พัคดายอนพูดรัวออกมาไม่หยุดราวกับปืนกล แล้วจึงส่งบันทึกไม่กี่หน้าให้ผมด้วยการเคลื่อนไหวมืออันสง่างาม ผมลองอ่านมันช้าๆ แล้วเริ่มคำนวณเรื่องนู้นเรื่องนี้ในใจ
พูดตามตรงว่ามันก็ไม่ใช่ข้อเสนอที่เลวร้าย ไม่สิ พอมองดูบรรทัดแรก กลับรู้สึกว่ามันเกินไปอยู่นิดหน่อย เห็นได้ว่าเพียงแค่ร่ายเวทอลาร์มไว้ตรงรั้วกำแพงรอบแคลนเฮาส์ และประทับวงแหวนเวทที่คอยควบคุมการแทรกแซงทางพลังเวทจากภายนอกทั่วทั้งแคลนเฮาส์ ก็พอที่จะได้ราคาสามพันโกลด์
นอกจากนั้น ถ้าคำนึงถึงเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงที่สุดหรือไม่ก็เวทมนตร์ที่เป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตจริงหลากหลายอย่างที่ถูกจดไว้จนยาวเป็นหางว่าวนั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดสี่พันโกลด์แล้ว
‘อืม…’
เหมือนจะรู้คร่าวๆ แล้วว่ามีแผนการอะไรในใจ พูดง่ายๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องพูดเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้วุ่นวายก็คือ อีสตันเทลลอว์กำลังแสดงให้เห็นว่ามีความสนใจในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ บางทีถ้าเผ่าตัวแทนของเมืองอื่นๆ เป็นแบบนี้ก็อาจจะต้องลองคิดดูสักครั้ง แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นอีสตันเทลหรือเป็นเผ่าฟ้าหลังฝนที่มีพี่เป็นแคลนลอร์ดหลังจากนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธเลย
ยิ่งกว่านั้น เพราะว่าตั้งถิ่นฐานในโมนิก้า ถ้าโอ้อวดความสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อกับอีสตันเทลลอว์ พวกที่ทำตัวไร้สาระก็น่าจะลดน้อยลงพอสมควรเหมือนกัน
“หรือว่า…จะให้เป็นโกลด์ดีไหมคะ”
น้ำเสียงระมัดระวังมากกว่าเมื่อครู่นี้เล็กน้อย ผมอ่านบันทึกมากขึ้นอีกหน่อยแล้วจึงตอบพร้อมกับยกยิ้มบางๆ
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ คุณบอกว่าจะดูแลส่วนที่น่าเบื่อหน่ายทั้งหมดเลย แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะครับ”
“โฮะๆ ไม่หรอกค่ะ ถ้างั้นก็ดีลไหม อ๊ะ ขอโทษค่ะ คุณจะยอมรับข้อเสนอไหมคะ”
“แน่นอนครับ ผมจะรับความมีน้ำใจของคุณด้วยความซาบซึ้งเลยครับ”
พอส่งบันทึกคืนให้อีกครั้ง พัคดายอนจึงยิ้มอย่างทะเล้นพลางทำสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจราวกับบอกว่าเห็นไหมล่ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงเหมือนกับว่าเรื่องเกี่ยวกับการออกเดินทางสำรวจก็ได้จบไปอย่างคร่าวๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลสำเร็จที่ได้มาจากที่นั่นก็มากมายมหาศาล ส่วนค่าตอบแทนที่ติดมาเพราะการเรียกร้องก็อยู่ในระดับที่ไม่อาจดูแคลนได้เช่นกัน
ฮันโซยองฟังบทสนทนาเงียบๆ แล้วคงรับรู้ว่าการพูดคุยผ่อนคลายลงแล้ว เธอจึงพูดพรวดขึ้นมา
“เป็นการเลือกที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ ฉันจะดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่กับสมาชิกเผ่าถูกใจที่สุดค่ะ”
“ถ้ามีอะไรไม่ชอบใจก็บอกฉันได้เลยนะ ลุงคนนั้นกับฉันรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นถ้าฉันบอกอะไรก็จะไม่บ่นแล้วเปลี่ยนให้ทันทีเลยละ…ค่ะ”
ยอนฮเยริมพูดอย่างถือตัวในท่านั่งไขว่ห้าง แต่แล้วพอฮันโซยองจ้องมองไป เธอจึงรีบเปลี่ยนท่าทางทันที
อยู่ที่นี่ต่อแล้วพูดคุยเรื่องสนุกๆ กันอีกสักหน่อยก็น่าจะดี แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะลุกออกจากที่ไปตอนนี้ เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะจัดส่งองค์กรตรวจสอบไป เพราะฉะนั้นอีสตันเทลลอว์เองก็น่าจะยุ่ง ส่วนผมเองก็ยังเหลือธุระอยู่อีกสองสามอย่างด้วย ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะดันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ
“ทราบแล้วครับ ถ้างั้นผมจะกลับไปตอนนี้แล้วจะส่งพวกอุปกรณ์ทันทีครับ”
“ถ้าทำแบบนั้นก็จะขอบคุณมากๆ เลยค่ะ”
ฮันโซยองก็ลุกขึ้นตามผมแล้วเริ่มเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ จากนั้นเธอก็หยุดลงตรงหน้าผมพลางค่อยๆ ยื่นมือออกมา ผมมองมือของเธอครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปจับมือกับเธออย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น ผมจึงรับรู้ได้ถึงมือของเธอที่ถึงแม้จะเย็นแต่ก็อบอุ่นโดยไม่รู้สาเหตุ
“จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะคะ ฉันคาดหวังอะไรหลายๆ อย่างกับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่อยู่ค่ะ”
พูดออกมาอย่างชัดเจนทีละคำ แต่เพียงคำพูดแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเข้าใจความตั้งใจของฮันโซยองอย่างถ่องแท้แล้ว หลังจากที่ผละมือออกจากกันช้าๆ ผมก็เพ่งดูดวงตาของเธอ ดวงตาสีเขม่าควันของฮันโซยองที่จ้องมองผมสงบนิ่งอย่างล้ำลึก
เวลาหมุนเวียนผ่านไป วันต่อไปก็จะเป็นวันที่การก่อสร้างแคลนเฮาส์เสร็จสิ้นสมบูรณ์โดยที่พวกเราไม่ทันตั้งตัว ผมจัดเตรียมสัมภาระทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ใช้เวลาอยู่ในเลิฟเฮาส์ เพราะฉะนั้นผมกับสมาชิกเผ่าจึงรวมตัวกันกินอาหารว่างที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าพวกดอกไม้กลางคืนออกไปทำงานกันหมด เพราะอย่างนั้นมาดามอิมจึงแอบมาร่วมวงด้วยเช่นกัน
“หึๆ ถ้าพรุ่งนี้มาถึง ในที่สุดก็จะเสร็จสมบูรณ์สินะ รออย่างใจจดใจจ่อแล้วนะ ใจจดใจจ่อแล้ว”
“ฮึก เอาจริงๆ ก็อยากจะชอปปิ้งในเมืองดูสักหน่อยนะ”
“ไม่ต้องเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าน่า แล้วเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นแบบคุณภาพดีที่สุด ส่วนราคาก็ถูกแสนถูกเลยนะ ทำมาเป็นพูดว่าชอปปิ้ง ที่ไหนได้ก็คือใช้เงินอย่างเปล่าประโยชน์ไปทั่วไม่ใช่เหรอ จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรือไง เราต้องประหยัดเงินให้มากนะ”
“โอ๊ย น่าหงุดหงิดจริงๆ หยุดเทศนาสักที! ใครว่าอะไรหรือยัง ยังไงก็เถอะ ลองดูพรุ่งนี้ ถ้าไม่ถูกใจ ฉันจะขอให้เปลี่ยนทันทีเลย”
สมาชิกเผ่าส่วนหนึ่งกำลังพูดคุยเสียงดังโหวกเหวกโวยวายเกี่ยวกับเรื่องแคลนเอาส์ที่จะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในวันพรุ่งนี้
ฮี้ๆๆ!
“อ๊าย~ น่ารักจังเลย~”
“ว้าว! ว้าว! เจ้ายูนิของพวกเราเนี่ยเก่งจริงๆ~”
“ฮ่าๆ”
ส่วนสมาชิกเผ่าที่เหลือก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มและกำลังดูลูกยูนิคอร์นเต้นรำ
ส่วนผมก็นั่งอยู่ตรงมุมด้านหนึ่งและกำลังตั้งอกตั้งใจรับฟังรายงานจากโกยอนจู โกยอนจูขอรายงานเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมวาร์ปเกตที่ผมฝากให้เธอไปสืบมาเมื่อวันก่อน
“ถ้างั้นคนของเผ่าสิงโตทองก็จ้องจับผิดอยู่ฝ่ายเดียวสินะครับ”
“ค่ะ เป็นการจับผิดแต่ฝ่ายเดียวตามที่พูดนั่นแหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโมนิก้าหรือโครันต่างก็มีสภาพแวดล้อมที่ดีค่ะ ว่ากันว่าเมืองคานหรือเมืองทางตะวันออกอยู่ในระดับที่ตึงเครียดกันจริงๆ ค่ะ เผ่าโครยอประท้วงอย่างรุนแรงอยู่หลายครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ทำผิดออกมาต่อว่าคนที่ไม่ได้ทำผิดเสียอย่างนั้นค่ะ”
“ปฏิกิริยาของพวกผู้เล่นเป็นยังไงบ้างครับ”
“ยังไม่ชัดเจนว่าหัวลูกศรจะเบนไปทางใครค่ะ ยังไงก็ตาม ของที่คุณวิเวียนสั่งก็มาเมื่อสองวันก่อนแล้วไม่ใช่เหรอคะ นั่นหมายความว่า ไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้ใช้ขนาดนั้น และการเล่นเกมแต่เพียงฝ่ายเดียวของเผ่าสิงโตทองก็ยังคงดำเนินต่อไปอยู่ค่ะ แล้วถึงจะเบาลงก็จริง แต่คนอื่นๆ ยังคงพูดแขวะเหตุผลที่นำมาอ้างอยู่เลยค่ะ ก็นะ ถ้ายอมรับคำขอของเผ่าสิงโตทอง การควบคุมก็น่าจะคลายลงทันที แต่จะยอมรับเรื่องนั้นกันอย่างนั้นเหรอคะ จิ๊”
โกยอนจูจิ๊ปากพร้อมกับจบประโยคที่พูดลง ผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วถอนหายใจยาวออกมา ผมไม่สามารถคาดคะเนได้อย่างถูกต้องว่าจากนี้ไปเรื่องมันจะเป็นอย่างไร แต่กลิ่นอายอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติกำลังหมุนเวียนอยู่ เป็นกลิ่นอายที่เจือจางมากๆ แต่ก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้อย่างเด็ดขาด พอลองนึกถึงจำนวนของเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทีละอย่างๆ หัวของผมก็เริ่มปวดขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนั้นเอง
“ซูฮยอน อย่าคิดอะไรให้ปวดหัวถึงขนาดนั้นเลยค่ะ มันเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง และพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่แคลนเฮาส์จะสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วด้วย รับสิ่งที่จะมาถึงก่อนทีละอย่างๆ ดีกว่าไหมคะ”
คงรับรู้ได้ว่าผมจมอยู่ในห้วงความคิดอีกแล้ว จองฮายอนจึงปลอบโยนด้วยนำเสียงสดใสอยู่ข้างๆ คำพูดของเธอไม่ผิดเลย นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะตะเบ็งเสียงบอกว่า ผมจะบุกเข้าไปที่บาร์บาร่าด้วยตัวเองแล้วทำให้วาร์ปเกตกลับมามีพลังเดี๋ยวนี้ แล้วผมก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นด้วย
ตามที่จองฮายอนพูด ถ้าไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำได้ในตอนนี้ การคอยดูความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของเรื่องต่างๆ ก่อนก็เหมือนจะไม่แย่นัก
ผมเคาะโต๊ะตึกๆ แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงจ้องมองจองฮายอน
“คิดดูแล้ว ยังไม่ได้ถามเรื่องซีเคร็ตคลาสเลยนะครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีมากเลยค่ะ ทักษะพิเศษก็พัฒนาขึ้น ทักษะแฝงก็พัฒนาขึ้นเหมือนกัน แถมค่าความสามารถก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะ ซูฮยอน”
“ขอบคุณอะไรกันครับ ไม่มีทักษะเฉพาะตัวเพิ่มขึ้นมาเหรอครับ”
“น่าเสียดายนะคะ แต่แค่นี้ก็พอใจแล้วละค่ะ”
จองฮายอนหัวเราะร่าพร้อมกับจับมือของผมเบาๆ ผมรู้สึกได้ถึงแววตาอันเจ็บใจของโกยอนจูจากด้านข้าง แต่ผมก็เรียกใช้ดวงตาที่สามทันที
ข้อมูลผู้เล่น(Player Status)
1.ชื่อ(Name) : จองฮายอน(ปีที่ 2)
2.คลาส(Class) : จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน(Secret, Magician of the Blue Moon, Master)
3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : ทหารรับจ้างอิสระ(Free)
4.ชนเผ่า(Clan) : Mercenary(อยู่ในระกว่างการประเมินผลงาน)
5.นามแท้ · สัญชาติ : หยดน้ำแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน · สาธารณรัฐเกาหลี
6.เพศ(SEX) : หญิง(26)
7.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 166.5 ซม. · 53.8 กก.
8.อุปนิสัย : มีระเบียบวินัย · จิตใจดี (Lawful · Good)
ก่อนเปลี่ยนแปลง
[พละกำลัง 34] [ความทนทาน 38] [ความคล่องแคล่ว 40] [ความแข็งแกร่ง 32] [พลังเวท 87] [โชค 80]
หลังเปลี่ยนแปลง
[พละกำลัง 36] [ความทนทาน 40] [ความคล่องแคล่ว 41] [ความแข็งแกร่ง 34] [พลังเวท 91] [โชค 81]
แต้มของค่าความสามารถที่คงอยู่เหลือ 0 พอยต์
ทักษะพิเศษ(1/1)
1.พรคุ้มครองแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน(Rank : A Plus Plus Plus)
ทักษะแฝง(4/4)
1.เวทมนตร์โบราณ(Rank : A Plus)
2.เวทมนตร์ย้อนกลับRank : A Minus)
3.การร่ายเวทด้วยความรวดเร็ว(Rank : B Plus)
4.การต้านทานพลังเวท(Rank : B Plus)
‘พัฒนาขึ้นมากเลยสินะ’
ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด การที่พลังเวทสูงเกินเก้าสิบและทักษะพิเศษกับทักษะแฝงพัฒนาขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดกำลังใจอย่างแน่นอน แต่ยังไม่จบเพียงแค่นี้ ไม่ใช่แค่จองฮายอนคนเดียวแต่จำเป็นจะต้องเช็คระดับการพัฒนาโดยรวมของสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ด้วย และในช่วงที่จัดการใหม่อีกครั้งก็จะต้องจัดการสิ่งที่ได้รับมาในครั้งนี้อย่างดีที่สุด ต้องทำอย่างนั้นเท่านั้นจึงจะกำหนดทิศทางการวางตัวในการจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ไม่ว่าในการทำอะไรก็ตาม
อย่างแรกเลยก็คือรอคอยการเสร็จสมบูรณ์ของแคลนเฮาส์ในวันพรุ่งนี้ และไม่ว่าจะผมหรือสมาชิกเผ่าก็คงต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ระยะหนึ่งอย่างแน่นอน ในขั้นตอนของการตั้งถิ่นฐาน ผมเรียบเรียงอย่างช้าๆ ว่าจากนี้ไปจะต้องเริ่มทำอะไรก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ หลับตาลง เสียงของบริเวณโดยรอบที่ได้ยินเข้ามาในหูยังคงดังวุ่นวาย
พระอาทิตย์ที่ลอยขึ้นกลางท้องฟ้าคงกำลังเตรียมพร้อมที่จะหายลับไปในทางฝั่งตะวันตกเสียแล้ว ท้องฟ้าจึงถูกย้อมไปด้วยแสงของพระอาทิตย์ตกดิน ยิ่งพระอาทิตย์หายลับไปมากเท่าไร ทิวทัศน์ของท้องฟ้าก็ค่อยๆ ถูกแพร่กระจายออกไปเป็นสีแดงเข้มราวกับถูกทาสีทับ
ลมร้อนที่พัดผ่านแก้มทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลันแล้วเบนสายตาขึ้นไปมอง ผมเห็นคลื่นแสงสีชมพูทอแสงบนท้องฟ้าตรงเมฆก้อนสีขาวใหญ่ซ้อนทับกันซึ่งลอยอยู่ไกลๆ ราวกับภาพวาด อากาศไม่ได้เย็นสดชื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นวันที่ไม่ร้อนและอากาศอบอุ่นพอสมควร
ในที่สุดเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน พวกเราก็ได้รับข่าวว่าแคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาถูกเลื่อนให้ล่าช้ากว่ากำหนดในตอนแรกนิดหน่อย แต่สีหน้าของทุกคนก็มีความรู้สึกตื่นเต้นเจืออยู่ ถึงแม้ตั้งใจจะแสดงให้เห็นท่าทีเคร่งขรึมในฐานะแคลนลอร์ด แต่การทำให้จิตใจที่พองโตและพลุ่งพล่านสงบลงก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายๆ
พวกเราเก็บสัมภาระจนหมดเกลี้ยงตั้งแต่ก่อนมีการติดต่อเข้ามา พวกเราบอกลามาดามอิมกันอย่างง่ายๆ แล้วจึงออกมาจากเลิฟเฮาส์ที่พวกเรารบกวนอยู่เป็นเวลาเกือบสี่เดือน
ตอนบอกลากัน อิมฮันนาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนปกติ แต่สีหน้ากลับเหงาหงอยอย่างไม่มีสาเหตุ ตอนนั้นผมเอียงหัวด้วยความสงสัยครู่หนึ่ง แต่ผมก็ออกมาข้างนอกก่อนเพราะการส่งสายตาของโกยอนจูแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังแคลนเฮาส์
ระยะห่างของเลิฟเฮาส์กับแคลนเอาส์ไม่ได้ห่างกันนัก ความเร็วในการก้าวเดินนั้นรวดเร็วมากจริงๆ ไม่ถึงห้านาทีดีก็มาถึงตรงประตูใหญ่ได้แล้ว จริงๆ แล้วการก่อสร้างเสร็จสิ้นราวๆ เที่ยง แต่ดูเหมือนว่าการจัดการหลังจากนั้นจะสิ้นเปลืองเวลามากเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เวลาประมาณนี้ก็น่าจะพอดีแล้ว ผมปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแล้วผลักประตูที่ทำจากไม้เข้าไป
“โอ้”
“โอ้โฮ”