Memorizeเล่ม 15 2

เล่ม 15 ตอนที่ 2

ผมดึงแก้มของอียูจองที่รีบร้อนวิ่งมาหาพลางก้าวขึ้นบันไดไปทันที และเมื่อเข้าไปในห้องทำงานชั้นสี่ก็เห็นหญิงสาวสองคนกำลังรอคอยผมอยู่เงียบๆ 

 

 

อิมฮันนาถือถ้วยชาด้วยมือข้างเดียวและยกขึ้นจ่อปาก ท่าทางดูสุภาพและมีความมั่นใจเผยความสง่างามอันสูงส่งที่ไม่อาจซ่อนเร้น ผมไม่รู้ว่าการเปรียบเปรยนั้นถูกต้องไหม แต่ถ้าหล่อนสวมใส่ชุดกระโปรงฟูฟ่องก็คงจะดูเหมือนบุตรสาวสูงศักดิ์จากตระกูลชั้นสูง 

 

 

“ผมได้ฟังเรื่องราวมาแล้วครับ รวมทั้งในส่วนของหน่วยกู้ภัยเบื้องต้นที่หุบเขามายา” 

 

 

“ค่ะ…” 

 

 

“น่าจะบอกกันล่วงหน้านะครับ ผมจะได้ไปให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย” 

 

 

“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่อยากให้เป็นภาระมากถึงขนาดที่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ต้องออกไปเสี่ยงชีวิต พี่ยอนจูบอกฉันว่าคุณทำดีที่สุดแล้วค่ะ” 

 

 

เมื่อนึกถึงผู้ที่ตายจากไปในการกู้ภัยครั้งนี้ แววตาของอิมฮันนาก็ฉายแววโศกเศร้า ผมพยักหน้าเล็กน้อยและจิบชาอึกหนึ่ง 

 

 

ความเงียบเข้าปกคลุม อิมฮันนาใช้เวลาไม่นานนักในการปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หลังจากมองหน้าหล่อนครู่หนึ่งผมก็พูดเบาๆ 

 

 

“ผมได้ยินมาว่าคุณคุยกับโกยอนจูไปบ้างแล้ว” 

 

 

“ใช่ค่ะ หากลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ยินดีที่จะยอมรับ ถึงจะละอายใจ ฉันก็อยากขอร้องคุณค่ะ” 

 

 

“ผมเองก็คิดแบบนั้นจึงได้เตรียมตำแหน่งนี้ขึ้นมา เพียงแต่ผมมีคำถามสองสามข้อ ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” 

 

 

“แน่นอนค่ะ” 

 

 

สายตาของอิมฮันนาชำเลืองไปด้านข้างพลางพยักหน้าอย่างไม่สบายใจ โกยอนจูยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างของผม บางทีหล่อนอาจจะไม่คุ้นเคยกับท่าทางแบบนั้น 

 

 

“ก่อนหน้านี้ผมได้ยินมาว่ามีผู้เล่นจากเผ่าอื่นยื่นข้อเสนอให้คุณอิมฮันนานี่ครับ ผมอยากทราบเหตุผลที่คุณปฏิเสธพวกเขาและเลือกเมอร์เซนต์นารี่ เพราะดอกไม้กลางคืนเหรอครับ” 

 

 

“แน่นอนว่านั่นเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดค่ะ มีคนยื่นข้อเสนอให้ฉันสองที่ แต่พวกเขาทั้งหมดได้รับความเสียหายจากหน่วยกู้ภัยเบื้องต้นพอสมควรจึงไม่สามารถยอมรับคำขอร้องของฉันได้ค่ะ” 

 

 

“มีเหตุผลอื่นอีกไหมครับ” 

 

 

“แล้วก็… ฉันเคยใช้ชีวิตกับสมาชิกเมอร์เซนต์นารี่ในเลิฟเฮาส์และสนิทสนมกันมาก ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศเหมือนกับครอบครัวต่างจากเผ่าอื่น ดังนั้นฉันจึงประทับใจมากขึ้นเรื่อยๆ และฉันก็อยากรู้เกี่ยวกับเผ่าที่พี่ยอนจูเข้าร่วมด้วยค่ะ” 

 

 

 เป็นคำตอบง่ายๆ แต่ก็จริงใจ ถึงเท่านี้จะเพียงพอแล้ว แต่ผมก็ยังคิดอยู่ในใจว่าควรจะถามคำถามนี้หรือไม่ 

 

 

‘ยังไงก็ถามไปดีกว่า’ 

 

 

เพราะมันเป็นเรื่องที่อ่อนไหวเล็กน้อย ผมจึงรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ก็อยากจะถามให้ชัดเจน 

 

 

“ผมยังมีเรื่องที่สงสัยอีกอย่าง อาจจะละลาบละล้วงไปบ้างนะครับ” 

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ถามมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” 

 

 

“ถ้างั้น คุณอิมฮันนาเป็นนักธนูที่มีความสามารถมากพอที่จะก้าวหน้าไปคนเดียวได้ แต่ผมสงสัยว่าทำไมถึงยังยึดติดอยู่กับพวกดอกไม้กลางคืนขนาดนั้น” 

 

 

“…” 

 

 

อิมฮันนาไม่ได้ตอบคำถามทันทีเหมือนก่อนหน้านี้ เพียงแต่ค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในตอนที่กำลังคิดว่าผมถามคำถามที่ไม่ดีออกไปหรือเปล่านะ ก็ได้ยินเสียงวางถ้วยชาลง 

 

 

“เรื่องมันยาวนิดหน่อยนะคะ” 

 

 

“ผมจะตั้งใจฟังครับ” 

 

 

เมื่อได้รับคำตอบจากผม แววตาของอิมฮันนาก็หม่นแสงลง จากนั้นหล่อนก็ค่อยๆ เริ่มเล่าเรื่องราว 

 

 

เจ้าของเลิฟเฮาส์เป็นผู้เล่นปีที่สี่ซึ่งมีชื่อเสียงมากเมื่อไม่นานมานี้ หากรวมกันทั้งงานใหญ่งานเล็กสามารถประเมินได้คร่าวๆ ว่าเขาพบโบราณสถานแต่ละแห่งเกือบจะทุกปี 

 

 

อิมฮันนาได้เข้าร่วมกองคาราวานที่นำโดยเจ้าบ้านโดยบังเอิญ หลังจากได้รับการยอมรับในเรื่องความสามารถแล้วหล่อนก็ได้รับตำแหน่ง 

 

 

แต่แล้วเมื่อหนึ่งปีก่อน กองคาราวานที่นำโดยเจ้าบ้านนั้นประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในระหว่างเดินทางและผลที่ตามมาก็คือได้รับความเสียหายอย่างมาก ทั้งเจ้าบ้านและอิมฮันนารวมถึงอีกหลายคนเกือบต้องตาย มันเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถฟื้นตัวพอที่จะดำเนินกองคาราวานต่อไปได้ 

 

 

ตอนนั้นอิมฮันนาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจึงตัดสินใจหยุดทำงานและพักผ่อน ส่วนเจ้าบ้านก็รวบรวมคนที่เหลือตอบรับการรวมกิจการจากเผ่าอื่น 

 

 

และนี่คือเรื่องราวของอิมฮันนา 

 

 

“ฉันสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ทีละนิด แต่ฉันก็กลัวนิดหน่อยเพราะทำอะไรไม่ได้อยู่หลายเดือนเลยค่ะ ตอนที่เข้ามาฉันรับหน้าที่เป็นมาดามของเลิฟเฮาส์ พี่ชายมีนิสัยสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอ แทนที่จะลากฉันไปในทันที เขาก็ค่อยๆ พยายามให้ฉันออกมาสู่ฮอลล์เพลนอีกครั้ง” 

 

 

“งั้นหรอครับ ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นชาย เพราะคุณเรียกว่าพี่ชาย ผมคาดไม่ถึงเลยพอนึกถึงเลิฟเฮาส์” 

 

 

“ถึงจะเป็นแบบนั้น…แต่พี่เขาก็มีแฟนนะคะ พี่สาวคนนั้นน่าจะเคยทำงานที่คล้ายกันในยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะมีจิตใจที่ดีมาก แต่เมื่อคำพูดของคนนั้นคนนี้ลอยเข้าหูก็น่าสงสารพวกดอกไม้กลางคืน เขาขอร้องให้ฉันดูแลพวกเธอให้ดี นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะออกเดินทางไปกับหน่วยกู้ภัยเบื้องต้น ตอนนี้ทั้งสองคนไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ฉันก็อยากจะดูแลทุกคนให้เหมือนพวกเขาดูแลฉันมาโดยตลอดและอยากทำให้มันสำเร็จค่ะ” 

 

 

“อืม…” 

 

 

ผมครางรับในลำคอ ในขณะที่ฟังอิมฮันนาพูด ผมก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องราวนั้น แน่นอนว่ามันเป็นแค่ความรู้สึก และถ้ายังขุดค้นต่อไปมันก็คงจะเสียมารยาท เมื่อมาถึงจุดนี้ผมตัดสินใจยุติเรื่องราว 

 

 

“เข้าใจแล้วครับ ก็ไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้นไหม แต่ผมต้องขอโทษก่อนเลย เมอร์เซนต์นารี่ไม่สามารถจ้างดอกไม้กลางคืนได้ทั้งหมดหรอกนะครับ” 

 

 

“ค่ะ ฉันเข้าใจ แต่คนที่เหลือพี่ยอนจูบอกว่า…” 

 

 

“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องนี้คงต้องพูดคุยกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน จะยกให้เป็นหน้าที่ของโกยอนจูครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้มีดอกไม้กลางคืนกี่คนที่ต้องดูแลครับ” 

 

 

“ยี่สิบห้าคนค่ะ ในนั้นมียี่สิบคนที่หวังว่าจะได้รับงาน” 

 

 

นั่นหมายความว่าห้าคนที่เหลือก็ยังคงต้องเป็นดอกไม้กลางคืนต่อไป หญิงสาวที่งดงามในบรรดาดอกไม้กลางคืนบางครั้งก็สร้างกำไรได้ดีทีเดียว ดีเสียยิ่งกว่าการต่อสู้ของพวกผู้เล่นเสียอีก แต่อย่างไรก็ตามหากลดจำนวนลงได้คงดีไม่น้อย 

 

 

“สิบคนครับ ผมจะรับมาครึ่งหนึ่งก่อน อย่างมากก็สิบสองคน ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” 

 

 

“ถ้าไม่รังเกียจฉันก็คิดว่าจะแบ่งเงินที่ฉันรวบรวมเอาไว้จนถึงตอนนี้ให้ค่ะ ยิ่งจำนวนลดลง เงินที่มอบให้พวกเด็กๆ ก็จะมากขึ้น ฉันว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ” 

 

 

“รวดเร็วดีครับ ผมตกลง ยินดีที่เข้าร่วมกับเมอร์เซนต์นารี่นะครับ” 

 

 

“ขอบคุณที่รับฟังคำขอร้องน่าไม่อายของฉันนะคะ ต่อไปฉันจะตั้งใจทำงาน ฝากตัวด้วยค่ะ” 

 

 

ผมและอิมฮันนาจับมือกันเบาๆ มีเสียงปรบมือของโกยอนจูจากด้านข้าง 

 

 

ในขณะที่ปล่อยมือซึ่งจับกันไว้ อิมฮันนาก็ถามอย่างระมัดระวังเมื่อนึกขึ้นได้ 

 

 

“ถ้างั้นฉันต้องพาพวกเด็กๆ ที่จะเข้ามาทำงานมาให้คุณรู้จักไหมคะ” 

 

 

“ไม่ต้องครับ” 

 

 

ผมตัดบท ผมมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย แต่มันก็เป็นแค่ความคิด แผนการรักษาความปลอดภัยของแคลนเฮาส์เป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ของสิ่งที่อยู่ในหัวของผมตอนนี้ เพราะความปลอดภัยไม่ได้เกิดขึ้นเอง เมื่อได้สติก็ต้องดูแลตัวเอง ถึงจะสามารถไว้วางใจได้ก็ตาม ผมคิดว่าขั้นตอนแรกคือการนำพาผู้คนเข้ามาด้วยตัวผมเอง 

 

 

หลังจากดื่มชาก้นถ้วยอึกสุดท้ายผมก็พูดอย่างชัดเจน 

 

 

“ผมจะเป็นคนเลือกผู้เล่นที่จะเข้ามาทำงานด้วยตัวเอง ผมยังไม่ได้บอกคุณ แต่ว่านั่นคือเงื่อนไขข้อสุดท้ายครับ” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

พวกเร่ร่อนจ้องมองไซม่อนด้วยสีหน้าแปลกใจ ที่จริงแล้วสิ่งที่ได้ยินตอนที่พบกันครั้งที่สองมีแค่ ‘ถ้าสังหารแม่ทูนหัวได้ก็จะลองคิดดู’ 

 

 

พวกเร่ร่อนเริ่มค่อยๆ รู้สึกกังวลมากขึ้น ถ้ามองเพียงลักษณะภายนอกของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาดูเหมือนนักวิชาการขี้โรค ทว่าภายในของเขาคือหนึ่งในบุคคลสำคัญของกลุ่มอำนาจในแดนผู้ร้ายทวีปตะวันตก ในหมู่พวกเขาคนที่ถูกขนานนามว่าโหดเ**้ยมที่สุดก็คือ มือสังหารไซม่อน ซึ่งเขาก็คือเด็กหนุ่มที่เห็นอยู่ตรงนี้ 

 

 

“ผู้พิทักษ์ของแต่ละทวีปเหรอ ฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรอก” 

 

 

“ดูเหมือนว่าจะได้ยินมาแบบนั้นนะครับ ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ปกป้องทวีปหรือไม่ก็เป็นผู้นำของทวีปครับ” 

 

 

“เราเรียกว่าท่านผู้นำ…” 

 

 

“ท่านผู้นำเหรอ ก็นะ จะคิดแบบนั้นก็ได้ครับ” 

 

 

ไซม่อนพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็เริ่มควานหาอะไรสักอย่างในน้ำพุอีกครั้ง ตอนนี้พวกเร่ร่อนรู้ตัวตนที่แท้จริงของน้ำพุที่เด็กหนุ่มใช้มือลงไปควานหาของแล้ว 

 

 

ไซม่อนมีศัตรูมากมายสมกับที่เป็นคนสำคัญของทวีปตะวันตก เขามีงานอดิเรกที่น่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ การรวบรวมซากศพจากบรรดาศัตรูของเขาเอาไว้ในน้ำพุเพื่อความสนุกของตนเอง 

 

 

เป็นไปตามคาด คราวนี้ไซม่อนหยิบศีรษะของคนอื่นขึ้นมาพลางยิ้มกว้าง เวลาคงผ่านไปนานมากแล้วหลังจากถูกโยนลงไปในบ่อน้ำพุ ศีรษะที่เขายกขึ้นมาจึงเป็นหัวกะโหลก ดูจากรูปร่างก็สามารถเดาได้ว่าเป็นผู้หญิง 

 

 

“กะโหลกอันนี้เป็นของผู้นำและผู้พิทักษ์ทวีปตะวันตก ชื่อแสนไพเราะว่า ลอว์เรนซ์” 

 

 

“กะโหลกลอว์เรนซ์มันเกี่ยวอะไรกับการสังหารแม่ทูนหัวด้วยล่ะ ฉันไม่เข้าใจ” 

 

 

“มีทูตสวรรค์ช่วยเหลือเราซึ่งเป็นผู้เล่นพเนจรไหมล่ะครับ” 

 

 

“เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เคยพบเคยเจอ” 

 

 

พวกเร่ร่อนตอบทันที หากจะไปยังห้องอัญเชิญที่ทูตสวรรค์อยู่จะต้องผ่านประตูของแท่นบูชาในเมืองโดยไม่มีข้อแม้ อาจจะไม่รู้ว่าเป็นพวกเร่ร่อนที่ปลอมตัวเป็นผู้เล่น แต่พวกเร่ร่อนถือเคียวคือคนที่ถูกออกหมายจับอย่างเป็นทางการแล้วในตอนนี้ แค่เข้าไปใกล้เมืองก็ถูกฆ่าได้ทันที การเข้าไปแท่นบูชาเพื่อพบผู้ทูตสวรรค์นั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน 

 

 

“ถ้าพูดง่ายๆ อาจจะคิดว่าเป็นบทบาทที่ตรงกันข้ามของพวกพเนจรก็ได้ บ่งบอกว่าผู้นำมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฑูตสวรรค์มากกว่าผู้เล่นทั่วไป และให้การช่วยเหลือทั้งบุคคลและกลุ่มขนาดใหญ่อย่างลับๆ” 

 

 

“หืม ฉันเองก็อยู่มานานพอสมควรแล้ว แต่เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก” 

 

 

“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นครับ เพราะตัวตนของผู้นำถือเป็นข้อมูลลับเฉพาะ” 

 

 

“ฟังดูน่าสนใจนะ ฉันขอฟังรายละเอียดมากกว่านี้หน่อยได้ไหม ไม่สิ ขอแบบละเอียดที่สุด” 

 

 

พวกเร่ร่อนนั่งลงและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจากทีแรก ถึงแม้ว่าที่พื้นจะเปียกชุ่มไปด้วยเลือดแต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ ไซม่อนพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าราวกับจะถามว่าทำไมจะไม่ได้ล่ะ และเริ่มเล่าอย่างใจเย็น 

 

 

เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที ในช่วงเวลานั้นคนหนึ่งพูดแล้วอีกคนหนึ่งฟังเงียบๆ ในไม่ช้าไซม่อนก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างจบ เมื่อถอนหายใจเบาๆ พวกเร่ร่อนที่นั่งฟังโดยไม่ขัดจังหวะเลยสักครั้งก็พูดขึ้นบ้าง 

 

 

“มันคลุมเครือมากเลยนะ ไม่ได้สบายใจขึ้นเลย” 

 

 

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมเองก็รู้แค่คร่าวๆ เท่านั้น เพราะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังละเอียดนักหรอก เรื่องนี้ทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่ก็ไม่ใช่ความตั้งใจเหมือนกัน ผมยอมรับตามตรงว่านี่เป็นการคาดเดาแปดสิบแปดเปอร์เซ็นต์” 

 

 

“เปอร์เซ็นต์ที่ไร้ประโยชน์นั่นมันอะไรกันเนี่ย ถ้างั้นก็หมายความว่าเป็นเรื่องจริงสิบสองเปอร์เซ็นต์…แล้วนายรู้ได้ยังไงล่ะ ถ้าเป็นไปตามที่นายพูดก็น่าจะเป็นข้อมูลที่ต้องเป็นความลับสิ”  

 

 

“ผมเองก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากคนๆ นี้ครั้งหนึ่ง เมื่อโอกาสมาถึงผมจึงได้เบาะแส อ๊ะ ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปมันจะยุ่งยาก ถ้าผู้นำคนต่อไปปรากฏตัวขึ้นและรู้ว่าผมกำลังจับตามองเขาอยู่ก็อาจจะหลบซ่อนตัวก็ได้ แบบนั้นมันคงจะน่ารำคาญนิดหน่อย” 

 

 

พวกเร่ร่อนมองไซม่อนที่หยิบหัวกะโหลกขึ้นมาแล้วรู้สึกขนลุก ถึงแม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่คิดว่าไซม่อนจะเป็นคนฆ่าผู้พิทักษ์ที่ชื่อลอว์เรนซ์ 

 

 

ไซม่อนมองพวกเร่ร่อนที่พยักหน้าเจื่อนๆ จากนั้นรอยยิ้มที่เคยมีก็หายไป 

 

 

“เป็นผู้เล่นที่น่าสงสัยจริงๆ อย่างที่พวกพเนจรบอก เพราะคนนั้นจะต้องชักนำสู่ฮอลล์เพลนที่ไม่รู้จะวิ่งไปในทิศทางไหน และยังครอบครอง ‘ข้อมูลผู้เล่น’ ด้วย สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือ เพราะเป็นผู้นำ มันจึงไม่ใช่การทำไปโดยไร้จุดประสงค์ การมอบสิทธิพิเศษแก่ฑูตสวรรค์ในฐานะผู้เล่น หมายความว่ามีสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขา” 

 

 

“จุดประสงค์งั้นเหรอ…” 

 

 

“ลองคิดดูดีๆ สิครับ พวกทูตสวรรค์จะพาผู้คนมาที่นี่ใช่ไหมครับ ผมคิดว่ามันต้องมีจุดประสงค์บางอย่างจึงนำพามาที่นี่และให้ผู้นำออกหน้าโดยตรงเพื่อจุดประสงค์นั้น” 

 

 

“เป็นการดำเนินการลับๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เราไม่รู้ของพวกทูตสวรรค์สินะ ก็ดี พอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว ถ้างั้นไซม่อนก็คงคิดว่าแม่ทูนหัวคือผู้ที่ชี้นำทวีปเหนือสินะ” 

 

 

แปะ แปะ 

 

 

ไซม่อนปรบมือเบาๆ สองสามครั้งเป็นคำตอบ พวกเร่ร่อนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเยือกเย็นและพูดขึ้นด้วยความสงสัย 

 

 

“แต่ก็อาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้นี่ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าแม่ทูนหัวใช่ไหม ฉันถามเพราะว่าอยากรู้เฉยๆ นะ” 

 

 

“ผมเองก็ยืนยันไม่ได้หรอกครับว่ามีความเป็นไปได้ไหม ดังนั้นจึงเรียกว่าการรับประกันยังไงละครับแล้วก็จำเป็นต้องฆ่า” 

 

 

“เพื่อทำลายทวีปเหนืองั้นเหรอ” 

 

 

“ก็ประมาณนั้นครับ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก ทำไปเพื่อซื้อเวลาที่แน่นอน เพราะผมกลัวผู้เล่นทวีปเหนือ” 

Memorize

Memorize

Score 10
Status: Completed

เล่มที่ 1-48  อ่านนิยาย

(จบ)

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ชายหนุ่มที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดท่ามกลางความสับสน, ‘คิมซูฮยอน’

เขาเลือกที่จะย้อนกลับไปในอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้วเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตอันแสนเจ็บปวด…

แล้วเขาจะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จหรือไม่!

Options

not work with dark mode
Reset