้อมูลผู้เล่นด้วยดวงตาที่สาม
ในรอบแรกคัดกรองจากอุปนิสัยก่อน ในรอบที่สองผมคัดเลือกจากค่าความสามารถและนามแท้ เหล่าดอกไม้กลางคืนที่ไม่ถูกเลือกมีสีหน้าผิดหวัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของผม และผมคิดว่าจะรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพราะมีแผนที่โกยอนจูวางไว้
‘วันพรุ่งนี้อิมฮันนากับพวกพนักงานบอกว่าจะมา’
“นี่ เธออายุเท่าไหร่น่ะ!”
“จะ จู่ๆ ก็ตะโกนทำไมครับ”
“ก็เธออายุสิบแปดนี่นา ส่วนฉันอายุยี่สิบแล้วนะ ฉันแก่กว่า เพราะฉะนั้นคำพูดฉันน่ะถูกต้องแล้ว”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะครับ”
‘หืม?’
ตอนนั้นเองในขณะที่กำลังยืนรับแดดอยู่บนระเบียงก็มีเสียงโวยวายดังมาจากด้านล่าง เมื่อผมก้มมองด้วยความสงสัยและกระตุ้นสายตากับโสตประสาทก็ได้เห็นภาพน่าแปลกใจ
ที่สวนใต้ระเบียงมีคนสองคนกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งตัว คนก็คืออันซลและแพคฮันกยอล สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็คือลูกยูนิคอร์น
เพราะอากาศดีลูกยูนิคอร์นจึงนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มันอ้าปากกว้างและเลียปาก ดูท่าทางมีความสุข
ในทางกลับกัน อันซลแล้วแพคฮันกยอลต่างก็เผชิญหน้ากัน อันซลยืดหลังตรงพลางใช้สองมือเท้าเอวอย่างโกรธเคือง แพคฮันกยอลยืนงงงันแต่สีหน้าก็แสดงถึงความไม่พอใจ
“เจ้านี้ไม่ได้ชื่อกยูกยู ชื่อยูนิต่างหาก! ยูนิ!”
“ยะ ยังไม่ได้ตั้งชื่อสักหน่อยนี่ครับ ผมจะเรียกด้วยชื่อที่ผมชอบ”
“กะ ก็ได้ แบบนั้นก็ได้ แต่ทำไมเธอต้องหัวเราะเยาะตอนที่ฉันเรียกว่ายูนิด้วย”
“ผมไม่ได้หัวเราะเยาะสักหน่อย! ที่จริงผมคิดว่ามันแปลก…พี่ซูฮยอนก็บอกว่าชื่อกยูกยูดีกว่า”
อันซลลดมือที่เท้าเอวไว้ลงด้วยสีหน้าว่างเปล่ากับคำพูดที่น่าตกใจ ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ เธอกลืนน้ำลาย น้ำตาเอ่อคลอ จากนั้นก็กรีดร้อง
“ไม่มีทาง ไม่จริง! ยูนิดีกว่า!”
“ผะ ผมคิดว่ากยูกยูดีกว่า”
“ไม่! ยูนิ!”
“กยูกยู!”
“…”
“แง้!”
ในที่สุดอันซลซึ่งพ่ายแพ้ในสงครามน้ำลายกับแพคฮันกยอลก็ระเบิดน้ำตาแล้วนั่งลง
ผมส่ายหน้าไปมา ไม่รู้ว่าทำไมหมู่นี้เหมือนจะมีเรื่องให้เหนื่อยใจเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
* * *
พรึ่บ!
“โอ้!”
พรึ่บ! พรึ่บ!
“โอ้!”
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
“โอ้…!”
แคลนเฮาส์ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่, ห้องพักส่วนตัวของวิเวียน
วิเวียนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง หล่อนส่งเสียงออกมาพร้อมเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตา หล่อนพลิกหน้าหนังสือเล่มหนาไปทีละหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ส่วนที่สำคัญถูกขีดเส้นใต้และพับมุมเอาไว้
ถึงแม้จะดึกมากแล้ว แต่การอ่านหนังสือท่ามกลางไลท์สโตนที่เปิดเอาไว้นั้น เป็นความบ้าคลั่งแบบที่ใครเห็นก็ต้องพูดว่า ‘ช่างเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่หลงใหลการวิจัยเสียเหลือเกิน’
ในตอนนั้นเองวิเวียนก็ค้นพบอะไรบางอย่าง หล่อนเริ่มขยับปากกาขนนกเขียนเพิ่มลงไปในบันทึกข้างกายซึ่งมีตัวหนังสืออัดแน่นอยู่แล้วด้วยดวงตาเป็นประกาย
วิเวียนที่ค่อยๆ ท่องบางอย่างซึ่งฟังดูอันตรายออกมา หลังจากวางปากกาขนนก หญิงสาวก็สอดบันทึกลงในหนังสืออย่างทะนุถนอม จากนั้นก็ปิดหนังสือเสียงดังและเงยหน้ามองเพดานด้วยสายตาที่พร่ามัว
วิเวียนซึ่งจับจ้องเพดานอยู่ครู่หนึ่งบ่นพึมพำเสียงเบา
“น่าอิจฉาจัง”
มีอะไรน่าอิจฉางั้นเหรอ
หลังจากนั้นวิเวียนก็กระวีกระวาดลุกขึ้นพลิกหมอนที่ตนเองใช้หนุนไปพิงไว้กับกำแพง ด้านหลังของหมอนเผยให้เห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งที่ถูกวาดเอาไว้ หญิงสาวคุกเข่าลงด้านหน้า จากนั้นก็ขยับคอเล็กน้อยและพูดขึ้น
“นะ นายท่านซูฮยอน…”
วิเวียนพูดตะกุกตะกักคล้ายว่ายังคงอึดอัดใจกับอะไรบางอย่าง แต่แววตามุ่งมั่นราวกับตัดสินใจแล้ว หล่อนจึงพูดต่อ ร่างกายบิดม้วนเป็นพัลวัน
“นะ นายท่านซูฮยอน…กรุณาลงโทษวิเวียน…ให้เต็มที่…กรี๊ด!”
หล่อนพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ วิเวียนกำมือทั้งสองอย่างแรงแล้วกรีดร้องเสียงดัง แล้วเริ่มกลิ้งไปมาบนเตียง
“พูดแล้ว! พูดไปแล้ว! กรี๊ด! ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยแล้ว!”
หญิงสาวส่งเสียงกรี๊ดพร้อมกับถูศีรษะลงบนหมอนราวกับคนเสียสติและเตะผ้าห่มอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นวิเวียนก็มุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว ผ้าห่มเริ่มนูนขึ้นมาพร้อมเสียงดังพรึ่บพรั่บ ดูท่าว่าหล่อนจะเตะผ้าห่มเต็มแรงและโวยวายอยู่ในนั้น
อาการคลุ้มคลั่งดำเนินต่อไปอีกประมาณสามนาที เมื่อสามนาทีนั้นผ่านไป ผ้าห่มที่สั่นไม่หยุดก็สงบลงเพราะเจ้าตัวหมดแรง ไม่นานนักวิเวียนก็โผล่ศีรษะออกมาจากใต้ผ้าห่มและหอบหายใจ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและรอยยิ้ม
“ฮิๆ”
เสียงหัวเราะแปลกประหลาดเต็มไปด้วยกลิ่นของความอันตราย
ความอันตรายของวิเวียนค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมาในสถานที่ที่ซูฮยอนไม่รู้เรื่องรู้ราว
* * *